แสงธรรมนำใจ > จิตวิวัฒน์ กระบวนการนิวเอจ นิเวศแนวลึก

นักรบแห่งแสงสว่าง : การรู้เแจ้งในยุคพลังงานใหม่

<< < (2/5) > >>

มดเอ๊กซ:


 
 
 
2.4 ความรู้ใหม่จาก " จิตจักรวาล "
 
" จิตจักรวาล " หรือ " พระจิต " ( The Spirit ) ได้ลงมาสื่อสัญญาณกับอาจารย์ปริญญา ตันสกุล อย่างจริงจังต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2541 ( ค.ศ.1998 ) หลังจาก " ครายออน " ไม่ต่ำกว่าเจ็ดปี การรับคลื่นความคิดจาก " จิตจักรวาล " ของอาจารย์ปริญญา นับเป็นเรื่อง บังเอิญจริง ๆ เมื่อเขาพบว่า ขณะที่ตนเองนั่งอยู่ตรงหน้าอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เปิดสวิตช์ไว้ คือเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าที่เขานิยมใช้เป็นประจำ เขาก็ได้รับ " คลื่นความคิด " มาเป็นชุด ๆ เกี่ยวกับ " ความรู้ใหม่ " ซึ่งเขายืนยันว่ามิใช่ความคิดหรือความรู้ใด ๆ ของตัวเองเลยแม้แต่ นิดเดียว แต่เป็นความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดผ่านคลื่นความคิด เป็นรหัสสัญญาณในระบบไฟฟ้าแม่เหล็ก เหมือนคลื่นความคิดที่เกิดจาก สมองของคนเรา

ในขณะที่การนำเสนอใน " ครายออน " นั้น รูปแบบที่ " ครายออน " แนะนำตัวเอง พูดกับผู้ฟังหรือผู้อ่านโดยตรง โดยคุณลี คาร์รอล เป็นเพียง " ล่าม " หรือ " ผู้ถ่ายทอด " เท่านั้น มีการแบ่งแยกความเป็น " ครายออน " กับความเป็น " ลี คาร์รอล " อย่างชัดเจนภายใน หนังสือ แต่การนำเสนอหนังสือ " มหัศจรรย์อำนาจแม่เหล็กโลก " ของอาจารย์ปริญญานั้น อาจารย์สื่อออกมาเป็นภาษาวิชาการ มุ่งเน้นที่เนื้อหาความรู้ใหม่ และไม่มีการแบ่งแยกตัวตนของเขากับของ " จิตจักรวาล " ออกมาอย่างชัดเจน

ภาษาของ " ครายออน " นั้นน่ารัก สงบสุข และปลอบโยนจิตใจด้วยลีลาถ้อยคำเรียบง่าย ขณะที่ภาษาของ " จิตจักรวาล " นั้น หนักสมอง อัดแน่นไปด้วยข้อมูลข่าวสารความรู้แต่ขาดความเป็นกันเองและปัจเจกภาพ อย่างไรก็ตาม " ความรู้ใหม่ " จาก " จิตจักรวาล " ที่สื่อผ่าน อาจารย์ปริญญามานั้น มีเนื้อหาที่ใกล้เคียงกับของ " ครายออน " และละเอียดกว่าด้วย ดังที่จะขอนำมาสรุปโดยย่อ ดังต่อไปนี้ ...

( 1 ) ในสนามพลังจักรวาลนั้นจะเต็มไปด้วย " กล่องพลังงานความคิด " หรือ " พระจิต " หรือ " จิตจักรวาล " อันเป็นตัวตนที่แท้จริง อันสูงส่ง ซึ่งเป็นอีกภาคหนึ่งของมนุษย์ดำรงคุณสมบัติอยู่ โดยเกาะเกี่ยวเคลื่อนไหวไปบนโครงข่ายสนามพลังงานนั้น ตัว " จิตจักรวาล " เองแต่ละกล่องแต่ละดวงจะประกอบด้วยอนุภาคของพลังงานขนาดเล็ก ที่มีมวลระดับปรามณู ลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่ภายใน เปลือกพลังงานที่เข้มข้นกว่าห่อหุ้มไว้ภายนอก โดยนิวเคลียสจะเกิดการสั่นสะเทือนตลอดเวลา เพื่อปลดปล่อยคลื่นพลังงาน และแสง ที่ตามนุษย์มองไม่เห็นออกมาภายนอกอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดนิ่ง

( 2 ) " จิตจักรวาล " ทุกดวงมีคุณสมบัติสำคัญคือ เป็นผู้รอบรู้ในสรรพสิ่งและคุ้นเคยกับพลังงานความรักเป็นที่สุด ภาระหน้าที่าสำคัญ ของ " จิตจักรวาล " มีอยู่ 2 ประการ คือ การดำรงอยู่ต่อไป และการรักษาระดับพลังงานด้านบวกที่สมดุลของสนามพลังงานจักรวาล ที่มีผลต่อการดำรงคุณสมบัติของทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาลอันไพศาลนี้ไว้ได้

( 3 ) " จิตจักรวาล " มีกำเนิดมาจากการระเบิดของดวงอาทิตย์ ทีทำให้กลุ่มพลังงานแผ่กระจายออกมาแล้วมาเกาะกลุ่มรวมตัวกันด้วย พลังงานด้านบวกอย่างลงตัว จนกลายเป็นกล่องพลังงานความคิดและรอบรู้จำนวนมากมายบนโครงข่ายสนามพลังงานในจักรวาล

( 4 ) เหนือสิ่งอื่นใด " จิตจักรวาล " ทุกดวงมีความสัมพันธ์กับมนุษย์บนโลกทุกคนทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงก็คือ มนุษย์ทุกคนที่ได้ รับโอกาสมาเกิดบนดาวเคราะห์โลกที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ล้วนมีจิตจักรวาลเป็นของตนเองในต่างมิติด้วยกันทั้งสิ้น เพราะพลังงานของ จิตจักรวาลส่วนหนึ่งถูกแบ่งภาคมาถือกำเนิดพร้อมกับกายมนุษย์อยู่ในโครงสร้างทางชีววิทยาของคนเรา ซึ่งมนุษย์เรียกว่า จิตวิญญาณ โดยที่ตำแหน่งที่ตั้งของจิตวิญญาณอยู่ที่ต่อมพิทูอิทารีในสมองมนุษย์ ส่วนความสัมพันธ์ทางอ้อมระหว่างจิตจักรวาลกับมนุษย์ คือ การสนับสนุนคลื่นความคิดด้านบวก การถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ให้แก่มนุษย์เพื่อสร้างความคิดใหม่ ความรู้ใหม่ที่เป็นประโยชน์ ในการดำเนินชีวิต และสอดคล้องกับความต้องการของมนุษย์แต่ละคนตามจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม

( 5 ) สำหรับ " จิตจักรวาล " ที่มิได้แบ่งภาคพลังงานมาสู่รูปธรรมมนุษย์ ( อย่างครายออน - สุวินัย ) จะมีหน้าที่ในการรักษาความสมดุล ของอำนาจแม่เหล็กโลก ที่เกิดจากคลื่นแม่เหล็กโลกในการโคจรของโลกเสียดสีกับลมสุริยะ ซึ่งเป็นกระบวนการทางเทคนิคของจิตจักรวาล เพื่อรักษาชีวิตมนุษย์และความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ไว้ด้วย

( 6 ) การดำรงอยู่ของ " จิตจักรวาล " ทั้งหลายเหล่านี้ ได้ทำให้โครงข่ายสนามพลังงานจักรวาลสามารถเชื่อมต่อกับโครงข่ายสนาม แม่เหล็กโลกอย่างลงตัว จนสามารถโต้ตอบรหัสสัญญาณใด ๆ ในรูปของคลื่นพลังงานที่เกิดจากอารมณ์และการคิดของมนุษย์ได้ โดยกระทำออกมาในรูปของพลังงานกรรม และพลังชีวิตจากจักรวาลเอง

( 7 ) ถ้าหากมนุษย์สามารถมองเห็น พลังงานกรรม ที่ติดตามมาจากอดีตชาติของตนเองได้ มนุษย์จะเห็นมันมีลักษณะคล้ายฟองอากาศสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาสำหรับมนุษย์แต่ละคนโดยเฉพาะ เพื่อให้มนุษย์เดินฝ่ามันเข้าไป ฟองอากาศสีดำที่เป็นเงามายานี้ จะเคลื่อนตัว เข้าหามนุษย์ที่เป็นเจ้าของกรรม แล้วปกคลุมตัวผู้นั้นเอาไว้ ซึ่งจะมีผลให้ผู้นั้นเกิดอารมณ์ไม่ปกติ เพราะขาดสมดุลไป เช่น ความรู้สึกทุกข์ ร้อนใจ วิตกกังวล หวาดกลัว โดยหาคำตอบให้แก่ตัวเองไม่ได้ แต่ภายในฟองอากาศสีดำที่ว่านี้ จะมีแสงสว่างอยู่ภายใน การผ่านบทเรียน หรือบททดสอบนี้ให้ได้ก็คือ การที่มนุษย์ผู้นั้นจะต้องเดินฝ่ามันเข้าไปสู่ใจกลางของฟองอากาศเหล่านี้ เพื่อพบกับแสงสว่างที่เร้นอยู่ภายใน และในทันทีที่พบกับแสงสว่าง ฟองอากาศสีดำดังกล่าวก็จะแตกกระจัดกระจาย ทำให้กรรมจากอดีตชาติของผู้นั้นก็จะกระจัดกระจายหายไป จากบทเรียนชีวิตของผู้นั้นไปตลอดกาลด้วยนี่คือ วิธีการผ่านบทเรียนบนโลกนี้ของมนุษย์ในการกำจัดกรรมของตน ที่จิตจักรวาลเปิดเผย ออกมา และมนุษย์ที่ผ่านบทเรียนเช่นนี้ได้จะได้รับการยกย่องทั่วจักรวาลว่าเป็น " นักรบแห่งแสงสว่าง " ( THE WARIOR OF LIGTH )

( 8 ) " จิตจักรวาล " ยังได้เปิดเผยอีกว่า พลังกาย พลังจิต และพลังงานวิญญาณของมนุษย์ เป็นสิ่งที่จะต้องสมดุลกันและรวมกัน เป็นหนึ่งเดียว ถ้าคนเราสามารถรวมกาย จิต และวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ เขาก็จะสามารถเป็นผู้รู้แจ้งได้เมื่อนั้น ( สิ่งทำให้ ผมนึกถึงวิชาลม 7 ฐาน - สุวินัย )

( 9 ) ในขณะที่ความสมดุลทางจิตวิญญาณเป็นเรื่องของการรวมกายจิตและวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียว ส่วนความสมดุลทางชีวภาพของ มนุษย์กลับเป็นสภาวะความสมดุลกันทางแม่เหล็กของเซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอำนาจแม่เหล็กโลกด้วย การฝึกหมุนตัว คือ วิธีการบำบัดและรักษาสมดุลทางแม่เหล็กของเซลล์ของคนเราที่ " จิตจักรวาล " แนะนำ ( สิ่งนี้ทำให้ผมนึกถึงวิชาฝ่ามือมังกรแปดทิศ - สุวินัย )
 
( 10 ) การมาสู่รูปธรรมที่มีชีวิตของมนุษย์บนโลกทุกคน แท้จริงแล้วล้วนมีเป้าหมายหลักที่สำคัญคือ การหาหนทางเพื่อรวม กาย จิต และวิญญาณ ให้เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อให้เกิดพลังงานที่มีอิทธิพลด้านบวกและเพื่อยกระดับจิตสำนึกของตัวมนุษย์เองให้สูงขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อการยกระดับจิตสำนึกของโลกให้สูงขึ้นด้วย นี่คือเป้าหมายหลักที่เป็นความรับผิดชอบของมนุษย์ในการผ่านการทดสอบ บทเรียนของตัวเองซึ่งเป็น พันธสัญญา ก่อนลงมาเกิดเป็นมนุษย์

( 11 ) เพราะฉะนั้นพฤติกรรมใด ๆ ที่มนุษย์แสดงหรือกระทำต่อกัน ถ้าเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ แม่เพียงแค่การคิดโดยไม่กระทำ พลังงานของพฤติกรรมเหล่านั้นจะเกิดขึ้นทันที ซึ่งเป็นพลังงานที่มีสภาพเป็นลบ ขณะที่พฤติกรรมที่พึงประสงค์จะเป็นพลังงานด้านบวก ( หรือ พลังบุญ นั่นเอง - สุวินัย ) แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังงานด้านลบหรือด้านบวกต่างก็จะถูกส่งผ่านออกมาภายนอกร่างกายมนุษย์ คล้าย ๆ กับการเกิดพลังงานผลกรรมของมนุษย์ในแต่ละภพชาติ ซึ่งจะคงตัวอยู่ในจักรวาลชั่วนานเท่านาน จนกว่าเจ้าของผลกรรมนั้นสามารถจะ กำจัดมันไปได้

( 12 ) ทั้งผลกรรมและพฤติกรรมจะปรากฏอยู่ในรูปของพลังงานทั้งสิ้น เพียงแต่พลังงานจากพฤติกรรมจะมีสภาพของความเป็นบวกลบ ทางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคุณสมบัติอยู่ด้วยเท่านั้น และผลรวมของพลังงานจากพฤติกรรมใด ๆ ของมนุษย์ย่อมเป็นพลังงานทางแม่เหล็ก ไฟฟ้าที่มีผลต่อความสมดุลของสนามแม่เหล็กโลก หากมีสภาพเป็นลบมาก ๆ โลกก็จะขาดสมดุล เกิดปรากฏการณ์ภูมิอากาศวิปริตแปร ปรวน แห้งแล้ง น้ำท่วม อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ฯลฯ ปรากฏการณ์บางอย่างมนุษย์อาจหาสาเหตุได้ แต่บางอย่างก็ไม่รู้สาเหตุ

( 13 ) มนุษย์สามารถหลีกเลี่ยงปรากฏการณ์ธรรมชาติข้างต้นได้ ถ้าสามารถทำให้ผลรวมของพลังงานเมื่อหักล้างกันแล้วมีสภาพเป็นบวก งจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่เริ่มรู้จักใช้พลังงานแห่งความรักอันเป็นพลังอำนาจสูงสุดในจักรวาลมาเป็นแก่นแท้ของอารมณ์ตนเอง ได้แล้วเท่านั้น

( 14 ) ความเป็นนักรบแห่งแสงสว่าง คือ เกียรติยศอันสูงส่งที่มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาเป็นรูปธรรมมนุษย์ที่มีชีวิตในจักรวาลนี้ควรภูมิใจ เพราะมีแต่ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์เท่านั้นถึงจะได้รับเกียรติยศอันนี้ได้ สถานภาพของการเป็นนักรบแห่งแสงสว่างของมนุษย์แต่ละคน ๆ ต่อการกำจัดผลกรรมใด ๆ ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น พันธสัญญา ( AGREEMENT ) อันเป็นเงื่อนไขดั้งเดิมซึ่งมนุษย์เองเป็นผู้ร่วมวาง แผนบทเรียนกรรม จัดทำหลักสูตรของตนเองเอาไว้ล่วงหน้า ก่อนก้าวมาสู่รูปธรรมมนุษย์ในมิติที่ต่ำกว่า คือ โลกใบนี้ โดยที่บทเรียน นั้นคือโจทย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างท้าทาย โดยละเว้นคำตอบไว้ เพื่อใช้ในการทดสอบความสามารถของตนเองในสภาพของความเป็นมนุษย์ ว่าจะบรรลุผลสำเร็จได้หรือไม่ และทำได้อย่างไร

( 15 ) การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว ความหนักแน่นมั่นคงในเป้าหมาย ความตั้งใจในการลงมือทำด้วยหัวใจที่ฮึกเหิมเยี่ยงมังกร ด้วยความกล้าหาญดุจดังพยัคฆ์ มีความมุ่งมั่นมานะพยายามโดยไม่หวั่นกลัว ไม่หวั่นไหว ต่ออุปสรรค ไม่ยี่หระต่อคำเยาะเย้ยถากถาง ไม่ย่างก้าวอย่างหวาดกลัว ใช้พลังสติของตัวขับดันตนเองไปสู่จุดหมายแห่งการรู้แจ้งให้จงได้คือ ส่วนผสมของพลังงานทางอารมณ์ ด้านบวกของผู้ที่เป็นนักรบแห่งแสงสว่าง

( 16 ) ขณะนี้โลกกำลังอยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนสนามแม่เหล็กโลก ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2002 ( 2545 ) โดยที่เป้าหมาย ในการยกระดับความเข้มสนามแม่เหล็กโลกของจักรวาลในครั้งนี้ก็คือ ต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นนี้ไปเปลี่ยนแปลงโลกสู่ความสมดุล และเปลี่ยนแปลงมนุษย์ทุกคนให้มีจิตสำนึกที่สูงขึ้นด้วยอำนาจแม่เหล็ก

( 17 ) ในการสร้างความสมดุลของโลกนี้ " จิตจักรวาล " บอกว่า จะมีมนุษย์จำนวน 1 % ของประชากรโลกที่ต้องจบชีวิตลงด้วย ภัยธรรมชาติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วทุกทวีปไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ผู้เสียชีวิตเหล่านี้เป็นมนุษย์ผู้เสียสละอันยิ่งใหญ่ตามพันธสัญญาที่พวกเขา เหล่านั้นได้ให้ไว้ต่อจักรวาล เป็นการวางแผนของพวกเขาล่วงหน้าก่อนมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ส่วน 99 % ของมนุษย์ที่เหลือ ถ้าหากเป็นคนที่ไม่รู้จักใช้ความอดทน อดกลั้น ไม่รู้จักให้อภัย ไม่รู้จักมอบพลังงานความรักให้แก่ผู้ที่ด้อยกว่า ขาดความสมดุล เต็มไปด้วยพฤติกรรมขยะ ประพฤติตนเป็นที่น่ารังเกียจของผู้อื่น บุคคลเหล่านี้ " จิตจักรวาล " บอกว่า จะต้องตกเป็นเหยื่อของ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ด้วยเช่นกัน พวกเขาจะอยู่อย่างทุกทรมาณ และต้องตายด้วยอายุขัยอันแสนสั้น เพราะเชื้อโรคร้ายชนิดใหม่ หรือการเจ็บป่วยเรื้อรัง หรือการตายอย่างฉับพลันเพราะโรคเครียด บางคนอาจเสียสติไปเลย

( 18 ) ในอดีต รูปธรรมชั้นสูงต่าง ๆ มากมายจากมิติต่าง ๆ ทั่วจักรวาล ได้พากันมายังโลกใบนี้ เพื่อคุ้มครองและรักษาพลังงานความสมดุล ให้แก่โลกและมนุษย์ทั้งระบบด้วยพลังงานความรักอันสูงส่ง ซึ่งมนุษย์ทั่วไปอาจยังไม่รู้ว่า รูปธรรมชั้นสูงเหล่านี้ได้ปฏิบัติหน้าที่ดั่ง " ผู้ถือคบเพลิง " ให้แก่โลกใบนี้มาโดยตลอด แต่มาบัดนี้ รูปธรรมชั้นสูงเหล่านี้กำลังจะจากโลกใบนี้ไปแล้ว เพราะเห็นแล้วว่า ขณะนี้มี มนุษย์จำนวน 144 , 000 คนที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วยวิถีแห่งสัจธรรมในฐานะ ผู้บรรลุการรู้แจ้ง และมีความสมดุลทางจิตวิญญาณ ได้พร้อมต่อการรับหน้าที่ที่สืบทอดการเป็น " ผู้ถือคบเพลิง " เพื่อมนุษย์อื่น ๆ และเพื่อโลกใบนี้แล้ว

( 19 ) พลังงานแม่เหล็กที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้ จะเป็นพลังงานความรักครั้งสุดท้าย ที่จักรวาลมอบให้แก่มวลมนุษย์ เพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นมนุษย์ที่สมดุลขึ้น ด้วยสัจธรรมจากธรรมะที่เป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อการนี้ " จิตจักรวาล " จึงได้เริ่มถ่ายทอดรหัสสัญญาณจากจิตจักรวาล สู่คลื่นความคิดของบรรดานักวิทยาศาสตร์ ครูอาจารย์วิทยากรผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์แขนงต่าง ๆ ผู้มีจิตสะอาด มีชีวิตที่สมดุลและใฝ่สัจธรรม เพื่อให้เป้นผู้รับสื่อ เพื่อถ่ายทอด " ธรรมะจากวิทยาศาสตร์ " แก่มนุษย์ทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผู้รับสื่อเหล่านั้นอาจดำเนินการใด ๆ ออกไปโดยไม่ทราบความจริงนี้มาก่อน หรืออาจคิดว่าเหมือนมีสิ่งดลใจให้กระทำ แต่ที่จริงมันเกิดจากแรงบันดาลใจภายในของคนผู้นั้น โดยมีอิทธิพลของพลังงานแม่เหล็กที่จิตจักรวาลถ่ายทอดมาให้พร้อมข้อมูลทางความคิดอันแสนวิเศษ บุคคลเหล่านี้คือ ผู้ถูกเลือก ให้ปฏิบัติ ภารกิจอันยิ่งใหญ่ต่อมวลมนุษยชาติในยุคพลังงานใหม่นี้อย่างแท้จริง

( 20 ) โลกยุคพลังงานใหม่ นับตั้งแต่สิ้นปี ค.ศ. 2002 นี้เป็นต้นไปจะเกิดผลกระทบด้านบวกต่อจิตสำนึกของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้โดยตรง อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงความเข้มสนามแม่เหล็กโลก ที่มีอัตราการสั่นสะเทือนสูงขึ้น เพราะความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกที่ เพิ่มขึ้นจะสนับสนุนกิจกรรมทางจิตวิญญาณของมนุษย์ไปสู่การมีพฤติกรรมดี เพิ่มโอกาสแห่งการรู้แจ้ง ช่วยในการปรับเปลี่ยน รหัสบุพกรรมทางชีวภาพของมนุษย์แต่ละคนให้มีอายุขัยที่ยืนยาวยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะต่อมพิทูอิทารีจะถูกพัฒนาประสิทธิภาพให้สูงขึ้น ตามระดับพลังงานที่ได้รับ อันมีผลต่อระดับจิตสำนึกของมนุษย์ในเชิงปัญญาญาณ นอกจากนี้ ต่อมไฮเปอร์ทาลามัส จะทำหน้าที่ร่วมกันกับ ต่อมพิทูอิทารีในการกระตุ้นให้มนุษย์สามารถนำเอาพลังงานอารมณ์ด้านบวกมาใช้กันได้มากขึ้นและสะดวกยิ่งขึ้นกว่าเก่า

( 21 ) ในยุคพลังงานใหม่สิ้นปี ค.ศ. 2002 มนุษย์จะมีความสามารถนำพาตนเองเข้าสู่สัจธรรมเพื่อการรู้แจ้งได้ โดยสามารถเรียนรู้กลวิธี การรวมกายและจิตใจ ( ความคิด ) หรือสติปัญญาตน ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนที่สูงส่งของตนเองได้ โดยปัญหา อุปสรรคบนเส้นทางแห่งการรู้แจ้งนี้จะลดลง และมนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกจะได้รับโอกาสให้บรรลุการรู้แจ้งแบบรวมหมู่ ได้เป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์ของโลก เพราะต่อมไพนีล หรือ ดวงตาที่สามของมนุษย์ที่ตั้งอยู่บริเวณหว่างคิ้ว ซึ่งถูกเปิดโดยบุพกรรมทางแม่เหล็ก ในเซลล์ร่างกายมนุษย์เองในยุคพลังงานเก่า จะถูกแง้มประตูสู่มิติอื่น ให้เปิดออกได้อย่างง่ายดาย หากคนผู้นั้นสามารถรวบรวมสมาธิได้ ขณะที่แต่เดิมมันถูกปิดไว้อย่างมิดชิด

( 22 ) " จิตจักรวาล " ย้ำว่า " หน้าที่ของมนุษย์ที่สำคัญที่สุดก็คือ จะต้องหาหนทางไปสู่การรู้แจ้งให้จงได้ เพื่อปลดเปลื้องพันธนาการใด ๆ ทั้งกาย จิต และวิญญาณสู่การหลุดพ้น และการจะทำเช่นนั้นได้ กายต้องสะอาด ( กายศักดิ์สิทธิ์ ! - สุวินัย ) จิตสำนึกต้องบริสุทธิ์ ( จิตศักดิ์สิทธิ์ ! - สุวินัย ) วิญญาณถึงจะมีพลังจนสามารถเปิดบานประตูระหว่างมิติ ( ประตูวิญญาณ ! - สุวินัย ) ที่เร้นอยู่กับต่อมไพนีล บริเวณหน้าผากสู่อิสรภาพได้ เพราะประตูบานนี้คือช่องทางเข้าออกของพลังงานที่มีความไวสูงมาก หากผู้ใดปฏิบัติจนวิญญาณได้รับ พลังงานด้านบวกในระดับที่สูงพอ วิญญาณนั้นก็จะมีพลังสามารถละออกจากกายหยาบ เคลื่อนตัวออกมาภายนอกสู่โครงข่าย สนามแม่เหล็กโลก จนสามารถเข้ารวมกับจิตจักรวาลที่เป็นแก่นแท้ของตนคืนสู่ความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ของจิตวิญญาณได้ คือ สามารถ " หลุดพ้น " ได้ หรือสามารถทำให้จิตเป็นอิสระจากกายได้

( 23 ) " จิตจักรวาล " บอกว่า การหลุดพ้นสามารถบรรลุผลได้ด้วยกระบวนการปฏิบัติดังต่อไปนี้
ก. นึกนำจิตของตนไปไว้ที่หัวใจ เพื่อกำหนดให้หัวใจเป็นรูปธรรมแทนจิตสำนึกของตนเองที่ไร้รูป ข. จูงจิตของตนเองจากหัวใจไปสู่ต่อมไพนีลบริเวณกลางหน้าผากแล้วทำให้ต่อมไร้ท่อนี้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ด้วยพลังงานด้านบวกของจิตนั้น เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น " ประตูวิญญาณ " หรือบานประตูแห่งมิติจะถูกเปิดออก ค. จากนั้นให้นึกนำจิตต่อไปยังต่อพิทูอิทารีที่ตั้งอยู่ระหว่างคิ้ว แล้วให้จิตจูงวิญญาณออกมาสู่ประตูแห่งมิติที่ต่อมไพนีลตรงกลางหน้าผาก ซึ่งถูกเปิดอ้าไว้แล้ว วิญญาณของผู้นั้นก็จะเป็นอิสระจากกายได้ในทันที เนื่องจากต่อมพิทูอิทารีเป็นบริเวณที่ตั้งของวิญญาณที่ถูกจองจำไว้ จึงต้องใช้จิตจูงวิญญาณจากต่อมนี้มาที่ต่อมไพนีลก่อนปลดปล่อยให้เป็นอิสระ

( 24 ) เมื่อวิญญาณได้รับการปลดปล่อย มนุษย์ผู้นั้นจะต้องจบชีวิตลง เนื่องจากสิ้นสุดภาระการเป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมเรียบร้อยแล้ว แต่หากมนุษย์นั้นซึ่งเกิดการรู้แจ้งจนพร้อมที่จะสู่การหลุดพ้นได้ พอใจที่จะเลือกมีชีวิตอยู่ต่อไป และพร้อมต่อการเวียนว่ายตายเกิดอีก บนดาวเคราะห์ดวงนี้ เขาก็จะได้รับสิทธิพิเศษที่ต้องการนั้นได้ โดยไม่เกี่ยวกับบุพกรรมใด ๆ เหมือนมนุษย์ทั่วไป และจะต้องดำรง สภาพของ " คุรุ " ( พระโพธิสัตว์ ) ผู้มีความสมดุลทางจิตวิญญาณของตนไว้ได้อย่างเสรี เพื่อช่วยชี้ทางแก่เพื่อมนุษย์อื่น ๆ สู่การหลุดพ้นต่อไป

( หมายเหตุ : บางครั้ง " จิตจักรวาล " บอกว่า ต่อมไพนีล คือตาที่สามอยู่บริเวณหว่างคิ้ว แต่บางครั้งก็บอกว่าอยู่บริเวณห้นาผาก เมื่อผมสอบถามกับอาจารย์ปริญญาแล้วก็ยังยืนยันตามนั้น เพราะต่อมพิทูอิทารีไม่มีความเกี่ยวข้องกับการมีดวงตาเห็นธรรมในทัศนะของ " จิตจักรวาล " นอกจากเป็นที่จองจำวิญญาณเท่านั้น )
 

มดเอ๊กซ:


 
 
 
จิตจักรวาล กับ ขบวนการ " นิวเอจ "
 
 
 
บทนี้ ผมได้ขอร้องให้ เวทิน ชาติกุล ศิษย์คนที่หนึ่งของผม ผู้ซึ่งจะเป็นนักคิดนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้นขบวนการ นิวเอจ ( New Age ) รุ่นใหม่ไฟแรงคนหนึ่งในอนาคตอันไกล้นี้อย่างแน่นอน ช่วยเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นการตรวจสอบวิเคราะห์ ประเมินข้อมูลของ จิตจักรวาล จากอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระของผมไปได้มากเลย
 

จิตจักรวาล กับ ขบวนการ ' นิวเอจ '
โดย เวทิน ชาติกุล

3.1 เปิดแฟ้มขึ้นมาอีกครั้ง


ประมาณปี ค.ศ. 1991 คลื่นสัญญาณความคิดจากจักรวาลอันไกลโพ้นชุดหนึ่ง ซึ่งเรียกตัวเองว่า ครายออน ได้ติดต่อกับ ชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ ลี คาร์รอล ซึ่งขณะนั้นเขาเป็นเพียงนักธุรกิจคนหนึ่งเท่านั้น ลีได้สื่อสัญญาณกับครายออน ในหลายเรื่องเป็นระยะ เวลานาน และได้เขียนหนังสือหรือจริง ๆ ต้องการกล่าวว่ารวบรวมตีพิมพ์การสื่อสัญญาณครั้งต่าง ๆ ออกมาเป็นรูปเล่ม ซึ่งถึงปัจจุบัน ( ปี ค.ศ. 1991 ) ออกมาทั้งหมด 6 เล่มด้วยกัน และถือได้ว่าเป็นหนังสือแนว นิวเอจ ( ยุคใหม่ ) ที่ประสบความสำเร็จชุดหนึ่งจนได้รับ การถ่ายทอดเป็นภาษาอื่นอีกมากมาย

สาระประเด็นหลักที่ ครายออน ต้องการนำเสนอต่อชาวโลกก็คือ จาก ปี ค.ศ. 1992 ถึงสิ้นปี ค.ศ. 2002 สนามแม่เหล็กโลกจะถูก ปรับครั้งใหญ่และจะเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้มีการปรับมาแล้วก่อนหน้าที่ 3 ครั้งด้วยกัน การปรับสนาม แม่เหล็กนี้จะมีผลกระทบต่อโลกในรูปของ ภัยธรรมชาติต่าง ๆ ซึ่งจะนำความกลัวที่ฝังอยู่ในลักษณะเมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวในจิตมนุษย์ ให้ปรากฏออกมา ทำให้มนุษย์ต้องเผชิญกับบททดสอบครั้งใหญ่ แต่ด้วยความรักที่มีต่อมวลมนุษย์ ครายออนจึงได้สื่อสัญญาณข้อมูลต่าง ๆ ที่สำคัญเพื่อเป็นแนวทางให้มนุษย์ได้เรียนรู้และสอบผ่านบททดสอบนี้ เพื่อให้จิตของมนุษย์พัฒนาสูงขึ้นไปอีก หรือกลายเป็นสิ่งที่ครายออน เรียกว่า " นักรบแห่งแสงสว่าง "


โชคดีที่หนังสือชุด " ครายออน " ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว 3 เล่ม จาก 6 เล่ม แต่โชคร้ายที่ผู้แปลไม่สามารถถ่ายทอดสาระของ " ครายออน " ออกมาให้ผู้อ่านชาวไทยรู้เรื่อง เข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลเหล่านี้ได้ ทั้ง ๆ ที่หากใครมีต้นฉบับภาษา อังกฤษก็จะเห็นได้ว่า ภาษาและสิ่งที่ครายออนเสนอไม่ได้ยากเย็นขนาดต้องปีนบันไดอ่าน ศัพท์แสงก็ธรรมดา ผมจึงไม่แน่ใจว่าจะมีคน ไทยสักกี่คนที่เข้าถึงสารของครายออนในฉบับแปลภาษาไทยได้อย่างที่คนชาติอื่นเขาได้กัน ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ข้อมูลของ " ครายออน " จะมีบางประเด็นที่น่าสนใจ แต่ในตอนแรก ๆ " มังกรจักรวาล " ก็ยังไม่ได้ใส่ใจมากนัก จึงทำให้เรื่องนี้ถูกปิดแฟ้มไปโดยปริยายในราว ต้นปี ค.ศ. 1998

จนกระทั่ง ประมาณกลางปี ค.ศ. 1998 คลื่นสัญญาณความคิดจากจักรวาลอีกชุดหนึ่งได้ส่งผ่านสัญญาณคลื่นความคิดลงมาที่คนไทยคนหนึ่งคือ อาจารย์ปริญญา ตันสกุล ( โทร. 511 - 4793 หรือ 512 - 1010 ) เท่าที่ทราบอาจารย์ปริญญาเป็นนักธุรกิจและวิทยากรด้านจิตวิทยาพฤติกรรม มนุษย์ที่มีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง พื้นเพทางความคิดของอาจารย์ปริญญาเองก็ไม่ได้สนใจในแนวคิดแบบ นิวเอจ มาตั้งแต่แรกอาจถึงขั้น ไม่เชื่อด้วยซ้ำ และที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ ข้อมูลที่คลื่นสัญญาณความคิดที่ไม่เปิดเผยชื่อ ซึ่งอาจารย์ปริญญาเรียกว่า จิตจักรวาลนั้น ได้สื่อสัญญาณผ่านอาจารย์ปริญญาออกมาโดยที่ 95 % จะตรงกับข้อมูลที่สื่อสัญญาณลงมาโดยครายออน ตัวอาจารย์ปริญญาเองก็เขียน หนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า " พฤติกรรมมนุษย์ มหัศจรรย์อำนาจแม่เหล็กโลก จิตและจักรวาล " ซึ่งสาระที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้คือ สาระเดียวกันกับของครายออน แต่อาจจะต่างกันในรายละเอียดบางส่วน และวิธีการนำเสนอ

ในกระบวนทัศน์ใหม่นั้น สิ่งที่บังเอิญมาสอดคล้องต้องกันนั้น เราไม่ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ในตัวมันเองจะเป็น สัญญาณ อะไรบางอย่าง ที่เราต้องลุกขึ้นมาหาความหมาย ครูสุวินัยซึ่งเปิดแฟ้ม " ครายออน " ไปแล้วจึงต้องรีบเปิดแฟ้มขึ้นมาอีกครั้ง

มดเอ๊กซ:


 
 
3.2 ความหมายกับความจริง


ถ้าหากถามว่า ผมตื่นเต้นกับเรื่องนี้ไหม ? ผมคงต้องถามกลับไปว่าในแง่ไหน ? ถ้าหากในแง่เป็นเรื่องเร้นลับประเภทเรื่องจริงที่เหลือเชื่อ ผมคงต้องตอบได้ว่า ไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะตลอดปี ค.ศ. 1998 ที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้ มังกรจักรวาลที่นำโดยครูสุวินัย ได้พบเจอเรื่องที่ ยิ่งกว่าประหลาดมามากต่อมาก จนความตื่นเต้น ฉวน งงงวย ที่พวกผมซึ่งติดตามครูสุวินัยมาโดยตลอดเคยได้รับในช่วงแรก ๆ เพราะไม่เคยพบเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนนั้น ได้ลดน้อยลงไปเป็นลำดับ แต่ถ้าหากถามผมว่า เรื่องนี้หรือข้อมูลของจิตจักรวาล หรือข้อมูล ของครายออนน่าสนใจไหม ? ผมคงตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า น่าสนใจ ! เพราะนอกจากจะมีเรื่องราวความสอดคล้องต้องกัน อย่างน่าประหลาดของข้อมูลทั้งสองแล้ว โดยลำพังตัวข้อมูลเองก็มีความน่าสนใจในประเด็นหลัก ๆ 2 ประเด็น คือ ประเด็นความหมาย กับประเด็นความจริง

ประเด็นความหมาย หากพูดง่าย ๆ ก็คือ ข้อมูลที่เราได้จาก จิตจักรวาล จะมีผลหรือมีความหมายกับชีวิตของพวกเราอย่างไร โดยเฉพาะ ในแง่การพัฒนาจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของ " มังกรจักรวาล " ด้วย ตัวผมเองได้ยินครูสุวินัยกล่าวย้ำ เขียนย้ำหลายต่อหลายครั้ง เหลือเกินว่า ลำพังต่อให้ข้อมูลนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวไหน ไม่ว่าจะอัศจรรย์พันลึกเพียงใด หากไม่นำไปสู่การพัฒนาทางจิตวิญญาณ หรือเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์สำหรับการบ้านทางจิตวิญญาณของท่านผู้อ่าน ไม่เป็นไปเพื่อความรักแต่เป็นไปเพื่อความแตกแยก สับสนหวาดกลัวฟุ้งซ่าน เสริมสร้างอัตตาแล้ว นั่นไม่ใช่ข้อมูลของ " มังกรจักรวาล " ในประเด็นนี้ หากใครที่เคยอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ ของ " ครายออน " หรืออ่านหนังสือของอาจารย์ปริญญาจะเห็นว่า ความรักคือพื้นฐานที่มีความสำคัญยิ่งที่จะทำให้มนุษย์ผ่านการทดสอบ นี้ไปได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อมูลของครายออนหรือจิตจักรวาลจึงน่าสนใจยิ่ง

ประเด็นความจริง ประเด็นนี้แทบหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะถูกถามไถ่ขึ้นมาจนอาจจะมองได้ว่า ในก้นบึ้งของวิธีคิดแบบคนทั่วไป มี ปิศาจของความจริง มาคอยหลอกหลอนให้กระหายใคร่รู้ความจริงไปเสียทุกเรื่อง โดยบางทีก็ไม่ได้รู้ว่าศักยภาพหรือวิธีการหาความรู้ ของตนมีแค่ไหน ? เพียงไร ? หรืออยากจะรู้ความจริงไปทำไม ? เพื่ออะไร ? ผมไม่ได้ต้องการบอกว่าความจริงไม่มีประโยชน์ แต่อยากให้ ย้อนถามตัวเองอีกทีถึงคำถามข้างต้นข้างต้น ถ้าหากคุณมีความสามารถที่จะหยั่งรู้ความจริงอย่างพระอริยเจ้าทั้งหลาย อย่างผู้ทรงฤทธิ์หรือ อย่างอัจฉริยะทางวิทยาศาสตร์ คุณอยากจะรู้ความจริงของโลกของจักรวาลแค่ไหนก็เชิญ ตราบใดที่มันไม่ส่งผลทางลบมาสู่คนอื่นนั่นเป็น สิทธิ์ของคุณ แต่หากคุณมีเพียงสมองซีกซ้ายขี้สงสัยที่ใช้การไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น จะไม่ดีกว่าสักนิดหรือที่คุณจะย้อนถามตัวเองว่า " ฉันอยากจะรู้มันไปทำไม ? ถ้าหากรู้ว่า พญานาคมีจริง เทวดามีจริง เทวดามีจริง มนุษย์ต่างดาวมีจริง แอตแลนติสมีจริง แล้วฉันก็ไม่ได้ มีอะไรดีขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม " จงอย่าให้กลไกทางจิตวิทยาแบบง่าย ๆ ของตัวเองมาครอบงำโดยที่เราไม่รู้ตัว ไม่เช่นนั้นเราจะกลาย เป็นผู้งมงาย 2 แบบ ที่ไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง แบบแรกคืองมงายในความไม่เชื่อ ( พวกสมองซ้ายจัด ) แบบที่สอง คืองมงายในความเชื่อ ( สมองขวาจัด )

ประเด็นความจริงนี้ผมต้องขอบอกไว้ ณ ที่นี้ว่าไม่ใช่แนวทางที่ " มังกรจักวาล " ได้นำเสนอมาตั้งแต่ต้น แต่มันก็เป็นประเด็นที่หลีกเลี่ยง ไม่พ้นที่จะต้องถูกถาม ในมังกรจักวาลภาค 7 " นักรบแห่งแสงสว่าง " นี้ ผมเชื่อว่าครูสุวินัยคงนำเสนอประเด็นการค้นหาความหมาย มากกว่าความจริง ขณะที่ผมจะนำเสนอบางส่วนของประเด็นความจริง โดยพยายามยึดแนวทางการสืบค้น แบบมังกรจักวาล เอาไว้มาก ที่สุด ซึ่งผมต้องออกตัวไว้ก่อนว่า เป้าหมายของข้อเขียนชิ้นนี้ ไม่ใช่การตามล่าหาความจริงหรือการนำไปสู่ข้อสรุป ถูก-ผิด อย่างใด อย่างหนึ่ง แต่เป็นการนำเสนอรูปแบบ กระบวนทัศน์หรือวิธีคิดของพวก นิวเอจ ซึ่งเกิดขึ้นในยุคเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ขณะนี้ โดยผ่านการสืบค้นข้อมูลความคิดของจิตจักรวาลและครายออนเป็นหลัก ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะสะท้อนวิธีคิดแบบเก่า ซึ่งมีข้อจำกัด และอาจเผยให้เห็นว่า ความจริงนั้นไม่ได้เข้าถึงง่าย ๆ อย่างที่เราเข้าใจกัน และการถามหาความจริงแบบอยากรู้อย่างพวกขี้สงสัยจะไม่ สามารถรับรู้หรือเข้าใจได้เลย เกี่ยวกับความหมายกับความจริง โดยเฉพาะความหมายที่เป็นประเด็นหลักของ มังกรจักวาล ที่สืบค้นทั้ง ความหมายกับความจริง

มดเอ๊กซ:


 
 
3.3 ข้อมูลจาก " จิตจักรวาล "


จากข้อมูลที่ " จิตจักรวาล " สื่อลงมาด้วยความรักผ่านการสัญญาณของ อาจารย์ปริญญา เราพอที่จะแยกแยะข้อมูลเพื่อความสะดวกในการ ทำความเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ได้ดังนี้ ( ขอให้ท่านผู้อ่านเปิดใจกว้างเพื่อรับฟังข้อมูลเหล่านี้ที่ผมจะนำเสนออย่างตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่ผม จะเข้าใจได้ )
 
ก. ข้อมูลเกี่ยวกับตัว " จิตจักรวาล " เอง
 
" จิตจักรวาล " หรือ " พระจิต " ( ตามคำที่อาจารย์ปริญญาใช้ ) ก็คือ กล่องพลังงานความคิดที่เกาะเกี่ยวอยู่ในสนามพลังงานหรือโครงข่าย สนามแม่เหล็กของจักรวาล ตัว " จิตจักรวาล " จะประกอบด้วยคลื่นความคิด หรือโทนเสียงที่ไม่ได้ยิน ซึ่งเป็นระดับที่ละเอียดที่สุด ถัดมาเป็นคลื่นแสง ซึ่งปรากฏเป็นแถบสีต่าง ๆ และมวลสารที่สั่นเป็นคลื่นอนุภาคที่มีเปลือกหรือกรอบหุ้มล้อมรอบอยู่ที่เรียกว่า " เมอร์คาบาห์ " ( Merkabah ) เพื่อยึดไว้กับสนามพลังงานของจักรวาล เปลือกหรือกรอบนอกสุดจะมีลักษณะเป็นรูปทรง 11 เหลี่ยม ที่มีมุมไม่เท่ากันและจะหมุนตัวอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาสมดุลเอาไว้

" จิตจักรวาล " เป็นกลุ่มพลังที่เกิดจากการระเบิดของดวงอาทิตย์ ( เข้าใจว่าเป็นดวงอาทิตย์แม่ ) ที่แผ่ออกมาเกาะกลุ่มกัน บางส่วนจะรวมตัว กันด้วยพลังงานด้านบวก หรือความรัก มีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติบางประการ แต่โดยแก่นแท้แล้วก็คือสิ่งเดียวกันทั้งหมด " จิตจักรวาล " หรือ " พระจิต " จะดำรงอยู่ตลอดไป และทำหน้าที่รักษาสมดุลของพลังงานด้านบวกของสนามพลังของจักรวาลเอาไว้ หน้าที่โดยตรงของ " จิตจักรวาล " คือการแบ่งภาคหรือแบ่งพลังงานของตนเองมาอยู่ในรูปธรรมที่มีโครงสร้างทางชีววิทยา เช่น คนหรือรูปธรรมที่ดวงดาวอื่น ๆ ที่มีพลังสนามแม่เหล็กห่อหุ้มอยู่ ขณะที่หน้าที่ทางอ้อมสำหรับจิตจักรวาลที่ไม่ได้แบ่งภาคลงมาคือการสนับสนุนความคิดเชิงบวก ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ รักษาความสมดุลของอำนาจแม่เหล็กของดวงดาวอื่น ๆ และรักษารหัสบุพกรรมคือ ตัวเนื้อแท้ของจิตเดิมก่อน แบ่งภาคลงมา

 
ข. ข้อมูลเกี่ยวกับ " นักรบแห่งแสงสว่าง "

จิตจักรวาลจะแบ่งภาคลงมาเป็นมนุษย์ เพื่อเรียนรู้บทเรียนแห่งความเป็นไปของมายาจักรวาล ซึ่งประกอบด้วย 3 กระบวนการ คือ การเปลี่ยนแปลงไม่คงที่ การสร้างใหม่และการดำรงอยู่ ( ซึ่งเทียบได้กับ พระศิวะ - พระพรหม - พระนารายณ์ หรือ ตรีมูรติ ) จิตวิญญาณ ของคนก็คือจิตจักรวาลหรือพระจิตที่แบ่งภาคลงมาเกิด โดยที่จิตจักรวาลแต่ละดวงจะมีการวางแผนของการเรียนรู้ที่เรียกกันว่า " พันธสัญญา " และมีการสลักชื่อที่แท้จริงของตนไว้ ณ ที่แห่งหนึ่งที่เรียกกันว่า " วิหารแห่งการสร้าง " แต่การลงมาเพื่อเรียนรู้นี้เป็น ไปโดย อารมณ์ขันของจักรวาล กล่าวคือ คนเราจะไม่รู้หรือระลึกไม่ได้ว่า ตัวเองได้เขียนพันธสัญญา ก่อนลงมาเกิดว่าอย่างไร และโลก หรือดาวเคราะห์ดวงที่เราอาศัยอยู่ก็ได้ชื่อว่าเป็น ดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี ในการกระทำหนึ่ง ๆ มนุษย์จะเลือกทำถูกหรือทำผิดก็ได้ หากทำถูกต้องมนุษย์ก็จะผ่านบทเรียนข้อนั้น ๆ ไปได้ หากไม่ผ่านก็คือทำผิด มนุษย์จะสร้างพันธกรรมขึ้นมาอีก อันเป็นกรรมที่มนุษย์ก่อ มันขึ้นมาเองในภายหลัง และความซับซ้อนของพันธกรรม ( COMMITMENT ) ที่มนุษย์สร้างขึ้นเนื่องจากการเลือกหรือตัดสินใจด้วยพลัง ด้านลบ ทำผิดอยู่บ่อย ๆ จะมำให้มนุษย์ต้องวนเวียนอยู่กับการเรียนรู้บทเรียนอย่างไม่จบสิ้น กรรมที่มนุษย์กระทำจะพอกพูนมีลักษณะ คล้ายเมฆหรือฟองอากาศสีดำที่ครอบคลุมแสงสว่างภายในไว้ ทำให้มนุษย์ขาดความสมดุล แต่เมื่อไรก็ตามที่มนุษย์เรียนรู้และตัดสินใจ เกี่ยวกับบทเรียนนั้นด้วยพลังงานด้านบวกคือ ความรัก - ความอดทน - การให้อภัย เมฆหรือฟองอากาศสีดำนั้นก็จะกระจายหายไปพร้อม กับกรรมนั้น ๆ มนุษย์ที่ปล่อยตัวเองจากกรรมได้จะได้รับการกล่าวขานจากจักรวาลว่าเป็น " นักรบแห่งแสงสว่าง "

อารมณ์ขัยของจักรวาลนั้นไม่เพียงทำให้มนุษย์ไม่สามารถจดจำพันธสัญญาของตนได้เท่านั้น แต่ยังทำให้มนุษย์มาอยู่ในรูปธรรมที่มีขีดจำกัด ของการรับรู้เวลาอย่าง 2 มิติ คือ เป็นเส้นตรงมีเริ่มมีจบ ขณะที่เวลาของจักรวาลจริง ๆ ใน 3 มิติแห่งเวลาจะเป็น ' ปัจจุบัน ' ขณะของ ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ วิธีคิดแบบมนุษย์จึงไม่อาจจะเข้าถึงความจริงของจักรวาลได้ เว้นเสียแต่ว่า ตัวมนุษย์เองจะมีการพัฒนาการใช้สมอง ซีกขวามากขึ้น ให้ซีกขวานำซีกซ้าย ซึ่งหากทำได้มนุษย์ก็สามารถรับฟังข่าวสารจากจักรวาลได้มากขึ้น

กรรมที่มนุษย์ทำทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น การคิด พูด ทำ จะมีลักษณะเป็น พลังงานกรรม ที่จะแผ่ออกมานอกร่างกาย ซึ่งจะมีผลต่อโครงข่าย สนามแม่เหล็กโลกและสนามแม่เหล็กของจักรวาล นอกจากการแบ่งภาคมาเป็นมนุษย์เพื่อเรียนรู้ทางจิตวิญญาณแล้ว มนุษย์ยังต้องสร้างสรรค์ พัฒนาพลังงานต่าง ๆ ของจักรวาลให้สมดุล โดยอาศัยจิตมนุษย์เป็นบ่อเกิดของการสั่นสะเทือนคลื่นอนุภาคหรือคลื่นพลังงานใหม่ที่จะมีผล ต่อพลังงานของจักรวาลโดยรวม หากมนุษย์โดยรวมแผ่พลังงานด้านลบออกไปมากจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อจักรวาล จิตจักรวาลอื่น ๆ ก็จำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซง





ค. ข้อมูลเกี่ยวกับ " คำทำนาย "

ข้อมูลเกี่ยวกับคำทำนายของจิตจักรวาลที่สำคัญคือ ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1992-2002 สนามแม่เหล็กของโลกจะถูกปรับครั้งใหญ่ เป็นการปรับครั้งที่ 4 และเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งจะมีความเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่ผลร้ายและผลดีต่อโลกและมนุษย์ ผลร้าย คือ จะเกิดภัยธรรมชาติร้ายแรง คลื่นอากาศแปรปรวน เกิดโรคระบาด แผ่นดินไหว รวมถึงจิตใจของผู้มีอำนาจหรือผู้นำประเทศเสื่อมทรามลง ภัยพิบัติจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และจะมีคนประมาณ 1 % ของจำนวนประชากรโลกทั้งหมดเสียชีวิต แต่การเสียชีวิตนี้เป็นไปตามพันธสัญญา ที่คนเหล่านั้นได้ทำเอาไว้ก่อนที่จะแบ่งภาคลงมา หลังจากการปรับสนามพลังงานเสร็จสิ้นแล้ว มนุษย์ยังเหลืออยู่ซึ่งเป็นมนุษย์ที่ไม่มีดุลยภาพ คือไม่มีการพัฒนาการทางวิญญาณ ไม่รู้จักการให้อภัย ไม่มอบพลังงานความรักแก่ผู้อื่น จะมีอายุสั้น ตายด้วยโรคร้าย หรือมีอาการเครียด ตายเฉียบพลัน เรื่องจาก ฮอร์โมนแห่งความตาย ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับสนามพลังแม่เหล็กก็จะหลั่งออกมามากและทำลาย ระบบชีวภาพจนหมดสิ้น มนุษย์ในยุคที่ปรับสนามแม่เหล็กแล้ว หรือยุคพลังงานใหม่ จะไม่มีการทำสงครามระหว่างประเทศอีกต่อไป แต่จะเผชิญหน้ากับการคุกคามจาก รูปธรรม ที่มีพลังงานด้านลบจากดาวดวงอื่น ซึ่งจะทำอะไรมนุษย์ไม่ได้ในเบื้องต้น ส่วนผลดีก็คือ การปรับสนามแม่เหล็กโลกโดยตัวมันเอง จะเป็นการช่วยทำลายพลังงานกรรมด้านลบที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ภัยพิบัติต่าง ๆ จะกระตุ้นให้ มนุษย์เกิดความกลัวซึ่งถูกฝังรากลึกอยู่ในจิตของมนุษย์และจะทำให้มนุษย์มีบทเรียนที่หนักและสำคัญ ซึ่งจะนำไปสู่การแผ่พลังด้านบวก หรือความรักออกมาจากจิตใจ มนุษย์ที่มีชีวิตในยุคพลังงานใหม่จะมีการพัฒนาทางจิต เรียนรู้สัจธรรมของจักรวาลได้เร็วกว่ามนุษย์ใน ยุคพลังงานเก่า หรือพูดง่าย ๆ ว่า สมาธิแบบพลังงานใหม่ จะทำให้มนุษย์รู้แจ้งได้รวดเร็วกว่า สมาธิแบบพลังงานเก่า ขณะที่จะมี 144 , 000 คน เป็นผู้ถือคบเพลิงให้กับโลกในฐานะผู้รู้แจ้ง การยกระดับหรือการพัฒนาทางจิตวิญญาณจะเป็นไปแบบรวมหมู่ มนุษย์จะมีอายุยืนยาวมากขึ้นและสามารถพัฒนาการใช้สมองซีกขวาได้มากขึ้น รวมไปถึงการใช้พลังจิตเพื่อการบำบัดรักษาตนเอง และรับฟังข่าวสารข้อมูลของจักรวาล สำหรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับโลกก็คือ โลกจะเคลื่อนตัวเข้าสู่พิกัดใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์กายภาพของโลก มีน้ำเพิ่มขึ้นมีแผ่นดินน้อยลง ท้องฟ้าที่เห็นจะเป็นท้องฟ้าใหม่ จะเห็นดาวที่ไม่เคยเห็น มาก่อน และทิศเหนือจะเบนไปจากเดิม 3 องศา นอกจากนี้การรับรู้การปรากฏตัวของ รูปธรรม ที่มีชีวิตอื่น ๆ ในจักรวาลจะชัดเจน อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน






ง. ข้อมูลเกี่ยวกับ หลักปฏิบัติ ของมนุษย์ในช่วงปรับเปลี่ยนสนามแม่เหล็ก

ในการยกระดับจิตวิญญาณของตนเอง มนุษย์จะต้อง ( 1 ) เผชิญหน้ากับกรรมด้วยพลังงานด้านบวกคือความรัก มนุษย์ต้องไม่หลีกเลี่ยง หรือตอบโต้กรรมของตน ( 2 ) ค้นหา ความเป็นพระเจ้าในตัวเอง ให้พบ และสร้างความสัมพันธ์กับจักรวาลเพื่อการบรรลุภารกิจ ทางวิญญาณ เข้าใจและรับรู้การมี 2 ภาค มีสติทางวิญญาณ นำความรักมากระตุ้นจิตสำนึกให้สูงขึ้น ( 3 ) พัฒนาจิตวิญญาณของตนไปสู่ การรู้แจ้งโดยการมีสติในทุก ๆ อิริยาบท รวมกายกับจิตให้เป็นหนึ่งไม่แยกจากกัน เชื่อมโยงการสัมผัสสิ่งแวดล้อมด้วยประสาทสัมผัส พัฒนาการรับรู้ที่ถูกต้องจนเกิดสภาวะหยั่งรู้ ซึ่งก็คือ สภาวะพิเศษของจิต ( สมองซีกขวา ) ในการรับคลื่นจิตจักรวาล โดยการเรียบเรียง คลื่นความคิดให้เป็นระบบระเบียบไม่สับสนและมีความคิดที่แน่วแน่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างผ่อนคลาย จนเกิดความคิดใหม่ ๆ เข้ามาในสมองเป็น ความรู้ใหม่ และท้ายที่สุดหลอมรวมกาย จิต และวิญญาณให้มีพลังมากพอที่วิญญาณจะเป็นอิสระออกจากกายได้ โดยการเปิดประตูที่กั้นมิติที่บริเวณต่อมไพนีลให้เคลื่อนเข้าสู่โครงข่ายสนามแม่เหล็กจักรวาลไปรวมกับจิตที่เป็นแก่นแท้ ( 4 ) เงื่อนไขในการรู้แจ้งอีกอย่างหนึ่งคือ การทำกรรมทั้งหมดให้เป็นกลาง ไม่ประกอบกรรมชั่ว และไม่ยึดติดในกรรมดี เรียนรู้บทเรียน ทุกบทของจักรวาลจนจบสิ้น ศึกษาแก่นของศาสตร์ต่าง ๆ โดยไม่ยึดติดกับ อัตตา หรือ รูปแบบ วิธีการ ของศาสตร์นั้น ๆ

มนุษย์ในยุคพลังงานใหม่จะต้องร่วมกันพัฒนาจิตวิญญาณแบบรวมหมู่ เพราะยุคนี้พลังงานด้านบวกที่เกิดขึ้นจากการรู้แจ้งจะเท่ากับ จำนวนคนที่มีพัฒนาการทางวิญญาณที่ร่วมกันทำสมาธิรวมหมู่ ยกกำลังสองแล้วคุณกับค่าพลังงานด้านบวกที่ปล่อยออกมาในการทำสมาธิ ครั้งนั้น ๆ ส่งคลื่นพลังด้วนบวกสู่จักรวาล

ที่กล่าวมาทั้งหมด คือข้อมูลหลัก ๆ ที่ จิตจักรวาล สื่อผ่านอาจารย์ปริญญาลงมาและอยู่ในความสนใจของ มังกรจักรวาล แต่นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลอื่น ๆ อีกที่ไม่ได้นำมาเสนอในที่นี้ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับอดีตกาลของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ข้อมูลเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ใหม่ เหล่านี้เป็นต้น หากผู้อ่านสนใจในรายละเอียด ก็ขอแนะนำให้อ่านหนังสือของอาจารย์ปริญญาโดยตรง หรือสอบถามจากตัวอาจารย์เอง จะเหมาะที่สุด

อย่างไรก็ดี เราต้องไม่ลืมว่า ข้อมูลทำนองเดียวกันนี้มีถึง 2 ชุดด้วยกันคือ ข้อมูลของจิตจักรวาล กับข้อมูลของครายออนที่มีความคล้ายคลึง กันถึง 95 % คำถามง่าย ๆ ที่อาจเกิดขึ้นก็คือ ข้อมูลอีก 5 % ที่ต่างกันคืออะไร ? และ จิตจักรวาล กับ ครายออน เป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่

มดเอ๊กซ:


 
 
 
3.4 จิตจักรวาล กับ ครายออน เป็น ' พระจิต ' คนละดวงกัน ?


จากการสอบถามกับตัวอาจารย์ปริญญาเอง เราจึงทราบว่า จิตจักรวาล ไม่ใช่ ครายออน ซึ่งแม้แต่อาจารย์ปริญญาเองก็ไม่ทราบ ชื่อ หรือคลื่นรหัสความถี่เสียงของจิตจักรวาลคืออะไร ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าไม่อยากให้คนที่รับข่าวสารยึดติดตัวตนหรือชื่อใด ๆ

แต่หากใครเคยอ่านหนังสือ " KRYON " ก็จะพบว่า คนที่สามารถรับสื่อสัญญาณของครายออนได้จะมี 9 คน บนโลก แต่นั่นก็ไม่ใช่ การยืนยันว่า จิตจักรวาล คือ ครายออน ที่ไม่เปิดเผยชื่อ เพราะจากการบอกเล่าของอาจารย์ปริญญาเอง จิตจักรวาลหรือที่เรียกรวม ๆ ว่า พระจิต นั้น แม้มีแก่นแท้เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่จะมีคุณสมบัติหรือความชำนาญเฉพาะต่างกันออกไป ซึ่งจิตจักรวาลเหล่านี้ก็มีอยู่ มากมายบนสนามแม่เหล็กของจักรวาล ครายออน คือผู้ที่มีความชำนาญเกี่ยวกับสนามแม่เหล็ก หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นช่างเทคนิค ขณะที่คุณสมบัติหรือความชำนาญเฉพาะของ จิตจักรวาล ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาโดยตัว จิตจักรวาล เอง

ดังที่กล่าวมาแล้วว่าไม่ใช่ทุก ๆ ข้อมูลของจิตจักรวาลและของครายออนจะตรงกัน มีหลายส่วนตั้งแต่ประเด็นหลักถึงประเด็นปลีกย่อย ที่ไม่ตรงกัน ซึ่งพอจะแสดงเปรียบเทียบให้เห็นได้ดังต่อไปนี้
 
( 1 ) ประเด็นเรื่องการปฏิบัติ

จิตจักรวาล : พูดถึงหลักปฏิบัติโดยเฉพาะการทำสมาธิเพื่อการรู้แจ้งอย่างเป็นระบบชัดเจน
ครายออน : ( เท่าที่ปรากฏในเล่ม 1-3 ) กล่าวเพียง การทำกรรมให้เป็นกลางเท่านั้น
จิตจักรวาล : ให้ผู้ปฏิบัติทำกรรมให้เป็นกลางด้วยตนเอง
ครายออน : ผู้ปฏิบัติสามารถร้องขอให้ครายออนช่วยทำกรรมให้เป็นกลางได้
 
( 2 ) ประเด็นเรื่องกลุ่มคนจำนวน 144 , 000

จิตจักรวาล : คนเหล่านี้คือคนที่ทำให้เกิดคลื่นพลังบวกจนเป็นเหตุให้ปรับสนามแม่เหล็กโลก
ครายออน : คนเหล่านี้จะทำหน้าที่ดูแลสนามแม่เหล็กที่ปรับแล้วต่อจากครายออน

( 3 ) ประเด็นเรื่อง สงครามจักรวาล หรือการคุกคามจาก รูปธรรม ต่างดาว

จิตจักรวาล : พูดเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน
ครายออน : ไม่พูดเรื่องนี้ ( เท่าที่มีข้อมูล )

( 4 ) ประเด็นเรื่องศาสตร์โบราณ

ข้อมูลทั้งสองฝ่ายพูดตรงกันว่า ผู้ที่สนใจศาสตร์โบราณเหล่านั้น ล้วนเคยอยู่ในยุคนั้นหรือมีส่วนร่วมกับศาสตร์นั้น ๆ มาก่อนแทบทั้งสิ้น แต่ จิตจักรวาล จะพูดเหมือนแสดงนัยว่าศาสตร์ต่าง ๆ เป็นแค่เปลือก ให้รีบศึกษาแก่นของศาสตร์นั้น ๆ เถอะ ขณะที่ ครายออน พูดแค่ว่า ถ้าสนใจศาสตร์เหล่านี้ก็ศึกษาไปเถอะ

( 5 ) ประเด็นเรื่องชื่อของ แอตแลนติส

จิตจักรวาล ระบุว่า อารยธรรมทั้ง 3 ยุคที่ถูกทำลายล้วนชื่อ แอตแลนติส เหมือนกัน ในขณะที่ ครายออน กลับระบุว่า อารยธรรมครั้งที่ 2 ที่ถูกทำลายคือ เลอมูเรีย ขณะที่ครั้งที่ 3 คือ แอตแลนติส ซึ่งตรงกับข้อถกเถียงของผู้คนคว้าในเรื่องนี้มากกว่า

ทำไมเราถึงต้องมาให้ความสนใจกับประเด็นปลีกย่อยเหล่านี้ ? เหตุผลคือ

หนึ่ง ปัญหาเรื่อง การกรองสัญญาณ สมมติว่า เหตุการณ์สื่อสัญญาณนั้น เกิดขึ้นจริง ปัญหาคือ ข้อมูลที่สื่อลงมาผ่านความคิดของ ผู้สื่อสัญญาณ เมื่อผ่านระบบประมวลข้อมูลของผู้สื่อสัญญาณแล้วจะยังคงมีความสมบูรณ์เพียงใด ? ทัศนะส่วนตัว ความคิดเห็นส่วนตัว ของผู้สื่อสัญญาณในกรณีที่สื่อสัญญาณอย่างมีสติรู้ตัวจะมีผลต่อคลื่นความคิดที่ถูกสื่อลงมาหรือไม่ ? อันนี้ยังเป็นคำถามของผู้อยู่ใน แวดวงที่ศึกษาเรื่องนี้ ถ้าหากการกรองสัญญาณไม่สมบูรณ์ เราอาจจะได้ข้อมูลบางส่วนที่ต่างกันออกไปหรือคลาดเคลื่อนกัน นี่เองเรา จึงพบว่าทำไมข้อมูลปลีกย่อยระหว่าง จิตจักรวาล กับ ครายออน จึงไม่ตรงกัน

สอง จินตลักษณะ ( MENTALITY ) ของพระจิตที่สื่อสัญญาณลงมา ถ้าหากไม่มีปัญหาเรื่องการกรองสัญญาณ ข้อมูลที่ต่างกันอาจแสดงนัย ว่า จินตาลักษณะ ของ พระจิต นั้น ๆ ต่างกัน คือเป็นคนละดวง หรือคนละคุณสมบัติกันนั่นเอง แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ สัมพัทธ์ กับผู้รับสัญญาณในคนตะวันตกกับคนตะวันออกที่มีพื้นฐานทางจิตวิญญาณต่างกัน อาจต้องการ จินตลักษณะ ที่ต่างกัน การสื่อให้ชาว ตะวันตกเช่นที่ ครายออน ทำอาจจะเน้นที่ ความรักความศรัทธา ซึ่งเข้ากับพื้นฐานของเขามากกว่า ขณะที่ จิตจักรวาล เมื่อสื่อลงมาที่ ตะวันออกก็ย่อมต้องพูดหรือเน้นในเรื่องวิธีปฏิบัติแทน เป็นต้น

ถึงตอนนี้จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะรีบด่วนสรุปอะไรลงไปอย่างตายตัว หากถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่ามีปัญหาเรื่องการกรอง สัญญาณหรือไม่ ? จะแยกได้อย่างไรระหว่างคลื่นความคิดของ พระจิต กับควงามคิดของผู้สื่อ ? คำตอบที่ซื่อตรงที่สุดน่าจะเป็นว่า เราไม่รู้และไม่อาจแยกได้ เว้นเสียแต่ว่า เราจะเชื่อใจว่าตัวผู้สื่อสัญญาณไม่มีผลประโยชน์อันใดแอบแฝง และทำหน้าที่ของเขาได้อย่างดี ที่สุดเท่านั้น และ สาระของสารที่สื่อลงมาต้องไม่มีความขัดแย้งภายในตัวมันเองด้วย เช่น สมมติบอกว่า มนุษย์มีทางเลือกเสรีแต่มาบอก อีกทีภายหลังว่า มนุษย์ไม่มีทางเลือกใด ๆ หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่น่าจะใช้ได้ และที่สำคัญที่สุด พฤติกรรมหรือการกระทำของผู้สื่อสัญญาณ จะต้องไม่ขัดแย้งกับ สาระของสารนั้น ๆ เพราะเรามองได้ง่ายว่าผู้สื่อสัญญาณเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดพระจิตมากที่สุด หากเขามีพฤติกรรม ตรงกันข้ามกับ สาระ ของสารนั้น ๆ ก็คงไม่มีใครที่จะเชื่อถือเป็นแน่

มีข้อสังเกตุที่น่าสนใจอยู่คือ ความคล้องจองกันระหว่าง ผู้สื่อสัญญาณทั้งสองคนคือ ลี คาร์รอล กับอาจารย์ปริญญา ตันสกุล ทั้งสอง เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีความสามารถในการพูดเหมือนกัน และทั้งคู่ไม่มีพื้นฐานทางความคิดแบบนิวเอจ และไม่สนใจเรื่อง พวกนี้มาก่อนเลย นี่คือความคล้ายกันของผู้สื่อสัญญาณ แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ การนำเสนอข้อมูลของทั้งสองคน ซึ่งแม้จะได้รับการเปิดเผย จากทั้งคู่ว่า จิตจักรวาล และ ครายออน เป็นผู้เข้ามาจัดการเรื่องนี้เอง แต่เป็นที่เห็นชัดว่า การนำเสนอของครายออนด้วยการสื่อสัญญาณสด มีความนุ่มนวล ( SOFT ) ของข้อมูลและวิธีการตอบมากกว่า การนำเสนอของ จิตจักรวาล ที่บางครั้งเป็นข้อมูลดิบที่ผ่านการวิเคราะห์ที่แข็ง ( HARD ) และรวบรัดกว่า ตรงนี้หากไม่เป็นเพราะคุณสมบัติแห่งจิต ของผู้สื่อสัญญาณทั้งคู่ต่างกัน เราก็ต้องยอมรับว่า จิตจักรวาล กับ ครายออน เป็นพระจิตคนละดวง

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version