ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead] ช่วงแรก  (อ่าน 10341 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

* คนเขียนคำนิยม บวชแล้ว เป็น ภิกษุณีธัมมนันทา
 
 
 
คำนิยม

 
" คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต " นั้นเป็นคัมภีร์ที่มีเอกลักษณ์ในตนเอง ทำให้นักวิชาการไทยให้ความสนใจแปลถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทย มาหลายสิบปีแล้ว เล่มล่าสุดเป็นฉบับแปลของ ผศ. ดร. ภัทรพร สิรกาญจน แห่งคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำหรับฉบับนี้มี ความแตกต่างกันไป คือเป็นฉบับที่ถ่ายทอดมาทาง อาจารย์กรรมะ ลิงปะ และอาจารย์จอกยัม ทรุงปา เป็นผู้รจนาอรรกถาประกอบ

สำหรับชาวพุทธในอเมริกานั้นการแนะนำท่านจอกยัม ทรุงปา ริมโปเช เป็นสิ่งไม่จำเป็น เพราะท่านเป็นบุคคลที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ชาวพุทธในอเมริกามีหลายสาย ทั้งเถรวาท และมหายาน แบบจีน ญี่ปุ่น และธิเบต ในสายธิเบตนั้นท่านจอกยัม ทรุงปา เป็นอาจารย์ที่มี ลูกศิษย์มากที่สุดคนหนึ่ง ท่านได้รับการยอมรับว่าเป็นอาจารย์เก่าของธิเบตที่กลับชาติมาเกิดเพื่องานพระศาสนา เดิมบวชเป็นพระภิกษุใน พุทธศาสนา ต่อมาเมื่อเดินทางออกมาจากประเทศธิเบต ได้ออกมาอยู่ที่อังกฤษ และลาสิกขา แต่ยังคงเป็นอาจารย์สอนธรรมะ

ในบรรดาอาจารย์ผู้าสอนธรรมะทั้งหลายในตะวันตกนั้น จอกยัม ทรุงปา เป็นเลิศในการอธิบายธรรมะให้เป็นที่เข้าใจแก่ชาวตะวันตก งานประพันธ์ของท่านอาจารย์ได้สร้างแรงบันดาลใจในการปฏิบัติธรรมให้แก่ชาวพุทธเป็นอย่างมาก แต่ในชีวิตส่วนตัวนั้นท่านพร้อมไปด้วย สุรานารี ในชีวิตส่วนนี้ท่านอาจารย์ก็มิได้เคยปิดบังแก่สานุศิษย์ จึงเป็นเรื่องที่กล่าวขานกันยิ่งในบรรดาชาวพุทธทั้งหลาย ท่านอาจารย์สิ้นชีวิต ลงในวัยเพียง ๔๗ ปี ในวันที่บรรดาสานุศิษย์มาประชุมพร้อมกันเพื่อปลงศพของท่านนั้น ระหว่างพิธีพระอาทิตย์ทรงกลดชัดเจน

ด้วยความเป็นเลิศในความสามารถในการอธิบายพระธรรม การรจนาอรรถกถาฉบับนี้ จึงเป็นงานอีกเล่มหนึ่งที่ทำให้ชาวพุทธได้เข้าใจใน " คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต " ได้ดียิ่งขึ้น

ในชีวิตทั่วไปแล้วดูเหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วไปจะพยายามหลีกเลี่ยงความตาย ทั้งนี้เพราะความตายเป็นเรื่องลี้ลับไม่มีผู้ใดรู้ผู้ใดเห็น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองทรงเตือนพระอานนท์ให้เจริญมรณานุสสติเป็นนิจ เพื่อมิให้ประมาท เรามักจะใช้เวลาเตรียมตัวกับการทำนั่นทำนี่ แต่จะมีสักกี่คนที่สนใจที่จะเตรียมตัวตายอย่างสมบูรณ์ และถูกต้อง

พุทธศาสนาฝ่ายธิเบต เป็นสายเดียวที่ศึกษาค้นคว้าเรื่องความตาย จนรวบรวมความรู้จากประสบการณ์นี้ขึ้นเป็นคัมภีร์เพื่อเป็นลายแทง นำทางให้พวกเราได้รู้จักมรรควิถีแห่งความตายที่ถูกต้อง เมื่อเวลานั้นมาถึงเราจึงไม่ตื่นตระหนกและสามารถไปได้อย่างถูกทาง
 
คัมภีร์ฉบับนี้ เป็นคัมภีร์อีกฉบับหนึ่งที่นำแสงสว่างทางปัญญามาสู่สังคมชาวพุทธเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างสมบูรณ์

ขอโมทนาแก่ผู้แปลที่ทำให้โลกหนังสือของไทยมีหนังสือที่เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเล่ม ส่วนผู้สามารถนำไปปฏิบัติได้ก็ย่อมเป็นกุศล สองฝ่าย คือทั้งผู้แปลและผู้ปฏิบัติ
 
 
ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๔
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

 
 
คำนำของผู้แปล
 
เมื่อราว ๒ ปีที่ผ่านมา คุณปู่ของข้าพเจ้าได้ล้มป่วยลงด้วยโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาได้ สำหรับคนรุ่นใหม่อย่างข้าพเจ้า ที่กิจกรรมในสังคม เป็นไปตามความคาดหวังและการจัดวางอย่างสูตรสำเร็จ ความรู้สึกสูญเสียเช่นนี้ได้บ่มเพาะความจริงบางประการที่ข้าพเจ้าไม่ได้แลเห็น มาเสียนาน ความไม่แน่แท้และความสิ้นหวังที่จะยึดมั่นอยู่ในสิ่งเราควบคุมไม่ได้ แม้ข้าพเจ้าจะได้สูญเสียน้องชายและคุณยายไปในเวลา ไล่เลี่ยกัน แต่ก็เป็นไปในปัจจุบันทันด่วนเต็มที พิธีกรรมทั้งหลายที่มีก็จัดขึ้นในเวลารวดเร็วและหมดจดยิ่งนัก ในฐานะของญาติสนิท แห่งผู้วายชนม์ ข้าพเจ้ามีสิทธิพิเศษแค่การชำระเงิน และปฏิบัติตามกำหนดการพิธีกรรมเท่านั้น

แต่ในกรณีหลัง การเสื่อมสลายลงอย่างเชื่องช้า และการค่อย ๆ จากไป ทำให้ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจแปลหนังสือเล่มนี้ขึ้น ด้วยหวังจะให้ ทันการได้อ่านในพิธีกรรมของคุณปู่ แต่ก็หาได้ลุล่วงดังใจหวัง ถึงอย่างนั้นก็ตาม เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ได้ก่อให้ข้าพเจ้าได้เกิดสติ เล็งเห็นถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ความตายไม่ใช่เรื่องปวดร้าว เป็นอาการอ่อนโยนของการยินยอมให้ร่างกายและสังขารที่เหนื่อยล้ามานาน ได้พักพิงอย่างสันติ เป็นช่วงเวลาอันมหัศจรรย์ที่เราจักได้ผ่านเข้าไปสู่โลกที่คุณไม่รู้จัก โลกที่เคลือบแคลง อย่างอาจหาญ การจัดการกับ ความตายเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ หากยังไม่รู้วิธีที่จะดำรงชีวิตอยู่ ที่จะเรียนรู้ความเป็นไปต่าง ๆ รอบตัวเราในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่

ข้าพเจ้าหวังว่าหนังสือเล่มนี้คงมีประโยชน์ต่อผู้เป็นมากกว่าผู้วายชนม์ ต่อผู้อยู่มากกว่าผู้จาก เป็นแรงบันดาลใจของการเผชิญหน้ากับ ทุกสถานการณ์อย่างไม่หวาดหวั่น ข้าพเจ้ากราบขอบพระคุณ พระไพศาล วิสาโล ที่ทั้งได้มอบหนังสือเล่มนี้ให้และยังได้สอบทาน หลังการแปลเสร็จ ทั้งที่ท่านมีภาระมาก รวมทั้งคุณฐิติมา คุณติรานนท์ ผู้ประสานงานให้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

 
อนุสรณ์ ติปยานนท์
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

* ภาพ อาจารย์ตรุงปะ
 
 
คำนำ
 
 
คัมภีร์มรณศาสตร์ เป็นหนึ่งในบรรดาคำสอนว่าด้วยการหลุดพ้นหกประเภท อันได้แก ่การหลุดพ้นโดยอาศัยการระลึกได้ การหลุดพ้นโดยอาศัยการลิ้มรส การหลุดพ้นโดยอาศัยการสัมผัส คำสอนเหล่านี้ถูกรจนาขึ้นโดยท่านคุรุปัทมสมภพ และต่อมาภรรยาของท่านนามเยเซ ซอกยุง ได้จดจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมกับคัมภีร์สาธนา อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพสันติสี่สิบสององค์ และเทพพิโรธห้าสิบแปดองค์
 
คุรุปัทมสมภพฝังคัมภีร์เหล่านี้ไว้ในเทือกเขากัมโป ใจกลางประเทศธิเบต ต่อมาท่านกัมโปปะคุรุท่านหนึ่ง ก็ได้จัดตั้งอารามของท่านขึ้นที่นั่น คัมภีร์และวัตถุศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากจะถูกฝังไว้ทั่วธิเบตและได้รับการขนานนามว่า " มหาสมบัติที่ซ่อนเร้น " ท่านคุรุปัทมสมภพจักถ่ายทอดพลังอำนาจในการค้นพบคัมภีร์เหล่านี้แก่ศิษย์เอกจำนวนยี่สิบห้าท่านด้วยกัน คัมภีร์เล่มนี้ถูกค้นพบโดยท่าน กรรมะ ลิงปะ เป็นหนึ่งในศิษย์ กลุ่มดังกล่าวของคุรุปัทมสมภพที่กลับชาติมาเกิด
 
คำว่าการหลุดพ้นในที่นี้หมายความว่า บุคคลใดก็ตามที่ได้รับรู้ถึงคำสอนเหล่านี้ แม้จะมีภาวะจิตอันเคลือบแคลงสงสัยหรือเปิดกว้าง ย่อม สัมผัสกับประพิมประพายแห่งการตรัสรู้ โดยผ่านอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ในคัมภีร์เล่มนี้
 
กรรมะ ลิงปะ เป็นคุรุในนิกายนยิงมา ทว่าสานุศิษย์ของเขาทั้งหมดสังกัดอยู่กับนิกายกาคิว เขาถ่ายทอดคำสอนเหล่านี้ให้แก่ โดกุล ดอร์จี ศิษย์ของเขาเป็นครั้งแรก
 
บรรดาผู้ศึกษาคำสอนเหล่านี้ จะทำการฝึกฝนสาธนา และทำความเข้าใจกับเทพทั้ง ๒ กลุ่ม ( มณฑล ) อย่างครบถ้วน จนกลายเป็น ประสบการณ์ของตนเอง ข้าพเจ้าเองได้รับการถ่ายทอดคำสอนนี้เมื่ออายุได้แปดขวบ และถูกฝึกฝนโดยวิปัสสนาจารย์ประจำตัวข้าพเจ้า อาจารย์จะพาข้าพเจ้าไปเยี่ยมเยียนผู้กำลังจะสิ้นใจเสมอประมาณ ๔ ครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์ การทำการติดต่อสัมพันธ์กับกระบวนการแห่ง ความตายเช่นนี้ โดยเฉพาะการเฝ้ามองเพื่อนรักและญาติสนิทค่อย ๆ จากเราไปนั้น ย่อมมีความสำคัญต่อผู้ฝึกฝนคำสอนนี้มาก ทั้งนี้เพื่อให้ ความคิดในเรื่องของอนิจจังภาวะ กลายมาเป็นประสบการณ์ชีวิตแทนที่จะเป็นแต่ความนึกคิดทางปรัชญา
 
หนังสือเล่มนี้พยายามจะประยุกต์คำสอนดังกล่าวให้เข้ากับผู้สนใจ และบรรดานักศึกษาพุทธธรรมในโลกตะวันตก ข้าพเจ้าหวังว่า คัมภีร์สาธนาจะได้รับการแปลออกมาในกาลต่อไป เพื่อที่ว่าคำสอนแนวนี้ จะได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างครบถ้วน
 
เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

 
 
บทนำ
 
โดยอาศัยการอธิบายเค้าโครงย่อ ๆ ของแนวคิดทางพุทธธรรมที่มีอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ย่อมก่อประโยชน์ในการเข้าใจถึงรายละเอียดที่มีอยู่ใน ภาคอรรถาธิบาย การยึดมั่นในตัวตนของเรา ( ตัวกูของกู ) จักถูกวิเคราะห์ในระบบของขันธ์ห้า คำว่าขันธ์ แปลว่ารวมความได้ว่า กลุ่มหรือออกอง แต่ความหมายจริง ๆ ของมันคือ " องค์ประกอบทางจิต "

องค์ประกอบแรกได้แกรูป อันเป็นจุดเริมของความเป็นปัจเจกและการดำรงอยู่อย่างแยกตัวออกมาและจัดแจงประสบการณ์ออกเป็นทั้ง อัตวิสัยและภววิสัย บัดนี้มีตัวตนแต่เดิมที่ใช้รับรู้โลกภายนอก ทันทีที่การรับรู้นี้บังเกิดขึ้น ก็จะบังเกิดปฏิกิริยาตอบโต้อันเป็นขันธ์ที่สอง นามว่า เวทนา เวทนาเป็นอารมณ์ที่ยังไม่อิ่มตัวเต็มที่ เป็นเพียงความรู้สึกรักชอบ หรือไม่แบ่งแยกเราเขา ตามสัญชาตญาณนั้น ๆ แต่แล้วมันเริ่มซับซ้อนขึ้น เมื่อเจ้าตัวตนนี่เริ่มประเมินตัวเอง โดยการเปลี่ยนสภาพจากผู้รับรู้เป็นผู้ลงมือกระทำ อันเป็นสถานะขันธ์ที่สาม นามว่าสัญญา หรือการรับรู้ เป็นความรู้สึกอันเต็มเปี่ยม เมื่อเจ้าตัวตนได้ตระหนักถึงแรงกระตุ้นและทำการตอบโต้โดยพลันต่อสิ่งต่าง ๆ องค์ประกอบที่สี่ได้แก่ สังขาร หรือการปรุงแต่ง อันจะครอบคลุมกิจกรรมทางอารมณ์และกิจกรรมทางปัญญาที่เฝ้าแปลความหมายที่ ตามติดการรับรู้ องค์ประกอบนี้จะผูกองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และเริ่มสร้างบุคลิกลักษณะและกรรม ขั้นสุดท้ายจะเป็นวิญญาณ ที่ได้ผสมรวมทุกสัมผัสรับรู้และจิตใจเข้าด้วยกัน บัดนี้เจ้าตัวตนได้กลายเป็นสากลจักรวาลซึ่งแทนที่มันจะรู้โลกดังที่เป็นอยู่ มันกลับก่อ จินตนาการต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง

คำสอนพื้นฐานในหนังสือเล่มนี้ได้แก่การทำความเข้าใจถึงการที่บุคคลได้เกิดความรู้สึกเป็นตัวตนและถอนออกจากความรู้สึกดังกล่าว เมื่อทำได้เช่นนั้น ส่วนประกอบขันธ์ทั้งห้าของจิตซึ่งสับสนหรืออวิชชาจะกลายเป็นปัจจัยแห่งการตรัสรู้ องค์ประกอบทั้งห้าจะกลับสู่ ภาวะอันบริสุทธิ์ ซึ่งจะปรากฏในระหว่างห้าวันแรกของบาร์โดหรืออันตรภพ

ในระหว่างประสบการณ์ดังกล่าว ภูมิทั้งหกได้ปรากฏขึ้นด้วยเป็นภาวะจิตซึ่งมีอวิชชา ซึ่งจะได้รับการพรรณาอย่างละเอียดในคำสอนนี้ แต่ละภพจะปรากฏขึ้นพร้อมกับทางเลือกอื่น ๆ อันเป็นโอกาสละทิ้งซึ่งความปรารถนาเฉพาะอย่าง ละเลิกการยึดเพื่อความมั่นคงแห่งตัวตน แต่กลับปลดปล่อยตนเองเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับปัญญาซึ่งได้ปรากฏเป็นรูปลักษณ์ที่สอดคล้องกับแต่ละภพ

ปัญญาดังกล่าวเหล่านี้ได้แก่อาณาจักรแห่งตถาคตทั้งห้า คำว่า ตถาคต หมายถึงผู้ไปแล้วด้วยดี ซึ่งอาจให้ความหมายเทียบเคียงได้ว่า เป็นผู้ที่เป็นหนึ่งเดียวกับแก่นสารสาระแห่งสัจธรรมอันเป็นความหมายใกล้เคียงกับคำว่า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และชินะ ผู้ทรงชัย ตถาคตทั้งห้า เป็นพลังห้าแบบใหญ่ ๆ ของพุทธภาวะ อันหมายถึงปัญญาที่ได้ตื่นขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ ตถาคตเป็นรูปปรากฏของปัญญาห้าประการ ทว่าในสังสารวัฏ อันหมายถึงโลกหรือภาวะแห่งจิตที่เราอาศัยอยู่ พลังงานเหล่านี้ปรากฏในรูปของอกุศลหรืออารมณ์อันสับสนทั้งห้า ทุกสิ่งในโลกหล้า ทั้งสัตว์สถานที่และสิ่งของต่าง ๆ ล้วนมีคุณลักษณ์โดดเด่นที่ข้องเกี่ยวกับหนึ่งในพลังงานทั้งห้า ดังนั้น นามอันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปจึงได้แก่ ปัญจสกุล

ตถาคตองค์ที่หนึ่ง ที่สถิตอยู่ ณ ใจกลางแห่งมณฑล ได้แกพระไวโรจนพุทธ พระองค์เป็นตัวแทนแห่งอกุศลพื้นฐาน อันได้แก่อวิชชา เป็นความโง่งมที่ระมัดระวังตั้งใจอันเป็นที่มาของอกุศลอื่น ๆ พระองค์ยังเป็นปัญญาแห่งธรรมธาตุ อันได้แก่ อากาศอันไม่มีขอบเขต ที่ซึ่งทุกอย่างได้บังเกิดขึ้น เป็นด้านหักล้างแห่งอวิชชา ความที่พระองค์ทรงเป็นต้นเค้าและเป็นศูนย์กลาง สกุลของพระองค์จึงเป็น ที่รู้จักกันในนามของตถาคตหรือพุทธะเป็นด้านตรงข้ามกับอวิชชา

ตถาคตองค์ที่สอง ได้แก่ พระอักโษภยพุทธ สถิตอยู่ทางทิศตะวันออกแห่งมณฑล ตามคติของชาวอินเดียจะอยู่ด้านล่างสุด ในบางคัมภีร์ พระอักโษภยพุทธอาจปรากฏอยู่ศูนย์กลางมณฑล โดยมีพระไวโรจนพุทธสถิตอยู่ทางทิศตะวันออกแทน อาจทำให้เกิดการสับเปลี่ยนคุณลักษณะพื้นฐานบางประการ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสีขาวและสีครามจึงปรากฏในวันที่หนึ่งและวันที่สอง และมักเกิดความสับสน ในแบบแผนของมณฑล พระอักโษภยพุทธเป็นผู้ปกครองวัชรสกุล อกุศลประจำองค์ได้แก่ความก้าวร้าวและความเกลียดชัง อันได้รับ การแปรเปลี่ยนเป็นปัญญาญาณที่แจ่มใสดุจกระจกเงา ที่สะท้อนทุกสิ่งอย่างแจ่มชัดไม่บิดเบือน

ในทางทิศใต้แห่งมณฑล ค่อนมาทางซ้าย พระรัตนสัมภวพุทธ ผู้ปกครองรัตนสกุล รัตนะ หมายถึงเพชร และในบางกรณีหมายถึง มณีล้ำค่าที่สนองตอบความต้องการ ดังนั้นยาพิษในที่นี้จึงไก่ มานะ อันเป็นผลมาจากการครอบครองความมั่งคั่งในทุกรูปแบบ ด้านหักล้างของมันได้แก่ปัญญาญาณแห่งความเท่าเทียม และวางเฉย หรืออุเบกขา

ในทางทิศตะวันตก พระอมิตาภพุทธ อันอยู่ในสกุลปัทมะหรือดอกบัว พระองค์เป็นสัญลักษณ์ของความใคร่และกระหายต้องการเสพทุกสิ่งทุกอย่าง ปัญญาญาณ อันตรงข้ามอกุศลได้แก่ ความไม่แบ่งเขาแบ่งเรา อันก่อให้เกิดความสงบรำงับ และการปล่อยวางต่อความปรารถนา จนเปลี่ยนเป็นการุณย์แทน

ลำดับสุดท้าย ณ ทิศเหนือ หรือด้านขวาแห่งมณฑล พระอโฆสิทธิพุทธแห่งกรรมสกุล กรรมหมายถึง การกระทำ มีสัญลักษณ์คือดาบหรือ วัชรไขว้ ความริษยาเป็นอกุศลที่ข้องเกี่ยวกับผลกรรม อุบัติจากความทะยานอยากที่ไม่ได้รับการตอบสนองอันก่อให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ นานาติดตามมา กุศลตรงข้ามได้แก่ ปัญญาที่ยังกิจสำเร็จในการณ์ทั้งปวง

ตถาคตทั้งห้ายังมีคุณลักษณ์อื่นอีกมากมาย ซึ่งได้พรรนาแลอธิบายไว้ในภาคอรรถาธิบาย นอกจากนี้ ตถาคตทั้งห้าแต่ละองค์ยังมาคู่กับ อิตถีภาวะและประกายฉายฉานแห่งโพธิสัตว์ด้วย

ในขณะที่พระพุทธองค์ทั้งหลายเป็นรูปธรรมของการตรัสรู้ที่ไปพ้นความสับสนวุ่นวายของชีวิต พระโพธิสัตว์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่ง การบำเพ็ญกิจอย่างแข็งขันเพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายคือกิจกรรมภายนอกของปัญญาทั้งห้าร่วมกับพลังงาน แห่งอิตถีภาวะ ที่มอบความอุดมพรั่งพร้อม อันทำให้กิจสำเร็จและปรากฏออกมาอย่างเต็มที่ เหล่าทวยเทพดังกล่าวที่ปรากฏในหนังสือ เล่มนี้ถือได้ว่าเป็นการแสดงออกของโลกในท่ามกลางความเป็นจริง เทพเหล่านี้เป็นรูปปรากฏของพลังงานที่แตกต่างกันออกไป อันเราจักประสบอยู่เสมอทั้งใจ กาย จิต และอารมณ์ ถึงแม้ว่าเราจะไม่พินิจชีวิตของเราในแง่ของพลังงาน แต่ผลกระทบของมันก็บังเกิด ขึ้นกับเราตลอดเวลา ในภาคอรรถาธิบาย ท่าน เชอเกียม ตรุงปะ ได้ตีความพลังงานเหล่านี้โดยใช้ภาษาที่เราจดจำได้ง่าย ๆ ได้แก่ อารมณ์ คุณสมบัติ สภาพแวดล้อม วิถีชีวิต การกระทำและเหตุการณ์

ดังนั้น ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเขียนขึ้นสำหรับผู้ตายโดยเฉพาะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็เป็นเรื่องของชีวิตด้วยเช่นกัน พระพุทธองค์ มิได้ทรงหยิบยกถกเถียงว่าภายหลังจากดับจากโลกนี้ไปจะมีอะไรบังเกิดขึ้นกับเรา นั่นเป็นเพราะว่าปัญหาดังกล่าวหาประโยชน์มิได้ในการแสวงหาสัจธรรมในปัจจุบันขณะ ทว่าแนวคิดเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด การดำรงอยู่ในภพทั้งหก และสภาวะระหว่างภพ ล้วนเกี่ยว ข้องกับชีวิตนี้เป็นอย่างยิ่ง ส่วนมันจะเกี่ยวพันกับชีวิตหลังความตายหรือไม่ เป็นอีกประเด็นหนึ่ง การตระหนักว่า จุดประสงค์ของการอ่าน คัมภีร์มรณศาสตร์ให้ผู้ตายก็คือการเตือนใจเขาให้ระลึกถึงสิ่งที่เขาได้กระทำยามมีชีวิตอยู่ หนังสือเกี่ยวกับความตายเล่มนี้สามารถบอกเรา ได้ว่าเราควรจะดำรงชีวิตอยู่อย่างไรในปัจจุบันขณะ


ฟรานเชสก้า เฟอร์แมนเดิ้ล
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

 
 
อรรถาธิบาย
โดย เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช
 
 
ถ้อยความแห่งคัมภีร์
 
ดูเหมือนจะมีปัญหาพื้นฐานบางประการที่ต้องทำความเข้าใจร่วมกันเป็นเบื้องแรกเมื่อเราพูดถึงคัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต หากผู้อ่านศึกษา คัมภีร์เล่มนี้โดยเทียบเคียงกับคัมภีร์ศพแห่งอียิปต์ ในด้านของตำนานและเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับบุคคลผู้ล่วงลับไป อาจทำให้เราคลาดออก จากประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะประเด็นที่ข้องเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานในเรื่องของการเกิดและการตายอันดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องในชีวิตเรา ซึ่งอาจทำให้เราขนานนามคัมภีร์เล่มนี้ว่าเป็นคัมภีร์ชาตศาสตร์ได้ด้วยเช่นกัน คัมภีร์เล่มนี้ไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่การสิ้นชีพเพียงอย่างเดียว แต่กลับมีมุมมองเกี่ยวกับความตายที่แตกต่างไปจากธรรมดามากทีเดียว มันเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับช่องว่างเป็นช่องว่างระหว่างการเกิดและการตาย เป็นภาวะแวดล้อมที่ซึ่งเราจักปฏิบัติหายใจแสดงกิริยาอาการ เป็นสถานที่ที่ก่อแรงบันดาลใจให้เกิดหนังสือเล่มนี้ขึ้น
 
วัฒนธรรมบอนที่ดำรงอยู่ก่อนการเข้ามาของพุทธศาสนาในธิเบต มีคำชี้แนะอย่างละเอียดว่าสมควรจักปฏิบัติต่อพลังจิตที่ถูกละทิ้งไว้โดย ผู้ตายอย่างไรดี สิ่งที่ผู้ตายหลงเหลือไว้นั้น ได้แก่ รอยเท้า ระดับอุณหภูมิ อันทำให้คาดคิดได้ว่าทั้งวัฒนธรรมบอนและวัฒนธรรมอียิปต์ ต่างก็มีรากฐานจากประสบการณ์ดังกล่าว คำแนะนำดังกล่าวเป็นในแง่ว่าจะทำอย่างไรดีกับรอยเท้า มากกว่าจะมุ่งความสนใจไปยัง มโนวิญญาณของผู้ตาย ทว่าหลักการสามัญที่ข้าพเจ้าจะพูดถึงในที่นี้นั้น ได้แก่บรรดาความไม่แน่นอนที่ปรากฏในสภาวะเปี่ยมสติและ ความคลุ้มคลั่ง
 
คำว่าบาร์โดนั้นหมายถึง ช่องว่าง แต่กลับมิได้หมายเอาถึงช่วงพักในภายหลังการจบชีวิตของเราเท่านั้น หากยังหมายถึงช่องว่าง ในสถานการณ์ชีวิตประจำวันด้วย การแตกดับนั้นปรากฏในสภาวะการดำเนินชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลา ประสบการณ์บาร์โดเป็นส่วนหนึ่ง จากการปรุงแต่งทางจิตวิทยาโดยพื้นฐานของเรา ความจริงแล้วประสบการณ์แห่งบาร์โดทุกประเภทอุบัติกับของเรา ทั้งความหวาดระแวง และความไม่แน่นอนแห่งชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่นความไม่แน่ใจในสภาพความเป็นอยู่ของเรา เราไม่รู้ว่า ตนกำลังแสวงหาสิ่งใดหรือ มุ่งสู่สิ่งใด ด้วยเหตุนี้คัมภีร์เล่มนี้จึงมิใช่เป็นเพียงถ้อยความสำหรับผู้ที่กำลังจะตายหรือได้ดับสิ้นลงไปแล้ว หากยังเป็นสารสำหรับบุคคล ที่ได้ถือกำเนิดแล้วอีกโสตหนึ่งด้วย การเกิดและการดับเกิดขึ้นกับทุกผู้คนในทุก ๆ ขณะภาวะ
 
ประสบการณ์บาร์โดภพสามารถแยกพิจารณาได้เป็นเรื่องราวแห่งภูมิหก แห่งการคุมขังที่เราต้องเผชิญผ่าน เป็นภูมิหกแห่งสภาวะทางจิตใจ ของเรา ในรูปของภูติผีเทวาต่าง ๆ กัน ดังได้พรรณาบรรยายในคัมภีร์เล่มนี้ ในช่วงสัปดาห์แรกหลังการตายเราจะประสบกับเทพชั้นสูง ส่วนในสัปดาห์สุดท้าย จักปรากฏตถาคตทั้งห้าและเทพเฮรุกามากมาย และหมู่เการิศอันเป็นผู้เชิญสารแห่งตถาคตทั้งห้า เหล่าภูติผีปีศาจ เหล่านี้จักปรากฏตนในรูปแบบน่าหวาดกลัวและแปลกตายิ่งนัก รายละเอียดที่กล่าวถึงในที่นี้เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุดในชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้หาใช่อาการจิตหลอนหรือนิมิตที่ปรากฏหลังการตายเท่านั้น หากยังเป็นแง่มุมในสถานการณ์แห่งชีวิตที่เราต้องเผชิญหน้า
 
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ภาพนิมิตมายาเหล่านี้อาจหมายถึงสิ่งที่ปรากฏในการฝึกฝนสมาธิภาวนา อันเป็นกระบวนการที่จะไม่มีใครช่วยเหลือ เกื้อกูลเราได้ ทุกสิ่งถูกทอดทิ้งให้เป็นเรื่องเฉพาะตัวอย่างโดดเดี่ยว เป็นการเผชิญหน้าในสิ่งที่เราเป็น อาจเป็นได้ที่คุรุหรือกัลยาณมิตร เป็นผู้ปลุกเร้าส่วนนั้น แต่โดยพื้นฐาน พวกเขาหามีส่วนร่วมด้วยไม่
 
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นจริงภายหลังการตายของเรา มีใครเคยกลับมาจากเชิงตะกอนหรือหลุมศพและบอกเล่าถึง ประสบการณ์ที่เขาพานพบมาหรือ ทว่ารอยประทับเหล่านี้กลับทรงพลังมาก จนบุคคลที่เพิ่งถือกำเนิดมาใหม่จักมีความทรงจำในช่วงเวลา ระหว่างการเกิดและการตายอันใหม่สด ทว่าเมื่อเราเติบโตขึ้นเราจักตกอยู่ใต้อิทธิพลแห่งพ่อแม่ ผู้ปกครอง และสังคม อีกทั้งเรายังตกอยู่ ใต้แบบแผนการเลี้ยงดูอันแตกต่างกันไป ดังนั้นรอยประทับอันลึกล้ำจักลบเลือนไป เว้นแต่ในบางครั้งบางคราที่มันจะผุดขึ้นชั่วพริบตา เมื่อนั้นแลเราจักสงสัยใคร่รู้ในประสบการณ์เยี่ยงนั้น และเราจักเริ่มหวาดหวั่นที่จะสูญเสียสิ่งที่จับต้องได้อันได้แก่การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ จนทำให้เราปฏิเสธหรือลังเลต่อสิ่งที่เราจับต้องไม่ได้ การพิจารณาเรื่องราวเหล่านี้จากแนวคิดที่ว่ามีสิ่งใดปรากฏขึ้นภายหลังการตายของเรา ดูออกจะคล้ายกับการศึกษาเรื่องราวในตำนาน แต่จริงแล้วเราจำเป็นต้องมีประสบการณ์บางอย่างในภาวะบาร์โด
 
เรื่องราวเหล่านี้เป็นประสบการณ์ขัดแย้งแห่งกายและวิญญาณ ประสบการณ์ต่อเนื่องระหว่างการเกิดและการตาย ประสบการณ์บาร์โดแห่งธรรมดา แสงสุกใส ประสบการณ์ใกล้จุติ บิดามารดาในอนาคตหรือภูมิที่เราจะไปจุติ เราย่อมได้พบเห็นนิมิตแห่งเทพสันติและเทพพิโรธ ซึ่งปรากฏอย่างต่อเนื่องในเวลานั้น หากเราหาญกล้าและเข้มแข็งเพียงพอเราย่อมเฝ้ามองทุกสิ่งอย่างองอาจ ครั้นแล้วประสบการณ์แห่งความ ตายและสภาวะบาร์โดก็จะไม่เป็นเพียงตำนานหรือเรื่องราวที่น่าตื่นตระหนกอีกต่อไป เพราะว่าเราได้เตรียมตัวอย่างพร้อมมูลและ ทำความคุ้นเคยกับทุกสิ่งไว้ก่อนหน้าแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 05, 2014, 09:06:14 pm โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


 
สภาวะบาร์โดที่ปรากฏก่อนตาย
 
 
 
ประสบการณ์บาร์โดแรกสุดได้แก่ ความไม่แน่ใจที่ว่าเขากำลังจะตายลงจริง เป็นความรู้สึกในแง่ของการพลัดพรากจากโลกที่เคยอาศัยอยู่ หรือเป็นในแง่ที่ว่าเขาจะมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่ ความไม่แน่ใจหาใช่เป็นในเรื่องราวของการละร่างไป แต่เป็นเรื่องของการสูญเสียที่มั่น อันเคยดำรงอยู่ เป็นการก้าวออกจากโลกของความจริงสู่โลกมายา
 
เราอาจอ้างถึงโลกของความจริง ในแง่ที่ว่ามันเป็นสถานที่ที่เราประสบซึ่งความทุกข์ทรมาณ ความดีงามและความเลวร้าย มีความเจ้าปัญญา ที่สรรหาบรรทัดฐานสำหรับสิ่งต่าง ๆ ในลักษณะทวิลักษณ์ ซึ่งหากเราได้ทำการสัมผัสกับความรู้สึกทวิลักษณ์เหล่านี้อย่างจริงจัง จะพบว่า ประสบการณ์อันจริงแท้นั้นปราศจากการแบ่งแยกแม้แต่น้อย ดังนั้นสภาวะทวิลักษณ์นั้นถูกมองโดยทัศนคติอันแจ่มชัดและเปิดกว้างอัน ปราศจากความขัดแย้ง จะไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่ความเป็นหนึ่งเดียวที่โอบล้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ความขัดแย้งนั้นเกิดจากว่าสภาวะ ทวิลักษณ์ไม่ได้ถูกมองดังที่มันเป็น มันถูกพิจารณาผ่านแง่มุมจนบิดเบี้ยวและโง่งม ในความเป็นจริงแล้วเราแทบไม่เคยรับรู้สรรพสิ่งดังที่มันเป็นเลย เราจึงเริ่มงุนงงสงสัยว่าสิ่งต่าง ๆ เช่นตัวฉัน และภาพเงาฉายแห่งฉันนั้นมีตัวตนอยู่จริงในขณะนั้น ดังนั้นเมื่อเราเอ่ยถึง โลกแห่งทวิลักษณ์ว่าเป็นความสับสนยอกย้อนจริงแล้ว ความสับสนยอกย้อนหาใช่โลกทวิลักษณ์อันสมบูรณ์ไม่ มันเป็นเพียงโลกแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น อันเป็นโลกที่ก่อให้เกิดความไม่พึงใจและความไม่แน่นอนอย่างมหาศาล มันถูกก่อหวอดจนถึงจุดที่เกิดความรู้สึกหวาดกลัว ว่าจะกลายเป็นคนวิกลจริต เป็นจุดที่อาจพาเราผ่านพ้นโลกแห่งทวิลักษณ์เข้าสู่ความว่างอันบางเบาและอ่อนนุ่ม อันเป็นโลกแห่งความตาย เป็นสุสานที่ดำรงอยู่ในสายหมอก
 
คัมภีร์เล่มนี้พรรณาถึงความตายในรูปขององค์ประกอบแห่งร่างกายในภาวะที่ลุ่มลึกลงไปเรื่อย ๆ คุณจะรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากเมื่อ ธาตุดินสลายกลายเป็นธาตุน้ำ และเมื่อธาตุน้ำสลายกลายเป็นธาตุไฟ ระบบหมุนเวียนภายในตัวคุณจะดูหยุดยั้งลง และเมื่อธาตุไฟสลาย กลายเป็นธาตุลม ความรู้สึกอบอุ่นหรือเติบโตก็จบสิ้นลง และเมื่อธาตุลมได้ละลายสู่อากาศธาตุคุณย่อมสูญเสียสายสัมพันธ์สุดท้ายที่มีต่อโลก ในที่สุดเมื่อที่ว่างและมโนวิญญาณแปรเปลี่ยนสู่ศูนย์กลางนาภีย่อมบังเกิดแสงสว่างภายใน สรรพสิ่งจะน้อมลงสู่เบื้องในอย่างสิ้นเชิง
 
ประสบการณ์ดังกล่าวนี้อุบัติขึ้นอย่างสม่ำเสมอ สถานะอันจับต้องได้อ้างอิงได้สูญสลายไป และบุคคลนั้นจักไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังเข้าสู่ ภาวะวิมุตติหรือกำลังเสียสติกันแน่ เมื่อใดก็ตามที่ประสบการณ์เช่นนี้บังเกิดขึ้นมักปรากฏขั้นตอนสี่ห้าประการอยู่เสมอในขั้นแรก คุณลักษณ์อันจับต้องได้ ที่มีชีวิตจิตใจจะเริ่มพร่ามัว กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณได้สูญเสียสัมผัสทางกาย แล้วคุณจะหันมาเพื่อพาสิ่งที่กำลัง ทำงานอยู่อันได้แก่ธาตุน้ำ คุณย้ำเตือนกับตนเองว่า จิตใจคิดนึกของคุณยังทำงานอยู่ ในขั้นต่อไป จิตใจเริ่มเกิดความไม่แน่นอนว่ามันยัง ปฏิบัติงานอยู่หรือไม่ บางจุดในวงจรการทำงานของมันเริ่มชำรุดบกพร่อง หนทางเดียวในการติดต่อสื่อสาร คือ การผลักดันทางอารมณ์ คุณพยายามจะคิดถึงบุคคลที่คุณรักหรือเกลียดชัง บางสิ่งแจ่มชัด ด้วยเหตุที่คุณลักษณ์แห่งธาตุน้ำในระบบไหลเวียนไม่ทำงานอีกต่อไป ดังนั้นอุณหภูมิอันเร่าร้อนของความรักและความเกลียดชังจึงกลายเป็นของสำคัญ และแล้วคุณจะค่อยกลืนหายไปในอากาศ มีความรู้สึก บางเบาของความปลอดโปร่ง มีแนวโน้มว่าคุณจะเริ่มละทิ้งการผูกติดอยู่กับความรู้สึกรัก หรือการพยายามที่จะจดจำบุคคลที่คุณรัก สิ่งทั้งหลายดูจะดำดิ่งลงสู่ภายใน
 
ประสบการณ์ต่อไปได้แก่แสงสว่างเรืองรอง คุณมีทีท่าว่าจะปราชัยเพราะคุณได้ดิ้นรนมาเนิ่นนานแล้วและไม่อาจต่อสู้ต่อไปได้อีก ความรู้สึกทอดทิ้งที่ได้บังเกิดขึ้นแล้วในเวลานี้ ดูกับว่าความเจ็บปวดและความสมหวังได้บังเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนในเวลาเดียวกัน สายธารอันเชี่ยวกรากของผืนน้ำที่เยียบเย็นดุจก้อนน้ำแข็งและผืนน้ำที่ร้อนระอุได้ไหลรินไปทั่วร่างของคุณ เป็นประสบการณ์อันหนักหน่วง เปี่ยมล้นและทรงพลัง ประสบการณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวที่ความทุกข์ทนและปีติสุขไม่อาจแยกขาดออกจากกัน ความพยายามอย่าง แรงกล้าที่จะแบ่งแยกบางสิ่งถูกทำให้สับสนโดยแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่สองประการอันได้แก่ ความหวังที่จะเข้าสู่วิมุตติสุข และ ความหวาดกลัวที่จะเสียจริต แรงยิ่งใหญ่สองประการที่เข้มข้นจนกระทั่งก่อให้เกิดความผ่อนคลาย และเมื่อคุณไม่ทำการดิ้นรนอีกต่อไป แสงสุกใสก็จะปรากฏตนตามธรรมชาติ
 
ขั้นต่อไปได้แก่การประสบแสงสุกใสในชีวิตประจำวัน แสงสุกใสคือฉากเบื้องหลัง หรือฉากอันเป็นช่องว่างเมื่อความมืดทึบได้จางลง ปัญญาบางประการได้เริ่มทำการเชื่อมต่อกับภาวะตื่นขึ้นแห่งจิต อันนำไปสู่ประพิมประพายแห่งสมาธิหรือพุทธภาวะซึ่งเรียกขานกันว่า ธรรมกาย ทว่าหากเราไม่อาจทำการเชื่อมต่อกับปัญญาพื้นฐานได้ และพลังแห่งความสับสนยังคงมีอำนาจเหนือกระบวนการแห่งจิต พลังอำนาจอันสั่งสมอย่างสะเปะสะปะจะกลับเป็นพลังงานเจือจางหลายระดับ อาจกล่าวได้ว่าจากพลังงานเปี่ยมล้นแห่งแสงสุกใส แนวโน้มในการยึดติดได้พัฒนาขึ้น จากจุดนี้ภพทั้งหกก็จักเกิดขึ้นโดยมีความเข้มข้นต่างกัน แต่อย่าลืมว่า ความเข้มข้นหรือความบีบรัดนั้นไม่อาจดำเนินไปโดยปราศจากพลังงานเป็นตัวกระตุ้น อีกนัยหนึ่งก็คือพลังงานถูกใช้ไปในการจับฉวย ซึ่งบัดนี้เราจะพิจารณาภูมิทั้งหกซึ่งขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณการประพฤติตน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 05, 2014, 09:39:31 pm โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด




นรกภูมิ
 
 
เราจะเริ่มต้นด้วยนรกภูมอันเป็นภูมิที่ตึงเครียดที่สุด ในขั้นแรกพลังงานหรือภาวะอารมณ์จะก่อตัวขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง จนในบางครั้งคราว เราจะไม่แน่ใจว่าพลังงานควบคุมเราอยู่หรือเราเป็นฝ่ายควบคุมพลังกันแน่ บัดดลนั้นเราจะรู้สึกเสียสูญ จิตใจของเราจะจากไปสู่ ภาวะว่างเปล่า อันได้แก่ แสงสุกใส จากภาวะว่างเปล่านี้เองที่ความรู้สึกแรงกล้าที่จะต่อสู้ รวมทั้งความหวาดระแวงอันส่งผล ให้เราสะพรึงกลัว ทว่าเรากลับหาได้แน่ใจแจ่มชัดว่าใครกันแน่ที่เราต้องต่อกรด้วย และเมื่อทุกสิ่งได้ถูกสร้างขึ้นจนสมบูรณ์แบบความน่าสะพรึงกลัวนั้นก็หันก็หันมาเล่นงานตัวเราเอง เมื่อใดก็ตามที่เราพยายามต่อสู้กับเงาเบื้องหน้า เรากลับพบว่าเราได้จู่โจมด้านในของตัวเอง
 
อุทาหรณ์เปรียบดังชายพเนจรที่แลเห็นขาแกะอยู่เบื้องหน้าปรารถนาจะหยิบฉวยและกัดกิน แต่อาจารย์ของเขาบอกให้เขาทำตำหนิรูปไม้ กางเขนไว้ ต่อมาภายหลังเขาพบว่ารูปไม้กางเขนนั้นปรากฏอยู่หน้าอกของเขาเอง นั่นเป็นตัวอย่างที่ดีมาก คุณคิดว่ามีบางสิ่งภายนอกที่ต้อง ทำการต่อสู้หรือเข่นฆ่าหรือฟันฝ่า ในหลาย ๆ กรณีความโกรธแค้นก็เป็นเช่นนี้ คุณโกรธแค้นในบางสิ่งและพยายามจะทำลายมัน ในเวลา เดียวกันการณ์กลายกลับเป็นว่าคุณสร้างความพินาศให้กับตัวเอง เป็นการหันศรสู่ด้านใน และหันหลังวิ่งหนี ทว่าดูจะสายไปเสียแล้ว คุณกลับเป็นเหยื่อเสียเอง ไม่มีที่ให้หลบหนีไปไหนได้ คุณไล่ล่าตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน นั่นแหละคือพัฒนาการแห่งนรก

การทรมาณอันน่าสะพรึ่งกลัวในนรกเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงภาพฉายทางจิตวิทยาของตัวเอง ในนรกภูมิคุณหาถูกลงทัณฑ์จริง ๆ ไม่ แต่กลับถูกข่มขู่ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งพรรณากันไว้ในรูปของท้องทุ่งและหุบเขาเล็กร้อนแดง และบรรยากาศที่ลุกไหม้ เป็นไฟโชนอยู่ หากคุณปรารถนาจะหลบหนีคุณจำต้องทะลวงผ่านสิ่งเผาผลาญเหล่านี้ และหากไม่หลบหนีคุณก็จะถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน มีหายนะที่บีบคั้นคุณอยู่ ความร้อนสาดเผามาจากทุกหนทุกแห่ง โลกทั้งโลกกลายเป็นเหล็กร้อนแดง แม่น้ำลำธารกลายเป็นเตาหลอม ท้องฟ้าแผ่คลุมไปด้วยเปลวเพลิง

รูปแบบของนรกอีกประการหนึ่งนั้นกลับเป็นไปในด้านตรงกันข้าม เป็นประสบการณ์แห่งหิมะและความหนาวเย็น เป็นโลกน้ำแข็งที่ทุกสิ่ง แข็งตัวไปหมด อันเป็นความก้าวร้าวอีกประการหนึ่ง ความก้าวร้าวที่ปฏิเสธการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น เป็นความขุ่นเคืองที่มาจากทิฏฐิ มานะอันแรงกล้า ทิฏฐิมานะเช่นนี้ได้กลายเป็นสภาพแวดล้อมอันหนาวเย็นที่เริ่มคลี่คลุมบรรยากาศและได้รับการเสริมแรงโดยความพึงพอใจ ส่วนรวม มันไม่ยินยอมให้เราแย้มยิ้มหรือเริงร่าหรือสดับฟังเสียงดุริยะใด ๆ
 
 
 
เปรตภูมิ
 
 
ครั้นแล้วจะปรากฏภูมิแห่งจิตอีกภูมิหนึ่ง เป็นภูมิแห่งพวกเปรตหรือภูติผีหิวกระหาย เราเข้าสู่แสงสว่างมิใช่เพราะความก้าวร้าว แต่เป็นเพราะความละโมบหิวกระหาย มีความรู้สึกยากไร้ แต่ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกมั่งคั่งเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน

ในภูมิแห่งเปรตมีความรู้สึกอันโอ่อ่าแห่งความรุ่มรวย รู้สึกเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ มากมาย เมื่อใดทีคุณเกิดความต้องการคุณไม่จำเป็นต้อง ออกไปเสาะหา คุณพบว่ามันมีอยู่ในมือแล้ว และจึงทำให้คุณหิวกระหายมากขึ้น พลัดพรากมากขึ้น เป็นเพราะว่าคุณได้รับความพึงพอใจ จากการแสวงหาด้วย ทว่าบัดนี้เรามีทุกอย่างพร้อมมูล เราไม่สามารถเดินทางไปยังที่อื่นเพื่อแสวงหาและได้มาซึ่งสิ่งพึงประสงค์ มันช่างน่า เศร้าใจนัก เป็นความโหยหิวที่เติมเต็มมิได้

มันเหมือนกับตอนที่คุณเกิดอาการจุกแน่น คุณไม่สามารถจะกลืนกินอะไรลงไปได้อีก แต่คุณปรารถนาจะกินมันต่อไปอีก ดังนั้นคุณจึงเกิด ภาพลวงตาเกี่ยวกับรสชาติและความเอร็ดอร่อยในการรับประทาน กัดกิน กลืนและย่อยมัน กระบวนการดังกล่าวนี้ดูหรูหราโอชะ และคุณ จะรู้สึกอิจฉาเป็นยิ่งนักต่อบุคคลที่หิวโหยและยังกัดกินได้

สัญลักษณ์ของเปรตได้แก่คนที่มีท้องใหญ่มโหฬาร แต่กลับมีลำคอเรียวบางและปากเล็กจ้อย มีประสบการณ์หลากรูปแบบในภูมินี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับของความหิวกระหาย เปรตบางตนสามารถหยิบฉวยอาหารไว้ได้ แต่อาหารกลับมลายหายไปต่อหน้าต่อตาหรือ ไม่สามารถจะกลืนกินมันลงไปได้ บางตนก็หยิบฉวยได้จับยัดใส่ปากแต่กลับไม่สามารถกลืนลงไปในท้อง บางตนสามารถกลืนลงไปได้ แต่ครั้นพอตกถึงท้องมันกลับระเบิดออก ซึ่งจริงแล้วในโลกปัจจุบันของเรานี้ เราก็จะพบกับความหิวโหยระดับต่าง ๆ อยู่เสมอ

ความสุขในการครอบครองหาได้สร้างปีติมากมายแก่เราเลยไม่ เมื่อเราได้อะไรบางอย่างมา เราก็จะออกหาอย่างอื่นอีก แล้วก็จะตกอยู่ใน แบบแผนเดิมอีก มันจึงกลายเป็นความหิวกระหายอย่างสม่ำเสมอที่ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากความยากจน แต่เป็นเพราะความรู้สึกว่าแม้เราจะมีสิ่งของมากมาย เรากลับไม่มีความสุขและชื่นชมมันได้เต็มที่ พลังดังกล่าวหรือการแลกเปลี่ยน เช่น การแสวงหาของสะสม การโอบรัดจับฉวย การจัดวาง การกลืนกิน ดูน่าตื่นเต้นมากกว่า พลังงานเช่นนี้ดูเย้ายวนยิ่งนัก แต่พอถึงการจับฉวยมันกลับดูน่ากลัว ครั้งแรกที่คุณได้จับต้องสิ่งของใด ๆ คุณปรารถนาจะครอบครองมัน แต่แล้วคุณไม่มีความสุขในการครอบครองอีกต่อไป แต่คุณเองก็จะไม่อยากปลดปล่อยสิ่งใดไป เป็นความสัมพันธ์ทั้งเกลียดทั้งรักต่อสรรพสิ่งภายนอก ตัวอย่างเปรียบเปรยได้แก่การแอบชื่นชมสวนเขียวขจีของ เพื่อนบ้าน ครั้นเมื่อมันได้เปลี่ยนมือเป็นของเราเอง เรากลับหามีความชื่นชมยินดีเยี่ยงแรกเห็นไม่ คุณลักษณ์อันอ่อนหวานของความรักใคร่ ได้เจือจางลงไป
 
 
 
เดรัจฉานภูมิ
 

 
เดรัจฉานภูมิมีคุณลักษณ์เด่นที่การขาดแคลนอารมณ์ขันอย่างยิ่งยวด เราพบว่าเราไม่สามารถดำรงความเป็นกลางไว้ในแสงสุกใสอย่างไม่สั่นคลอนได้ ดังนั้นเราจึงแสร้งทำตนใบ้บ้า เป็นการปล่อยวางอย่างชาญฉลาดที่สุด อันบ่งว่าเรากำลังซ่อนเร้นความจริงบางประการไว้ เป็นการเก็บกดอารมณ์ขัน ภูมินี้มีสัญลักษณ์เป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่ไม่สามารถ ยิ้มหัว หรือสรวลสันต์ได้ สัตว์เดรัจฉานล้วนรู้จักความสุขและความเจ็บปวดดี แต่มันกลับไม่คุ้นเคยต่ออารมณ์ขันหรือการประชดประชันเอาเลย

คนเราอาจพัฒนาคุณลักษณ์เช่นนี้ได้โดยพึ่งพากรอบอ้างอิงทางศาสนาเทววิทยา หรือบทสรุปทางปรัชญาแนวคิดก็เป็นได้ หรือไม่ก็ทำตนด้านชา หรือไม่แยแส เมื่อเขาคิดว่าตนเองปลอดภัยดีแล้ว เขาย่อมประพฤติตนเป็นคนดี มีประสิทธิภาพและพึงพอใจกับชีวิต ยิ่ง เปรียบเสมือนชาวบ้านนอกที่เอาใจใส่ไร่นาเป็นอย่างดี เขาเฝ้าตรวจตรา หมั่นระวังระไว ไม่ย่อหย่อน หรืออาจเปรียบดังนักบริหารที่ ดำเนินธุรกิจ หรือหัวหน้าครอบครัวที่มีชีวิตมั่นคง เป็นสุข แน่นอนไม่มีอะไรผิดพลาด ไม่มีอะไรลึกลับสำหรับเขา หากเขาจะซื้อเครื่องมือ เครื่องใช้สักชิ้นเขาต้องแน่ใจว่ามันมีคู่มือประกอบด้วย ถ้ามีปัญหาในชีวิตเขาย่อมไปพบทนาย ผู้นำศาสนาหรือตำรวจ บุคคลมืออาชีพเหล่านี้ มั่นคงและปลอดภัยในที่มั่นของเขา ไม่มีอะไรพลาดคาดเดาได้แน่นอน และมีกลไกที่ย่ำอยู่อย่างสม่ำเสมอ

สิ่งที่ขาดหายไปในที่นี้ได้แก่เมื่อมีบางสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จักเกิดความรู้สึกหวาดระแวงขึ้นทันที อันเป็นการคุกคามขู่เข็ญ หากมีบุคคลใด ที่แลดูผิดแผกไป แลดูแตกต่างไป มีรูปแบบชีวิตอันไม่เหมือนใคร การดำรงอยู่ของบุคคลพวกนี้จะเริ่มสั่นคลอน สิ่งที่คาดเดาไม่ได้จักเริ่มขู่เข็ญ คุกคามพวกเขา ด้วยเหตุนี้ความซ้ำซากและความด้านชาจึงเป็นลักษณะเด่นแห่งเดรัจฉานภูมิที่ปราศจากอารมณ์ขัน
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

* The Wheel of Life หรือ สังสาระ สังสารจักร วฏสงสาร
 



มนุษย์ภูมิ
 
 
 
 
มนุษย์ภูมิเป็นอีกสถานการณ์หนึ่งที่ไม่เหมือนเดรัจฉานภูมิในแง่ของการดิ้นรนและคุมขัง มนุษย์ภูมินั้นมีพื้นฐานจากอารมณ์ปรารถนา มีแนวโน้มที่จะสำรวจตรวจตราและแสวงหาแต่ความสุขสมหวัง เป็นภูมิแห่งการวิจัยและทะเยอทะยาน พยายามสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองไม่สิ้นสุด อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์ภูมินั้นไกล้เคียงกับเปรตภูมิในแง่ของการไขว่คว้าหาสรรพสิ่ง แต่ก็แอบแฝงคุณลักษณ์ แห่งเดรัจฉานภูมิไว้ด้วย ในแง่ที่จะทำแต่สิ่งที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ สิ่งพิเศษในมนุษย์ภูมิได้แก่ความสนใจอันแปลกประหลาดที่ติดมากับ ความปรารถนา อันทำให้มนุษย์เต็มไปด้วยเล่ห์มากอุบายและแปรเปลี่ยนไม่แน่นอน พวกเขาสามารถคิดผลิตเครื่องมือมากมายได้และนำ เอาไปใช้ในสถานการณ์อันซับซ้อน เพื่อใช้จัดการกับคนมากเล่ห์ ขณะเดียวกันบุคคลเหล่านั้นก็จะประดิษฐ์เครื่องมือแก้ลำขึ้นมาด้วย ดังนั้นเราจึงสร้างโลกของเราให้เต็มไปด้วยความสำเร็จและการบรรลุเป้าหมายมากมายไปหมด ทว่าการสร้างเครื่องมือและเครื่องมือตอบโต้ จะขยายตัวไม่หยุดหย่อน ก่อให้เกิดความปรารถนาและความสนเท่ห์ จนในที่สุดจะไม่สามารถทำงานใหม่นี้ให้เป็นจริงได้ เราต้องเกิดและต้องตายประสบการณ์ใหม่ ๆ อาจเกิดขึ้นได้ แต่มันก็เสื่อมสลายลงในที่สุดด้วย การค้นพบของเราอาจไม่จีรังหรือถาวรเอาเลย
 
 
 
 
 
อสุรภูมิ
 
ภูมิแห่งอสูุรหรือเทพริษยาเป็นภูมิสูงสุดเท่าที่การสื่อสารติดต่อจะเกิดขึ้นได้ เป็นภูมิแห่งสถานการณ์อันชาญฉลาด เมื่อคุณถูกแยกตนออก จากแสงสุกใสในฉับพลัน คุณจักบังเกิดความรู้สึกสับสนราวกับว่ามีใครบางคนได้นำคุณไปปล่อยทิ้งไว้กลางป่าดึกดำบรรพ์ คุณย่อมชะเง้อ และดูด้านหลังและสงกาสงสัยแม้เจ้าเงาของตัวคุณเอง ไม่ว่ามันจะเป็นเงาจริง ๆ หรือเล่ห์อุบายของใครบางคน ความหวาดระแวงเป็นระบบ ตรวจจับที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่อัตตาจะมีขึ้นได้ มันตรวจตราได้แม้สิ่งที่แผ่วบางและเล็กจ้อย สงสัยในทุกสิ่งอย่างและประสบการณ์ ทุกรูปแบบในชีวิตจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่บังคับขู่เข็ญ
 
ภูมินี้เป็นที่รู้จักกันดีในนามของภูมิแห่งความอิจฉาริษยา แต่ไม่ใช่ริษยาในรูปแบบที่เราคุ้นเคย มันเป็นอารมณ์ริษยาที่มีพื้นฐานอยู่บนการดิ้นรน เพื่ออยู่รอดและแสวงหาชัยชนะ ซึ่งไม่คล้ายคลึงกับมนุษย์ภูมิหรือเดรัจฉานภูมิ เป้าประสงค์ของภูมิแห่งอสูรคือการทำงานภายใต้เล่ห์กระเท่ห์ ซึ่งเป็นทั้งทรัพย์สมบัติและความเพลิดเพลินใจของมัน เปรียบดังบุคคลที่ถูกเลี้ยงดูแบบนักการทูต เติบโตแบบนักการทูต และตายไปแบบนักการทูต เล่ห์กลและการติดต่อสัมพันธ์เป็นแบบแผนชีวิตและการดำรงอยู่ของเขา เล่ห์กลเหล่านี้ปรากฏอยู่ในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ฉันมิตร หรือแม้แต่ในความสัมพันธ์ฉันครูและลูกศิษย์ก็ตาม
 
 
 
 
 
 
เทวดาภูมิ
 
 
 
ภูมิสุดท้ายได้แก่เทวดาภูมิ หรือเทวโลก เมือบุคคลได้ตื่นขึ้นในแสงสุกใสจักบังเกิดความสุขที่ไม่ได้คาดเดาเอาไว้และอยากจะถนอม ความสุขดังกล่าวนี้ไว้ แทนที่จะยินยอมสูญสลายสู่ปกติภาวะ ( นิพพานภาวะ ) เรากลับเกิดเห็นตระหนักถึงตนเองในฐานะของปัจเจกชน และปัจเจกชนนี้ได้นำมาซึ่งความรู้สึกชื่นชอบตนเองจนอยากจะรักษาตนเองในสภาพนี้ไว้ อันเป็นสภาวะแห่งสมาธิสุข เป็นสภาวะสงบ และซึมซาบดื่มด่ำยิ่งนัก ภูมิแห่งเทวดาเป็นที่รู้จักกันในฐานะ ภูมิแห่งมานะ มานะในแง่ที่มองทุกสิ่งโดยมีตนเองเป็นศูนย์กลาง เป็นการรักษาความสุขส่วนตัวไว้ ในอีกแง่หนึ่ง เป็นการเมามายอยู่กับตนเอง คุณเริ่มที่จะรู้สึกยินดีปรีดาในความมั่นใจที่คุณเป็นอะไรบางอย่าง แทนที่จะเป็นแสงสุกใสที่ปราศจากดินแดนพักพิง และเนื่องเพราะคุณเป็นอะไรบางอย่าง คุณจึงจำต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งตนเอง อันเป็นบ่อเกิดแห่งสภาวะอันสะดวกสบายและปีติสุข เป็นการซึมซาบดื่มด่ำกับตนเองอย่างยิ่งยวด
 
ภูมิทั้งหกแห่งจักรวาลเป็นแหล่งอาศัยในสังสารวัฏ และเป็นบันไดก้าวต่อไปสู่ภูมิแห่งธรรมกาย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการช่วยให้เข้าใจใน ความสำคัญของนิมิตที่บรรยายในคัมภีร์เกี่ยวกับภาวะบาร์โดแห่งการเกิด อันเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างโลกสองโลก เป็นประสบการณ์ของภูมิทั้งหก จากมุมมองแห่งตัวตนที่กำลังจะเคลื่อนสู่ภูมิใหม่ นิมิตต่าง ๆ อาจมองได้ว่าเป็นการแสดงออกของพลังงานอันปกติ มากกว่าจะมองว่าเป็นเทพที่ช่วยคุณให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ หรือเป็นเหล่าปีศาจที่ไล่ล่าคุณ
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

 
 
บาร์โดแห่งธรรมดา
 
นอกจากภูมิทั้งหกแล้วเรายังจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับแนวคิดพื้นฐานของบาร์โด คำว่า " บาร์ " หมายถึงในระหว่าง " โด " หมายถึง เกาะแก่งหรือตำแหน่ง รวมความหมายถึงดินแดนที่อยู่ระหว่างสิ่งสองสิ่ง คล้ายดังแก่งในใจกลางทะเลสาบ บาร์โดนั้นอยู่ท่ามกลาง ความปกติและความวิกลจริต หรือในระหว่างความสับสนและการเปลี่ยนแปลงของความสับสนสู่ปัญญญาณ เราอาจกล่าวว่าเป็นสถานภาพระหว่างการเกิดและการตาย สถานการณ์ในอดีตเพิ่งผ่านพ้นไปและสถานการณ์ในอนาคตก็ยังมาไม่ถึง ดังนั้นจึงบังเกิดช่องว่างขึ้น นี้คือ ประสบการณ์บาร์โด
 
ธรรมดาบาร์โดคือ ประสบการณ์ที่เป็นแสงสุกใส ธรรมดาคือแก่นของสรรพสิ่งที่มันเป็นอยู่จริง เป็นคุณลักษณ์เช่นนั้นเอง ดังนั้นธรรมดา บาร์โดคือพื้นภูมิกลาง ๆ ที่เป็นสามัญ เปิดเผยและเป็นปกติและการรับรู้ถึงสภาพปกตินี้คือการได้ประจักษ์ชัดถึงธรรมกาย กายอันเป็นภาวะแห่งความจริงและกฎธรรมชาติ
 
ธรรมดานั้นปรากฏแสดงไม่ใช่ในรูปวัตถุหรือสิ่งที่แลเห็นได้แต่เป็นในรูปพลังงาน พลังงานที่มีคุณลักษณ์แห่งธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และ อากาศธาตุ เราไม่ได้กำลังพูดถึงวัตถุธาตุในแบบธรรดาสามัญ ทว่าเราจักพูดถึงวัตถุธาตุที่คุณลักษณ์อันละเอียดอ่อน จากแง่มุมของผู้รับรู้ การประจักษ์ถึงตถาคตทั้งห้าในนิมิตมิใช่ตัวนิมิต และมิใช่การรับรู้และมิใช่ประสบการณ์ มันมิใช่นิมิต เพราะหากมันเป็นนิมิตคุณย่อมต้อง ดูแลมัน และการแลดูคือกระบวนการส่งออกนอกที่แยกตัวคุณเองออกจากสิ่งของ นัยเดียวกัน คุณไม่อาจรับรู้มันได้ เพราะหากคุณทำการรับรู้ คุณก็จะย่อยประสบการณ์ดังกล่าวนั้นสู่ระบบภายในตัวของคุณ อันเป็นรูปแบบสัมพันธ์แบบทวิลักษณ์ แม้คุณไม่สามารถรู้จักมันได้ เพราะตราบใดที่มีคนคอยแนะนำคุณว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของคุณ คุณย่อมแยกแยะพลังงานทั้งหลายออกจากตัวคุณ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สำคัญมาก และต้องทำความเข้าใจให้ดี เพราะมันเป็นกุญแจดอกสำคัญในการทำความเข้าใจสัญลักษณ์ในภาพจิตกรรมแห่งตันตระ มีคำอธิบายอย่างแพร่หลายว่าภาพเทพศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นภาพของจิต แต่จริงแล้วภาพเหล่านี้กลับมีความหมายล้ำลึกกว่าที่คิด
 
หนึ่งในรูปแบบการฝึกฝนชั้นสูงที่อันตรายที่สุด ได้แก่การฝึกฝนให้เผชิญหน้ากับภาวะบาร์โดซึ่งได้แก่การนั่งสมาธิในความมืดอย่างยิ่งยวด ๒ สัปดาห์ ซึ่งย่อมบังเกิดนิมิตธรรมดาที่มีพื้นฐานอยู่บนหลักการแห่งตถาคตทั้งห้าโดยจะมีสภาพแตกต่างไปตามแต่ละบุคคล ตำแหน่ง ศูนย์กลางดวงหทัย ดังนั้นคุณจะเห็นรูปดวงตาจำนวนมากหลากแบบที่หัวใจของคุณ และภาพแห่งเทพดุร้ายมีศูนย์กลางอยู่ที่สมองของคุณ อันทำให้คุณได้พบเห็นดวงตาจำนวนหลากแบบจ้องมองซึ่งกันและกันอยู่ในสมองคุณ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่นิมิตธรรมดา มันอุบัติขึ้น เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความวิกลจริตและการสุญเสียการติดต่อสัมพันธ์กับหลักธรรมดา
 
ครั้นแล้วประสบการณ์อันเปี่ยมล้นและท่วมท้นแห่งแสงสุกใสจะพัฒนาต่อเนื่องไป จะเกิดอาการสว่างวูบและดับมิดสลับไป บางคราคุณจะเห็นแสงกระจ่างนี้ บางคราก็ไม่ หากแต่เข้าไปรวมตัวอยู่ในนั้นเลยทีเดียว ดังนั้นจึงเกิดมีการเดินทางติดต่อระหว่างธรรมกายและแสงสุกใส โดยทั่วไปแล้วราว ๆ สัปดาห์ที่ห้า จะบังเกิดความเข้าใจโดยพื้นฐานเกี่ยวกับตถาคตทั้งห้า นิมิตทั้งหลายจะอุบัติขึ้นแต่ไม่ได้เป็นไปในแง่ศิลปะ เราอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้ได้เคยปรากฏมาก่อน แต่คุณลักษณ์เชิงนามธรรมจะเริ่มพัฒนา โดยอาศัยพื้นฐานจากพลังงาน เมื่อพลังงานเริ่มเป็น อิสระและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น มันจักเริ่มหันมาดูตนเองและทำการรับรู้ตนเองซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือกว่าการรับรู้แบบสามัญ เปรียบเสมือนการที่คุณ ตัดสินใจเดินเพราะคุณเชื่อว่าคุณเดินได้เองโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องค้ำจุน คุณก้าวเดินอย่างไม่รู้ตัว หาใช่เรื่องเพ้อฝันไม่ แต่เป็นประสบการณ์ ซึ่งคุณไม่รู้ตัวเลย
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

 
 
ธรรมชาติแห่งนิมิต
 
 
นิมิตที่อุบัติขึ้นในสภาวะบาร์โด รวมทั้งลำแสงและสีสรรที่บังเกิดขึ้นอย่างพร้อมกันนั้น ไม่ได้ก่อเกิดจากองค์ประกอบใด ๆ ที่ต้องการ ประคับประคองของผู้รับรู้สัมผัส มันเพียงอุบัติขึ้นเป็นการแสดงออกของความเงียบงันและความว่างเปล่า การจะรับรู้นิมิตต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องนั้น ผู้รับรู้จำต้องละทิ้งการยึดมั่นในตนเองลงเสียก่อน ตัวตนของเราในที่นี้ได้แก่สิ่งซึ่งเป็นเหตุให้เราทำสมาธิภาวนาหรือรับรู้บางสิ่งบางอย่าง
 
เมื่อใดก็ตามที่มีผู้รับรู้ บุคคลย่อมได้ประสบกับเหล่าเทพหรือสิ่งต่าง ๆ ที่อุบัติขึ้นนอกตัว การรับรู้เช่นนี้ช่างตื่นตาตื่นใจ และเป็นสุขยิ่งนัก นั่นเป็นเพราะว่ามันเป็นกระบวนการที่นอกจากจะมีผู้เฝ้ามองแล้ว ยังแฝงนัยบางอย่างที่ละเอียดอ่อน เป็นวิญญาณขั้นสามัญ เป็นแนวคิดและ แรงกระตุ้นอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งที่มองสู่โลกภายนอก เป็นการเริ่มสัมผัสได้ถึงความงดงามแห่งความเปิดกว้าง ความว่างโล่งและความปีติสุข ซึ่งเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับจักรวาล ความรู้สึกเปิดเผยและว่างโล่งของสากลจักรวาลนั้นช่างดูง่ายดาย และสะดวกดายที่จะเข้าไป เปรียบเสมือน การเดินทางเข้าสู่ครรภ์มารดา เป็นแหล่งพักพิงอันปลอดภัย มีแรงดึงดูดให้เข้าร่วมที่แรงกล้ามาก ผู้คนดูอบอุ่นและมีมิตรไมตรี สนทนาด้วย ถ้อยคำอ่อนหวาน บางทีก็มีนิมิตศักดิ์สิทธิ์บางประการปรากฏขึ้นในสภาวะนี้ด้วย แสงสว่างวาบหรือคีตบรรเลงและสิ่งสวยหรูดูจเคลื่อนใกล้ เข้ามา
 
ในกรณีของบุคคลที่สัมพันธ์กับตนเองไปในลักษณะเช่นนี้เป็นไปได้ว่า ภายหลังการตายเขาอาจเกิดขุ่นเคืองที่ได้เห็นนิมิตแห่งตถาคตทั้งห้า ในบาร์โดซึ่งจะมิได้ขึ้นตรงต่อการรับรู้ของเขา ในยามนี้นิมิตแห่งตถาคตทั้งห้าจะมิได้ปรารถนาการเข้าร่วมอีกต่อไป แต่กลับมีการต่อต้าน อย่างรุนแรง พวกเขาดำรงอยู่ที่นี้ อยู่ที่นั่นอย่างชวนขุ่นเคือง เพราะว่าพวกเขาจะไม่ตอบรับการติดต่อสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ
 
นิมิตแรกที่บังเกิดขึ้นได้แก่นิมิตแห่งเทพสันติ สันติในที่นี้มิได้หมายถึงประสบการณ์แห่งความรักและความอบอุ่นดังเรากล่าวถึงในข้างต้น หากเป็นสันติในแง่ของความนิ่งเงียบที่โอบล้อมเราอยู่ไม่เคลื่อนไหว ไม่อาจจะเอาชนะหักหาญได้ ไม่แก่ชรา ไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่มีจุดเริ่มต้น สัญลักษณ์แห่งสันติในที่นี้ได้แก่วงกลมที่ปราศจากทางเข้าเป็นสภาวะแห่งนิรันดรกาล
 
ไม่เพียงแต่ในประสบการณ์บาร์โดหลังการตายเท่านั้น แม้ในชีวิตประจำวันของเรา เหตุการณ์เช่นนี้ก็อุบัติขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ยามใดก็ตาม ที่บุคคลเกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับกับจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูสวยสด รื่นรมย์และน่าปรารถนา เป็นไปได้ที่จะมีบางสิ่งบางอย่าง ก้าวย่างเข้ามา เป็นอย่างเดียวกับกับนิมิตแห่งเทพสันติ คุณจะพบว่า เป็นไปได้ที่คุณจะสูญเสียภูมิพำนัก สูญเสียการเข้าร่วมรวมตัว สูญเสีย เอกลักษณ์แห่งตน และเริ่มเลือนหายไปในสถานการณ์แห่งแสงสุกใส สภาวะของสันติสุขอันเลอค่าดูจะน่าตื่นอกตื่นใจ บ่อยครั้งทีเดียวที่ ศรัทธาของบุคคลอาจสั่นคลอนได้โดยประกายสว่างไสวจากมิติอื่น ที่ซึ่งแม้กระทั่งแนวคิดแห่งเอกภาพก็ไม่อาจใช้การได้อีกต่อไป
 
นอกจากนี้ยังปรากฏประสบการณ์ที่เป็นเทพพิโรธ อันเป็นรูปแบบแสดงออกอีกแง่มุมหนึ่งของสันติธรรม ความอำมหิต ที่ไม่ยินยอมให้เกิด การผิดพลั้งใด ๆ ถ้าคุณย่องเข้าหาพวกเขาและพยายามเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ พวกเขาจะจับคุณเหวี่ยงออกมา นั้นคือสิ่งซึ่งดำเนินอย่าง ต่อเนื่องพร้อมอารมณ์ในสถานการณ์อันมีชีวิตชีวา จะโดยเหตุใดก็ตาม การเข้าถึงเอกภาวะที่ซึ่งทุกสิ่งมีความสงบและกลมกลืน ไม่ใช่ตัว สัจธรรมสูงสุด เพราะเมื่อใดก็ตามที่การระเบิดออกทางอารมณ์ในรูปของความก้าวร้าวหรือมักใคร่บังเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน คุณจะตาสว่างขึ้น นั้นแลคือความโหดร้ายแห่งสันติสุข เมื่อคุณต้องเข้าเกี่ยวกับขบวนการผลิตอัตตา ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างเป็นที่น่าพอใจ สัจจะอันแท้จริงแห่งความเปล่าเปลือยทางจิตและสีสรรแห่งอารมณ์จักปลุกคุณให้ตื่นขึ้น อาจเป็นไปอย่างรุนแรง ราวกับอุบัติเหตุหรือความโกลาหลฉับพลัน
 
แต่ก็แน่ละอาจเป็นได้ว่าพวกเราจะพากันเพิกเฉยต่อคำตักเตือนเหล่านี้ และพากันยึดมั่นอยู่แต่ความเชื่อดั้งเดิม ดังนั้นแนวคิดแห่งการละร่าง และเข้าสู่แสงสุกใส ครั้นแล้วก็ตื่นจากแสงสุกใสและได้รับรู้นิมิตเหล่านี้ในบาร์โดขั้นที่สาม อาจถูกมองในทางสัญลักษณ์ได้ว่าเป็นประดุจดัง การรับเข้าสู่อากาศธาตุอันว่างโล่ง เป็นอากาศธาตุที่ห้ามแม้กระทั่งร่างกายให้ล่องผ่าน เป็นอากาศที่ว่างที่คุณไม่อาจแสวงหาการรวมตัวได้ เพราะไม่มีสิ่งใดให้รวมตัวหรือพักพิง มีเพียงประกายแสงแห่งพลังงานที่ล่องลอยอยู่ ซึ่งอาจเบี่ยงเบนหรือส่งผ่านเข้าไปได้ นั่นคือนิยามแห่งจิตในกรณีเช่นนี้ จิตในที่นี้เป็นพลังงานลวงหลอกที่อาจเบี่ยงเบนไปสู่สถานการณ์แบบอื่น ๆ หรืออาจแปรรูปเป็นสถานการณ์ที่ถูกต้องได้ โอกาสที่บุคคลจะปลดปล่อยตนเองเข้าสู่สัมโภคกายภาวะแห่งตถาคตทั้งห้านั้นขึ้นอยู่กับว่า ยังมีความพยายามที่จะเล่นเกมส์แบบเดิมอยู่อีกหรือไม่
 
ในเวลาเดียวกันที่เราประสบอยู่กับสถานการณ์อันคมชัดและเร้าใจอยู่นี้ก็จะบังเกิดอาการทวนกลับไปมาของภูมิทั้งหกแห่งประสบการณ์ บาร์โด การรับรู้ภูมิทั้งหกและการรับรู้ตถาคตทั้งห้านั้นจะเป็นภาวะเดียวกันแต่มีหลายแบบ ดูเหมือนว่าผู้ที่ได้พบเห็นตถาคตทั้งห้ามักเป็น ผู้ที่มีความสามารถอย่างใหญ่หลวง ในการธำรงสายสัมพันธ์ระหว่างกายเนื้อและจิตใจไว้ได้อย่างเป็นไปเอง ไม่มีการแบ่งแยกระหว่าง มโนวิญญาณของร่างกายกับจิตใจ ทั้งคู่เป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีความขัดแย้งใด ๆ บังเกิดขึ้น
 
คัมภีร์เล่มนี้กล่าวไว้ว่า นับแต่คุณได้ตื่นจากภาวะซึมซาบดื่มด่ำใจกายอย่างไร้สำนึก คุณมีประสบการณ์แห่งนิมิต รวบรัดแจ่มชัด และแม่นยำ ใสสว่างและน่าเกรงขาม คล้ายดังการแลเห็นภาพลวงตาในทุ่งกว้างแห่งฤดูใบไม้ผลิ คุณจะได้สดับเสียงที่กึกก้องดุจดังสายฟ้าฟาดทั่งทั้งธรณี ในสภาพแห่งจิตมีความรู้สึกปลดปล่อยและลอยตัว ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกเหมือนถูกท่วมทับด้วยปัญญานานา เปรียบดังมีศีรษะ แต่ปราศจากกาย ศีรษะขนาดมโหฬารลอยล่องอยู่ ณ อากาศเวิ้งว้าง ด้วยเหตุนี้มิมิตอันแท้จริงในสภาวะบาร์โดจึงแจ่มใส ชาญฉลาด และ สุกสว่างยิ่งนัก แต่กลับจับต้องไม่ได้ คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณกำลังอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด มีเสียงกึกก้องระรัว คำรามอยู่เบื้องหลัง แผ่นดิน ก็สั่นไหว แต่กลับดูเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดไหวติงเลยในขณะนั้น ถึงแม้ว่าภาพนิมิตในบาร์โดจะแจ่มชัดและดูลวงหลอกได้แนบเนียน อันเนื่อง มาจากการหย่าขาดจากร่างกายก็ตามที ประสบการณ์ไกล้เคียงกันนี้ก็อาจอุบัติได้ในชีวิตประจำวันเช่นกัน แม้ในชีวิตธรรมดาภาพลวงตา จะดูไม่สมจริง แต่ก็ยังมีคุณลักษณ์แห่งความไร้ชีวิตจิตใจทำงานอยู่ รวมทั้งความเปล่าเปลี่ยวและความไม่แน่ไม่นอนด้วย เมื่อผู้คนเริ่มตระหนัก ว่าพวกเขาสุญเสียที่มั่นที่ใช้สัมพันธ์อ้างอิงเช่นตัวตนไปแล้ว ประสบการณ์แห่งความอ้างว้างเหลือประมาณนี้ย่อมนำมาซึ่งความสั่นคลอนสั่นไหว อันสุดแมนจะทนทาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 05, 2014, 09:46:28 pm โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...