แสงธรรมนำใจ > วัชรยาน

คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead] ช่วงแรก

<< < (4/4)

มดเอ๊กซ:


วันที่หก
 
 
บัดนี้ถึงวาระที่บรรดาเทพแห่งสันติสี่สิบสององค์ ตถาคตทั้งห้า จตุรบาลทั้งสี่ เทวีทั้งสี่และภูมิทั้งหกอุบัติขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เราตกอยู่ ในสถานการณ์ที่สับสนอลหม่าน ตถาคตทั้งห้าจักเติมเต็มที่ว่างจนแน่น ในทุกทิศทาง ในทุกแง่มุมของอารมณ์ ไม่มีรอยปริรอยแยก ไม่มีการหลบหนี ไม่มีการเบี่ยงเบน ทวารผ่านเข้าออกทั้งสี่จักถูกเฝ้าระวังโดยเทพเฮรุกาทั้งสี่

นายทวารแห่งทิศบูรพาเป็นที่รู้จักกันในนามของผู้พิชิต ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบสันติ ทว่าท่านกลับปรากฏตนในรูปของ ความพิโรธโกรธเกรี้ยว จนทำให้เกิดความเกรงขามสะพรึงกลัว จนคุณไม่กล้าจะฝ่าออกไป ท่านเป็นตัวแทนแห่งสันติสุขที่ไม่มีทางหักล้าง ทำลายหรือสั่นคลอนได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านจึงได้รับสมญาว่าผู้พิชิต

นายทวารแห่งทิศทักษิณนั้นได้แก่ปรปักษ์แห่งยมราชท่านข้องเกี่ยวกับกรรมที่เพิ่มพูนซึ่งความมั่งคั่ง ความมั่งคั่งในเชิงธรรมดาสามัญนั้นมี ข้อจำกัดแห่งสถานที่และเวลา ดังนั้นผู้ที่ผ่านพ้นข้อจำกัดเหล่านี้ไปได้ย่อมเป็นปรปักษ์อันกล้าแข็งแห่งยมราช

ในทิศหรดีนั้นเป็นเทพหยครีวะมีศรีษะเป็นม้าท่านเป็นสัญลักษณ์แห่งการตักเตือนภัย เนื่องจากเสียงอาชานั้นสามารถปลุกคุณจากอาการ หลับใหลได้ในทุกสถานการณ์ สัญญาณเตือนภัยนั้นข้องเกี่ยวกับการดึงดูด อันเป็นความปรารถนาที่กอปรด้วยปัญญา แทนที่คุณจะตกอยู่ภายใต้อาการหลงใหล คุณกลับจะได้รับการปลุกให้ตื่น

ในทิศทักษิณนั้นนายทวารบาลได้แก่ ท่านอมฤตากุนดาลี วงแหวนแห่งอมฤต อันหมายถึงยาขจัดพิษ ท่านทรงเกี่ยวข้องกับความตาย และมรณกรรม ถ้าแรงกระตุ้นจากความสิ้นหวังนั้นรุนแรงจนบุคคลถึงกับสังหารตนเอง ยาขจัดพิษจักปกปักชีวิตคุณไว้ การฆ่าตัวตายหาใช่ ทางออกไม่ บัดนี้คุณได้รวบรวมคุณสมบัติสี่ประการไว้ในตน อันได้แก่ การธำรงอย่างสงบในชัยชนะชั้นสูง การไปพ้นข้อจำกัดแห่งเวลาและ สถานที่ การสร้างสัญญาณเตือนตนจากความหลงใหล การสร้างยาขจัดพิษภัยเพื่อทำลายล้าง การสังหารตนเอง บัดนี้คุณได้ถูกจับยึดอยู่ อย่างหมดหนทางหลบหนี

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหมู่เทวีที่เฝ้าพิทักษ์ทวารทั้งสี่ เทวีที่ทรงคันเบ็ด อันใช้เกี่ยวกระหวัดคุณดังปลาน้อยหากคุณคิดหลบหนี หรือในกรณีที่คุณ ก่อร่างความหยิ่งทะนง ให้ที่ว่างนั้นไม่อาจถูกคุกคามได้ เทวีที่ทรงบ่วงแส้จักจับคุณมัดนับแต่ศีรษะจรดเท้า มิให้คุณทำการแผ่ขยายความหยิ่ง ทะนงไปได้ หนทางหลบอีกประการหนึ่งได้แก่การทะยานวิ่งโดยอาศัยความไขว่คว้าเป็นตัวเร่ง เทวีแห่งโซ่ตรวนจักพันธนาการจนคุณไม่ อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้ และหากคุณจะใช้การข่มขวัญโกรธเกรี้ยวข่มขู่ผู้อื่นให้เปิดทางหนีแก่คุณ เทวีแห่งเสียงระฆังแก้วจะระรัวกลบเสียง คำรามก้าวร้าวและเสียงโกรธเกรี้ยวให้สงบลง

ครั้นแล้วคุณจะต้องเผชิญหน้ากับภูมิทั้งหกแห่งพิภพจักรวาล พระพุทธองค์แห่งเทวโลก พระพุทธองค์แห่งอสุรภูมิ พระพุทธองค์แห่งมนุษย์ภูมิ พระพุทธองค์แห่งเดรัจฉานภูมิ พระพุทธองค์แห่งเปรตภูมิ และพระพุทธองค์แห่งนรกภูมิ จักอุบัติขึ้นจากศูนย์กลางดวงหทัยของคุณ อันเป็นสถานที่ที่เชื่อมโยงอยู่กับอารมณ์ความปรารถนา และความพึงพอใจ

มดเอ๊กซ:
วันที่เจ็ด
 
 
 ในกาลต่อไป เหล่าวิทยาธรจักอุบัติเรืองรองออกจากลำคออันเป็นอวัยวะที่ใช้ในการสื่อสาร ในขณะที่เทพแห่งสันติเกี่ยวข้องกับดวงหทัย เทพพิโรธเกี่ยวข้องกับสมอง ถ้อยคำย่อมเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างขั้วทั้งสอง โดยมีวิทยาธรเป็นเทพอารักษ์เส้นทาง วิทยาธรหมายถึง ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาหรือญาณทัสนะอันมิใช่ทั้งความสงบสันติหรือก้าวร้าว หากแต่เป็นการธำรงความเป็นกลางไว้ภายใน พวกเขาช่างดึงดูดใจ ทรงพลัง และสูงส่ง เป็นตัวแทนแห่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์จากคุรุตันตระ ที่ครอบครองพลังอำนาจเหนือมนต์วิเศษแห่งจักรวาล

ในเวลาเดี่ยวกัน แสงสีเขียวแห่งเดรัจฉานภูมิจักก่อตัวขึ้นเป็นสัญลักษณ์แห่งอวิชชาและความโง่งมที่จำต้องพึ่งพาคำสอนแห่งคุรุเพื่อ ขจัดให้แจ้ง

มดเอ๊กซ:

 
 
 
เทพพิโรธ
 
 
บัดนี้เมื่อนิมิตแห่งตถาคตทั้งห้าได้แปรเปลี่ยนเป็นเทพเฮรุกาและชายาประจำตน คุณสมบัติประจำสกุลก็ย่อมดำเนินสืบเนื่องไปเปรียบดัง การแสดงหรือละครโรงใหญ่ ที่มีพละแห่ง วัชรสกุล ปัทมสกุล กรรมสกุล และสกุลอื่น ๆ เป็นตัวละครเอกมากกว่าจะยึดถืออยู่แต่ คุณสมบัติขั้นพื้นฐาน เทพเฮรุกานั้นมีสามเศียร หกกร อันเป็นสัญลักษณ์ถึงพลังแห่งการแปรเปลี่ยน ซึ่งปรากฏในตำนานการพิชิตรุทร

รุทร นั้นเป็นตัวแทนของบุคคลที่ยึดมั่นในตนเองอย่างรุนแรง มีตำนานเล่าว่า ยังมีสหายสองคนเล่าเรียนศิลปวิทยาอยู่กับอาจารย์คนเดียวกัน อาจารย์ของพวกเขาสั่งสอนว่าแก่นแท้แห่งคำเทศนาที่เขาได้ถ่ายทอดให้ก็คือ การบรรลุแจ้งอย่างฉับพลัน หากบุคคลได้อุทิศตนให้แก่กิจกรรม ทั้งปวงอย่างยิ่งยวด พวกเขาจะเป็นประดุจดังเมฆาในนภากาศที่จักได้รับความสว่างโดยพลัน อันเป็นความสว่างที่แอบอยู่หลังเมฆหมอกมา แต่เดิม ศิษย์ทั้สองต่างเข้าใจนัยความหมายต่างกันไป หนึ่งได้ออกจาริกไปและเริ่มต้นขัดเกลาตนเองโดยเรียนรู้คุณสมบัติแห่งตนทั้งดีและเลวร้าย และในที่สุดก็สามารถเป็นอิสระจากคุณสมบัติเหล่านั้นไปเองโดยปราศจากการบีบคั้นพยายาม ศิษย์อีกคนนั้นเดินทางออกไปในดินแดนอัน ห่างไกลจัดสร้างโรงคณิกา ก่อตั้งซ่องโจร ใช้ชีวิตอันตำช้า เข้าปล้นชิงหมู่บ้านในละแวก เข่นฆ่าเหล่าบุรุษ และข่มขืนอิสตรีไม่ละเว้น

แล้วจากนั้นทั้งคู่ได้มาพานพบกันอีกครั้งหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างตื่นตระหนกในพฤติกรรมของกันและกันที่ใช้ในการปลดปล่อยตนเอง ทั้งสองจึง ตัดสินใจเดินทางไปพบอาจารย์เพื่อให้ทำการตัดสินชี้แนะ ทั้งคู่ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่พานพบในเวลาผ่านมา ฝ่ายอาจารย์ได้ทำการสรรเสริญ แนวทางของศิษย์คนแรกว่าเป็นไปในมรรคาอันถูกต้องและประณามแนวทางของศิษย์คนที่สองว่าเป็นอนันตริยกรรมยิ่งนัก ศิษย์คนที่สองทน รับการตำหนิประณามและแลเห็นสิ่งที่เขาก่อร่างนั้นพินาศย่อยยับไปไม่ได้ เขาจึงเปลือยดาบออกจากฝัก แล้วสังหารอาจารย์ของตนเสีย เมื่อสิ้นชีพลงจึงไปเกิดเป็นแมลงป่องนับห้าร้อยชาติ เป็นสุนัขจิ้งจอกห้าร้อยชาติ และยังถือกำเนิดในภูมิอันมีโทษทัณฑ์อีกคณานับ ในที่สุด แล้วเขาจึงได้รับการถือกำเนิดเป็นรุทร

ในภพภูมินี้ เขามีรูปกาย สามเศียร หกกร มีเขี้ยวและเล็บอันยาวโง้ง หลังจากการถือกำเนิด มารดาก็สิ้นชีพลงในไม่ช้า เหล่าเทพต่างเกรงกลัว ในเภทภัยที่จะตามติดมา พวกเทพจึงนำเขาพร้อมด้วยซากศพแห่งมารดาไปไว้ในสุสานและกลบหลุมฝังเสีย ทว่าทารกน้อยนั้นกลับรอดชีวิต มาได้โดยอาศัยโลหิตและมังสาของศพมารดาเป็นอาหาร จิตใจของเขาจึงดุร้ายยิ่งนักและยังทรงพลังอันกล้าแข็ง เขาส่งเสียงขู่คำรามไป ทั่วสุสาน กำราบพวกผีป่าและเทพเป็นพวกและจัดตั้งอาณาจักรของตนเอง จนในที่สุดเขาก็สามารถครอบครองไตรพิภพไว้ได้

ในเวลานั้น อาจารย์และศิษย์อีกท่านหนึ่งได้เข้าถึงซึ่งภาวะวิมุตติสุขแล้ว ทั้งคู่คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องทำการปราบปรามรุทร ดังนั้น องค์วัชรปาณีจึงอวตารกายเป็นหยครีวะ ในกายดุสีแดงชาดและทรงร้องคำรามถึงสามครั้ง เพื่อประกาศว่าท่านได้เข้ามารุกรานอาณาจักรของรุทรแล้ว ครั้นแล้วท่านจึงชำแรกผ่านรุทรทางเวจมรรค รุทรจึงถึงซึ่งความปราชัย เขายอมรับในความพ่ายแพ้และอุทิศตนให้ใช้ ต่างพาหนะเดินทางหรือบัลลังก์ประทับ ส่วนเครื่องทรงชั้นสูงสุด อาทิเช่น มงกุฎกระโหลก สังวาลย์กระดูก หนังเสือ ผ้าคลุมไหล่ที่ทำ จากหน้ามนุษย์และหน้าคชสาร เสื้อเกราะ ปีกคู่ จันทร์เสี้ยวที่รัดเกศา และเครื่องประดับอื่น ๆ ได้กลายเป็นอาภรณ์แห่งเทพเฮรุกา

ในช่วงแรกจะปรากฏปฐมเฮรุกาที่หาได้เกี่ยวข้องกับปัญจสกุลเลยไม่ เฮรุกาตอนนี้เกิดจากช่องว่างระหว่างปัญจสกุล เป็นมหาเฮรุกา ที่ปลุกเร้าพลังพื้นฐานแก่เทพพิโรธทั้งปวง ในยามต่อมาจะปรากฏพุทธเฮรุกา วัชรเฮรุกา รัตนเฮรุกา ปัทมเฮรุกา และกรรมเฮรุกา หรือ พร้อมด้วยองค์ศักติประจำตน หากเขาเป็นตัวแทนแห่งพลังอันรุนแรงกล้าแข็ง และเปี่ยมล้นเบิกบานอันคุณไม่อาจท้าทายอาจหาญได้ โดยพื้นฐานแล้วคุณลักษณ์แห่งปัญจสกุลนั้นได้แก่ สภาวะอันสงบสันติ เปิดเผย และโอนอ่อน นั่นเป็นเพราะว่าสกุลเหล่านี้ได้ตั้งตระหง่าน มั่นคงจนไม่มีสิ่งใดมาสั่นคลอนสั่นไหวได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อพละแห่งสันติได้แปรเปลี่ยนเป็นความก้าวร้าวอันรู้จักกันดีในนามของ กรุณาแห่งพิโรธธรรม จึงเป็นความรุนแรงที่ปราศจากความอาฆาตแค้นเคืองใด ๆ

ครั้นแล้วเการีเทวะจักปรากฏตนขึ้น อันเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของเทพพิโรธในขณะที่เฮรุกาแห่งปัญจสกุลแสดงพละพื้นฐานดังเป็นอยู่จริง เหล่าเการีจักแสดงพละที่ไหลริน เการีขาวจักเริงร่ายอยู่บนซากศพ ภารกิจของนางได้แก่การดับสิ้นซึ่งความคิดปรุงแต่ง ดังนั้นนางจึงทรง คฑาที่ทำขึ้นจากซากศพของทารก ซากศพนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงสภาวะปกติของสรรพสัตว์ ร่างกายที่ปราศจากชีวิตก็คือสภาวะ ที่ปราศจากความคิดปรุงแต่งทุกรูปแบบ ไม่ว่าดีหรือชั่ว อันเป็นสภาวะอทวิลักษณ์แห่งจิต ส่วนเการีเหลืองจักทรงคันศรและลูกศร นั่นเป็น เพราะว่านางเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความชำนาญและสรรพความรู้ ภารกิจของนางได้แก่ การผสมรวมคุณลักษณ์เด่นสองประการนี้เข้าด้วยกัน ส่วนเการีแดงจะทรงธงชัยที่ทำขึ้นจากผิวหนังของพวกพรายทะเล พรายทะเลเป็นสัญลักษณ์แห่งห้วงสังสารวัฏ ที่ไม่อาจหลบหนีออกไปได้ การถือธงประกาศของนางนั้นหมายความว่าสังสารวัฏนั้นไม่อาจจะถูกปฏิเสธทำลาย แต่ต้องทำการยอมรับมันดังที่มันเป็นจริง ครั้นแล้ว ในเบื้องทิศบูรพาจักปรากฏเวตาลีกายสีนิล ถือทรงถ้วยวัชระและถ้วยกะโหลก นางนั้นเป็นตัวแทนแห่งคุณลักษณ์อันไม่แปรผันของธรรมดา ภาวะ วัชระนั้นเป็นอาวุธที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้ ส่วนถ้วยหัวกะโหลกนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งอุปายะโกศวะ ( ความชำนาญการ ) ด้วยเช่นกัน เราจะไม่สอบสวนอะไรลึกไปกว่านี้ เพียงแต่จะให้แนวคิดหลักเกี่ยวกับพวกเการีและตัวแทนต่าง ๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับปริมณฑลอันโหดร้าย กราดเกรี้ยวเทพแต่ละองค์มีภารกิจที่ต้องแสดงอำนาจของตนอย่างเต็มที่

เทพพิโรธเหล่านี้เป็นต่างตัวแทนแห่งความหวัง ส่วนเทพสันตินั้นเป็นตัวแทนแห่งความหวาดกลัว เป็นความหวาดกลัวในความหมายที่เป็น ความขุ่นเคือง นั่นเป็นเพราะว่าอัตตาตัวตนไม่สามารถจะทำการใด ๆ ได้เลย เทพพิโรธเหล่านี้ไม่อาจพิชิตได้ และไม่ต่อกรกลับด้วย ความ หวังของพลังงานพิโรธเป็นความหวังในสถานการณ์ที่สร้างสรรค์ สม่ำเสมอ ดังพลังพื้นฐานที่ดำเนินอย่างต่อเนื่อง ไม่ดี ไม่ชั่ว สถานการณ์ อาจแลดูทรงพลังอยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ แต่จริงแล้วไม่มีความสงสัยว่าคุณควรจะควบคุมมันหรือปล่อยให้มันควบคุมคุณกันแน่ ความคิดที่จะควบคุมมันนั้น ย่อมก่อให้เกิดความโกลาหลมโหฬาร เปรียบเสมือนการขับรถบนท้องถนนจู่ ๆ คุณก็คิดว่าคุณขับรถเร็วมากไป คุณจึงเหยียบเบรคอย่างกระทันหัน อันก่อให้เกิดอุบัติเหตุอย่างใหญ่หลวง สำหรับภารกิจของเการีนั้นได้แก่การแทรกตัวลงไปในระหว่างกาย และจิต จิตในที่นี้ได้แก่ปัญญาญาณ ความฉลาด กายได้แก่แรงกระตุ้น เช่น ความตื่นตกใจ อันเป็นการกระทำทางกาย พวกเการีมักจะสอด แทรกตัวลงระหว่างปัญญาและการกระทำ ทำให้ความต่อเนื่องแห่งการยึดมั่นในตัวตนขาดตอน นี่แหละคือความโหดร้ายอันแท้จริง พวกเขา จะแปรเปลี่ยนพลังงานแห่งการทำลายล้างให้กลายเป็นพลังงานแห่งการสร้างสรรค์ ประดุจเดียวกับการที่รุทรแปรเปลี่ยนเป็นเฮรุกา ด้วยเหตุ นี้เองสัญชาติญาณที่อยู่เบื้องหลังการปลุกเร้าจะได้รับการแปรเปลี่ยนไป

มดเอ๊กซ:

 
 
 
ผู้กำลังจะจากไป
 
 
สำหรับชนชาวธิเบตแล้วความตายหาใช่เรื่องน่าหวาดหวั่นหรือคุกคามเลย แต่ในประเทศตะวันตก ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งบีบคั้นรุนแรง ยิ่งนัก ยามเราไกล้ตายนั้นแทบจะไม่มีใครพูดความจริงขั้นสุดท้ายกับเราเลย เป็นการปฏิเสธซึ่งความรักและเมตตาอย่างสูง เป็นความน่า สะพรึงกลัว ในแง่ที่ว่าไม่มีผู้ใดปรารถนาจะเอื้ออาทรต่อจิตใจของผู้ตายอย่างแท้จริง
 
เป็นการสำคัญมากที่ผู้ตายสมควรได้ทราบว่าตนเองกำลังจะจากไป ไม่ว่าเขาจะมีอาการหมดหวังหรือไม่สามารถสื่อสารกับเราได้ก็ตาม สิ่งนี้อาจฟังดูยากเย็นแสนเข็ญ แต่ทว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่คุณจะได้แสดงความสัตย์ซื่อจริงใจออกมา ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นสามีหรือ ภรรยาของคุณ มันเป็นสถานการณ์อันทรงคุณค่าที่ในบั้นปลายสุดท้าย ยังมีผู้คนห่วงใยความรู้สึกของคุณ ไม่มีใครเสแสร้งหลอกลวงคุณ อีกต่อไป ไม่มีใครพูดเท็จเพียงเพื่อรักษาน้ำใจคุณซึ่งบังเกิดมาตลอดชีวิต เราได้มาบรรจบกับความจริงขั้นสุดท้าย เป็นความไว้วางใจซึ่ง งดงามยิ่ง อันควรที่เราจะพยุงพยายามสานแนวคิดดังกล่าวนี้
 
ในความเป็นจริงแล้ว การปลูกฝังความสัมพันธ์กับผู้ที่กำลังจะจากไปเป็นเรื่องสำคัญยิ่งนัก การบอกกล่าวต่อเขาว่าความตายหาใช่เรื่อง เหลวไหลไกลตัวอีกต่อไป แต่มันกำลังเกิดขึ้นกับเขาในขณะนี้ " มันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว เราเป็นมิตรสหายของคุณ บัดนี้เรากำลังเเฝ้าดู การจากไปของคุณ เรารู้ว่าคุณกำลังจะตาย และคุณเองก็รู้ว่าคุณกำลังจะตายเหมือนกัน บัดนี้เป็นช่วงเวลาที่เราต้องแยกจากกันแล้ว " การแสดงออกดังกล่าวนี้เป็นการแสดงออกของการสื่อสารสัมพันธ์อันดีงามที่สุด อันเป็นการบ่งให้เห็นถึงการสร้างพลังใจอย่างใหญ่หลวง แก่ผู้ที่กำลังจะจากไป
เราควรสร้างความสัมพันธ์กับร่างของผู้กำลังจะจากไป พินิจดูความเสื่อมสลายแห่งสังขาร แห่งประสาทรับรู้ต่าง ๆ มีแต่ผู้บ่มฝังกำลังใจ อันกล้าแข็งเท่านั้นที่ยังคงแย้มยิ้มอยู่จนวาระสุดท้าย เขากำลังจะต่อต้านขัดขืนกับอายุขัย ต่อต้านขัดขืนกับความเสื่อมสลายของสังขาร ผู้ใกล้ชิดพึงตระหนักถึงสถานการณ์เช่นนี้ด้วย
 
เพียงแค่การอ่านคัมภีร์มรณศาสตร์อาจจะไม่ช่วยอะไรมากนัก เว้นเสียแต่ผู้ใกล้ตายจักล่วงรู้ว่าคุณกำลังประกอบพิธีกรรมบางประเภทให้เขา คุณจำเป็นต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ต่อแบบแผนพิธีกรรมทั้งปวง คุณควรจะทำให้มันดูเหมือนเป็นบทสนทนาตอบโต้ระหว่างคุณและผู้กำลังจากไป นอกเหนือจากการท่องอ่านแบบธรรมดา คุณควรกล่าวกับผู้ตายเช่นนี้ว่า " เธอกำลังจะจากไป เธอกำลังจะละทิ้งซึ่งมิตรสหายและครอบครัว ทรัพย์สมบัติและความสุขรอบตัว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เธอจะสลัดทิ้งไปสิ้น เธอจะละทิ้งพวกเราไป หากทว่ายังคงมีบางสิ่งดำเนินสืบเนื่องไป มีบางสิ่งที่ต่อเนื่องไปในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับญาติมิตรและคำสอนอันสูงส่ง เธอไม่ควรจะยึดมั่นในตัวตนอีกต่อไป เมื่อเธอตายจะบังเกิด ความเจ็บปวดต่าง ๆ นานา ในขณะที่เธอผละจากร่าง ภาพเหตุการณ์ในอดีตจะย้อนกลับมาดุจภาพลวงตา ไม่ว่าจะเป็นนิมิตหรือภาพลวงตา ใด ๆ ก็ตาม เธอควรข้องเกี่ยวกับมันในฐานที่เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ หาควรเตลิดหลบหนีไม่ แต่ควรเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญในสิ่งที่เกิดขึ้น "

 
ในขณะที่คุณกำลังดำเนินการสนทนา ปัญญารับรู้และวิญญาณของผู้ตายกำลังหมองมัวลงและใกล้จะดับสูญ ในขณะเดียวกันก็บังเกิด มโนวิญญาณขั้นสูงที่สามารถรับรู้ภาวะขณะนั้นได้ ดังนั้นหากคุณจะสามารถสร้างสรรค์ความเชื่อมั่นและความอบอุ่นตามธรรมชาติให้ บังเกิดมีขึ้นได้ ในแง่ที่ว่าคุณได้ถ่ายทอดความจริงใจต่อผู้กำลังจะจากไป มากกว่าเพียงแค่การถนอมน้ำใจโดยการกล่าวแต่สิ่งที่คุณคาดคิด ว่าเขาต้องการฟัง ความจริงใจเช่นนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก
 
เป็นไปได้ที่อาจมีการบรรยายให้เห็นแจ้งถึงภาวะเสื่อมสลายจากดธาตุดินสู่ธาตุไฟ จากธาตุไฟสู่ธาตุน้ำและสืบเนื่องไป เป็นการมอดดับแห่ง กายสังขาร แล้วอุบัติขึ้นในภาวะสุกใสการนำพาผู้ตายสู่ภาวะสุกใสจำต้องมีหลักการแนวคิดพื้นฐานบางประการ ซึ่งได้เแก่ ความมั่นคงอาจหาญ คุณควรปลอบโยนผู้ตายว่า " มิตรสหายของเธอรู้ดีว่าเธอกำลังจะจากไป แต่พวกเขาปราศจากความตื่นตระหนก พวกเขาพากันมาอยู่ ณ ที่นี้แล้ว พวกเขากำลังจะบอกให้เธอทราบว่าวาระแห่งการจบชีพได้มาถึงแล้ว ไม่มีอะไรน่าหวาดระแวงอยู่เบื้องหลังเลย การอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง และสงบเป็นสิ่งสำคัญมากเมื่อบุคคลได้ตายลง การคงอยู่ในปัจจุบันอย่างไม่พรั่นพรึงนั้นช่างทรงพลังยิ่ง เพราะในขณะนั้นมีความไม่แน่นอน ระหว่างกายกับจิตอย่างสูง ร่างกายและมันสมองกำลังเสื่อมสลายลง แต่คุณเองที่ได้เชื่อมโยงสัมพันธ์เหตุการณ์ขณะนั้น ทำให้มีฐานที่มั่นคง
 
ตราบใดที่นิมิตแห่งเทพสันติและเทพพิโรธได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าผู้ตาย เราจำต้องปล่อยให้เขาได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์เหล่านี้ตามลำพัง ในคัมภีร์เล่มนี้กล่าวว่าคุณต้องปลุกปลอบดวงวิญญาณของผู้ตายและบอกกล่าวถึงนิมิตเหล่านั้น คุณอาจทำเช่นนั้นได้หากคุณยังสามารถธำรง รักษาความต่อเนื่องไว้ได้ แต่ออกจะดูเป็นการคาดหวังเกินไปตราบใดที่ผู้ตายเป็นเพียงสามัญชนที่ไม่เคยผ่านการภาวนา ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า การติดต่อระหว่างคุณกับผู้ตายยังดำเนินต่อไป ประเด็นของเรื่องจะกลับกลายเป็นว่า ในขณะที่คุณกำลังอ่านถ้อยคำในคัมภีร์นั้นคุณเพียง แต่พูดคุยกับตนเองแทน ความสงบมั่นคงของคุณเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของผู้ตาย ถ้าคุณธำรงความหนักแน่นไม่หวั่นไหวได้อย่างดีเลิศ ผู้ตายในบาร์โดจะรับรู้ติดต่อกับคุณได้โดยอัตโนมัติ คุณจำต้องเก็บรักษาความสงบไม่หวั่นไหวและความเข้มแข็งที่มีส่งมอบแสดงออกต่อผู้ตาย สัมพันธ์กับเขา เปิดเผย สัตย์ซื่อต่อเขาในปัจจุบันกาล และพัฒนาซึ่งการพบกันแห่งใจสอง

แก้วจ๋าหน้าร้อน:
 :13:  อนุโมทนาครับพี่มด

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version