ผู้เขียน หัวข้อ: ห้องสมุดบางกอกคุณค่าของการถ่ายภาพ  (อ่าน 1299 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ होशདངພວན2017

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 625
  • พลังกัลยาณมิตร 291
    • ดูรายละเอียด












http://youtu.be/HOicuA81Ft0




สงครามโลกกำลังจะอุบัติขึ้น
แต่สงครามชีวิตเกิดขึ้นแล้ว
ในแต่ละวันปากกัดตีนถีบ
ดิ้นรนเพื่อปากท้องและนี่คือ
ชีวิตสงครามกับความหิวโหย
นำเที่ยวตลาดสดนนทบุรี




เรื่องความรู้ชัดนี้ เป็นปัญหาใหญ่มาก น่าจะต้องย้ำกันในสังคมไทยเพราะว่า เราแสดงออกทำนองว่าชื่นชมนิยมกันในเรื่องความรู้และวิชาการภูมิใจ กันนักว่าได้อยู่กับเขาในโลกยุคข่าวสารข้อมูลแต่ก็รู้อะไรไม่ชัดสัก เรื่องการหาความรู้ให้ชัดเจนถ่องแท้นี่เป็นเรื่องสำคัญถ้ารู้ ไม่ชัดแล้วอะไรๆ ก็ไม่ชัดไปหมด พอรู้ไม่ชัดก็คิดไม่ชัดเราบอกกันว่า ต้องคิดให้ชัด แต่ถ้าจะคิดให้ชัดก็ต้องรู้ชัดเมื่อรู้ชัดก็มีทางคิดชัด คิดให้ชัดแล้วก็มาพูดให้ชัดสามารถแสดงความเห็น หรือสื่อสารอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ชัดเจนให้เห็นถ่องแท้กันไปเลย แล้วต่อไปก็ทำชัดอีกการที่จะทำได้ชัดก็เป็นผลมาจากต้องมีอื่นชัดมาทั้ง หมดเริ่มแต่ต้องรู้ชัด แล้วก็คิดชัด จึงจะทำชัดได้ที่ว่ารู้ชัด นั้น รวมทั้งต้องชัดในหลักการและชัดในจุดหมายด้วยว่า จะไปไหน จะเอาอะไรต้อง มีจุดหมายแน่ชัด จะได้มุ่งมั่นเดินหน้าไปสังคมไทยนี่มีลักษณะ ที่เป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งคือ ไม่มีจุดหมายร่วมกันของสังคมทำให้ กระจัดกระจายกันไปหมดจนกลายเป็นแต่ละคนเอาแต่ตัวในเมื่อสังคมของเรา ไม่มีความชัดเจนในตัวเองมันก็เลยหาจุดหมายไม่ได้ตอนนี้หลักการ ก็ต้องชัด จุดหมายที่จะไปก็ต้องชัดเมื่อได้จุดหมายชัดก็ต้องต่อด้วยมี วิธีการที่ชัดแล้ววิธีการที่ชัดเจนก็จะนำไปสู่จุดหมายได้จริงทั้งหลักการ- จุดหมาย - วิธีการนี่เป็นปัญหาของสังคมไทยซึ่งรวมอยู่ในเรื่อง ความชัด ที่จริง คำว่า ชัด นี้เป็นความ

หมายของปัญญาเพราะ ปัญญาแปลว่า รู้ทั่วชัด ถ้าไม่รู้ทั่วชัด ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นปัญญาได้อย่างไรจะเป็นปัญญาก็ต้อง ชัดเจนขึ้นมาเพราะว่าองค์ประกอบของจิตใจตัวอื่นมันก็รู้ อย่างที่ทางพระบอกว่าวิญญาณก็รู้แต่มันไม่ชัดอย่างปัญญาเมื่อเรารับรู้อะไรต่าง ๆ เช่นเราเห็น เราได้ยินนั้นวิญญาณเกิดขึ้นทันที แต่มันยังไม่เป็นปัญญาจะเป็นปัญญาต่อเมื่อรู้เข้าใจชัดเจนและชัด ขึ้นไปหลาย ๆ ชั้นชัดในการแยกแยะวิเคราะห์องค์ประกอบว่า มีอะไรเป็นอย่างไรชัดในเหตุปัจจัย สืบสาวได้ว่ามันเป็นมาอย่างไรเพราะ อะไรจึงเป็นอย่างนี้ มันมีคุณมีโทษอย่างไร เป็นต้นต้องให้มันชัด ๆ ๆ ๆ กันไปตลอดทั้งหมดถ้ามันชัดทุกส่วนทุกขั้น ปัญญาก็พัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆรวมความว่า อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่ว่าสังคมไทยตอนนี้กำลังขาดความชัดฉะนั้นจะต้องให้มันชัด และที่รู้ชัดก็คือ ปัญญาแล้วต่อไปจะได้คิดชัด พูดชัด ทำชัดแล้ว อะไรต่ออะไรมันก็จะเดินหน้าไปด้วยดี อย่างเข้มแข็งคนที่รู้อะไร ชัดเจนย่อมมั่นใจและเข้มแข็งแน่นอนเมื่อทำอะไรโดยมองเห็นชัดเจนก็มั่นใจแล้ว จึงจะเดินหน้าไปได้จริงเริ่มตั้งแต่เจอกับกระแสของโลกเวลานี้เราไปตาม แต่ก็ไปเรื่อยเปื่อยอย่างที่ว่าทั้งที่อยู่ในกระแสของเขาเราก็ไม่ รู้จักกระแสนั้นเลยเลิกคิดแยกส่วนที่กระจัดกระจายจะเอาแค่องค์รวมที่พร่ามัว ใช่หรือไม่ ?กระแสต่าง ๆ ในโลกปัจจุบันที่เราเกี่ยวข้อง มีหลายอย่างกระแสสำคัญที่ท้าทายปัญญา อย่างยิ่งก็คือ กระแส

ความคิดโดยเฉพาะในช่วงที่เป็นมาจนถึงเวลานี้เรา กำลังมีกระแสความคิดที่ว่า เออ เลิกกันเถอะนะแนวคิดแยกส่วน และชวนกันให้หันมาหา แนวคิดองค์รวมบอกว่า ต้องมองแบบองค์รวม ให้เป็น holism หรือ holistic view แต่เรื่อง holistic view อะไรนี่ก็น่าสังเกตอีกนั่นแหละคงจะต้องคอยติง ๆ กันว่า จะเป็นเรื่องอะไรก็ตามต้องให้ชัดเพราะว่าในการหันมานิยมเรื่ององค์รวมนี่ก็เป็นการที่ว่าเขากำลังจะผละออกไป จากความคิดแยกส่วนแต่ในความคิดแยก ส่วนนั้น มีหลักการสำคัญอย่างหนึ่งคือ การวิเคราะห์การวิเคราะห์ นั้น เป็นการแยกแยะจำแนกออกไปให้เห็นชัดซึ่งในแง่หนึ่งก็เข้าทีอยู่ เพราะว่าการวิเคราะห์ที่แยกแยะทำให้เห็นชัดนั้นก็เป็นเรื่องของปัญญาฉะนั้น อย่าไปเลิกเสียทีเดียว ระวังว่าบางทีเราจะไปสุดโต่งกระแสของโลกนั้น เขามีความโน้มเอียงอย่างหนึ่ง คือ ชอบไปสุดโต่งฝรั่งนี่ก็เถอะ ชอบไปสุดโต่งเมื่อไปสุดทางโน้นแล้วหันกลับมาก็ไปสุดทางนี้พอไปสุด ทางหนึ่งก็ผละ บอกว่าไม่เอาแล้วก็หันกลับเต็มที่ไปอีกทางหนึ่งเมื่อจะเลิกกระแสความ คิดแยกส่วนก็ว่า โอ๊ย ! ที่แล้วมา วิทยาศาสตร์นี่เป็นตัวการทำให้ มนุษย์เรานำพาอารยธรรมไปในแนวทางของความคิดแยกส่วนไม่ดีไม่ถูก ต้องเลิกคิดแยกส่วนต้องหันมาคิดแบบองค์รวม แต่แล้วองค์รวมที่ว่านั้นบางทีก็ไม่ชัด ถ้าเป็นองค์รวมพร่า ๆ มัว ๆ จะยิ่งร้ายใหญ่องค์รวมนี้เมื่อมองให้ตลอด ที่จริงมันอันเดียวกันกับวิเคราะห์หรือแยกแยะในทาง พุทธศาสนาท่านให้ความสำคัญกับเรื่องการวิเคราะห์เรียกว่า วิภัชชะพุทธศาสนามีชื่อหนึ่งว่า วิภัชชวาทแปลว่า หลักการแห่งการจำแนกแยกแยะอย่างในสมัยสังคายนาครั้งที่ ๓ จะสอบพระก็ใช้หลักนี้ว่า พระพุทธเจ้าเป็น วิภัชวาทีถ้าพระองค์ไหนไม่รู้ก็จับสึกเลยหลักการวิเคราะห์นี่เป็นเรื่องสำคัญอย่าด่วนไปดูถูกเดี๋ยวจะบอกว่า ไม่ได้ความแล้ว เราเลิกแล้วความคิดแยกส่วนข้อสำคัญอยู่ที่ว่า

แยกให้มันถูกวิเคราะห์ให้มันชัด ๆ ๆ ๆ ไปเลย อย่าไปอยู่กับชัดเดียวถ้าอยู่กับชัดเดียวก็หมายความว่าแยกแยะกระจายออกไปแล้วฉันก็ดูอยู่กับเรื่องของฉันอันเดียวนี่แหละไม่มองอื่นไหนอีก ก็เลยทำให้ยุ่งถ้าแยกส่วนโดยเห็นความ สัมพันธ์ของทุกองค์ร่วมก็จะเห็นองค์รวมชัดขึ้นมาด้วยใช่ไหม ?ในการวิเคราะห์ที่แท้นั้นจุดสำคัญคือ ต้องไม่ลืมองค์รวมที่เราวิเคราะห์อะไรที่ทำให้ไม่ลืมองค์รวมหรือทำให้องค์รวมไม่หายไปก็คือ ความสัมพันธ์ในเวลาที่วิเคราะห์ออกไปนั้นจะต้องมองความสัมพันธ์ไปด้วยตลอดเวลาพอ วิเคราะห์อันนี้แยกออกไปปั๊บ ก็มองเลยว่าอันนี้มันสัมพันธ์กับอันโน้น ที่อยู่รอบตัวมันอย่างไรถ้าทำอย่างนี้การวิเคราะห์หรือแยกแยะจำแนกแยกส่วนก็ไม่เสียเพราะว่ายิ่งแยกไปก็ยิ่ง เห็นความสัมพันธ์เมื่อยิ่งเห็นความสัมพันธ์ มันก็เห็นองค์รวมถ้าเราแยกแยะให้เห็นความสัมพันธ์ องค์รวมจะไม่หายเลยเพราะฉะนั้นพุทธศาสนาจึง เน้นเรื่องความสัมพันธ์ในอภิธรรม คัมภีร์สุดท้าย ที่เรียกว่าปัฏฐานมี ๖ เล่มทั้งคัมภีร์ว่าด้วยลักษณะแห่งความสัมพันธ์แบบต่าง ๆ ๒๔ แบบสิ่งทั้งหลายเมื่อจำแนกแยกแยะออกไปเราต้องรู้ความสัมพันธ์ถ้าแยกอย่างเดียวมันก็กระจายหายไปแต่ถ้าแยกโดยเห็นความสัมพันธ์ มันก็ไม่แยกกระจัดกระจายเพราะว่าความสัมพันธ์เป็นตัวโยงกันอยู่ แล้วเราก็จะเห็นภาพรวมยิ่งกว่านั้นภาพรวมที่ชัด ย่อมเกิดจากมองเห็นองค์ร่วมชัดทั่วกันเมื่อองค์ร่วมไม่ชัด องค์รวมก็ไม่ชัดเมื่อเห็นความสัมพันธ์ขององค์ร่วมชัดก็คือ การเห็นองค์รวมชัดนั่นเองดังนั้นองค์รวมกับองค์ร่วมนี่ต้องไปด้วยกันปัญญาองค์รวมนั้นเอาอย่างง่าย ๆ ก็คล้ายกับคนขึ้นไปบนอาคารสูงสัก ๗ ชั้นมองลงมา

บนสนามหรือบริเวณมีเนื้อที่สัก ๒ - ๓ ไร่ที่คนทั้งหลายทำกิจกรรมกันอยู่ ก็เห็นชัดว่าแต่ละคนเป็นอย่างไรทำอะไรกับใคร อะไรไปมาถูกทางผิดทางและกิจกรรมทั้งหมดดำเนินไปอย่างไรอย่างที่ทางพระเรียกว่าขึ้นสู่ ปัญญาปราสาทหรือ ปราสาทแห่งปัญญาไม่ใช่หอคอยงาช้างแต่ถ้าแยกเอาออกไปดูเพียงคนหนึ่งสองคนจนเห็นชัดแต่อยู่แค่นั้น หรือไปอยู่ไกลตั้งโยชน์มอง มาเห็นทั้งสนามทั้งบริเวณเหมือนกันแต่ก็เห็นมัว ๆ ไปหมดไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรเวลานี้กำลังจะกลายเป็นว่า หรือบางทีเหมือนกับว่าจะเอาข้างเดียวจะเลิกแยกส่วนแล้วจะเอาองค์รวมพอเอาองค์รวมก็เป็นองค์รวมที่ พร่าที่มัวที่คลุมเครือก็จะไปไม่รอดอีกแต่จะกลายเป็นสุดโต่งคนสมัยก่อนเขาก็องค์รวมมาแล้วบางทีเราก็ไปติเขาว่าเขาองค์รวมแบบพร่า ๆ มัว ๆ จึงเป็นเหตุให้ต้องมาวิเคราะห์แต่พอวิเคราะห์ไป ๆ ก็ลืมตัวเลยแยกส่วนกระจายหายไปในด้านของตน ๆ ก็เลยไม่ได้องค์รวมอีกทีนี้ถ้าจะให้พอดีก็คือ ต้องไปด้วยกันทั้งองค์ร่วมและองค์รวมทั้งแยกทั้งโยง ทั้งวิเคราะห์ทั้งสังเคราะห์ถ้าสังเคราะห์ก็ไปอีกขั้นหนึ่ง หมายความว่าเราเห็นองค์ร่วมและองค์รวมชัดแล้วทีนี้เราจะสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่เราก็ทำได้ เพราะว่าเมื่อเราเห็นองค์ร่วมชัดเราจะจัดสรรจะทำอะไรต่ออะไรมันก็ได้ผลขึ้นมาเป็นอันว่า ไม่เอาทั้งนั้น ทั้งองค์รวมที่พร่ามัวคลุมเครือทั้งแยกส่วนที่กระจัด กระจายแต่เอาแยกส่วน จนเห็นองค์ร่วมแต่ละอย่างปรุโปร่งว่ามันมา ประสานกันเกิดเป็นองค์รวมที่เป็นระบบสัมพันธ์อันชัดเจนอย่างไร

คัดลอก(พิมพ์)ออกมาจากหนังสือ กระแสธรรม กระแสไท หน้า 11-17 โดย...พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 24, 2022, 06:28:48 pm โดย होशདངພວན2017 »
ตั้งมั่น แน่วแน่ แก้ไขทุกสิ่ง