แสงธรรมนำใจ > จิตวิวัฒน์ กระบวนการนิวเอจ นิเวศแนวลึก
นักรบแห่งแสงสว่าง : การรู้เแจ้งในยุคพลังงานใหม่
มดเอ๊กซ:
นักรบแห่งแสงสว่าง
2.1 ผู้สื่อ " ครายออน " ของเมืองไทย
........ ต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2541
สายวันหนึ่งในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ดร. ดรัณ เตชะโสภณวณิช กัลยาณมิตรท่านหนึ่งของผม ซึ่งในปีที่แล้วพาผมไปรู้จักอาจารย์วิรัตน์ โรจนจินดา เพื่อเสาะหาความจริงเกี่ยวกับ หลวงปู่เทพโลกอุดร ดังที่ผมได้นำมาถ่ายทอดแล้วใน " ริ้วรอยเทพยาดา " มาคราวนี้ ด.ร. ดรัณ ได้โทรมาหาผมที่ธรรมศาสตร์ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า ในเมืองไทยเราก็มีคนไทยที่สื่อสารติดต่อกับ " ครายออน " ( KRYON ) ได้เหมือนกัน คนผู้นั้นคือ อาจารย์ปริญญา ตันสกุล ซึ่งเพิ่งเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อ " พฤติกรรมมนุษย์ มหัศจรรย์อำนาจแม่เหล็กโลก กับจิตจักรวาล " ซึ่งมีเนื้อหาชนิดแทบถอดความออกมาจากหนังสือ " KRYON " อันโด่งดังเลยก็ว่าได้
ดร. ดรัณยังบอกผมว่า ท่านได้เจอตัวจริงของอาจารย์ปริญญาแล้ว และได้สนทนากันหลายชั่วโมงจนมั่นใจว่า อาจารย์ปริญญาไม่เคยรู้เรื่อง หรืออ่าน " KRYON " มาก่อนเลย อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาเป็นคนไม่เชื่อเรื่องราวประเภทนี้เลย เห็นว่าคนที่พูดเรื่องนี้เป็นคนเพี้ยนด้วยซ้ำ แต่พอมาเดือนพฤษภาคมของปีนี้ ตัวเขาเองกลับสามารถรับ " คลื่นความคิด " จาก " จิตจักรวาล " ( The Spirit ) ซึ่งเป็นพวกเดียวกับ " ครายออน " ได้ โดยที่ตัวเขาก็นึกไม่ถึงมาก่อน ดร. ดรัณ ได้ย้ำกับผมว่า ผมต้องติดตามสืบหาความจริงในเรื่องนี้ให้ได้ เพราะการปรากฏ ตัวของอาจารย์ปริญญาที่สามารถสื่อกับ " จิตจักรวาล " หรือ " ครายออน " ได้ จะเป็นการพิสูจน์อย่างดียิ่งกว่า สิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมด ในงานเขียนชุดมังกรจักรวาลนั้น มีความเป็นจริงดำรงอยู่ในตัวของมันเองไม่มากก็น้อย
ผมขอสารภาพตามตรงว่า ก่อนที่ผมจะได้รับการติดต่อจาก ดร.ดรัณนั้น ตัวผมมิได้ให้ความสนใจกับหนังสือ " ครายออน " เป็นพิเศษแต่ อย่างใด สาเหตุหนึ่งก็เพราะฉบับที่แปลเป็นภาษาไทยเล่มที่ 1 นั้น แปลได้ต่ำกว่ากว่ามาตรฐานมาก และคนแปลก็หาได้มีความรู้ในศาสตร์ ทางจิตวิญญาณแต่อย่างใด ( ตอนนั้นผมยังไม่มีฉบับภาษาอังกฤษ ) อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะ ก่อนหน้านี้ผมได้อ่านหนังสือประเภท " สื่อคลื่นความคิด " ( Channelling ) ของพวกนิวเอจมาไม่น้อย สำหรับตัวผมแล้ว ข่าวสารที่ได้โดยผ่านการ " สื่อคลื่นความคิด " นั้น ที่สุดยอดที่สุดในสายตาของผมคือ ข่าวสารจาก " ชีพ บาบา " ของบราห์มากุมารี ราชาโยคะ ซึ่งผมได้ทำการสืบสวนไปแล้วใน " คุรุมังกร " จึงยังไม่คิดที่จะติดตามข่าวสารประเภทนี้อีก
แต่คำแนะนำของ ดร.ดรัณ ทำให้ผมฉุกใจ บ่ายวันนั้น ดร.ดรัณ ได้รีบบึ่งรถมาหาผมถึงที่ทำงานแล้วมอบหนังสือของอาจารย์ปริญญา เพื่อให้ผมทำการศึกษาด้วยตนเอง ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะสืบสวนเรื่องนี้หรือไม่ ตกลงผมอ่านหนังสือเล่มนั้นของอาจารย์ปริญญาจบรวด เดียวในคืนนั้นเอง ซึ่งทำให้ผมต้องไปขวนขวายหาชุดหนัวสือ " KRYON " ฉบับภาษาอังกฤษมาอ่านเพิ่มเติม โดยเฉพาะเล่ม 2 " Don' t Think Like a Human ! " ( อย่าคิดแบบจิตมนุษย์ ) กับเล่ม 3 " Alchemy of The Human Spirit " ( ศาสตร์แห่งการแประธาตุด้วย จิตวิญญาณมนุษย์ )
จากการได้ศึกษาเปรียบเทียบงานเขียนชุด " KRYON " กับหนังสือของอาจารย์ปริญญาอย่างละเอียด ทำให้ผมพบว่า เนื้อหาของสองฝ่าย เหมือนกันว่า 90 เปอร์เซ็นต์ มิหนำซ้ำข้อมูลของอาจารย์ปริญญาบางเรื่องละเอียดกว่าด้วย โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า อาจารย์ปริญญา ไม่เคยอ่านหนังสือเหล่านี้มาก่อน และอาจารย์ปริญญาก็ยืนยันกับผมว่า เขาไม่เคยอ่านงานเขียนชุด " KRYON " มาก่อน และแทบไม่อ่าน หนังสือทางด้านจิตเล่มไหนเลย เพราะไม่อยากเกิดอุปทานในขณะที่เขาได้รับ " คลื่นความคิด " จาก " จิตจักรวาล " ที่ส่งมาถึงเขาทุกคืน ในช่วงนี้
ผมได้อ่านเจอในหนังสือ " KRYON " ว่า ในโลกนี้จะมีผู้สื่อคลื่นความคิดจาก " ครายออน " ( หรือ " จิตจักรวาล " ) อยู่ 9 คน กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก คนแรกคือ ลี คาร์รอล ( Lee Carroll ) นักธุรกิจวัยกลางคนผู้ถูกพรหมลิขิตเล่นตลกให้กลายมาเป็น " ผู้สื่อคลื่นความคิด " จาก " ครายออน " เป็นคนแรก ส่วนคนที่สองเท่าที่รับรู้ตอนนี้น่าจะเป็นอาจารย์ปริญญา ตันสกุล อดีตวิทยากร สถาบันพัฒนาบัณฑิตธุรกิจและวิทยากรอำนวยการศูนย์พัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ ผู้ไม่เคยมีภูมิหลังทางด้านจิตศาสตร์มาก่อนเลย แต่ตัว " ครายออน " เองกลับบอกว่า 8 คนที่เหลือนั้นอยู่ใน ประเทศเมกซิโก อินเดีย แอฟริกา รัสเซีย อิสราเอล อเมริกาใต้ จีน และซีเรีย ไม่มีประเทศไทย
ปัญหาที่ต้องขบให้แตกมีอยู่ 2 ประเด็น ประเด็นแรก ข่าวสารที่สื่อเป็น " คลื่นความคิด " ผ่านมายังอาจารย์ปริญญาเป็นภาษาไทย ทำไมถึงบังเอิญไปคล้องจองสอดคล้องกับข่าวสารของ " คราออน " ที่สื่อผ่าน ลี คาร์รอล ได้มากถึงขนาดนี้ เกี่ยวกับประเด็นนี้ผมไม่ติดใจสงสัย กลับรู้สึกว่ามันทำให้ผมสนใจต่อข่าวสารของ "ครายออน " อย่างจริงจังมากกว่าแต่ก่อนมากเลย เพราะฉะนั้นก่อนอื่นเราต้องมีความเข้าใจแบบองค์รวมเสียก่อนว่า ข่าวสารจากจาก " ครายออน " และจาก " จิตจักรวาล " ที่สื่อผ่านอาจารย์ปริญญานั้น โดยภาพรวมแล้วต้องการจะบอกอะไร แก่ชาวโลก ? ถ้าตีประเด็นนี้แตกได้ ถึงค่อยตรวจสอบประเด็นสองต่อไป นั่นคือ ข่าวสารที่สื่อมานี้ เชื่อได้แค่ไหน ? เชื่อได้ทั้งหมดเลย หรือว่าเชื่อได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ประเด็นที่สองนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องยากสำหรับผม
มดเอ๊กซ:
2.2 สื่อสัญญาณสดจาก " จิตจักรวาล " ถึงเหล่า " นักรบแห่งแสงสว่าง "
ผมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับอาจารย์ปริญญาทางโทรศัพท์ เป็นเวลาหลายชั่วโมง ประมาณ 2 ครั้งด้วยกัน ก่อนที่เราจะนัดเจอกัน ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในจังหวัดนครนายก ในงาน " ฤาษีฟอรั่ม 1998 " ตอนบ่ายวันที่ 26 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2541 ผมพาเวทินศิษย์คนหนึ่ง ของผมกับ " หมอกบ " ศิษย์คนที่ 67 ของผม ซึ่งมี " ตาทิพย์ " ไปด้วย โดยผมต้องการให้เวทินเป็นผู้ช่วยผมในการตรวจสอบประเด็นที่สอง ส่วนหมอกบ ผมต้องการให้เขาช่วยเพ่งด้วยตาใน เพื่อรู้ให้ได้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของ " จิตจักรวาล " ที่สื่อคลื่นความคิดผ่านมาให้อาจารย์ ปริญญานั้นคือใครกันแน่ ?
ในระหว่างที่พวกผมกำลังคุยกับ " จิตจักรวาล " ผ่านอาจารย์ปริญญาอยู่นั้น มันเป็นเรื่องแปลกมากที่หมอกบไม่สามารถใช้ตาของเขาเห็น อะไรได้เลย ซึ่งไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะเป็นเช่นนี้ เพราะพวกผมรู้ความสามารถในเรื่องนี้ของหมอกบเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม บรรยากาศ ที่เราคุยซักถาม " จิตจักรวาล " นั้น เป็นบรรยากาศที่เป็นกันเองมาก ราวกับเพื่อนกำลังคุยกับเพื่อนอยู่ หาได้มีบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ เหมือนตอนที่พวกผมสนทนาธรรมกับ " หลวงปู่ " แต่อย่างใดเลย " จิตจักรวาล " ยังบอกผมว่า ผมเคยเป็นหลานศิษย์ของปิธากอรัส ( Pythagoras ) นักปราชญ์แนวเร้นลับ ผู้ยิ่งใหญ่ชาวกรีกในสมัยโบราณมาก่อน จึงใฝ่หาความรู้นัก
คืนนั้นเอง พวกผมและผู้เข้าร่วมงานฤาษีฟอรั่มจำนวนหนึ่งได้นั่งสมาธิร่วมกันเป็นวงกลม โดยผมเป็นคนคุมกรรมฐาน ผมได้ใช้วิชาสมาธิ ของหลวงปู่ฤาษีเวชยันต์ที่ร่ำเรียนมาจากท่านอาจารย์แอ๊ด ทำให้เกิดการหมุนวนแห่งพลังจิตรวมหมู่ของกลุ่ม แล้วส่งพลังด้านบวกของกลุ่ม ที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธิแบบนี้ไปให้อาจารย์ปริญญาที่นั่งหลับตาอยู่ข้าง ๆ เพื่อทำการ " สื่อสัญญาณสด " ( Live Channel ) กับ " จิตจักรวาล " ถ่ายทอดข่าวสารแบบองค์รวมมาให้แก่พวกเราผู้เป็น " นักรบแห่งแสงสว่าง "
มดเอ๊กซ:
สัญญาณสด ( The Live Channel ) จาก " จิตจักรวาล "
ถึง
ดร.สุวินัย ภรณวลัย และเหล่า " นักรบแห่งแสงสสว่าง " ผ่านอาจารย์ปริญญา ตันสกุล
ในคืนวันที่ 26 เดือนธันวาคม ค.ศ.1998 ( พ.ศ. 2541 )
ณ อุทยานธารทิพย์ สีดารีสอร์ต นครนายก ในงานชุมนุมนักสมาธิธรรมและพลังจิตแห่งยุคสมัย " ฤาษีฟอรั่ม 1998 " จัดโดย สถาบันพลังจิตและจักรวาลร่วมกับมูลนิธิส่งเสริมภูมิปัญญามนุษยชาติ
ดร.สุวินัย : " จิตจักรวาล ! ข้าและพวกข้าคือนักรบแห่งแสงสว่าง ! ข้ารู้ดีว่า ท่านรู้จักตัวตนที่แท้จริงของข้าและพวกข้าดี ข้าอยากได้รับคำแนะนำจากท่าน จิตจักรวาล เกี่ยวกับ วิถีของนักรบแห่งแสงสว่าง ขอให้ท่านจงชี้แนะแก่พวกข้าด้วย "
จิตจักรวาล : ... ข่าวสารจาก " จิตจักรวาล " ที่นำมาฝากแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อที่จะทำตนให้เป็นนักรบแห่งแสงสว่าง บนเส้นทางแห่งการรู้แจ้ง ที่ถูกต้อง สิ่งที่ท่านควรจะทราบก็คือ การเดินทางไปสู่แสงสว่างของพวกท่านทั้งหลายที่ผ่านมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตามพวกท่านได้ใช้สติปัญญาในการคิด ในการรู้ จากสมองซีกซ้ายของท่านเป็นหลัก
ท่านต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ร่างกายของท่านเป็นผลกำเนิดของรูปธรรมบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ข้างใน ในยุคพลังงานเก่าที่ผ่านมา และจะสิ้นสุดในปี ค.ศ. 2002 ( พ.ศ. 2545 ) อยากจะฝากให้ท่านทั้งหลายที่กำลังเป็นนักรบแห่งแสงสว่างที่ยังขาดสมดุล และกำลังแสวงหาอยู่นั้น บ่อยครั้งและบางครั้งพวกท่านได้ใช้สติปัญญาและสมาธิของท่านโดยการมองในสิ่งที่เป็นรูปธรรม มองในสิ่งที่เป็นตัวตน พวกท่านมีเป้าหมายที่ชัดเจนและถูกต้องแล้วที่จะไปหาแสงสว่างตรงนั้น แต่บางครั้งพวกท่านเองอาจจะได้แนวทาง หรือแนวคิดซึ่งเกิดจากความเชื่อที่ผิดพลาด เกิดจากความศรัทธาที่ผิดพลาด บางครั้งหลายคนทีเดียวที่ใช้เงื่อนไขจากสิ่งแวดล้อม จากบุคคลอื่นจากอัตตาของตัวเองมาเป็นแนวทางในการคิด แนวทางในการตัดสินใจ โดยขาดการใช้สติปัญญาที่มีพลังอำนาจที่อยู่ในตัวเรา
ท่านทั้งหลายครับ ท่านต้องทราบว่า ในเครื่องยนต์แห่งกรรมของเรานั้น จักรวาลได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาเป็นกระบวนการในการสร้าง เพื่อจะใช้กระบวนการในการสร้างอันนี้ สร้างการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งในจักรวาล ท่านจะต้องหาคำตอบให้แก่ตนเองให้ได้เท่านั้น นั่นคือ หน้าที่ของนักรบแห่งแสงสว่าง คำตอบที่ท่านต้องหาให้ได้ก็คือ ค้นหาให้พบว่าตัวท่านเป็นใคร ? ความมี 2 ภาคในตนเองของมนุษย์อย่าง ท่านนั้น มันหมายถึงอย่างไร ? และหลักสัจธรรมของศาสนาทุกศาสนาที่มีหลายศาสนาในโลกของเรานั้นเขามีไว้เพื่ออะไร ? และถ้าหากว่า ท่านเป็นนักรบแห่งแสงสว่าง แสงสว่างที่ท่านแสวงหานั้นมันคือสีใด ? อะไรเรียกว่าแสงสว่าง ?
ท่านที่รักครับ แสงสว่างนั้น คือแสงสว่างทางปัญญา ถ้าท่านต้องการศึกษาแสงสว่างในความคิดแบบจิตมนุษย์ มนุษย์ทั่ว ๆ ไปมักจะมองหา ปรากฏการณ์ของแสงสว่าง และบอกว่านั่นคือการศึกษาเรื่องของแสง แต่มนุษย์ลืมคิดไปว่า เรายังมองข้ามสิ่งที่เป็นประโยชน์ และเป็นแก่นสารที่แท้จริงของแสงสว่างตรงนั้น นั่นก็คือ คุณสมบัติของแสงสว่าง ถ้าหากว่าท่านมองที่ปรากฏการณ์ของแสง ท่านจะพบ ความเป็นตัวตนอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย และนั่นเท่ากับว่าท่านกำลังหลงทาง ถ้าท่านต้องการแสวงหาสัจธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจะต้องแสวงหาแก่นแท้ของธรรมะที่เกิดจากปัญญาซึ่งเป็นปัญญาตัวที่สองของสมองซีกขวา
สมองท่านถูกแบ่งออกเป็นสองซีก ซีกซ้ายจะเกิดขึ้นก่อนพัฒนาก่อน เมื่อตอนท่านอายุครบยี่สิบปีบนโลก สมองซีกขวาของท่าน ถึงจะเชื่อมต่อกับสมองซีกซ้ายได้สำเร็จ ถ้าพูดกันง่าย ๆ ก็หมายความว่า สมองซีกขวาถูกสร้างขึ้นมาทีหลังเนื่องจากว่าต้องการจะสร้าง เป็นกลไกอย่างหนึ่งเอาไว้ให้มนุษย์เราทุกคนผ่านบททดสอบ
ทำไม เราถึงเอาความจริงอันนี้มาบอก ? ก็เพราะพวกท่านคือ นักรบแห่งแสงสว่าง และบัดนี้ โลกยุคพลังงานเก่า กำลังจะเปลี่ยนไปสู่ โลกยุคพลังงานใหม่ ซึ่งมนุษย์เราทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ( และผู้ที่กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้ ) และเพื่อนสรรพสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในโลก จะไม่ได้อยู่ในบทเรียนของโลกหรืออยู่ในบทเรียนของกรรมที่เราสร้างไว้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแต่เพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่มนุษย์เรากำลังจะเข้าสู่บทเรียนใหม่ มันจะเป็นบทเรียนที่ท้าทายมนุษย์ยุคใหม่อย่างมาก ยุคใหม่นี้ภาษาโลกคือ ยุคนิวเอจ ( New Age )
ถ้าไม่อธิบายตรงนี้ หลายคนอาจจะไม่เข้าใจ โลกของเราในอดีตที่ผ่านมานั้น ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลก และคลื่นความถี่ของสนามแม่เหล็กโลก เป็นสิ่งสำคัญที่มนุษย์เรา ถูกจักรวาลสร้างให้มาเกิดบนโลก เพื่อจะให้มาช่วยทำหน้าที่ทางด้านพลังงานให้แก่โลก นั่นคือหน้าที่หลักที่เราจะเรียกว่า " พันธสัญญา " มนุษย์เราทุกคนเกิดมาชาติแรกในการเป็นมนุษย์ในวัฏจักรชีวิตแรก ได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่นี้ร่วมกันกับโลก
โลกเป็นระบบเดียวกันกับมนุษย์ มนุษย์เป็นระบบเดียวกันกับโลก พวกเราทุกคนจะแยกตัวเองออกจากโลกไม่ได้ มนุษย์เราเกิดมามีจิตอยู่ 2 จิต จิตตัวแรกเป็นจิตที่มนุษย์เราเคยชินเคยใช้มาโดยระบบอัตโนมัติ เป็นจิตที่เกิดจากสมองซีกซ้ายที่ใช้ในการบริหารสมองซีกซ้าย และจิตตัวที่สองจะใช้ในการช่วยบริหารสมองซีกขวา สติปัญญาที่เกิดขึ้นจากสมองซีกซ้ายจะเป็นสติปัญญาที่เกิดจากสมาธิในระดับปกติ สมองซีกซ้ายจะเป็นด่านแรกที่มนุษย์เราจะต้องฝ่านด่านให้ได้ เป็นสมองที่สร้าง " ขยะ " ขึ้นมาในโลกมากมาย สร้างขึ้นมาในชีวิตเรา ในสังคมของเรา จนกระทั่งทุกวันนี้ทั้งโลกยังไม่รู้จะหาที่กลบฝังขยะที่เกิดจากสมองซีกซ้ายของเราได้หมดหรือไม่
สมองซีกซ้ายของคนเรานั้นถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นด่านแรกหลังจากที่มนุษย์เราบรรลุวุฒิภาวะทางจิตวิญญาณถึงอายุยี่สิบ สมองซีกขวากับ ซีกซ้ายจะสามารถทำหน้าที่ได้ทัดเทียมกัน มนุษย์เราถูกหลอกให้เข้าใจว่า สมองซีกซ้ายเป็นสมองที่มีปัญญาเพียงซีกเดียวเท่านั้น ท่านต้อง เข้าใจว่าจิตที่จะบริหารสมองของท่านทั้งหลายนั้นจะมีอยู่ 2 ภาค สิ่งที่ท่านได้ยินพระเทศน์หรือสอนเป็นประจำว่า " จิตในจิต " คำว่าจิตในจิตนี้ ก็หมายถึง จิตอีกจิตหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน สมองซีกซ้ายเป็นสมองที่ถูกใช้งานมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนโตเป็นผู้ใหญ่ หลายคนเกิดแล้วตายไป หมดวัฏจักรในชีวิตนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่า จิตที่อยู่ในจิตนั้นคืออะไร ?
ท่านที่รักครับ พวกท่านเป็นผู้ที่ได้ใช้สมองซีกขวากันเป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจ เหตุผลที่สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติธรรมะ บัญญัติศีลขึ้นมา ซึ่งพวกท่านผู้เป็นนักรบแห่งแสงสว่างที่นั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้ยึดถือปฏิบัติ กันมาตลอดนั้น มันเป็นกลไกหนึ่งที่เราอยากจะเปิดเผยมิติให้ท่านทั้งหลายได้ทราบกันในวันนี้ เพราะต่อไปนี้ทุกคนจะต้องเข้าใจ มันจะไม่ถูกปิดบังเหมือนโลกยุคพลังงานเก่าอีกต่อไปแล้ว จิตจักรวาลจึงอยากจะเผยแพร่ตรงนี้ให้ท่านได้เข้าใจ มีสติทางวิญญาณขึ้นสักนิด ว่าตรงนั้นมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์เราเคยชินกับสมองซีกซ้ายเป็นหลัก เพื่อให้กงล้อของอารมณ์ของมนุษย์เป็นตัวการที่จะทำให้มนุษย์เรา สอบบทเรียนผ่านไปได้ยาก
การที่มนุษย์เราถูกสร้างขึ้นมาเกิดบนโลก เป็นอารมณ์ขันอย่างหนึ่งของจักรวาล แต่ไม่ใช่อารมณ์ขันที่มาให้ทุกคนมีความสุขกับครอบครัว มีความสุขกับชีวิต มีความสุขกับการทำมาหากิน และมีความทุกข์กับสองอย่าง คือมีความทุกข์กับเวลาที่เป็นเงื่อนไข มีความทุกข์กับ ภาระหน้าที่ที่ตนเองต้องปฏิบัติจนเกิดเป็นความวิตกกังวล หรือความเครียดอันเกิดจากการใช้สมองซีกซ้ายแต่เพียงด้านเดียว ทั้ง ๆ ที่สมอง ซีกขวาสามารถจะใช้ได้แล้วถ้าท่านมีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป เพียงแต่ท่านต้องแสวงหามันให้พบ สมองซีกซ้ายกับซีกขวาถูกสร้างขึ้นมาไว้ เพื่อทำหน้าที่ร่วมกัน สมองซีกซ้ายเอาไว้ใช้วิเคราะห์ทุกสิ่งที่เป็นผลที่ท่านคิดรู้ได้ในภาวะปกติ แต่สมองซีกขวานั้นมันจะทำให้ตัวท่าน มีพลังอำนาจสูงขึ้น ถ้าท่านสามารถค้นพบมัน
การปฏิบัติธรรมที่ศาสนาต่าง ๆ ในโลกนี้ได้เผยแพร่เอาไว้นั้น มันเป็นการฝึกตัวท่านในการทำให้สมองซีกซ้ายไร้สำนึกและทำให้ สมองซีกขวามีโอกาสสำแดงพลังอำนาจออกมา หลายท่านในที่นี้มีความสามารถในการปฏิบัติจิตให้เป็นสมาธิ ถึงแม้จิตที่เป็นสมาธิของ ท่านนั้นจะเป็นวิธีการปฏิบัติในโลกยุคพลังงานเก่าก็ตาม แต่ต่อไปในปี ค.ศ. 2003 ( พ.ศ. 2546 ) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม เป็นต้นไป ถ้าหากว่าอำนาจแม่เหล็กโลกในขณะนี้ที่กำลังถูกปรับเปลี่ยนอย่างไม่คงที่นั้นมันทำสำเร็จทางเทคนิคแล้ว คนที่จะฝึกใหม่ไม่จำเป็นจะต้อง ใช้วิธีการทำสมาธิแบบเดิมให้เสียเวลา ส่วนคนที่ฝึกแล้วก็แล้วกันไปเถิด ส่วนผู้ที่ฝึกใหม่เขาจะสามารถฝึกสมาธิพลังงานใหม่ได้แม้ใน ขณะเดิน ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนเขาจะสามารถทำสมาธิได้ทั้งสิ้น และจะยิ่งได้ผลมากถ้าหากทำสมาธิแบบรวมหมู่ เพราะมันจะช่วย ผู้มีพลังจิตที่อ่อนไหวยังไม่เที่ยงให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้ และสามารถทำต่อไปได้เรื่อย ๆ
มนุษย์ทุกคนสามารถจะมีสมาธิสูงมาก และจะสามารถใช้สายธารแห่งการคิดรู้เพื่อทำหน้าที่ที่เราจะบอกต่อไปนี้ได้ ทั้งหมดนั้นอยู่ใน กระบวนการของสมองซีกขวาในภาวะที่สมองซีกซ้ายไร้สำนึกทั้งสิ้น สมองซีกขวาเมื่อเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น มันจะให้คลื่นพลังงาน แม่เหล็กไฟฟ้าออกมา และจะพุ่งผ่าน " ตาที่สาม " ที่เราเรียกว่า " ต่อมไพนีล " ที่อยู่บริเวณหว่างคิ้วของท่าน มันจะไม่แผ่ออกมาเป็น วงกลมที่สมบูรณ์เหมือนกับกระบวนการบิ๊กแบง แต่มันจะเป็นลำแสงที่พุ่งผ่านไปตามแนวของเส้นแรงแม่เหล็กโลก ถ้าท่านจะตะโกนให้ จักรวาลได้ยิน ท่านสามารถจะตะโกนด้วยจิตของท่านส่งคลื่นพลังงานนั้นออกมา จะร้องขอสิ่งใด ๆ ต่อจักรวาล ท่านก็สามารถ จะกระทำได้ ขึ้นอยู่กับพลังอำนาจจิตของท่านว่าจะมีสมาธิเที่ยงหรือไม่เที่ยงเพียงไร และขึ้นอยู่กับว่าพลังงานของจิตวิญญาณที่ท่านนำมา จากจักรวาลนั้นอยู่ในกายท่าน และมีการสะสมเพิ่มเติมหรือไม่ ท่านนำไปใช้อย่างฟุ่มเฟือยหรือไม่ ถ้าใช้แล้วไม่เติมมันก็หมดนะ หากท่านไม่ใช้มันเลยแต่สร้างใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ท่านจะมีพลังอำนาจที่สูงขึ้น
ในทางจักรวาลบอกว่า ถ้ามนุษย์เราต้องการมีพลังอำนาจมากขึ้น มนุษย์เราไม่ต้องแสวงหาสิ่งใด จงหาจิตสำนึกโดยเฉพาะจิตภาคสองของ ตัวเราเองให้พบว่า สมองซีกขวาของเรานั้นเป็นเครื่องยนต์แห่งกรรม มันได้ถูกสร้างขึ้นมาเอาไว้ให้อย่างพร้อมสมบูรณ์แล้ว แต่ท่านจะต้อง รู้จักใช้มันให้เป็น สำหรับผู้ที่ฝึกสมาธิได้ดีในขณะนี้แล้ว จงสบายใจได้ว่า ท่านได้ค้นพบว่าการทำงานของสมองซีกขวานั้นทำอย่างไร แต่จิตจักรวาลอยากจะแนะเน้นท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านต้องการจะสื่อกับจักรวาลได้ในโลกยุคพลังงานใหม่หรือนิวเอจ จากปี ค.ศ. 2003 จนถึงอีกห้าร้อยล้านปีข้างหน้า ท่านจะค้นพบตัวเองว่า สามารถจะคุยกับรูปธรรมจากต่างดาว หรือรูปธรรมจากต่างแกแล็กซี่ เพราะภาษา ที่เกิดขึ้นจากการคิดซึ่งเป็นคุณสมบัติของคลื่นพลังงานที่แผ่มาจากต่อมไพนีลที่พุ่งออกไปตามแนวเส้นแรงแม่เหล็กโลก คลื่นพลังงานของ ความคิดสั่นสะเทือนในสมองของท่านมันจะกลายเป็นคุณสมบัติของพลังงานที่ปนออกมากับคลื่นพลังงานที่แผ่ผ่านออกมาจากร่างกายไป ตามแนวเส้นแรงแม่เหล็กโลก คลื่นความคิดใด ๆ ก็ตามในสนามพลังงานถ้าเป็นความถี่เดียวกัน มันจะมีค่า พาย ( ไพ ) เป็นค่าคงที่เฉพาะตัว ของมันอย่างเดียวกัน
เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถวัดคลื่นความคิดของเราได้ไม่ว่า เขาจะอยู่ที่ดาวดวงใดก็ตาม เขาจะสามารถแปลความหมายคำพูดของท่านได้ ด้วยการสัมผัสคุณสมบัติของคลื่นที่ติดไปกับคลื่นพลังงานที่ท่านส่งออกไปได้อย่างสบาย ๆ เพียงแต่ว่า เครื่องส่ง กับ เครื่องรับ นั้นจะต้องสมดุลกัน จะต้องเป็นคลื่นชนิดเดียวกันเท่านั้น ท่านสามารถทำได้อย่างมีทักษะมากขึ้นแน่นอน ถ้าท่านทำกายของท่าน ให้บริสุทธิ์ ทำจิตของท่านให้บริสุทธิ์ คิดดี พูดดี แล้วก็อย่าไปเน้นที่ " ตัวตน " อย่าไปยึดที่ " ตัวตน "
คำว่า " ตัวตน " ในที่นี้ มนุษย์เราโดยเฉพาะมนุษย์โลกยุคหลัง ๆ นี้หลงทางกันมาก เวลาเราปฏิบัติสมาธิ เรามักจะพยายามไป มองหาแสงสว่าง แสงสีต่าง ๆ บางครั้งเราไปฝักใฝ่กับศาสตร์บางศาสตร์โดยที่ไม่รู้ว่าศาสตร์นั้นมีวัตถุประสงค์ใด สิ่งเหล่านี้จะทำให้ ตัวท่านเองมีจิตสับสน จิตวิญญาณของตัวท่านที่อยู่ในกายก็จะพลอยสับสนไปด้วย ทำให้พลังต่าง ๆ ของท่านถดถอยลง ท่านจึงค้นพบ พลังอำนาจในตนเองของท่านไม่พบ เพราะฉะนั้นจงอย่าใช้พลังจิตวิญญาณของท่านอย่างฟุ่มเฟือย สิ่งที่ท่านพึงกระทำแต่เพียงอย่างเดียวคือ หาความเป็นตนเองให้พบ และเมื่อพบแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยให้ใครรู้ ให้ท่านปฏิบัติต่อไปเรื่อย ๆ เพราะเส้นทางแห่งการรู้แจ้งนั้น ยาวไกลนัก วัฏจักรชีวิตของมนุษย์เรานั้นคือ ทุกคนได้สร้าง " พันธกรรม " ทับซ้อน " พันธสัญญา " ขึ้นมามากมาย จนไม่รู้ว่าอีกกี่วัฏจักร ชีวิตถึงจะยุติและสิ้นสุดลงได้
มดเอ๊กซ:
คงเข้าใจแล้วนะ ถ้าหากมีคนนั่งสมาธิรวมหมู่กันหนึ่งร้อยคนและทุกคนปล่อยพลังงานด้านบวกออกมา ก็จะเท่ากับหนึ่งร้อยยกกำลังสอง ( หรือหนึ่งหมื่น ) คูณด้วยผลรวมของพลังงานจิตสำนึกด้านบวกที่สั่นสะเทือนและปลดปล่อยออกมาของแต่ละคน ... ในวันที่ 16 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2535 ( ค.ศ.1992 ) " จิตจักรวาล " และบรรดารูปธรรมชั้นสูงในจักรวาลได้ทำการวัดค่าพลังงานของโลก ก็เลยตกใจว่า ทำไมมนุษย์โลกถึงก้าวหน้าไปไกลขนาดนี้ มีมนุษย์อยู่ 144 , 000 คน สามารถจะบรรลุ " การรู้แจ้ง " ในขณะที่ยังเป็นมนุษย์ เขาอาสาช่วย ค้ำจุนความถี่ของสนามแม่เหล็กโลก และอาสาในการค้ำจุนพลังงาน ทำให้โลกมีแรงเหวี่ยงรอบตัวเองที่คงที่ ไม่ต้องกลัวเหมือน นักวิทยาศาสตร์ชาวโลกที่กล่าวว่า แกนของโลกจะพลิกคว่ำหงาย อะไรเหล่านั้น
มีมนุษย์อยู่ 144 , 000 คน ที่ทุกวันนี้ก็ยังคงดำรงชีวิตอยู่เป็นผู้บรรลุการรู้แจ้ง มีจิตสำนึกที่สั่นสะเทือนด้านบวกอย่างรุนแรง มีพลังงาน ความรักที่สามารถสั่นสะเทือนไปได้ทั้งจักรวาลเลยทีเดียวเป็นตัวแทนของพวกเราทุกคน ... ที่ผ่านมามีรูปธรรมชั้นสูงจากดวงดาวหลายดวง ที่ใกล้ชิดกับพวกเราชาวโลกมาโดยตลอด ตัวอย่างเช่น กลุ่มดาวเพลอาเดียนส์ ( Pleiadians ) หรือกลุ่มดาวลูกไก่ หรือ " ดาว 7 พี่น้อง " ในภาษาอังกฤษ กลุ่มรูปธรรมในดวงดาวนี้ เป็นผู้ที่บรรลุความรู้แจ้งไปแล้วสองแสนห้าหมื่นกว่าปี แต่ขณะนี้พวกเขายังเป็นห่วงมนุษย์ เราอยู่ จึงคอยเข้ามาช่วยเหลือมนุษย์บนโลกมาโดยตลอด แม้ทุกวันนี้พวกเขาก็ยังเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ไม่ได้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม พวกเขาคอยดู " ผลผลิต " ของตน เพราะพวกเขาคือผู้ให้กำเนิดวิวัฒนาการทางพันธุกรรมของมนุษย์ โดยทำให้มนุษย์เกิดเมล็ดพันธุ์ใหม่ ที่มีโครงสร้างทางชีวภาพเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไกลจากความเป็นสัตว์ได้ชัดเจนขึ้น พวกเขาเป็นบรรพบุรุษของร่างกายมนุษย์ที่แท้จริง เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้สร้างเส้นโยเกลียวแม่เหล็ก 12 แท่งต่อเซลล์ในนิวคลิโอไทด์ในร่างกายมนุษย์ เพื่อทำให้เกิดความสัมพันธ์กับ จักรวาลที่ลงตัวยิ่งขึ้นกว่าความเป็นสัตว์เดรัจฉานซึ่งจิตสำนึกของมันไม่อาจให้พลังอะไรแก่โลกได้ ไม่อาจช่วยเหลืออะไรแก่จักรวาลได้ ยกเว้นน้ำหนักจิตวิญญาณของมันเท่านั้นที่เป็นตัวสร้างความสมดุลให้กับโลก
ทุกอย่างจะเสียสมดุลไม่ได้ คนที่เกิดมาเป็นบ้า เป็นใบ้ ขาดสติ คนพวกนั้นก้มีความหมายต่อพวกเราที่มีสติปัญญา จงให้ความเมตตาเขา เพราะเขาเป็นเหมือนกับวัตถุล่องลอยเพื่อทำให้น้ำหนักมวลของเขารวมกับของพวกเราแล้วสมดุล ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะเสียศูนย์ ... ทีนี้ขอพูดต่อจากที่ค้างไว้เมื่อครู่ว่า จิตจักรวาลคืออะไร ? เนื่องจากมีหลายคนในที่นี้ส่งคลื่นความคิดถามขึ้นมาอีก
" จิตจักรวาล " ก็คือตัวตนอันสูงส่งของพวกเราทุกคน ที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ( หรือกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ ) ทุกคนจะมีจิตจักรวาลหนึ่งดวง ทั้งสิ้นก่อนที่จะมาเกิดเป็นรูปธรรมมนุษย์บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ซึ่งเรียกกันว่า " ดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี " เพราะเป็นที่ที่คนอยาก จะเป็นคนดีเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นคนชั่วเมื่อไหร่ก็ได้ ขณะที่บนดาวดวงอื่นไม่ใช่อย่างนี้ ... " จิตจักรวาล " เกิดจากคลื่นความถี่หลาย ๆ ความถี่มารวมกัน เหมือนกับ " น้ำ " ที่เกิดจากการรวมตัวกันของธาตุไฮโดรเจนสองตัวมารวมกับธาตุออกซิเจนหนึ่งตัว ถ้าหากมนุษย์เราไม่ประหลาดใจกับการเกิดขึ้นของ " น้ำ " ก็จงอย่าประหลาดใจกับการเกิดขึ้นของ " จิตจักรวาล " ซึ่งมีความสามารถในการคิดรู้ได้ทุกสรรพสิ่ง
นักรบแห่งแสงสว่างทั้งหลาย ! " จิตจักรวาล " ทุกดวงที่อยู่ดำรงคุณสมบัติในสนามพลังงานจักรวาล ไม่ใช่จิตจักรวาลของตัวท่าน จิตจักรวาลของตัวท่านถูกยึดรั้งเอาไว้อยู่ที่วิหารแห่งหนึ่งลึกไปใต้พื้นพิภพ ประมาณ 500 เมตร อยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรในประเทศที่ รุ่งเรืองด้วยศาสนา ที่นั่นถูกยึดไว้ด้วยพลังงานค่อนข้างสูงมาก เหตุที่ต้องยึดไว้ก็เพราะว่า " จิตจักรวาล " เป็นคลื่นพลังงานที่ต้องมีพลังงาน ที่เข้มข้นกว่าห่อหุ้มรูปธรรมตนเองเอาไว้ ไม่เช่นนั้นจะแตกกระจายสลายตัวจนไร้คุณสมบัติของความเป็น " จิตจักรวาล " จิตจักรวาลก็เลย จำเป็นต้องเหนี่ยวรั้งสภาวะจิตตนเองเอาไว้ เพราะว่าได้แบ่งพลังงานส่วนหนึ่งออกมาเป็นส่วนที่เราเรียกว่า " จิตวิญญาณ " เป็นมวลสาร ระดับปรมาณูแล้วเข้ามาปฏิสนธิในครรภ์มารดา
" จิตจักรวาล " จึงเป็นตัวตนแก่นแท้ของมนุษย์อยู่ในกายของเรา หลายคนเข้าใจว่านี่คือ ตัวกู-ของกู จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องน่าขำสำหรับ จักรวาลมากที่ปิดมิติไว้ จนกระทั่งมนุษย์เราถูกหลอกและหลงตนเองได้ขนาดนี้ กายของมนุษย์ที่อยู่ข้างนอกมันเป็นเปลือกของรูปธรรมที่ ซ่อนเร้นบางสิ่งที่มีความหมายกว่าเอาไว้ข้างในเสมอ ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลจะเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นถ้ามนุษย์เราเข้าใจตัวตนแก่นแท้ ที่แท้จริงที่อยู่ข้างใน นั่นเท่ากับว่ามนุษย์เราเริ่มรู้จักภาคแรกของตัวเองแล้ว ไม่ใช่แค่รู้จักตัวเองที่เป็นเปลือกนอก ก็คือ " เครื่องยนต์แห่งกรรม " ตัวนี้ และภาคที่สองก็คือความเป็น " จิตจักรวาล "
ในใจกลางของ " จิตจักรวาล " เกิดจากคลื่นความถี่หลาย ๆ ความถี่ มีการสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ละเอียดมาก เล็กมาก เมื่อมีการสั่นสะเทือนตลอดเวลาก็เลยมีพลังงานแห่งการคิดรู้อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ชั้นนอกของ " จิตจักรวาล " ยังถูกห่อหุ้มไว้ด้วย พลังงานที่เข้มข้นกว่าเป็นส่วนที่เรียกว่า " จิตวิญญาณ " นั่นคือเปลือกชั้นที่สอง ถัดออกมาภายนอกก็จะมีปรมาณูละเอียดเหมือนกัน แต่เข้มข้นกว่า ภาษาจักรวาลเรียกว่า " เมอร์คาบาร์ " ( Merkabar : แปลตามตัวว่า พาหนะของพระจิต ) เป็นเปลือกชั้นที่สาม ทั้งสามส่วน นี้ร้อยเรียงรัดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่ด้วยความเป็นหนึ่งเดียว เวลาหมุนตังก็หมุนไปด้วยกัน เวลาสั่นสะเทือนก็สั่นไไปพร้อมกัน
" จิตจักรวาล " มีอำนาจสูงส่งได้ เป็นเพราะว่า หนึ่ง จิตสั่นสะเทือนตลอดเวลา สอง จิตวิญญาณ และเมอร์คาบาร์จะต้องสั่นสะเทือน ไปพร้อมกันและกันด้วยพลังงานแห่งความรัก สาม ทั้งสามอย่างนี้จะต้องหมุนไปด้วยกัน หลายคนเวลาถามถึงจิตจักรวาลและจิตวิญญาณ มักถามว่ามันจะมีรูปทรงหรือ ? มันจะมีตัวตนหรือ ? ในทางโลกมนุษย์นั้น จิตวิญญาณถูกปิดมิติไว้ ทำให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเรารับรู้ ได้แต่สิ่งที่เป็นตัวตนที่คงที่ ที่เที่ยงแท้ แต่ถ้าเป็นรูปธรรมที่เป็นพลังงานแล้ว จักรวาลถือว่ามีรูปธรรมทั้งสิ้น ไม่มีคำว่านามธรรมเหมือน มนุษย์โลก คำว่านามธรรม มนุษย์เราใช้คำพูดตั้งขึ้นมาเพื่อจะแบ่งแยกระหว่างสิ่งที่เห็นคงที่กับสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นเอง
แต่ในทางพลังงานของจักรวาลนั้นเป็นรูปธรรมเสมอ เพียงแต่ว่ารูปธรรมของจิตจักรวาลนั้นมันจะไม่คงที่ แต่ถ้าเป็นรูปธรรมที่คงที่ซึ่งเป็น รูปทรงเรขาคณิตที่แท้จริง " จิตจักรวาล " อยากจะบอกท่านทั้งหลายว่า จิตจักรวาลและจิตวิญญาณของตัวท่านเองหรือของใครก็ตามจะมี รูปทรงเป็นสิบเอ็ดเหลี่ยม แต่ที่เราเห็นเป็นดวง ๆ กลม ๆ นั้น เนื่องจากจิตวิญญาณและจิตจักรวาลทุกดวงจะต้องหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา เพื่อรักษาสมดุลของพลังงานหรือของระบบตัวเองเอาไว้ หยุดหมุนเมื่อไหร่เป็นอันสลายทันที จะมีแต่พลังแต่ไร้อำนาจ เพราะฉะนั้น ความสมดุลของพลังงานจะต้องมี 2 ตัว คือ " พลัง " กับ " อำนาจ " ถ้ามีพลังแต่ไร้อำนาจก็ถือว่า ไม่บรรลุไม่ถึงที่สุด มีแต่อำนาจแต่ขาด พลังก็ถือว่าไม่สุดเช่นกัน จะเป็นนักรบแห่งแสงสว่างไม่ได้ มนุษย์ก็เช่นกัน ต้องเลียนแบบตรงนี้ทำให้ได้หาพลังและอำนาจในตัวเองให้พบ มนุษย์เราจึงต้องมีการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกตลอดเวลา จะนั่งง่วง เหงา หาว นอน เกียจคร้าน ไม่ขยัน ไม่เคลื่อนไหวก็ไม่มีวันสำเร็จ ได้แต่คิดแต่ไม่ลงมือทำ ไม่เคลื่อนไหวก็ไม่ประสบความสำเร็จอีก " จิตจักรวาล " ก็เช่นกัน เวลาจิตจักรวาลสั่นสะเทือนมันจะเปล่งแสงออก มาเป็นตัวแทนของพลังงาน เวลาจิตวิญญาณและเมอร์คาบาร์ที่เป็นเปลือกนอกเกิดการสั่นสะเทือน มันจะเกิดเป็นโทนเสียง แต่เป็นระดับคลื่นความถี่ที่หูมนุษย์ไม่อาจจะได้ยิน ไม่สามารถจะวัดค่าได้ ทั้งหมดนี้คือโครงสร้างคร่าว ๆ ที่ มนุษย์ยุคพลังงานเก่า ซึ่งกำลังจะก้าวสู่ยุคพลังงานใหม่ที่เป็น นักรบแห่งแสงสว่าง ทุกคนซึ่งเป็นตัวแทนแห่งมนุษยชาติทุก ๆ คนที่อยู่ในซีกโลก ด้านตะวันออกพึงทราบและพึงเข้าใจ
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่โลกยุคพลังงานเก่าถูกปิดมิติเอาไว้ พวกท่านจึงไม่รู้ บางคนศึกษาเรื่องกรรม แต่ไม่รู้ว่ากรรมคืออะไร หลายคนส่งคลื่น ความคิดขึ้นมาถามว่า แล้วบางคนที่พยายามปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปสู่เส้นทางแห่งการรู้แจ้งได้ แต่ทำไมถึงบรรลุการรู้แจ้งไม่ได้ ? " จิตจักรวาล " ก็อยากจะบอกตรงนี้ว่า เพราะพวกเขายังใช้สมองซีกซ้ายเข้ามาเป็นอุปสรรคอยู่นั่นเอง ถ้าพวกท่านต้องการจะไปสู่โลกุตระ กลายไปเป็น " จิตจักรวาล " กลับไปสู่สภาวะเดิมของตัวเองก่อนจะมาเป็นมนุษย์ พวกท่านจะต้องไม่ทำกรรมบวกและไม่ทำกรรมลบ นั่นหมายความว่า พวกท่านต้องไม่ทำดีเพื่อหวังสิ่งตอบแทน หรือทำชั่วเพราะพลั้งเผลอไม่เจตนา ภาษาวิทยาศาสตร์ บนโลกมนุษย์ เราเรียกว่า ต้องทำกรรมให้เป็นกลาง ( Neutral ) ก็คือไม่บวกไม่ลบ รู้ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนชั่ว สิ่งไหนเหมาะ สิ่งไหนควรก็พอ จงอย่าทำบุญทำกุศลเพื่อหวังผลภายหน้า ประเภท " ทำบุญเบื้องล่าง เอาไปสร้างเบื้องบน ทำบุญหลายหน ได้กุศลหลายครั้ง " เพราะนั่นแสดงว่า พวกท่านต้องการพ้นจากวัฏจักรการเป็นมนุษย์ เพื่ออยากจะไปเป็นเทพเทวดาอยู่อีก
พวกท่านต้องใช้สมองซีกขวา แล้วสร้างกระบวนการสังเคราะห์ขึ้นมาโดยส่งสายธารแห่งการรู้แจ้ง สายธารแห่งการหยั่งรู้ ทำการปลดปล่อยมันออกมา แล้ววางคำถามไว้ในสมาธิในการคิดนั้นให้ได้ แล้วพวกท่านจะค้นพบด้วยตัวของพวกท่านเองได้ ตอนนี้อย่าเพิ่งเชื่อหรือไม่เชื่อ จงฟังแล้วเก็บไปเป็นความรู้ใส่ตัว ... " จิตจักรวาล " สามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลมาก เคลื่อนที่ไปได้ในทุก ๆ ที่ แต่จะไม่เข้ามาในสนามพลังของโลก เพราะว่าเป็นคนละระบบกัน " จิตจักรวาล " จะเข้ามาได้ต้องแบ่งพลังงานออกมาเป็นจิตวิญญาณ อย่างที่ได้เล่าให้ฟังแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าหากมนุษย์เราต้องการการหลุดพ้น มนุษย์เราก็ต้องกลับไปเอา " ตัวตนอันสูงส่ง " ของตัวเอง ที่วิหารแห่งนี้เสมอ
หลายคนส่งคลื่นความคิดถามขึ้นอีกว่า จะไปวิหารแห่งนี้ได้มั๊ย ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ ก็ขอตอบว่า เราจะไปที่วิหารนี้ได้ ครั้งแรกก่อน มาเกิดเป็นมนุษย์ ครั้งที่สองก็คือตอนตายใหม่ ๆ เราจะต้องไปที่นั่นเสมอ เพื่อจะสรุปบทเรียนของตนเองว่าบรรลุหรือไม่ หรือยังมีบททดสอบไหนที่บกพร่องอยู่อีก แต่ถ้ามนุษย์ตั้งจิตเจตนาว่า ชาติใด ๆ ก็แล้วแต่ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องการบรรลุการรู้แจ้ง มนุษย์ต้องกลับไปเอา " ตัวตนอันสูงส่ง " ของตัวเอง แล้วก็พากันกลับไปสู่สนามพลังงานตามเดิม แต่จะฝ่ากรรมไปได้หรือไม่ ถ้ามีกรรมบวกอยู่ เราต้องอยู่เพราะกรรมมันเป็นสัมภาระของมนุษย์ ใครทำใครก่อ ไม่ว่ากรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ ทุกคนจะต้องระลึกไว้เสมอว่า จงอย่าทำกรรมอะไรไว้ ถ้าท่านต้องการบรรลุการรู้แจ้งด้วยปัญญาญาณของท่าน ท่านจงอย่าสร้างกรรม ถ้าทำบุญก็จงอย่าหวังสิ่งตอบแทน ถ้าท่านยังหวังสิ่งตอบแทนท่านจะไม่มีวันหลุดพ้นไปจากจักรวาลโลกนี้ได้
อยากให้นักรบแห่งแสงสว่างทุกคน เข้าใจเรื่องสุดท้ายที่ " จิตจักรวาล " อยากจะกล่าวในคืนวันนี้ ก็คือ เรื่องที่หลายคนกลัวโลกจะแตกในปี ค.ศ. 2000 ก็อยากจะฝากนักรบแห่งแสงสว่างทุกคนให้เกิดสติ ทางวิญญาณว่า ที่ " จิตจักรวาล " พยายามลงมาสื่อสิ่งเหล่านี้ให้กับมนุษย์ ก็เพื่อให้พวกเราทุกคนเป็นนักรบแห่งแสงสว่างที่ไม่เดินหลงทาง อยากให้นักรบแห่งแสงสว่างทุกคนมีสติ สามารถเดินไปสู่เส้นทาง เป้าหมายที่เป็นทิศทางตรง ไม่ต้องเดินอ้อมสะเปะสะปะอย่างที่เรียกกันว่าเป็นมนุษย์ที่สับสน มนุษย์ต้องรู้จักสร้างสมดุลในตัวเอง รู้จักว่า อันไหนกาย อันไหนจิต ทำกายกับจิตให้มารวมเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ ที่ที่กายกับจิตมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวนั้นคือ ที่ตั้งของวิญญาณท่าน จงหามันให้พบ พลังอำนาจในตัวท่านก้จะเกิดขึ้น
ฝากเรียนนักรบแห่งแสงสว่างทุกคนว่า มนุษย์เราที่มีชีวิตอยู่มาถึงบัดนี้ล้วนได้รับของขวัญที่สำคัญจากจักรวาลอยู่ 2 ชิ้น ชิ้นที่หนึ่งจาก คลื่นพลังงานสุริยะที่เป็นคลื่นแม่เหล็กส่งมาจากดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วประมาณหนึ่งล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งได้ส่งมาถึงโลกเราแล้ว ขณะนี้ปรากฏการณ์ที่เป็น พายุธรณี พายุแม่เหล็กต่าง ๆ เป็นผลมาจากการส่งคลื่นแม่เหล็กจากใจกลางดวงอาทิตย์มากระทำต่อโลกโดยตรง เพื่อต้องการจะขับเคลื่อนแกนแม่เหล็กของเรานี้ให้มันเคลื่อนไปได้ 3 องศาจากเดิม เพื่อปรับเปลี่ยนแนวของโครงสร้างเส้นแรงแม่เหล็ก โลกเสียใหม่ ซึ่งทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในฐานะไหน หรือมีการศึกษาระดับไหน ๆ ก็จะมีโอกาสเท่าเทียมกันในการรู้แจ้ง นอกจากนั้นในขณะที่ ส่งคลื่นพลังมา จักรวาลก็ยังช่วยยกระดับจิตสำนึกของนักรบแห่งแสงสว่างอย่างพวกเราทุกคนให้มีจิตสำนึกที่สูงส่งขึ้นด้วย
ของขวัญชิ้นที่สองที่จักรวาลมอบให้แก่มนุษย์ก็คือ การระเบิดกรรมโดยกลุ่มคลื่นพลังงานที่รุนแรงและเข้มข้นกว่าเก่า ซึ่งขณะนี้ กำลังเดินทางมายังโลก และรูปธรรมชั้นสูงในจักรวาลได้มารวมตัวกันประมาณแสนกว่าตนอยู่ในยานที่อยู่ในวงโคจรของดาวจูปิเตอร์ หรือดาวพฤหัส เพื่อช่วยขับเคลื่อนแกนแม่เหล็กโลกให้ขยับไปอีกหนึ่งองศาครึ่ง คลื่นพลังงานนี้จะเป็นคลื่นสีครามเป็นคลื่นพลังงาน ที่บนโลกใบนี้ไม่มี เป็นพลังงานแห่งความรักที่ให้กับมนุษย์ เพราะฉะนั้นมนุษย์ต้องมีสติ พยายามฝึกหัดสมาธิด้วยวิธีแบบใหม่ที่ " จิตจักรวาล " ได้แนะนำไปแล้วเมื่อครู่ พยายามหัดฟังสัญชาตญาณของตนเอง พยายามหัดฟังลางสังหรณ์ของตนเอง พยายามฟังจิต ของตัวเราเองให้มาก ๆ อย่าดำรงตนอยู่ในความประมาท อย่าติดยึดอยู่กับการเชื่อหรือไม่เชื่อ ถึงจะรู้สึกไม่เชื่อก็ขอให้เปิดใจให้กว้าง และรับฟังไว้ก่อน จากนั้นให้พยายามวิเคราะห์และสังเคราะห์ดูเอง แล้วจะพบคำตอบได้เอง ปรากฏการณ์ใดที่จะเกิดขึ้น จักรวาลรู้ล่วง หน้าเสมอ แต่การตัดสินใจต่าง ๆ เป็นเรื่องของมนุษย์ เป็นเรื่องของนักรบแห่งแสงสว่างทุกคน ตัวเองเป็นผู้ตัดสินและเป็นผู้กระทำ ใจของแต่ละคนนั้นสำคัญที่สุด ใจเท่านั้นที่จะเป็นผู้ทำให้มนุษย์มีพลังอำนาจสูงสุดได้
อยากจะฝากอีกว่า กระบวนการในการที่จะเกิดภัยอันตรายบนโลกมนุษย์นั้น มันจะกระจายไปทั่วโลก จะรุนแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับบุพกรรม ของคนชาตินั้น และของผู้นำของประเทศนั้น ท่านจงตั้งจิตตั้งสติให้มั่น อย่ามีความหวาดกลัวจนสติแตก จักรวาลต้องการใช้บทเรียนที่สำคัญ บทหนึ่งเพื่อสอนมนุษย์ สร้างความพร้อมให้กับมนุษย์ที่ยังเหลืออยู่บนโลก ให้สามารถผ่านบททดสอบได้อัตโนมัติโดยทุกคนไม่รู้ เพราะที่ ผ่านมารอให้ผ่านกันแล้วไม่ค่อยจะผ่าน นั่นก็คือ การให้มนุษย์เรารู้จักปลดปล่อยพลังงานความรักออกมาให้แก่เพื่อนมนุษย์ให้ได้ พลังงาน แห่งความรักที่เกิดจากสมองซีกขวา ! มันมีอยู่วิธีเดียวที่จักรวาลจะทำได้ คือ ทำให้มนุษย์เราเกิดความกลัว ความกลัวเป็นตัวเดียวเท่านั้น ที่จะเป็นสะพานพาไปสู่การสั่นสะเทือนในจิตสำนึกและปลดปล่อยพลังงานด้านบวกออกมา
ความกลัวเป็นบทเรียนอันสำคัญ ท่านนักรบแห่งแสงสว่างที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ทุกคน จงเข้าใจว่า ถ้าท่านมีสมาธิ แสดงว่าท่านมีสติ ท่านมีปัญญา จงมีความหนักแน่น จงเอาสติของท่านวางไว้ให้มั่น เมื่อท่านคุมสติของท่านได้ จงช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ ที่เป็นผู้ยากไร้ด้วยเถิด จงช่วยเขาให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง จักรวาลมอบความรักมาให้กับทุก ๆ คนแล้ว มอบความรักให้ด้วยพลังงานสั่นสะเทือนไปทั้ง จักรวาล ขอให้ทุกคนจงบรรลุเป้าหมายเส้นทางแห่งการรู้แจ้งด้วยเทอญ
มดเอ๊กซ:
2.3 ผมคือครายออน
" จิตจักรวาล " ตามที่อาจารย์ปริญญาบอกกับผมนั้น มีลักษณะเป็น " ครู " ( Master ) ขณะที่ " ครายออน " เป็นนักเทคนิคผู้มาทำหน้าที่ ปรับสนามแม่เหล็กโลกเป็นครั้งที่ 3 โดยที่ " ครายออน " ไม่เคยจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ในหนังสือ " ครายออน เล่ม 1 ยุคแห่งการสิ้นสุด " " ครายออน " ได้พูดถึงตัวเองเอาไว้ว่า
" ผมคือครายออน ผู้มาจากอำนาจแม่เหล็ก แท้จริงแล้วผมมิได้ชื่อครายออน และผมมิใช่มนุษย์เพศชายด้วย แต่ด้วยพื้นฐานข้อจำกัดทาง ความคิดแบบจิตมนุษย์ จึงทำให้คุณไม่อาจเข้าใจสิ่งที่ผมเป็น ความจริงชื่อของผมคือกลุ่มความคิดที่มีพลังงานห่อหุ้มไว้ " กล่องพลังงาน ความคิด " อย่างหนึ่ง ผมคือสิ่งที่มาจากแรงดึงดูด รูปธรรมของผมคือ การให้บริการอย่างหนึ่ง ผมไม่เคยเป็นมนุษย์หรือสิ่งอื่นใดนอกจาก ครายออน "
" ผมเป็นผู้รับใช้ของอำนาจแม่เหล็ก ผมได้สร้างระบบเครือข่ายแม่เหล็กบนโลกของคุณ การสร้างสรรค์ระบบโครงข่ายนี้กินเวลาชั่วกัปกัลป์ ตามเวลาบนโลก มันได้รับการเปลี่ยนให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้เหมาะสมกับแรงสั่นสะเทือนทางกายภาพของโลกที่ กำลังวิวัฒนาการ "
" ผมเคยมาที่โลกนี้ 2 ครั้งแล้วในอดีตกาล เพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนและปรับปรุงโลกให้ดีขึ้น จะได้เหมาะสมสอดคล้องกับการเจริญเติบโต ของมนุษย์ชาติในแต่ละครั้งที่มีการปรับเปลี่ยนสนามแม่เหล็ก มวลมนุษย์ส่วนใหญ่ได้ถูกกวาดล้างไปเพื่อวัตถุประสงค์อันนี้ และในแต่ละครั้ง อีกเช่นกันที่จะมีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่เพื่อสืบสายพันธุ์ คราวนี้ผมมาที่นี่อีกเป็นครั้งที่ 3 และคงเป็นครั้งสุดท้ายของผมด้วยจุดประสงค์เช่น เดียวกับครั้งก่อน ๆ "
" การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกจะนำมาซึ่งมหันตภัยต่อมวลมนุษย์ น้ำในมหาสมุทรจะล้นไหลบ่าเข้าท่วมผืนแผ่นดิน เปลือกโลกจะโค้งร้าว อย่างรุนแรง ดวงจันทร์จะดึงดูดบริเวณแผ่นดินใหม่ออกมา และทำให้พื้นผิวโลกระส่ำระสาย ภูมิอากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนเห็น ได้ชัด ภูเขาไฟทีรอการปะทุระอุอยู่นั้นจะระเบิดออกมาทั่วโลก .. นี่คือกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อผมมาที่นี่ครั้งแรก ในอนาคตอันไกล้ ( ขณะที่ถ่ายทอดข้อความนี้คือปี พ.ศ.1992 ) โลกของคุณอาจเผชิญกระบวนการเช่นนี้อีกครั้ง แต่นี่ไม่ใช่การล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์หรอก เพราะพวกคุณบางส่วนจะยังคงอยู่ เพียงแต่จะอยู่ในสถานที่ที่แตกต่างไปจากเดิมเท่านั้น "
" จุดจบของคุณ ควรจะเป็นจุดจบในวัฏสงสารนี้ ถ้าหากคุณสามารถบรรลุทางจิตวิญญาณที่สูงขึ้นได้ งานของผม มันคือการเคลื่อนตัวของ อำนาจแม่เหล็ก และเป็นการวางแนวโครงข่ายแม่เหล็กครั้งใหม่ของโลก เพื่อให้เหมาะสมกับเวลาช่วงสุดท้ายแห่งยุคเก่าของพวกคุณ "
" ขั้นตอนของผมต้องใช้เวลาประมาณ 10-12 ปีจึงจะสำเร็จ นับแต่นี้ไปจนถึงปี ค.ศ. 2002 ( พ.ศ.2545 ) จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็น ค่อยไป ประมาณปี ค.ศ. 1999 คุณก็จะรู้ว่า ผมกำลังพูดถึงอะไร ... ผมมาถึงที่โลกนี้ในปี ค.ศ. 1989 เพื่อเริ่มงานของผม ขณะนั้นมนุษย์ บางส่วนได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองไปแล้ว มีกลุ่มรูปธรรมชั้นสูงในจักรวาลที่ให้การสนับสนุนผมอยู่ในวงโคจรของดาวจูปิเตอร์ การสนับสนุน ของพวกเขาที่มีต่อผมคือ การสนับสนุนทางพลังงานและวิธีในการปฏิบัติงานของผม แม้ว่าตัวผมเองจะเป็นอำนาจแรงดึงดูด แต่ผมก็ไม่อาจ ทำงานนี้เพียงลำพังได้ "
" ผมต้องใช้เวลาถึง 3 ปี ในการตระเตรียมต้อนรับ การเริ่มต้นของปี ค.ศ. 1992 การเปลี่ยนแปลงได้เริ่มต้นขึ้นแล้วนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปี ค.ศ. 1992 และจะดำเนินการไปตามกระบวนการที่ใช้เวลา 11 ปี เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอันสมบูรณ์แบบตามที่มุ่งหวังไว้ในวันที่ 31 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2002 เมื่อถึงเวลานั้น ผมคงไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เพราะภาระหน้าที่ของผมนั้นจะกินเวลาไม่มากไปกว่ากว่า 14 ปี ซึ่งเป็น ช่วงเวลาที่สำคัญและมีความหมายมากต่อโลก จงอย่าทำสิ่งใดผิดพลาด เพราะผมคือผู้ที่คุณคาดหวังไว้ ผมคือผู้ที่ได้รับเลือกให้มารับผิดชอบ การวางแนวระบบใหม่ และจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อพลังงานของคุณอย่างเห็นได้ชัด "
" ผมคือครายออน หน้าที่อันดับแรกของผมที่มีต่อคุณในฐานะที่เป็นครายออนคือ มีความรักต่อคุณ หน้าที่อันดับต่อไปคือ รับใช้คุณ ด้วยความรู้ทางอำนาจแม่เหล็กที่ผมมีอยู่ เพราะคุณคือนักรบแห่งแสงสว่าง "
" ผมคือครายออน ผู้รับใช้ทางอำนาจแม่เหล็ก จงคิดถึงผมเมื่อคุณมีความสงสัย หรือตกอยู่ในความหวาดกลัว ความคิดของคุณจะสามารถ เปลี่ยนเป็นความสงบสุขได้ "
" ผมคือครายออน สีสันที่แท้จริงของรูปธรรมครายออน คือสีทองแดงสุกใส หากคุณถอดจิตดูผมได้ คุณจะเห็นว่าผมมี 11 เหลี่ยม หรือ 11 ด้าน และแต่ละเหลี่ยมหรือแต่ละด้านก็มีรูปแบบอย่างหนึ่งที่มิได้มีเหลี่ยมมุมที่ตรงกัน และไม่มีด้านใดคล้ายคลึงกันเลย ดุจหน้าต่าง ที่ทำด้วยกระจกสี มันจะถูกแบ่งออกเป็นเสี้ยวส่วนต่าง ๆ แต่ละด้านก็จะมีสีสันเป็นของตนเอง เมื่อคุณเข้ามาไกล้ตัวผมและล้อมรอบตัวผม ผมจะเริ่มหมุนวน เมื่อผมหมุนวนตัวจนกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนซึ่งเป็นพลังงานของครายออน คุณจะมองเห็นสีสันของผมที่เกิดขึ้นซึ่งเป็น พลังงานของครายออนอีกเช่นกัน เพราะมันคือสิ่งสุดยอดแห่งการหมุนตัวของทั้ง 1 ด้านเข้าด้วยกัน และรวมกันเป็นหนึ่งเดียว "
" คุณคือมนุษย์ที่ควบคุมการทำงานของผม ในยุคพลังงานใหม่นี้ คุณมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงบุพกรรมที่สั่งสมมาของคุณเองได้ด้วย การมาของผมและภารกิจของผม คือ การร่วมมือกับการปฏิบัติตัวของคุณ ... ยุคแห่งการสิ้นสุดลงของพลังงานเก่านี้ได้ถูกทำนายไว้ ล่วงหน้าแล้ว ภายใต้การเรียกชื่อที่แตกต่างกันออกไปตามวัฒนธรรมและขณะนี้เวลานั้นก็มาถึงแล้ว บริเวณที่คุณอาศัยอยู่บนโลกและผู้คน ที่คุณกำลังทำงานด้วยนั้นคือส่วนหนึ่งของระบบกลุ่มกรรมของคุณ พลังอำนาจใหม่ที่คุณได้รับนี้ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคุณในการนำไปใช้ เปลี่ยนแปลงโลก โลกยังต้องการพวกคุณเป็นจำนวนมากในการก้าวกระโดดครั้งใหญ่นี้ "
" โครงสร้างระบบความคิดของคุณจะเปลี่ยนไป คุณจะไม่ซึมซับรับเอาพลังงานด้านลบอีกต่อไป แต่คุณจะเป็นสื่อกลางที่ถ่ายทอดพลังงาน ด้านบวกให้กับทุกที่ที่คุณเดินทางไป ...บางทีคุณอาจไม่เชื่อก็ได้ แต่จงรู้ไว้เถิดว่า ถ้อยคำต่าง ๆ ในหนังสือเล่มนี้มีไว้สำหรับคุณ คุณมิได้อ่าน หนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญ แต่เป็นเพราะสถานการณ์ที่เหมาะสมที่ได้นำหนังสือเล่มนี้มาอยู่บนมือคุณ แน่นอนว่า คุณมีสิทธิ์ที่จะเลือกนำไป ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ได้ "
" โปรดจำไว้ว่า ไม่มีรูปธรรมใดในจักรวาลที่ทราบว่า คุณจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคตอันไกล้นี้ ถ้าคุณได้รับภาพนิมิตของเหตุการณ์ ในอนาคต จงชั่งน้ำหนักเหตุการณ์เหล่านั้นตามที่คุณมีความรู้อย่างแท้จริง จงคงอยู่ในแรงสั่นสะเทือนของพลังงานความรักและรวมตัว กันในการตัดสินใจ เพราะคุณจะมีพลังและญาณหยั่งรู้มากขึ้นเมื่ออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม "
" โปรดเข้าใจด้วยว่า การสื่อสารที่แท้จริงของผมที่มีต่อคุณนั้น อยู่ในแรงสั่นสะเทือนของพลังงานความรัก ส่วนข้อมูลนั้นเป็นสิ่งสำคัญ รองลงไปและเกิดขึ้นตลอดเวลา ข่าวสารที่แท้จริงคือเรื่อง พลังอำนาจของพลังงานใหม่ และผมต้องการให้คุณรู้สึกถึงพลังนั้น "
" คุณจะได้รับการยอมรับและการยกย่องมากเมื่อคุณกลับมาอยู่กับพวกเราอีกครั้ง คุณคือสิ่งหนึ่งที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุดในบรรดา รูปธรรมด้วยกันเพราะคุณคือนักรบแห่งแสงสว่าง ... นี่คือจุดประสงค์ของคุณขณะที่คุณอยู่บนโลกนี้ และมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่คุณเลือก จะอยู่ที่นี่ ( หรือกำลังอ่านข้อความนี้อยู่ ) คุณเป็นคนที่พวกเรารับใช้ด้วยความรัก พวกเราอยู่ที่นี่ก็เพราะสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ เรารับใช้คุณ เรารักคุณ พวกเราทั้งหมดที่กำลังทำหน้าที่อยู่นี้ ให้การยอมรับและรักคุณอย่างลึกซึ้งต่อการทำงานของคุณเพื่อโลก เพื่อยกแรงสั่นสะเทือน ของโลกให้สูงขึ้น "
" จงรู้ไว้ด้วยเถิดว่า เมื่อคุณอยู่ในสภาพสมดุล ทุกอย่างก็จะทำงานไปเพื่อประโยชน์ของมวลสรรพสิ่ง ไม่ว่าร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของคุณ ความอุดมสมบูรณ์จะหลั่งไหลมาสู่ตัวคุณ คุณจะมีสุขภาพที่ดีและมีความสงบในจิตใจ คุณจะถูกห้อมล้อมไปด้วยคนที่ คุณรัก คุณจะเป็นคนที่มีความสมบูรณ์พร้อมทุกอย่างในสายตาของทุกคน ถ้าหากคุณค้นพบว่าคุณมีสิ่งที่น้อยไปกว่านี้ เมื่อนั้นคุณจำเป็นต้อง ตรวจสอบความสมดุลของคุณแล้ว และจงเรียกหาพลังงานความรักมาช่วยเยียวยาคุณโดยเร็ว "
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version