ผู้เขียน หัวข้อ: วิมลเกียรตินิรเทศสูตร ปริเฉทที่ ๔ โพธิสัตววรรค  (อ่าน 3024 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
 


ปริเฉทที่ ๔
โพธิสัตว์วรรค

ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคจึงมีพุทธฎีกาให้พระเมตไตรยโพธิสัตว์ไปเป็นผู้เยี่ยมไข้วิมลเกียรติคฤหบดี พระเมตไตรยโพธิสัตว์กราบทูลว่า

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้ของอุบาสดนั้นหรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ข้าพระองค์ยังระลึกได้อยู่ว่า สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์กำลังแสดงธรรมว่าด้วยปฏิปทาแห่งนิวรรตนิยภูมิแก่ดุสิตเทวราชพร้อมทั้งเทวบริษัทอยู่ ครั้งนั้นวิมลเกียรติคฤหบดีได้เข้ามากล่าวกับข้าพระองค์ว่า

“ข้าแต่พระคุณเจ้าเมตไตรยผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์พระคุณว่า พระคุณยังเกี่ยวเนื่องกับชาติอีกชาติเดียว ก็จักได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระคุณจักเอาชาติใดในการรับลัทธยาเทสพุทธพยากรณ์เล่า จักเอาอดีตชาติฤๅ ? อนาคตชาติฤๅ ? หรือจักเอาปัจจุบันชาติฤๅ ? ถ้าเป็นอดีตชาติไซร้อดีตก็ชื่อว่าล่วงลับไปแล้ว หากเป็นอนาคตชาติเล่า อนาคตก็ยังเป็นธรรมที่ยังไม่มาถึง หรือจักเป็นปัจจุบันชาติ ปัจจุบันชาติก็ปราศจากสภาวะความดำรงตั้งมั่นอยู่ได้ สมดังพระพุทธวจนะที่ว่า ดูก่อนภิกษุ ในกาลใด ที่ชาติของเธอบังเกิดขึ้นในกาลนั้น ก็ชื่อว่าชรา เป็นภังคะด้วย ถ้าพระคุณจักเอาอนุตปาทะ ความไม่มีชาติรับลัทธยาเทสพุทธพากรณ์ไซร้ ความไม่มีชาติเป็นอนุตปาทธรรมนั้น แท้จริงก็คือ ตัตตวสัตยธรรม ก็ในตัตตวสัตยธรรมนั้น ย่อมไม่มีการให้พยากรณ์ และไม่มีการบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อเป็นดังนี้พระคุณเจ้าเมตไตรยจักรับพุทธพยากรณ์ว่าพระคุณเป็นเอกชาติปฏิพัทธะยังเกี่ยวเนื่องกับชาติอีกเพียงชาติเดียว ก็จักตรัสรู้อย่างไรได้เล่า ? หรือจักกล่าวว่า ได้รับพุทธพยากรณ์ในความเกิดขึ้นแห่ง ตถตา ฤๅ ? หรือจักกล่าวว่า ได้รับพุทธพยากรณ์ในความดับไปแห่ง ตถตา ฤๅ ? ถ้าเป็นการรับพุทธพยากรณ์ในความเกิดขึ้นแห่ง ตถตา ไซร้ โดยความจริงแล้ว ตถตา ย่อมไม่มีความเกิดขึ้น ถ้าเป็นการรับพุทธพยากรณ์ในความดับไปแห่ง ตถตา ไซร้ โดยความจริงแล้ว ตถตา ย่อมไม่มีความดับไป สรรพสัตว์ย่อมเป็น ตถตา นี้ แม้พระคุณท่านเมตไตรยเองก็เป็น ตถตา นี้ด้วย

ฉะนั้น
ถ้าพระคุณได้รับพุทธพยากรณ์ สรรพสัตว์ก็สมควรจักได้รับพุทธพยากรณ์ด้วยข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ก็เพราะว่าอันธรรมชาติแห่ง ตถตา นั้น ย่อมไม่มีความเป็นหนึ่งหรือความเป็นสองนั้นเอง หากพระคุณได้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สรรพสัตว์ก็สมควรจะต้องบรรลุข้อนั้น เพราะเหตุเป็นไฉน ? ทั้งนี้เพราะธรรมชาติแห่งสรรพสัตว์นั้น โดยเนื้อแท้แล้วก็คือธรรมชาติแห่งโพธินั่นเอง และถ้าพระคุณดับขันธปรินิพพานลง สรรพสัตว์ก็สมควรจักต้องดับขันธปรินิพพานด้วย ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงรู้ชัดว่า ธรรมชาติของสรรพสัตว์นั้น มีความดับรอบเป็นสภาพ คือพระนิพพาธาตุนั่นเอง มิจำเป็นต้องมีอะไรมาดับรอบกันอีก เพราะฉะนั้นแล ข้าแต่ะพระคุณเจ้าเมตไตรยผู้เจริญ พระคุณโปรดอย่าได้แสดงธรรมอย่างนี้ (คือแสดงปฏิปทาแห่งอนิวรรตรนิยภูมิ) ลวงเทวบริษัทเลย ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า โดยประมัตถ์แล้ว ก็ไม่มีผู้ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเลย พระคุณควรเทศนาสอนให้เทพยดาเหล่านี้ละวิกัลปทิฏฐิในโพธิเสีย ด้วยเหตุเป็นไฉน ? เพราะธรรมชาติแห่งโพธินั้น จักบรรลุด้วยกายก็มิได้ ฤๅจักบรรลุด้วยจิตก็หามิได้ ธรรมชาติที่ดับรอบสนิทโดยไม่มีเศษเหลือนั่นแลคือโพธิ เพราะดับเสียซึ่งปวงลักษณะเสียได้ ฯลฯ

“ข้าแต่พระสุคต เมื่อวิมลเกียรติคฤหบดีแสดงธรรมนี้จบลง มีเทพยดา ๒๐๐ องค์ได้บรรลุอนุตปาทธรรมกษานติ ด้วยเหตุประการฉะนี้แล ข้าพระองค์จึงไม่เหมาะสมควรแก่การไปเยี่ยมไข้ของเขา พระพุทธเจ้าข้า.”

                                         

พระผู้มีพระภาคจึงมีพุทธดำรัสให้พระประภาลังการกุมารไปเป็นผู้เยี่ยมไข้ พระประภาลังการกุมารกราบทูลว่า

ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้ของเขาพระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุไฉน ? ข้าพระองค์ยังระลึกได้อยู่ว่าสมัยหนึ่ง ข้าพระองค์เดินทางออกจากเมืองเวสาลี ครั้งนั้น วิมลเกียรติคฤหบดีก็กำลังเดินทางเข้ามาสู่นครเวสาลี เมื่อพบกัน ข้าพระองค์ได้แสดงคารวะแล้วถามท่านว่า “ท่านคฤหบดีมาแต่ไหนเทียว ?
วิมลเกียรติคฤหบดีตอบว่า “ผมมาแต่ธรรมมณฑล.”

ข้าพระองค์จึงถามต่อไปว่า “ธรรมมณฑลไหน ?”

“ท่านตอบว่า จิตที่ตั้งไว้ตรงนั้นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะปราศจากความล่อลวง การปฏิบัติธรรมนั้นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะยังให้ลุแก่ปฏิเวธ จิตที่ลึกซึ้งนั้นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งกุศลธรรมอันสมบูรณ์พร้อม โพธิจิตนั้นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะปราศจากความหลงผิดใด ๆ ทานบริจาคนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ สีลสังวรนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะยังปฎิธานให้สำเร็จ ขันตินั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะจิตไม่บังเกิดความเบียดเบียนเป็นอุปสรรคในสรรพสัตว์ วิริยะนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑลเพราะปราศจากโกสัชชะ ฌานสมาธินั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะมีจิตอันฝึกฝนอ่อนโยนเป็นกรรมนียะแล้ว ปัญญานั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะอรรถว่ารู้แจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวงโดยประจักษ์ เมตตานั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะยังความสุขให้เกิดแก่สรรพสัตว์โดยเสมอภาค กรุณานั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะสามารถทำให้อดกลั้นต่อความทุกข์ในการโปรดสัตว์ได้ มุทิตานั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะทำให้ชื่นชมยินดีในธรรม

อุเบกขานั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะเป็นธรรมซึ่งยังความชัง ความรักให้สมุจเฉทไป อภินิหารนั่นแลชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะยังฉฬภิญญาให้สำเร็จไพบูลย์ได้ วิมุตตินั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑลเพราะสละเสียซึ่งสรรพธรรมได้ อุปายนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะเป็นเหตุให้สั่งสอนโปรดสรรพสัตว์ได้ สังคหวัตถุ ๔ นั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะเป็นธรรมซึ่งสงเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย พหูสูตนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะเป็นเหตุชักจูงให้ปฏิบัติตามที่ได้สดับศึกษามา การควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะนำมาซึ่งยถาภูตญาณทัสสนะได้ โพธิหักขิยธรรม ๓๗ ประการนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะนำให้ปล่อยวางสังขารธรรมได้ จตุราริยสัจนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะเป็นสภาพจริงไม่ล่อลวงโลก ปฏิจจสมุปบาทนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑลเพราะอวิชชา ฯลฯ ชรามรณะนั้นล้วนเป็นอนัตตธรรม (ด้วยเป็นสภาพว่างเปล่า) กิเลสาสวะทั้งปวงนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะความรู้แจ้งตามสภาพของมัน
*
* อธิบายว่า กิเลสก็เป็นอนัตตา พระนิพพานเล่าก็เป็นอนัตตา เมื่อเป็นเช่นนี้ ในส่วนของอนัตตาทั้งสองก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ผู้ที่ตรัสรู้ความจริงย่อมไม่หานิพพานภายนอกกิเลส เพราะเมื่อใดมารู้ชัดว่ากิเลสนั้นว่างเปล่า เมื่อนั้นก็ย่อมเป็นนิพพาน.

 สรรพสัตว์นั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะรู้แจ้งในหลักอนัตตา ธรรมทั้งปวงนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะทราบชัดว่าธรรมทั้งปวงนั้นเป็นสุญญตา มารวิชัยนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะทำให้ไม่หวั่นไหวกำเริบ ภพทั้ง ๓ นั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะไม่ยึดเอาคติแห่งภพนั้น สิงหนาทนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะปราศจากความหวั่นหวาดจากภัย พละ อุภยะ อเวณิกธรรมนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะปราศจากอกุศลโทษทั้งหลาย ไตรวิชชานั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะไม่มีอาวรณธรรมใด ๆ อื่น ความที่ชั่วขณะจิตเดียวก็สามารถรู้แจ้งสรรพธรรมได้นั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะยังสัพพัญญุตญาณให้สำเร็จด้วยประการดังที่พรรณนามานี้ ดูก่อนกุลบุตร พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อโปรดสรรพสัตว์ การกระทำของพระองค์ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถใด จะเดิน จะเหิน จะไป จะมา ท่านพึงกำหนดรู้ไว้เถอะว่า พระโพธิสัตว์นั่นชื่อว่ามาจากธรรมมณฑลตั้งอยู่ในธรรมของพระพุทธองค์แล.”

“เมื่อวิมลเกียรติคฤหบดีแสดงธรรมกถานี้จบลง มีเทพยดา ๕๐๐ องค์ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยเหตุประการฉะนี้แล ข้าพระองค์จึงไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้คฤหบดีผู้นั้นพระพุทธเจ้าข้า.”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 13, 2011, 02:12:57 pm โดย ฐิตา »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



พระผู้มีพระภาคจึงมีพระดำรัสให้พระวสุธาธรโพธิสัตว์ไปเป็นผู้เยี่ยมไข้ พระวสุธาธรโพธิสัตว์กราบทูลว่า

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้ของคฤหบดีผู้นั้นหรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ข้าพระองค์ยังตามระลึกได้อยู่ว่า สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์อาศัยอยู่ในเคหะอันสงัดวิเวก ครั้งนั้น พญามารวสวัตดีมีทิพยลักษณ์ ดุจท้าวศักรินทรเทวราช มีนางเทพธิดา ๑๒,๐๐๐ แวดล้อมเป็นบริวาร บำเรอด้วยทิพยสังคีต พากันมาอภิวาทน์บาทของข้าพระองค์ กระทำอัญชลีกรรมด้วยความเคารพแล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ข้าพระองค์สำคัญผิดว่า เป็นท้าวศักรินทร์เทวราชจริง ๆ จึงได้กล่าวปฏิสันถารว่า

“ดูก่อนท้าวโกสีย์ พระองค์เสด็จมาดีแล้ว พระองค์ได้เสวยวิบากแห่งบุญเห็นปานนี้ ขอพระองค์อย่าได้ประมาทพึงพอใจแต่เพียงเท่านี้เลย พึงพิจารณาเบญจพิธกามคุณ ๕ ว่าเป็นสิ่งอนิจจัง เพื่อเจริญกุศลธรรมไว้เป็นรากฐานยิ่งขึ้นไปอีก พระองค์พึงอาศัยสรีระ ชีวิต และโภคสมบัตินี้แสวงหาธรรมอันมีสาระเถิด.”

พญามารได้ตอบข้าพระองค์ว่า “ข้าแต่ท่านมุนี ข้าพเจ้าขอถวายเทพธิดา ๑๒,๐๐๐ นี้แก่ท่าน เพื่อเอาไว้ใช้งานมีการปัดกวาดเสนาสนะเป็นต้น.”

ข้า พระองค์ได้ปฏิเสธว่า “ดูก่อนท้าวโกสีย์ พระองค์อย่าได้ปรารถนาให้สิ่งอันไม่ชอบธรรมแก่อาตมภาพ ซึ่งเป็นสมณศากยบุตรเลย สิ่งนี้ไม่สมควรแก่สมณวิสัย.” ข้าพระองค์ไม่ทันจะพูดจบ วิมลเกียรติคฤหบดีก็ตรงมากล่าวกับข้าพระองค์ว่า

“นั่นไม่ใช่ท้าวศักรินทร์หรอก เป็นมารจำแลงมาผจญทำลายตบะท่านต่างหากเล่า.”

แล้ว คฤหบดีนั้นก็หันมาปราศรัยกับมารว่า “บรรดาเทพธิดาเหล่านี้จงยกให้แก่เราได้ เพราะตัวเรานี้แหละ เป็นผู้เหมาะควรแก่การรับของ ของท่านนี้.”

สมัย นั้น พญามารมีความหวาดกลัว เกิดความปริวิตกว่า วิมลเกียรติคฤหบดี จักเล่นงานเราหรืออย่างไร จึงจักอันตรธานหายไปจากที่นั้นแต่ก็ไม่บังเกิดผล แม้จักบันดาลด้วยมหิทธิฤทธิ์นานัปการก็ไปจากที่นั้นหาได้ไม่ ทันใดนั้น มีเสียงนฤโฆษดังมาจากอากาศว่า*(* เป็นเสียงของวิมลเกียรติสำแดงขึ้น)

“วสวัตดีเอ๋ย เจ้าจงมอบเทพธิดาเหล่านี้ให้เขาเสียเถิด แล้วเจ้าจึงกลับไปได้.”
“พญามารมีความกลัวนัก จึงยอมมอบเทพธิดาบริวารให้แก่วิมลเกียรติคฤหบดีไปตามคำบัญชานั้น.”

ครั้ง นั้นท่านวิมลเกียรติคฤหบดี ได้สอนเทพธิดาทั้งปวงว่า พญามารได้มอบเธอทั้งหลายแก่เราแล้ว บัดนี้เธอทั้งปวงจงตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเทอญ” แล้วพร่ำสอนโอวาทานุศาสนีเป็นอันมาก ยังเทพธิดาทั้งนั้นให้มีจิตตั้งมั่นอยู่ในธรรมานุธรรมปฏิบัติ ในที่สุดคฤหบดีนั้นกล่าวว่า

“บัดนี้ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ก็มีจิตตั้งมั่นอยู่ในธรรมานุธรรมปฏิบัติแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นผู้มีธรรมสุขเป็นที่ยินดีโดยตนเอง ฉะนั้น อย่าพึงยินดีในเบญจพิธกามคุณ ๕ อีกต่อไป”
เทพธิดาเหล่านั้นจึงถามขึ้นว่า “อะไรชื่อว่ามีธรรมสุขเป็นที่ยินดี ?”

ท่าน วิมลเกียรติคฤหบดีตอบว่า “ยินดีที่มีศรัทธาปสาทะในพระพุทธองค์เป็นนิตย์ ยินดีในการสดับพระสัทธรรมเป็นนิตย์ ยินดีในการได้บูชาสักการะพระสงฆเจ้าเป็นนิตย์ ยินดีในการพ้นจากเบญจพิธกามคุณเป็นนิตย์ ยินดีในการพิจารณาเห็นปัญจขันธทั้ง ๕ มีอุปมาดุจโรคร้าย ยินดีในการพิจารณาเห็นมหาภูตรูปทั้ง ๔ มีอุปมา ดุจงูพิษ ยินดีในการพิจารณาเห็นสฬายตนะภายในมีอุปมาดุจเรือน ร้าง ยินดีในการคุ้มครองรักษาจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในธรรมานุธรรม ปฏิบัติ ยินดีในการบำเพ็ญอัตถประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ ยินดีในการเคารพบูชาคุณครูบาอาจารย์ ยินดีในการบริจาคมหาทาน ยินดีในการมีสีลสังวรเคร่งครัด ยินดีในการมีขันติโสรัจจะ ยินดีในการยังกุศลสมาทานให้บังเกิดโดยมิย่นย่อ ยินดีในฌานสมาธิอันไม่ฟุ้งซ่าน ยินดีในปัญญาอันบริสุทธิ์สะอาด ยินดีในการมุ่งจิตต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ยินดีในการบำราบเหล่ามาร ยินดีในการยังสรรพกิเลสให้ขาดเป็นสมุจเฉท ยินดีในการยังพุทธเกษตรให้บริสุทธิ์หมดจด ยินดีในการยังมหาปุริสลักษณะให้สำเร็จจึงสร้างปวงกุศลสมภาร ยินดีในกิจอลังการธรรมมณฑล ยินดีในการสดับพระสัทธรรมอันเป็นส่วนลึกซึ้ง ก็ไม่พึงบังเกิดความท้อถอยเหนื่อยหน่ายหวั่นเกรง ยินดีในการบรรลุวิโมกข์ ฯลฯ นี้แลชื่อว่าพระโพธิสัตว์มีธรรมสุขเป็นที่ยินดี.

ในลำดับนั้น พญามารวสวัตดีได้กล่าวแก่บรรดาเทพธิดาว่า “เราปรารถนาจักกลับคืนสู่เทพมณเฑียรพร้อมกับท่านทั้งหลาย.”

เทพธิดา บริษัทตอบสนองว่า “พวกหม่อมฉันพร้อมด้วยท่านคฤหบดีผู้นี้มีธรรมสุขด้วยกันอยู่ พวกหม่อมฉันได้เสวยสุขอันประณีตอย่างยิ่ง มิได้ยินดีปรารถนาต่อเบญจพิธกามสุขอีกต่อไปแล้ว.”

พญามารจึงหันมาร้องขอกับวิมลเกียรติคฤหบดีว่า
“ข้า แต่ท่านคฤหบดี ขอท่านโปรดสละเทพธิดาทั้งปวงนี้เถิดบุคคลผู้อาจจะ สละสิ่งที่เห็นปานนี้ได้ ย่อมมีชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์โดยแท้.”
ท่าน วิมลเกียรติกล่าวว่า “เรานะสละให้แล้วละ ท่านจงกลับคืนไปเสียเถอะ จงยังสรรพสัตว์ให้เข้าถึงความสมบูรณ์แห่งธรรมปณิธิโดยทั่วหน้าเทอญ.”
สำดับนั้นเทพธิดาบริษัทก็ถามขึ้นว่า “ข้าแต่ท่านคฤหบดี พวกเราทั้งหมดนี้ จักพึงอาศัยอยู่ในมารมณเฑียรด้วยฐานะอย่างไรหนอแล ?”

วิมล เกียรติคฤหบดีจึงอธิบายว่า “ดูก่อนภคินีทั้งหลาย” มีธรรมบทอันหนึ่งเรียกว่า อนันตาประทีป ท่านทั้งปวงพึงศึกษากำหนดไว้ ที่ชื่อว่าอนันตประทีปนั้นอุปมาว่า ประทีปดวงหนึ่งสามารถเป็นสมุฏฐานจุดประทีปให้ลุกโพลง ขึ้นอีกหลายร้อยหลายพันดวง ยังผู้ตกอยู่ในความมืดให้ ได้รับแสงสว่าง และแสงสว่างนี้ก็มิรู้จักขาดสิ้นไปได้ โดยประการฉะนี้แลภคินีทั้งหลาย พระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ๆ ย่อมเป็นผู้กล่าวแนะนำชี้ทางแก่สรรพสัตว์อีกหลายร้อยหลายพัน ยังสัตว์เหล่านั้นให้ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีจิตที่มุ่งในธรรมานุธรรมปฏิบัติไม่รู้จักขาดสิ้นแสดงพระสัทธรรมตามฐานะอันควร ยังสรรพกุศลสมภารของตนเองให้ทวีไพบูลย์ขึ้น นี้แลชื่อว่า อนันตประทีป ท่านทั้งปวงมาตรว่าจักอาศัยอยู่ในวิมาน มาร ก็จงอาศัยอนันตประทีปนี้ ยังเทพยดาเทพธิดาจำนวนมากเป็นอประไมยเหล่านี้ ให้เกิดจิตปณิธานในพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ การกระทำดังนี้ ชื่อว่าท่านทั้งหลายได้สนองพระคุณของพระพุทธองค์ กับทั้งชื่อว่าได้บำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์สุขให้เกิด แก่สรรพสัตว์ด้วย.”

“ครั้งนั้น เทพธิดาบริษัท ได้อภิวาทน์บาทของท่านวิมลเกียรติด้วยเศียรเกล้า แล้วติดตามพญามารคืนสู่สรวงสวรรค์ ได้หายไปในบัดดลนั้นเอง ข้าแต่พระผู้มีพระภาค วิมลเกียรติคฤหบดีอุดมด้วยมหิทธานุภาพอันเป็นอิสระ ประกอบทั้งปัญญา ปฏิภาณโกศลเห็นปานฉะนี้ ข้าพระองค์จึงไม่หมาะสมควรที่จักไปเยี่ยมไข้ของเขา พระพุทธเจ้าข้า.”


พระผู้มีพระภาคจึงมีพระพุทธบรรหารให้บุตรคฤหบดี ผู้ชื่อว่าสุทัตตะเป็นผู้ไปเยี่ยมไข้ สุทัตตะกราบทูลว่า

“ข้า แต่พระผู้มีพระภาค แม้ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้คฤหบดีนั้นหรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ข้าพระองค์ยังตามระลึกได้อยู่ว่า สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์ได้จัดงานกุศลบำเพ็ญมหาทานบริจาค ณ คฤหาสน์ของท่านบิดา บริจาคทำบุญสักการะในสมณะทั้งหลาย ในพราหมณ์ทั้งหลาย กับทั้งบรรดานักบวชภายนอกศาสนาอื่น ๆ คนทุคตะเข็ญใจ พวกวรรณะต่ำ คนปราศจากญาติมิตรไร้ที่พึ่งและยาจก มีกำหนดครบถ้วน ๗ วัน ครั้งนั้น วิมลเกียรติคฤหบดีได้มาในท่ามกลางงานโอยทานนี้ และกล่าวกะข้าพระองค์ว่า

“ดู ก่อนบุตรคฤหบดี อันมหาทานสันนิบาตนี้ เขาไม่จัดทำกันอย่างเช่นที่ท่านทำอยู่นี้หรอก ท่านพึงบำเพ็ญธรรมทานสันนิบาตเป็นนิตย์ วัตถุทานเหล่านี้จักไปทำไม ?”
ข้าพระองค์จึงถามว่า “ข้าแต่ท่านคฤหบดี อะไรเล่าชื่อว่าธรรมทานสันนิบาต ?”

ท่าน ตอบว่า “อันธรรมทานสันนิบาตนั้น ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคตในกาลเดียวบูชาสักการะในสรรพสัตว์ได้ ทั่วถึงนี้แลชื่อว่าธรรมทานสันนิบาต.”
ข้าพระองค์ถามอีกว่า “นั่นคืออะไร ?”

ท่าน ตอบว่า “เพราะมีความตรัสรู้เป็นที่ ตั้ง พึงยังเมตตาจิตให้เกิดขึ้น เพราะจักโปรดสรรพสัตว์เป็นที่ตั้ง พึงยังพระมหากรุณาจิตให้เกิดขึ้น เพราะจักธำรงพระศาสนาให้ยั่งยืนนาน พึงยังมุทิตาจิตให้เกิดขึ้น เพราะจักสงเคราะห์ปัญญาให้เกิดขึ้นพึงปฏิบัติ ในอุเบกขา เพราะจักสงเคราะห์ คนมัจฉริยะโลภมากพึงยังทานบารมีให้เกิดขึ้น เพราะจักสั่งสอนคนทุศีลพึงยังศีลบารมีให้เกิด ขึ้น เพราะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา พึงยังขันติบารมีให้เกิดขึ้น เพราะการบรรลุความตรัสรู้ พึงยังฌานบารมีให้เกิดขึ้น เพราะการสำเร็จในสัพพัญญุตญาณ พึงยังปัญญาบารมีให้เกิดขึ้น แสดงธรรมสั่งสอนปวงสัตว์ แต่ก็มีสัญญตสัญญาเกิดอยู่เป็นปกติ ไม่ต้องสละสังขตธรรม แต่ก็ยังอนิมิตตธรรมให้เกิดได้ แม้จักแสดงให้เห็นว่าต้องเสวยภพชาติอยู่ แต่ก็ไม่ยึดถือว่าเป็นกรรม เพราะธำรงรักษาพระศาสนาพึงยังอุปายพละให้เกิด ขึ้น เพราะทำการโปรดสรรพสัตว์ พึงยังสังคหวัตถุธรรมให้เกิด ฯลฯ ปฏิบัติตามกุศลธรรมานุธรรมวิธี พึงยังอาชีวะให้บริสุทธิ์มีจิตหมดจด หฤหรรษ์อยู่ พึงเข้าไกล้บัณฑิตแลไม่รังเกียจพาลชน พึงควบคุมรักษาจิตไว้ให้อยู่ในอำนาจ ฯลฯ ละสรรพกิเลสให้เป็นสมุจเฉทพร้อมทั้งสรรพอาวรณะธรรมและสรรพอกุศลธรรมให้หมดไป ยังสรรพกุศลธรรมให้เกิดขึ้นเพื่อบรรลุสัพพัญญุตญาณ ยังสรรพกุศลธรรมและโพธิปักขิยธรรม อันเกื้อกูลแก่ความตรัสรู้ให้อุบัติขึ้น ด้วยประการดังนี้แลกุลบุตร ! จึงชื่อว่าธรรมทานสันนิบาตพระโพธิสัตว์องค์ใด ซึ่งสถิตอยู่ในธรรมทานสันนิบาตนี้ ย่อมชื่อว่าเป็นมหาทานบดี และชื่อว่าเป็นบุญเขตอันประเสริฐของโลกทั้งปวงด้วย.”

ข้าแต่ พระผู้มีพระภาค เมื่อวิมลเกียรติคฤหบดีแสดงธรรมจบลงในพราหมณบริษัท มีพราหมณ์ ๒๐๐ คน ต่างมุ่งจิตต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จิตของข้าพระองค์เองในสมัยนั้น ก็หมดจดสะอาดได้สรรเสริญธรรมของท่านวิมลเกียรติคฤหบดีว่า เป็นสิ่งที่ไม่เคยมี แล้วได้มีขึ้น ได้กระทำอภิวาทน์บาทของคฤหบดีนั้นด้วยเศียรเกล้าแล้ว ข้าพระองค์จึงแก้เอาสร้อยสังวาลเครื่องประดับมีราคามากกว่า ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะออกจากตัว น้อมไปบูชาท่านวิมลเกียรติ ท่านไม่รับของบูชานั้น ข้าพระองค์จึงกล่าวว่า

“ข้าแต่ท่านคฤหบดี โปรดรับสิ่งบูชานี้เถิด สิ่งนี้สุดแล้วแต่ท่านจักจัดการ.”
“ลำดับ นั้น วิมลเกียรติคฤหบดี จึงรับสร้อยสังวาลเครื่องประดับดังกล่าว แล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน นำส่วนหนึ่งไปบริจาคให้แก่ยาจกผู้มีวรรณะต่ำที่สุดในสมาคมนั้น อีกส่วนหนึ่งนำไปน้อมถวายบูชาพระอปราชิตถาคตเจ้า ซึ่งประทับอยู่ในรัศมีประภาพุทธเกษตร.”

ครั้งนั้น บริษัทชนทั้งปวงต่างก็ได้ยลเห็นพระอปราชิตตถาคตเจ้าพระองค์ผู้ประทับ อยู่ ณ รัศมีประภาโลกธาตุนั้น ท่านวิมลเกียรติคฤหบดีกล่าวว่า
หากผู้บริจาคทานมีจิตสม่ำเสมอ ไม่แบ่งแยกบริจาคให้แก่ยาจกผู้อยู่ในวรรณะต่ำที่สุด ดุจเดียวกับว่าได้ถวายแก่พระตถาคตเจ้าอันเป็นบุญเขตที่เลิศ มีจิตกอปรด้วยมหากรุณา ไม่หวังปรารถนาต่อผลตอบแทนใด ๆ ไซร้ การบริจาคนั้นถึงได้ชื่อว่าเป็นธรรมทานอันสมบูรณ์.

“ครั้ง นั้น ในนครมียาจกผู้อยู่ในวรรณะต่ำที่สุด ได้ทัศนาอิทธิปาฏิหาริย์อันมหัศจรรย์ และได้สดับธรรมกถาของคฤหบดีผู้นั้น ก็ตั้งจิตปณิธานมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะเหตุฉะนี้แลข้าพระองค์จึงไม่เหมาะสมควรแก่การไปเยี่ยมไข้คฤหบดีนั้น พระพุทธเจ้าข้า.”

ด้วยประการดังกล่าวมานี้ บรรดาพระโพธิสัตว์ต่างก็กราบทูลเล่ายุบลถึงสาเหตุของตน และต่างสดุดีความเป็นไปของวิมลเกียรติคฤหบดีพร้อมทั้งทูลเป็นเสียงเดียวกัน ว่า ตนเองไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้คฤหบดีนั้น.

ปริเฉทที่ ๔ โพธิสัตวรรค จบ.




http//www.mahayana

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 13, 2011, 04:55:53 pm โดย ฐิตา »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :13: อนุโมทนาครับ ขอบคุณครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


http://www.jiewfudao.com/เทพเจ้าสัญลักษณ์มงคล/หลี่เถียไกว่.html

ท่านตอบว่า “อันธรรมทานสันนิบาตนั้น ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคตในกาลเดียวบูชาสักการะในสรรพสัตว์ได้ทั่วถึงนี้แลชื่อว่าธรรมทานสันนิบาต.”

ข้าพระองค์ถามอีกว่า “นั่นคืออะไร ?”


ท่านตอบว่า “เพราะมีความตรัสรู้เป็นที่ตั้ง พึงยังเมตตาจิตให้เกิดขึ้น เพราะจักโปรดสรรพสัตว์เป็นที่ตั้ง พึงยังพระมหากรุณาจิตให้เกิดขึ้น เพราะจักธำรงพระศาสนาให้ยั่งยืนนาน พึงยังมุทิตาจิตให้เกิดขึ้น เพราะจักสงเคราะห์ปัญญาให้เกิดขึ้น พึงปฏิบัติในอุเบกขา เพราะจักสงเคราะห์ คนมัจฉริยะโลภมาก พึงยังทานบารมีให้เกิดขึ้น เพราะจักสั่งสอนคนทุศีลพึงยังศีลบารมีให้เกิดขึ้น เพราะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา พึงยังขันติบารมีให้เกิดขึ้น เพราะการบรรลุความตรัสรู้ พึงยังฌานบารมีให้เกิดขึ้น เพราะการสำเร็จในสัพพัญญุตญาณ พึงยังปัญญาบารมีให้เกิดขึ้น แสดงธรรมสั่งสอนปวงสัตว์ แต่ก็มีสัญญตสัญญาเกิดอยู่เป็นปกติ ไม่ต้องสละสังขตธรรม แต่ก็ยังอนิมิตตธรรมให้เกิดได้

แม้จักแสดงให้เห็นว่าต้องเสวยภพชาติอยู่ แต่ก็ไม่ยึดถือว่าเป็นกรรม เพราะธำรงรักษาพระศาสนาพึงยังอุปายพละให้เกิดขึ้น เพราะทำการโปรดสรรพสัตว์ พึงยังสังคหวัตถุธรรมให้เกิด ฯลฯ ปฏิบัติตามกุศลธรรมานุธรรมวิธี พึงยังอาชีวะให้บริสุทธิ์มีจิตหมดจด หฤหรรษ์อยู่ พึงเข้าไกล้บัณฑิตแลไม่รังเกียจพาลชน พึงควบคุมรักษาจิตไว้ให้อยู่ในอำนาจ ฯลฯ ละสรรพกิเลสให้เป็นสภุจเฉทพร้อมทั้งสรรพอาวรณะธรรมและสรรพอกุศลธรรมให้หมดไป ยังสรรพกุศลธรรมให้เกิดขึ้นเพื่อบรรลุสัพพัญญุตญาณ ยังสรรพกุศลธรรมและโพธิปักขิยธรรม อันเกื้อกูลแก่ความตรัสรู้ให้อุบัติขึ้น ด้วยประการดังนี้แลกุลบุตร ! จึงชื่อว่าธรรมทานสันนิบาตพระโพธิสัตว์องค์ใด ซึ่งสถิตอยู่ในธรรมทานสันนิบาตนี้ ย่อมชื่อว่าเป็นมหาทานบดี และชื่อว่าเป็นบุญเขตอันประเสริฐของโลกทั้งปวงด้วย.”



อนุโมทนาสาธุ ทุกๆธรรมทานที่คุณมด เมตตานำมาแบ่งปันน่ะค่ะ
                                             สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 04, 2010, 09:03:28 am โดย ฐิตา »