แสงธรรมนำใจ > วัชรยาน

อาณาจักร ต่างมิติสุดลี้ลับ ชัมบาล่า อริยะนคร ของเหล่า นักรบแห่งแสงสว่าง

(1/2) > >>

มดเอ๊กซ:

 
โอม ! ท่านผู้ปราศจากจุดเริ่มต้นและไร้จุดจบผู้ครอบครองความรุ่งรุ่งโรจน์ของพยัคฆ์ ราชสีห์ ครุฑ และ มังกรผู้ครองครองความเชื่อมั่นอันเปี่ยมล้นเกินถ้อยคำข้าขอกราบประณต ณ เบื้องบาทแห่งองค์จักรพรรดิริกเดน
 
 
จากกระจกเงาอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวาลซึ่งปราศจากจุดเริ่มต้นและไร้จุดจบสังคมมนุษย์ก็อุบัติขึ้นมาในครั้งนั้น การหลุดพ้นและความสับสนก็อุบัติขึ้นด้วยเมื่อมีความกลัวและความสับสนสงสัยเกิดขึ้นกับความเชื่อมั่นซึ่งเป็นอิสระแต่ปฐมกาลผู้คนอันขาดเขลาจำนวนมากก็อุบัติขึ้นเมื่อความเชื่อมั่นซึ่งเป็นอิสระแต่ปฐมกาลได้รับการยอมรับและดำเนินตามนักรบจำนวนมากก็อุบัติขึ้นผู้คนอันขลาดเขลามากมายเหล่านั้นพากันซ่อนตัวอยู่ตามถ้ำเถื่อนพงไพรฆ่าพี่น้องและกัดกินเนื้อกันเองต่างประพฤติเยี่ยงอย่างสัตว์ต่างกระตุ้นเร้าความป่าเถื่อนในกันและกันต่างมีชีวิตอยู่เยี่ยงนี้เขาหล่อเลี้ยงและสุมไฟแห่งความเกลียดชังไว้เขากวนสายน้ำแห่งราคะให้ขุ่นข้นตลอดเวลาเขาเกลือกกลิ้งอยู่ในโคลนตมแห่งความเกลียดคร้านยุคสมัยแห่งความอดอยากและโรคระบาดก็อุบัติขึ้นสำหรับผู้ที่อุทิศตนแด่ความเชื่อมั่นแห่งปฐมกาลเหล่านักรบมากมายเหล่านั้นบ้างก็ขึ้นสู่ที่สูงบนภูเขาและสร้างปราสาทแก้วผลึกอันงดงามขึ้นที่นั่นบ้างก็ไปสู่ดินแดนแห่งทะเลสาบและเกาะแก่งอันงดงามและสถาปนาเวียงวังอันน่ารื่นรมย์ขึ้นบ้างก็ลงสู่ที่ราบลุ่มการเกษตรเพาะปลูกข้าวเจ้า ข้าวบารืเลย์และข้าวสาลีต่างอยู่ร่วมกันโดยไม่ทะเลาะเบาะแว้งมีแต่ความรักใคร่และเอื้อเฟื้อแบ่งปันโดยไม่ต้องมีใครมากระตุ้นเตือนผ่านความลี้ลับสุดหยั่งถึงซึ่งการดำรงอยู่ด้วยตนเองเขาต่างอุทิศตนต่อจักรพรรดิริกเดน .
- จาก ชัมมบาลา หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ -

มดเอ๊กซ:

*ภาพ อาจารย์ เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช สมัยบวชอยู่ภูฐาน
 
 
ศิษย์ : ท่านจะช่วยเล่าให้ฟังถึงตำนานของธิเบตเรื่องอาณาจักรชัมบาลาได้หรือไม่ ?

เชอเกรียม ตรุงปะ :ชัมบาลา คือสังคมอริยะนครซึ่งปราศจากความรุนแรง มันตั้งอยู่ทางแถบเอเชียกลาง ใจกลางทวีปเอเชีย สังคมชัมบาลาสามารถที่จะแปรเปลี่ยนความก้าวร้าวให้กลายเป็นความรัก ผลก็คือ ทุกคนในชัมบาลาได้บรรลุธรรมทั้งสิ้น จึงไม่จำเป็นต้องดูแลฝูงสัตว์เลี้ยง และหามีผู้ใดก่อสงครามไม่ ในที่สุดผู้คนทั้งหมดทั่วทั้งอาณาจักร รวมถึงสิ่งก่อสร้างทั้งมวลก็ได้ สาบสูญไปจากโลก มิได้ดำรงอยู่ในมิติภาวะนี้อีกต่อไป นี่คือเรื่องราวของชัมบาลา

ศิษย์ : ท่านคิดหรือไม่ว่าอาณาจักรชัมบาลาจักรปรากฏขึ้นอีกครั้งในระดับโลก เป็นยุคทองหรืออารยยุค

เชอเกรียม ตรุงปะ : แน่นอนที่สุด

ศิษย์ : ท่านพอจะกำหนดช่วงเวลาได้หรือไม่ เช่นว่าภายในหนึ่งร้อยปีหรือสองร้อยปีนับแต่นี้

เชอเกรียม ตรุงปะ : อาจเป็นไปได้นับตั้งแต่บัดนี้

ศิษย์ : มีลามะหลายท่านกล่าวว่า มันอาจอุบัติขึ้นภายในเวลาหนึ่งหรือสองร้อยปี

เชอเกรียม ตรุงปะ : นั่นเป็นแค่การคาดเดา มันอาจอุบัติขึ้น ณ บัดนี้
 
พระพุทธองค์ตรัวว่า เมื่อพุทธธรรมถึงวาระเสื่อมสลายไปจากโลกนี้แล้ว จารีตแห่งชัมบาลาจะฟื้นฟูโลกขึ้นมาใหม่

- ทรังกุ ริมโปเช -
 
ญาณทัสนะของเชอเกรียม ตรุงปะไม่ได้อยู่บนรากฐานพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว ทว่าตั้งอยู่บนแรงบันดาลใจที่จะก่อตั้งอาณาจักรชัมบาลา ขึ้นมาด้วย แต่กว่าท่านจะนำเรื่องนี้มาสอนแก่สาธารณชนทั่วไปในอเมริกาเหนือก็ล่วงเข้าปี ๑๙๗๖

มดเอ๊กซ:



 
ญาณทัสนะ แห่งอาณาจักรชัมบาลา
 
บนเส้นทางสายไหม เต็มไปด้วยตำนาน ปรัมปราคติ เรื่องเล่าอิงประวัติศาสตร์มากมายเรื่องที่โยงใยไปถึงการมีอยู่ของอาณาจักรที่สงบสุข รุ่งเรือง นามว่า ชัมบาลา ดินแดนซึ่งประชาราษฏร์อาศัยอยู่ร่วมกันด้วยความภาคภูมิและกลมเกลียวด้วยจิตอันลึกซึ้งต่อกัน
 
ดินแดนนี้เป็นแหล่งกำเนิดของวัฒนธรรม ศิลปกรรม รัฐศาสตร์ และแบบแผนของนักรบที่แผ่อิทธิพลไปเกือบทั่วทวีปเอเชีย " ชัมบาลาเป็น วัฒนธรรมของเอเชียกลางที่ไม่ใช่ทั้งอารยันหรือมองโกล มันคือจุดรวมของจารีตที่เราต่างลืมเลือนกันไปนานแสนนานแล้ว "
 
ในหมู่ชาวธิเบตเองยังมีความเชื่ออยู่โดยทั่วไปว่า อาณาจักรนี้ยังคงดำรงอยู่ในหุบเขาอันลี้ลับไกลโพ้นของเทือกเขาหิมาลัย อาจจะอยู่ใน อัฟกานิสถานด้วยซ้ำ ดู ๆ ไปก็คงจะคล้ายกับความเชื่อเรื่องอาณาจักรแอตแลนติสนั่นเอง มีงานเขียนถึงเรื่องราวอันลี้ลับนี้อย่างเช่น เรื่อง มหาอรรถกถา แห่งกาลจักร เขียนโดย มิพัม ริมโปเช ซึ่งนักสำรวจอาจใช้ในการแกะรอยหาที่ตั้งของอาณาจักรในอดีตกาลแห่งนี้ ดุจเดียวกับที่ไฮร์ริช ชไลมานน์ใช้มหากาพย์ อีเลียด ในการสืบหาที่ตั้งของนครทรอยที่ล่มสลายไปแล้ว
 
กล่าวกันว่าอาณาจักรชัมบาลาล้อมรอบด้วยภูเขาเหล็ก เมื่อมองจากภายนอก ตัวเมืองมีลักษณะเป็นวงกลมที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาหิมะ ผังเมืองภายในมีรูปร่างประดุจดอกบัวบานมีแปดกลีบ มีลำธารใหญ่แปดสายคั่นระหว่างกลีบบัวทั้งแปด มองดูไกล ๆ แล้ว เมืองนี้คล้ายกับ เมืองขนาดเล็ก แต่ถ้าเข้าไปในเมืองแล้ว จะดูกว้างใหญ่อย่างประมาณขอบเขตมิได้
 
ประมาณกันว่าอาณาจักรชัมบาลาน่าจะอยู่ทางตอนเหนือของอินเดียแถบเทือกเขาหิมาลัย เหนือแม่น้ำสีดา ซึ่งบริเวณดังกล่าวปัจจุบันคือ เตอร์กีสถานตะวันออก แต่ถ้ายึดถือตามคำบอกเล่าของเชอเกียม ตรุงปะ อาณาจักรนี้ก็ควรจะตั้งอยู่ " กลางทวีปเอเชีย ตรงกลางหรือ หัวใจของตะวันออก " มันคืออาณาจักรที่เป็นแกนกลางของโลกในแถบนี้ ทั้งทางกายภาพและจิตวิญญาณประชาชนที่นั่นอยู่เย็นเป็นสุข ด้วยข้าวปลาอาหารที่อุดมสมบูรณ์ รุ่มรวยด้วยทรัพย์สิน ความสุข และปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ทุกคนที่นั่นทุ่มเทเวลาให้กับการทำสมาธิภาวนา
 
หนทางที่จะไปสู่ชัมบาลาอยู่นอกเหนือศาสนมรรคใด ๆ ทั้งสิ้น หากบุคคลสามัญได้ไปถึงที่นั่น สิ่งที่พวกเขาและเห็นจะเป็นเพียงหุบเขา รกร้างว่างเปล่า ไร้ผู้คน ห้อมล้อมด้วยภูผาน่าสะพรึงกลัว นอกเสียจากว่าพวกเขาต้องชำระล้างหัวใจให้บริสุทธิ์ และตั้งจิตอยู่ในภาวะอัน เป็นสัปปายะ ผู้จาริกจึงจะบรรลุถึงดินแดนแห่งนี้ได้ อาณาจักรแห่งนี้เป็นอิสระอยู่บนการตั้งเจตนาที่ถูกต้อง
 
 
- คัดบางส่วนจาก ชีวิตและญาณทัสนะของ ตรุงปะ คุรุบ้าผู้ปรีชาญาณ -
- บทที่ 10 แสดงธรรมกถาเรื่องชัมบาลา -

มดเอ๊กซ:

*ภาพ พุทธิศิลปทังก้า ธิเบต พระโพธิสัตว์ตาราขาวเจ็ดเนตร บนบัลลังก์ดอกบัว เปล่งรัศมี
 
 
จากประสบการณ์ธรรม นิมิตของท่าน คัมตรุล รินโปเช จาก หนังสือเรื่อง ปัญญาญาณไร้กาลเวลา สาส์นจากผู้เฒ่าธิเบตถึงสังคมร่วมสมัย
 
บท มัคคุเทศก์พาท่องชัมบาลา

ระหว่างที่รับประทานข้าวกับโมโม่ ( แป้งยัดไส้นึ่งแบบธิเบต ) * เป็นอาหารกลางวันที่โรงแรมโฮเต็ล ข้าพเจ้าถามโชดอน ซึ่งอยู่นอกธิเบต มาครึ่งค่อนชีวิตว่า เคยเห็นเรื่องนี้กับตาตัวเองหรือไม่ เธอฉีกยิ้มกว้างว่า " เคยสิ อันที่จริงจะให้ฉันพาคุณไปพบรินโปเชที่เคยไปชัมบาลา ก็ได้ "
เราไปบ้านของคัมตรุล รินโปเช ที่โชดอนอธิบายว่าเป็นนิรมาณกายองค์ที่ 4 ของโยคีและปราชญ์ท่านหนึ่งจากธิเบตตะวันออก ท่านเป็น ทั้งบัณฑิต วิปัสสนาจารย์ และผู้นำศาสนพิธีในสายการปฏิบัติที่เก่าแก่ที่สุดของธิเบต ทุกวันนี้คัมตรุล รินโปเชเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว ที่นำคำสอนทั้งหมดของทะไลลามะองค์ที่ ๕ มาถ่ายทอดโดยตรงในอินเดีย ท่านอาศัยอยู่กับภรรยาและลูกสาวที่บ้านพักไกล้ ๆ วัด ลูกสาว ของรินโปเชซึ่งจบการศึกษาจากอเมริกา และดูเหมือนจะซึมซับอิทธิพลตะวันตกมาอย่างเห็นได้ชัด เล่าเรื่องดังกล่าวให้ฟังขณะที่พาเรา ไปยังห้องพักของพ่อเธอรินโปเชนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ แสงจากบานหน้าต่างด้านหลังเรื่อเรืองเป็นประกายรัศมีอยู่รอบศีรษะของท่าน ทำให้ข้าพเจ้าหวนนึกถึงภาพพุทธศิลป์

* ลักษณะคล้ายเกี้ยวซ่า มีทั้งแบบนึ่งและทอด

" ข้ามีชื่อเดิมจริง ๆ ว่า จัมยัง ดอนทรุป ส่วนฉายาของลามะคือคัมตรุล รินโปเช คัมหมายถึงวัดของข้า ซึ่งมีคำ ๆ นี้อยู่ในชื่อวัดด้วย ส่วนตรุลนั้นใช้สำหรับเรียกตุลกู หรือผู้ที่กลับชาติมาเกิดใหม่ เพราะเชื่อกันว่าข้าเป็นร่างใหม่ของลามะวัดนี้ "

" ข้าเกิดที่เขตลีทัง ภาคตะวันออกของธิเบต เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๑๙๒๗ ในครอบครัวพ่อค้าชนชั้นกลาง ครอบครัวส่วนใหญ่ใน แถบนี้เลี้ยงชีพด้วยการค้าขายมากกว่าเพาะปลูก พออายุ ๔ ขวบ ข้าก็เข้าวัดลีทัง กอนเซ็น ซึ่งมีความหมายว่าวัดที่ยิ่งใหญ่แห่งลีทัง สร้างโดยองค์ทะไลลามะที่ ๓ วัดนี้เป็นของนิกายเกลุคปะ ข้าอยู่ที่นี่จนถึง ๘ ขวบ "

" ในคำพยากรณ์ระบุสถานที่เกิดของข้าว่าชื่อบา แต่เนื่องจากพ่อแม่ข้าย้ายจากบา " ไปลีทังในตอนที่ข้ายังเล็กมาก ทำให้พวกที่ตามหา ร่างใหม่ในบาไม่พบข้า คำพยากรณ์บอกว่าการค้นหาอาจกินเวลานาน พวกเขายังคงสืบเสาะต่อไป เจ้าอาวาสอีกวัดก็พยากรณ์เรื่องนี้ ไว้คล้าย ๆ กัน และบอกว่าให้ไปหาที่ลีทัง ไม่ใช่บา ดังนั้นคณะค้นหาก็เลยไปที่นั่นขอพบตัวเด็กทั้งหมดที่เกิดปีมะโรง พวกเขาได้รับ รายชื่อเด็ก ๕ คนที่เกิดในปีนั้น ตอนที่พวกเขามาหาข้าครั้งแรก ข้าดีใจมากเดินร้องเพลงไปทั่ว พวกเขาบอกว่าเราดีใจที่เห็นท่านมีความสุข มาก ๆ แต่ก่อนที่เราจะพาท่านไป ท่านต้องบอกว่าเราเป็นใคร และม้าของเราชื่ออะไร ข้าบอกชื่อไปจนเป็นที่พอใจแล้ว พวกเขาก็พาข้าไป "

" ตอนเด็ก ๆ ไม่ว่าข้าอยู่ที่ไหน ก็จะพยายามไปที่อื่น ช่วงตะวันขึ้นและตก ข้ามักจะหวนนึกถึงวัดและความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในอดีตชาติ ได้อย่างแจ่มชัด จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะจำพวกที่มาตามหาได้ "

" ต่อมาข้าถึงรู้ว่า ชาวธิเบตเชื่อว่าช่วงที่ระลึกชาติได้ชัดเจนที่สุด เกิดขึ้นระหว่างอายุ ๓-๔ ปี หลังจากนี้ภาพเก่า ๆ ก็จะเริ่มลบเลือนไป

" ตั้งแต่อายุ ๘ ขวบจนถึง ๒๕ ข้าศึกษาในนิกายญิงมาปะ เรียนรู้ศาสนพิธี โหราศาสตร์และปรัชญาต่าง ๆ แต่ตอนอายุ ๑๖ จิตใจของข้า วุ่นวายปั่นป่วนอยู่บ่อย ๆ ข้าไปปรึกษาหลาย ๆ คน แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครช่วยได้ ในที่สุดจึงไปปรึกษาหลาย ๆ คน แต่ดูเหมือนจะไม่มี ใครช่วยได้ ในที่สุดจึงไปปรึกษากับอาจารย์กรรมฐานของข้า คือท่าน จัมยัง เคียนเซ โชคคี โลโดร ซึ่งได้ช่วยเสี่ยงทายให้ผลที่ออกมา แนะให้ข้าไปจาริกแสวงบุญยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งในมิญัก ทางภาคตะวันออกของธิเบต และสวดมนต์บูชาท่านปัทมะสัมภวะ ๔oo , ooo จบ

" ข้าจึงออกจาริกแสวงบุญ แต่ด้วยความที่ยังหนุ่มและเกียจคร้านทำให้สวดมนต์ได้เพียงครึ่งเดียว แต่ตอนที่นั่งภาวนาอยู่ในถ้ำศักดิ์สิทธิ์ แห่งหนึ่ง ข้าเกิดฝันประหลาด

" ในฝันข้าเห็นเด็กสาวอายุประมาณ ๑๔ - ๑๕ งดงามกว่าทุกคนที่เคยเห็นมา นางสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับแตกต่างจากหญิงธิเบต มาก กิริยาชวนหลงใหล จนทำให้ตัวข้าเริ่มรู้สึกสั่นสะท้านไปหมด บางทีข้าอาจบอกเล่าทุกอย่างให้นางฟัง ถึงแม้จะจำไม่ได้ทุกถ้อยคำ ข้าตื่นเต้นเหลือเกิน พอรู้สึกสงบลงหน่อย นางก็พูดกับข้าว่า ' พี่ท่าน เราน่าจะไปเที่ยวอาณาจักรชัมบาลากันนะ ' "

ข้าพเจ้ายื่นหน้าออกไปฟังด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ในที่สุดก็ได้ยินเรื่องราวโดยตรงเกี่ยวกับอาณาจักรทางตอนเหนือของธิเบตที่เรียกกันว่า ชัมบาลา ข้าพเจ้าพยายามนึกถึงสิ่งที่เคยอ่านพบ หลังจากพระศากยมุนีทรงมอบคัมภีร์กาลจักรตันตระให้แก่พระราชาสุจันทราแล้วพระราชา ได้นำกลับไปยังอาณาจักรชัมบาลาตอนเหนือ และสร้างตำหนักอันวิจิตรให้แก่เทพกาลจักร พระราชามีผู้สืบทอดเป็นธรรมราชา ๗ พระองค์ และธรรมทายาทผู้สืบทอดอีก ๒๑ พระองค์ คอยพิทักษ์รักษาคำสอนดังกล่าว การปฏิบัติกาลจักรมีจุดประสงค์เช่นเดียวกับการฝึกตันตระ ทั้งหลายคือ เพื่อชำระกาย วาจา ใจและค่อย ๆ ขจัดอนุสัยเก่า ๆ ที่ฝังแน่นอยู่ในกระแสจิตออกไป ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อเข้าสู่กลียุคใน ภายภาคหน้า นักรบจากชัมบาลาหรือผู้บำเพ็ญเพียรจะรวบรวมกำลังกันต่อกรกับอำนาจชั่วร้าย คัมตรุล รินโปเชบอก ท่านได้ตอบคำชวนของ หญิงสาวว่า


" พอสาวงามในฝันบอกว่าเราจะไปที่นั่น ตอนแรกข้าคิดว่า ' วิเศษจริง ๆ ' จากนั้นก็สำนึกได้ว่านางเรียกข้าพี่ ซึ่งผิดไปจากความคาดหวัง ทำให้ข้าไม่อาจบอกความในแก่นางได้ ดังนั้นแทนที่ข้าจะเรียกนางกลับว่าน้อง จึงพูดไปว่า ' แม่นาง ข้าอยากไปชัมบาลากับเจ้ามาก แต่ข้า ต้องบอกเจ้าว่าไม่รู้จะไปที่นั่นได้อย่างไร '

" นางเรียกเรียกข้าว่าพี่อีก พร้อมทั้งบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง นางมาที่นี่เพื่อพาข้าไป ข้ารวบรวมความกล้าถามไปว่า นางรู้ได้อย่างไรว่า ข้าเป็นใคร นางหัวเราะ ' เจ้านี่โง่จริง ๆ จำข้าไม่ได้หรือ มองตาข้าสิ '

" หญิงสาวเผยดวงตาทั้ง ๗ แก่ข้า คู่หนึ่งเป็นดวงตาปกติดวงหนึ่งอยู่ตรงกลางหน้าผาก ส่วนอีกสองคู่อยู่ที่ฝ่าเท้าและฝ่ามือ ทำให้เห็น โฉมหน้าอันแท้จริงว่านางคือ พระแม่ตาราขาวหรือตาราเจ็ดเนตร พระองค์บอกว่าถ้าจ้องมองตาของพระองค์ จะทำให้อายุยืน เนื่องจากตอน นี้ข้าอายุ ๖๕ แล้ว และในชาติก่อน ๆ ก็ไม่เคยมีอายุเกิน ๕o - ๕๕ ฉะนั้น เรื่องนี้จึงต้องเป็นความจริง พระองค์ยังบอกอีกด้วยว่าข้าต้องสึก แต่จะได้ช่วยสรรพสัตว์มากมาย และแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อดอลมา หรือดอลกา ในอดีตชาติข้าไม่เคยแต่งงานแม้สักครั้งเดียว แต่ตอนที่ข้า ต้องออกจากธิเบตเพราะจีนเข้ามานั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ตุลกูมากมายต้องแต่งงานเพื่อสืบวงตระกูล ข้าสึกจากพระไปแต่งงาน แต่ยังคงเป็นลามะ เมียข้าชื่อดอลกา


มดเอ๊กซ:

 
 
" ข้านั่งอยู่บนผ้าขาวข้าง ๆ หญิงงามนี้ แล้วเราก็เหาะไป การได้อยู่ไกล้ชิดพระองค์เป็นความสุขอันแสนวิเศษเสียจนข้าไม่รู้สึกสงสัย ไม่มีคำถาม ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น เป็นความรู้สึกล้ำลึกกว่าประสบการณ์ทั่วไป เราไปเร็วมาก ถ้าข้าไปได้เร็วอย่างนั้นในเครื่องบิน ก็คงต้อง เดินทางจากอินเดียไปนิวยอร์คได้วันละ ๓ เที่ยว

" เราเหาะข้ามเขาที่ดูเหมือนจะมีสิงโตหิมะอยู่บนนั้น ' ดูโน่นสิ โรงพิมพ์เดอเกย์ ในสมัยของ เปมา ลุนดรุปอดีตชาติของเจ้านั้น ข้าคือ เซวัง ลาโมป้าของเจ้า ซึ่งได้แกะสลักแม่พิมพ์ไม้เอาไว้ มันยังอยู่ที่นั่น '

" ขณะที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าในความฝัน เราเห็นยอดเขาไกรลาสแล้วก็เทือกเขาอันสง่างามที่ปกคลุมด้วยหิมะ บริเวณที่ดูคล้ายกับงูกำลังจะ จับกบ เรายังผ่านไปยังทะเลทรายที่เหมือนลาดปูด้วยหนังเสือ และอีกหลาย ๆ แห่งมากมายเกินกว่าจะสาธยาย รวมทั้งบริเวณที่เวิ้งว้าง ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย

" เราเหาะขึ้นเหนือต่อ จนมาถึงเขาวงกตใหญ่ที่ดูคล้ายกับดอกบัวยักษ์บานอยู่ มี ๓๒ กลีบ พระองค์บอกว่าแต่ละกลีบมี ๓๒ เมือง แต่ละเมืองมีขนาดเท่านิวยอร์ก นอกจากนี้ยังมีเมืองเล็ก ๆ รายรอบเมืองเหล่านี้อยู่อีก ๙oo เมือง รวมทั้งสิ้นมีเมืองเล็ก ๆ เกือบล้านเมือง และเมืองใหญ่กว่าพันเมือง บ้านเรือนเป็นพระราชวังที่มีหลังคาสีทองอร่ามประดับด้วยอัญมณีแวววาว ระฆังดังกรุ๊งกริ๊ง และสายรุ้งน่ารัก แค่ได้เห็นที่พักนั่น ข้าก็รู้สึกเกิดปีติแล้ว

" แต่ละครอบครัวในชัมบาลาจะมีสวนขนาดใหญ่ พร้อมด้วยสระน้ำที่มีกลิ่นหอม ผู้คนมีฐานะมั่งคั่งจากโคและแก้วสารพัดนึก ไม่มีใคร ต้องทำงาน ถ้าปรารถนาสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะปรากฏขึ้นเอง เนื่องจากทุกคนร่ำรวยและแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีสงคราม ข้าจึงมี ความรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้มาจากท้องแม่เหมือนเรา แต่อุบัติขึ้นเองอย่างมหัศจรรย์ ที่พิเศษเหนือสิ่งอื่นใดคือ ในอาณาจักรชัมบาลาไม่มี ความรู้สึกแบ่งแยกข้ากับเจ้า ไม่มีการชิงดีชิงเด่นหรือทะเลาะเบาะแว้งกัน มีแต่ความสุขสงบร่มเย็น

" มีบ้านหลังหนึ่งที่สร้างด้วยแสง ทำให้ข้าได้ข้อสรุปว่า ไม่ใช่ทุกคนที่อาศัยอยู่ในสถานที่อันยิ่งใหญ่นี้จะเป็นมนุษย์กันหมด อาจมีเทวดา หรือนาคด้วย ส่วนตรงกลางคือใจกลางอาณาจักรชัมบาลาที่รายรอบไปด้วยมหานครนั้น เป็นที่ตั้งของตำหนัดเทพกาลจักร ซึ่งสร้างโดย กษัติริย์สุจันทรา ในคัมภีร์ตันตระบอกว่าผู้ที่อยู่ในชัมบาลาจะใช้คันธนูและศรพิชิตความชั่วร้ายในจักรวาล นั่นทำให้ข้ารู้สึกสงสัย เพราะ อาวุธทำลายล้างสมัยใหม่ทั้งหมดพัฒนาขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พอถามเรื่องนี้กับพระองค์ พระองค์บอกว่าข้าไม่ต้องวิตกกังวล เพราะไม่ว่าในโลกนี้จะคิดค้นวิธีทำลายล้างอะไรได้ก็ตาม สิ่งที่ใช้กำราบมันจะอุบัติขึ้นเองในอาณาจักรชัมบาลา พระองค์อธิบายว่าอาวุธ ในโลกเราสร้างขึ้นจากส่วนประกอบต่าง ๆ หลายอย่าง แต่ระบบต่อต้านจรวดนำวิถีของชัมบาลาอันเกิดจากปัญญาญาณสูงส่งนั้นทรง อาณุภาพยิ่งกว่า
 
 

 
" ตอนที่เราเข้าเฝ้าพระราชา พระองค์กำลังเข้าฌาน มีรัศมีเจิดจ้าจนข้าไม่อาจจ้องมองได้ตรง ๆ ทรงมลายกลายเป็นแสงก่อน แล้วจึงปรากฏ เป็นพระลามะประสาทพรให้ข้า หลังจากนั้นทุกอย่างก็หายวับไปเหมือนสายรุ้ง ยกเว้นหญิงสาวกับตัวข้า

" ทว่าทันใดในฝัน ข้าก็พบว่าตัวเองกลับมาที่ถ้ำ ก่อนจะตื่นขึ้นในตอนฟ้าสาง ข้าไม่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ในฝันที่พระแม่ตาราขาว พาไปอาณาจักรชัมบาลานั้นแจ่มชัดมาก ๆ "

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version