แสงธรรมนำใจ > วัชรยาน

คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead] ช่วงแรก

<< < (2/4) > >>

มดเอ๊กซ:


 
สภาวะบาร์โดที่ปรากฏก่อนตาย
 
 
 
ประสบการณ์บาร์โดแรกสุดได้แก่ ความไม่แน่ใจที่ว่าเขากำลังจะตายลงจริง เป็นความรู้สึกในแง่ของการพลัดพรากจากโลกที่เคยอาศัยอยู่ หรือเป็นในแง่ที่ว่าเขาจะมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่ ความไม่แน่ใจหาใช่เป็นในเรื่องราวของการละร่างไป แต่เป็นเรื่องของการสูญเสียที่มั่น อันเคยดำรงอยู่ เป็นการก้าวออกจากโลกของความจริงสู่โลกมายา
 
เราอาจอ้างถึงโลกของความจริง ในแง่ที่ว่ามันเป็นสถานที่ที่เราประสบซึ่งความทุกข์ทรมาณ ความดีงามและความเลวร้าย มีความเจ้าปัญญา ที่สรรหาบรรทัดฐานสำหรับสิ่งต่าง ๆ ในลักษณะทวิลักษณ์ ซึ่งหากเราได้ทำการสัมผัสกับความรู้สึกทวิลักษณ์เหล่านี้อย่างจริงจัง จะพบว่า ประสบการณ์อันจริงแท้นั้นปราศจากการแบ่งแยกแม้แต่น้อย ดังนั้นสภาวะทวิลักษณ์นั้นถูกมองโดยทัศนคติอันแจ่มชัดและเปิดกว้างอัน ปราศจากความขัดแย้ง จะไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่ความเป็นหนึ่งเดียวที่โอบล้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ความขัดแย้งนั้นเกิดจากว่าสภาวะ ทวิลักษณ์ไม่ได้ถูกมองดังที่มันเป็น มันถูกพิจารณาผ่านแง่มุมจนบิดเบี้ยวและโง่งม ในความเป็นจริงแล้วเราแทบไม่เคยรับรู้สรรพสิ่งดังที่มันเป็นเลย เราจึงเริ่มงุนงงสงสัยว่าสิ่งต่าง ๆ เช่นตัวฉัน และภาพเงาฉายแห่งฉันนั้นมีตัวตนอยู่จริงในขณะนั้น ดังนั้นเมื่อเราเอ่ยถึง โลกแห่งทวิลักษณ์ว่าเป็นความสับสนยอกย้อนจริงแล้ว ความสับสนยอกย้อนหาใช่โลกทวิลักษณ์อันสมบูรณ์ไม่ มันเป็นเพียงโลกแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น อันเป็นโลกที่ก่อให้เกิดความไม่พึงใจและความไม่แน่นอนอย่างมหาศาล มันถูกก่อหวอดจนถึงจุดที่เกิดความรู้สึกหวาดกลัว ว่าจะกลายเป็นคนวิกลจริต เป็นจุดที่อาจพาเราผ่านพ้นโลกแห่งทวิลักษณ์เข้าสู่ความว่างอันบางเบาและอ่อนนุ่ม อันเป็นโลกแห่งความตาย เป็นสุสานที่ดำรงอยู่ในสายหมอก
 
คัมภีร์เล่มนี้พรรณาถึงความตายในรูปขององค์ประกอบแห่งร่างกายในภาวะที่ลุ่มลึกลงไปเรื่อย ๆ คุณจะรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากเมื่อ ธาตุดินสลายกลายเป็นธาตุน้ำ และเมื่อธาตุน้ำสลายกลายเป็นธาตุไฟ ระบบหมุนเวียนภายในตัวคุณจะดูหยุดยั้งลง และเมื่อธาตุไฟสลาย กลายเป็นธาตุลม ความรู้สึกอบอุ่นหรือเติบโตก็จบสิ้นลง และเมื่อธาตุลมได้ละลายสู่อากาศธาตุคุณย่อมสูญเสียสายสัมพันธ์สุดท้ายที่มีต่อโลก ในที่สุดเมื่อที่ว่างและมโนวิญญาณแปรเปลี่ยนสู่ศูนย์กลางนาภีย่อมบังเกิดแสงสว่างภายใน สรรพสิ่งจะน้อมลงสู่เบื้องในอย่างสิ้นเชิง
 
ประสบการณ์ดังกล่าวนี้อุบัติขึ้นอย่างสม่ำเสมอ สถานะอันจับต้องได้อ้างอิงได้สูญสลายไป และบุคคลนั้นจักไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังเข้าสู่ ภาวะวิมุตติหรือกำลังเสียสติกันแน่ เมื่อใดก็ตามที่ประสบการณ์เช่นนี้บังเกิดขึ้นมักปรากฏขั้นตอนสี่ห้าประการอยู่เสมอในขั้นแรก คุณลักษณ์อันจับต้องได้ ที่มีชีวิตจิตใจจะเริ่มพร่ามัว กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณได้สูญเสียสัมผัสทางกาย แล้วคุณจะหันมาเพื่อพาสิ่งที่กำลัง ทำงานอยู่อันได้แก่ธาตุน้ำ คุณย้ำเตือนกับตนเองว่า จิตใจคิดนึกของคุณยังทำงานอยู่ ในขั้นต่อไป จิตใจเริ่มเกิดความไม่แน่นอนว่ามันยัง ปฏิบัติงานอยู่หรือไม่ บางจุดในวงจรการทำงานของมันเริ่มชำรุดบกพร่อง หนทางเดียวในการติดต่อสื่อสาร คือ การผลักดันทางอารมณ์ คุณพยายามจะคิดถึงบุคคลที่คุณรักหรือเกลียดชัง บางสิ่งแจ่มชัด ด้วยเหตุที่คุณลักษณ์แห่งธาตุน้ำในระบบไหลเวียนไม่ทำงานอีกต่อไป ดังนั้นอุณหภูมิอันเร่าร้อนของความรักและความเกลียดชังจึงกลายเป็นของสำคัญ และแล้วคุณจะค่อยกลืนหายไปในอากาศ มีความรู้สึก บางเบาของความปลอดโปร่ง มีแนวโน้มว่าคุณจะเริ่มละทิ้งการผูกติดอยู่กับความรู้สึกรัก หรือการพยายามที่จะจดจำบุคคลที่คุณรัก สิ่งทั้งหลายดูจะดำดิ่งลงสู่ภายใน
 
ประสบการณ์ต่อไปได้แก่แสงสว่างเรืองรอง คุณมีทีท่าว่าจะปราชัยเพราะคุณได้ดิ้นรนมาเนิ่นนานแล้วและไม่อาจต่อสู้ต่อไปได้อีก ความรู้สึกทอดทิ้งที่ได้บังเกิดขึ้นแล้วในเวลานี้ ดูกับว่าความเจ็บปวดและความสมหวังได้บังเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนในเวลาเดียวกัน สายธารอันเชี่ยวกรากของผืนน้ำที่เยียบเย็นดุจก้อนน้ำแข็งและผืนน้ำที่ร้อนระอุได้ไหลรินไปทั่วร่างของคุณ เป็นประสบการณ์อันหนักหน่วง เปี่ยมล้นและทรงพลัง ประสบการณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวที่ความทุกข์ทนและปีติสุขไม่อาจแยกขาดออกจากกัน ความพยายามอย่าง แรงกล้าที่จะแบ่งแยกบางสิ่งถูกทำให้สับสนโดยแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่สองประการอันได้แก่ ความหวังที่จะเข้าสู่วิมุตติสุข และ ความหวาดกลัวที่จะเสียจริต แรงยิ่งใหญ่สองประการที่เข้มข้นจนกระทั่งก่อให้เกิดความผ่อนคลาย และเมื่อคุณไม่ทำการดิ้นรนอีกต่อไป แสงสุกใสก็จะปรากฏตนตามธรรมชาติ
 
ขั้นต่อไปได้แก่การประสบแสงสุกใสในชีวิตประจำวัน แสงสุกใสคือฉากเบื้องหลัง หรือฉากอันเป็นช่องว่างเมื่อความมืดทึบได้จางลง ปัญญาบางประการได้เริ่มทำการเชื่อมต่อกับภาวะตื่นขึ้นแห่งจิต อันนำไปสู่ประพิมประพายแห่งสมาธิหรือพุทธภาวะซึ่งเรียกขานกันว่า ธรรมกาย ทว่าหากเราไม่อาจทำการเชื่อมต่อกับปัญญาพื้นฐานได้ และพลังแห่งความสับสนยังคงมีอำนาจเหนือกระบวนการแห่งจิต พลังอำนาจอันสั่งสมอย่างสะเปะสะปะจะกลับเป็นพลังงานเจือจางหลายระดับ อาจกล่าวได้ว่าจากพลังงานเปี่ยมล้นแห่งแสงสุกใส แนวโน้มในการยึดติดได้พัฒนาขึ้น จากจุดนี้ภพทั้งหกก็จักเกิดขึ้นโดยมีความเข้มข้นต่างกัน แต่อย่าลืมว่า ความเข้มข้นหรือความบีบรัดนั้นไม่อาจดำเนินไปโดยปราศจากพลังงานเป็นตัวกระตุ้น อีกนัยหนึ่งก็คือพลังงานถูกใช้ไปในการจับฉวย ซึ่งบัดนี้เราจะพิจารณาภูมิทั้งหกซึ่งขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณการประพฤติตน

มดเอ๊กซ:




นรกภูมิ
 
 
เราจะเริ่มต้นด้วยนรกภูมิ อันเป็นภูมิที่ตึงเครียดที่สุด ในขั้นแรกพลังงานหรือภาวะอารมณ์จะก่อตัวขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง จนในบางครั้งคราว เราจะไม่แน่ใจว่าพลังงานควบคุมเราอยู่หรือเราเป็นฝ่ายควบคุมพลังกันแน่ บัดดลนั้นเราจะรู้สึกเสียสูญ จิตใจของเราจะจากไปสู่ ภาวะว่างเปล่า อันได้แก่ แสงสุกใส จากภาวะว่างเปล่านี้เองที่ความรู้สึกแรงกล้าที่จะต่อสู้ รวมทั้งความหวาดระแวงอันส่งผล ให้เราสะพรึงกลัว ทว่าเรากลับหาได้แน่ใจแจ่มชัดว่าใครกันแน่ที่เราต้องต่อกรด้วย และเมื่อทุกสิ่งได้ถูกสร้างขึ้นจนสมบูรณ์แบบความน่าสะพรึงกลัวนั้นก็หันก็หันมาเล่นงานตัวเราเอง เมื่อใดก็ตามที่เราพยายามต่อสู้กับเงาเบื้องหน้า เรากลับพบว่าเราได้จู่โจมด้านในของตัวเอง
 
อุทาหรณ์เปรียบดังชายพเนจรที่แลเห็นขาแกะอยู่เบื้องหน้าปรารถนาจะหยิบฉวยและกัดกิน แต่อาจารย์ของเขาบอกให้เขาทำตำหนิรูปไม้ กางเขนไว้ ต่อมาภายหลังเขาพบว่ารูปไม้กางเขนนั้นปรากฏอยู่หน้าอกของเขาเอง นั่นเป็นตัวอย่างที่ดีมาก คุณคิดว่ามีบางสิ่งภายนอกที่ต้อง ทำการต่อสู้หรือเข่นฆ่าหรือฟันฝ่า ในหลาย ๆ กรณีความโกรธแค้นก็เป็นเช่นนี้ คุณโกรธแค้นในบางสิ่งและพยายามจะทำลายมัน ในเวลา เดียวกันการณ์กลายกลับเป็นว่าคุณสร้างความพินาศให้กับตัวเอง เป็นการหันศรสู่ด้านใน และหันหลังวิ่งหนี ทว่าดูจะสายไปเสียแล้ว คุณกลับเป็นเหยื่อเสียเอง ไม่มีที่ให้หลบหนีไปไหนได้ คุณไล่ล่าตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน นั่นแหละคือพัฒนาการแห่งนรก

การทรมาณอันน่าสะพรึ่งกลัวในนรกเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงภาพฉายทางจิตวิทยาของตัวเอง ในนรกภูมิคุณหาถูกลงทัณฑ์จริง ๆ ไม่ แต่กลับถูกข่มขู่ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งพรรณากันไว้ในรูปของท้องทุ่งและหุบเขาเล็กร้อนแดง และบรรยากาศที่ลุกไหม้ เป็นไฟโชนอยู่ หากคุณปรารถนาจะหลบหนีคุณจำต้องทะลวงผ่านสิ่งเผาผลาญเหล่านี้ และหากไม่หลบหนีคุณก็จะถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน มีหายนะที่บีบคั้นคุณอยู่ ความร้อนสาดเผามาจากทุกหนทุกแห่ง โลกทั้งโลกกลายเป็นเหล็กร้อนแดง แม่น้ำลำธารกลายเป็นเตาหลอม ท้องฟ้าแผ่คลุมไปด้วยเปลวเพลิง

รูปแบบของนรกอีกประการหนึ่งนั้นกลับเป็นไปในด้านตรงกันข้าม เป็นประสบการณ์แห่งหิมะและความหนาวเย็น เป็นโลกน้ำแข็งที่ทุกสิ่ง แข็งตัวไปหมด อันเป็นความก้าวร้าวอีกประการหนึ่ง ความก้าวร้าวที่ปฏิเสธการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น เป็นความขุ่นเคืองที่มาจากทิฏฐิ มานะอันแรงกล้า ทิฏฐิมานะเช่นนี้ได้กลายเป็นสภาพแวดล้อมอันหนาวเย็นที่เริ่มคลี่คลุมบรรยากาศและได้รับการเสริมแรงโดยความพึงพอใจ ส่วนรวม มันไม่ยินยอมให้เราแย้มยิ้มหรือเริงร่าหรือสดับฟังเสียงดุริยะใด ๆ
 
 
 
เปรตภูมิ
 
 
ครั้นแล้วจะปรากฏภูมิแห่งจิตอีกภูมิหนึ่ง เป็นภูมิแห่งพวกเปรตหรือภูติผีหิวกระหาย เราเข้าสู่แสงสว่างมิใช่เพราะความก้าวร้าว แต่เป็นเพราะความละโมบหิวกระหาย มีความรู้สึกยากไร้ แต่ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกมั่งคั่งเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน

ในภูมิแห่งเปรตมีความรู้สึกอันโอ่อ่าแห่งความรุ่มรวย รู้สึกเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ มากมาย เมื่อใดทีคุณเกิดความต้องการคุณไม่จำเป็นต้อง ออกไปเสาะหา คุณพบว่ามันมีอยู่ในมือแล้ว และจึงทำให้คุณหิวกระหายมากขึ้น พลัดพรากมากขึ้น เป็นเพราะว่าคุณได้รับความพึงพอใจ จากการแสวงหาด้วย ทว่าบัดนี้เรามีทุกอย่างพร้อมมูล เราไม่สามารถเดินทางไปยังที่อื่นเพื่อแสวงหาและได้มาซึ่งสิ่งพึงประสงค์ มันช่างน่า เศร้าใจนัก เป็นความโหยหิวที่เติมเต็มมิได้

มันเหมือนกับตอนที่คุณเกิดอาการจุกแน่น คุณไม่สามารถจะกลืนกินอะไรลงไปได้อีก แต่คุณปรารถนาจะกินมันต่อไปอีก ดังนั้นคุณจึงเกิด ภาพลวงตาเกี่ยวกับรสชาติและความเอร็ดอร่อยในการรับประทาน กัดกิน กลืนและย่อยมัน กระบวนการดังกล่าวนี้ดูหรูหราโอชะ และคุณ จะรู้สึกอิจฉาเป็นยิ่งนักต่อบุคคลที่หิวโหยและยังกัดกินได้

สัญลักษณ์ของเปรตได้แก่คนที่มีท้องใหญ่มโหฬาร แต่กลับมีลำคอเรียวบางและปากเล็กจ้อย มีประสบการณ์หลากรูปแบบในภูมินี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับของความหิวกระหาย เปรตบางตนสามารถหยิบฉวยอาหารไว้ได้ แต่อาหารกลับมลายหายไปต่อหน้าต่อตาหรือ ไม่สามารถจะกลืนกินมันลงไปได้ บางตนก็หยิบฉวยได้จับยัดใส่ปากแต่กลับไม่สามารถกลืนลงไปในท้อง บางตนสามารถกลืนลงไปได้ แต่ครั้นพอตกถึงท้องมันกลับระเบิดออก ซึ่งจริงแล้วในโลกปัจจุบันของเรานี้ เราก็จะพบกับความหิวโหยระดับต่าง ๆ อยู่เสมอ

ความสุขในการครอบครองหาได้สร้างปีติมากมายแก่เราเลยไม่ เมื่อเราได้อะไรบางอย่างมา เราก็จะออกหาอย่างอื่นอีก แล้วก็จะตกอยู่ใน แบบแผนเดิมอีก มันจึงกลายเป็นความหิวกระหายอย่างสม่ำเสมอที่ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากความยากจน แต่เป็นเพราะความรู้สึกว่าแม้เราจะมีสิ่งของมากมาย เรากลับไม่มีความสุขและชื่นชมมันได้เต็มที่ พลังดังกล่าวหรือการแลกเปลี่ยน เช่น การแสวงหาของสะสม การโอบรัดจับฉวย การจัดวาง การกลืนกิน ดูน่าตื่นเต้นมากกว่า พลังงานเช่นนี้ดูเย้ายวนยิ่งนัก แต่พอถึงการจับฉวยมันกลับดูน่ากลัว ครั้งแรกที่คุณได้จับต้องสิ่งของใด ๆ คุณปรารถนาจะครอบครองมัน แต่แล้วคุณไม่มีความสุขในการครอบครองอีกต่อไป แต่คุณเองก็จะไม่อยากปลดปล่อยสิ่งใดไป เป็นความสัมพันธ์ทั้งเกลียดทั้งรักต่อสรรพสิ่งภายนอก ตัวอย่างเปรียบเปรยได้แก่การแอบชื่นชมสวนเขียวขจีของ เพื่อนบ้าน ครั้นเมื่อมันได้เปลี่ยนมือเป็นของเราเอง เรากลับหามีความชื่นชมยินดีเยี่ยงแรกเห็นไม่ คุณลักษณ์อันอ่อนหวานของความรักใคร่ ได้เจือจางลงไป
 
 
 
เดรัจฉานภูมิ
 

 
เดรัจฉานภูมิมีคุณลักษณ์เด่นที่การขาดแคลนอารมณ์ขันอย่างยิ่งยวด เราพบว่าเราไม่สามารถดำรงความเป็นกลางไว้ในแสงสุกใสอย่างไม่สั่นคลอนได้ ดังนั้นเราจึงแสร้งทำตนใบ้บ้า เป็นการปล่อยวางอย่างชาญฉลาดที่สุด อันบ่งว่าเรากำลังซ่อนเร้นความจริงบางประการไว้ เป็นการเก็บกดอารมณ์ขัน ภูมินี้มีสัญลักษณ์เป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่ไม่สามารถ ยิ้มหัว หรือสรวลสันต์ได้ สัตว์เดรัจฉานล้วนรู้จักความสุขและความเจ็บปวดดี แต่มันกลับไม่คุ้นเคยต่ออารมณ์ขันหรือการประชดประชันเอาเลย

คนเราอาจพัฒนาคุณลักษณ์เช่นนี้ได้โดยพึ่งพากรอบอ้างอิงทางศาสนาเทววิทยา หรือบทสรุปทางปรัชญาแนวคิดก็เป็นได้ หรือไม่ก็ทำตนด้านชา หรือไม่แยแส เมื่อเขาคิดว่าตนเองปลอดภัยดีแล้ว เขาย่อมประพฤติตนเป็นคนดี มีประสิทธิภาพและพึงพอใจกับชีวิต ยิ่ง เปรียบเสมือนชาวบ้านนอกที่เอาใจใส่ไร่นาเป็นอย่างดี เขาเฝ้าตรวจตรา หมั่นระวังระไว ไม่ย่อหย่อน หรืออาจเปรียบดังนักบริหารที่ ดำเนินธุรกิจ หรือหัวหน้าครอบครัวที่มีชีวิตมั่นคง เป็นสุข แน่นอนไม่มีอะไรผิดพลาด ไม่มีอะไรลึกลับสำหรับเขา หากเขาจะซื้อเครื่องมือ เครื่องใช้สักชิ้นเขาต้องแน่ใจว่ามันมีคู่มือประกอบด้วย ถ้ามีปัญหาในชีวิตเขาย่อมไปพบทนาย ผู้นำศาสนาหรือตำรวจ บุคคลมืออาชีพเหล่านี้ มั่นคงและปลอดภัยในที่มั่นของเขา ไม่มีอะไรพลาดคาดเดาได้แน่นอน และมีกลไกที่ย่ำอยู่อย่างสม่ำเสมอ

สิ่งที่ขาดหายไปในที่นี้ได้แก่เมื่อมีบางสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จักเกิดความรู้สึกหวาดระแวงขึ้นทันที อันเป็นการคุกคามขู่เข็ญ หากมีบุคคลใด ที่แลดูผิดแผกไป แลดูแตกต่างไป มีรูปแบบชีวิตอันไม่เหมือนใคร การดำรงอยู่ของบุคคลพวกนี้จะเริ่มสั่นคลอน สิ่งที่คาดเดาไม่ได้จักเริ่มขู่เข็ญ คุกคามพวกเขา ด้วยเหตุนี้ความซ้ำซากและความด้านชาจึงเป็นลักษณะเด่นแห่งเดรัจฉานภูมิที่ปราศจากอารมณ์ขัน

มดเอ๊กซ:

* The Wheel of Life หรือ สังสาระ สังสารจักร วฏสงสาร
 



มนุษย์ภูมิ
 
 
 
 
มนุษย์ภูมิเป็นอีกสถานการณ์หนึ่งที่ไม่เหมือนเดรัจฉานภูมิในแง่ของการดิ้นรนและคุมขัง มนุษย์ภูมินั้นมีพื้นฐานจากอารมณ์ปรารถนา มีแนวโน้มที่จะสำรวจตรวจตราและแสวงหาแต่ความสุขสมหวัง เป็นภูมิแห่งการวิจัยและทะเยอทะยาน พยายามสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองไม่สิ้นสุด อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์ภูมินั้นไกล้เคียงกับเปรตภูมิในแง่ของการไขว่คว้าหาสรรพสิ่ง แต่ก็แอบแฝงคุณลักษณ์ แห่งเดรัจฉานภูมิไว้ด้วย ในแง่ที่จะทำแต่สิ่งที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ สิ่งพิเศษในมนุษย์ภูมิได้แก่ความสนใจอันแปลกประหลาดที่ติดมากับ ความปรารถนา อันทำให้มนุษย์เต็มไปด้วยเล่ห์มากอุบายและแปรเปลี่ยนไม่แน่นอน พวกเขาสามารถคิดผลิตเครื่องมือมากมายได้และนำ เอาไปใช้ในสถานการณ์อันซับซ้อน เพื่อใช้จัดการกับคนมากเล่ห์ ขณะเดียวกันบุคคลเหล่านั้นก็จะประดิษฐ์เครื่องมือแก้ลำขึ้นมาด้วย ดังนั้นเราจึงสร้างโลกของเราให้เต็มไปด้วยความสำเร็จและการบรรลุเป้าหมายมากมายไปหมด ทว่าการสร้างเครื่องมือและเครื่องมือตอบโต้ จะขยายตัวไม่หยุดหย่อน ก่อให้เกิดความปรารถนาและความสนเท่ห์ จนในที่สุดจะไม่สามารถทำงานใหม่นี้ให้เป็นจริงได้ เราต้องเกิดและต้องตายประสบการณ์ใหม่ ๆ อาจเกิดขึ้นได้ แต่มันก็เสื่อมสลายลงในที่สุดด้วย การค้นพบของเราอาจไม่จีรังหรือถาวรเอาเลย
 
 
 
 
 
อสุรภูมิ
 
ภูมิแห่งอสูุรหรือเทพริษยาเป็นภูมิสูงสุดเท่าที่การสื่อสารติดต่อจะเกิดขึ้นได้ เป็นภูมิแห่งสถานการณ์อันชาญฉลาด เมื่อคุณถูกแยกตนออก จากแสงสุกใสในฉับพลัน คุณจักบังเกิดความรู้สึกสับสนราวกับว่ามีใครบางคนได้นำคุณไปปล่อยทิ้งไว้กลางป่าดึกดำบรรพ์ คุณย่อมชะเง้อ และดูด้านหลังและสงกาสงสัยแม้เจ้าเงาของตัวคุณเอง ไม่ว่ามันจะเป็นเงาจริง ๆ หรือเล่ห์อุบายของใครบางคน ความหวาดระแวงเป็นระบบ ตรวจจับที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่อัตตาจะมีขึ้นได้ มันตรวจตราได้แม้สิ่งที่แผ่วบางและเล็กจ้อย สงสัยในทุกสิ่งอย่างและประสบการณ์ ทุกรูปแบบในชีวิตจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่บังคับขู่เข็ญ
 
ภูมินี้เป็นที่รู้จักกันดีในนามของภูมิแห่งความอิจฉาริษยา แต่ไม่ใช่ริษยาในรูปแบบที่เราคุ้นเคย มันเป็นอารมณ์ริษยาที่มีพื้นฐานอยู่บนการดิ้นรน เพื่ออยู่รอดและแสวงหาชัยชนะ ซึ่งไม่คล้ายคลึงกับมนุษย์ภูมิหรือเดรัจฉานภูมิ เป้าประสงค์ของภูมิแห่งอสูรคือการทำงานภายใต้เล่ห์กระเท่ห์ ซึ่งเป็นทั้งทรัพย์สมบัติและความเพลิดเพลินใจของมัน เปรียบดังบุคคลที่ถูกเลี้ยงดูแบบนักการทูต เติบโตแบบนักการทูต และตายไปแบบนักการทูต เล่ห์กลและการติดต่อสัมพันธ์เป็นแบบแผนชีวิตและการดำรงอยู่ของเขา เล่ห์กลเหล่านี้ปรากฏอยู่ในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ฉันมิตร หรือแม้แต่ในความสัมพันธ์ฉันครูและลูกศิษย์ก็ตาม
 
 
 
 
 
 
เทวดาภูมิ
 
 
 
ภูมิสุดท้ายได้แก่เทวดาภูมิ หรือเทวโลก เมือบุคคลได้ตื่นขึ้นในแสงสุกใสจักบังเกิดความสุขที่ไม่ได้คาดเดาเอาไว้และอยากจะถนอม ความสุขดังกล่าวนี้ไว้ แทนที่จะยินยอมสูญสลายสู่ปกติภาวะ ( นิพพานภาวะ ) เรากลับเกิดเห็นตระหนักถึงตนเองในฐานะของปัจเจกชน และปัจเจกชนนี้ได้นำมาซึ่งความรู้สึกชื่นชอบตนเองจนอยากจะรักษาตนเองในสภาพนี้ไว้ อันเป็นสภาวะแห่งสมาธิสุข เป็นสภาวะสงบ และซึมซาบดื่มด่ำยิ่งนัก ภูมิแห่งเทวดาเป็นที่รู้จักกันในฐานะ ภูมิแห่งมานะ มานะในแง่ที่มองทุกสิ่งโดยมีตนเองเป็นศูนย์กลาง เป็นการรักษาความสุขส่วนตัวไว้ ในอีกแง่หนึ่ง เป็นการเมามายอยู่กับตนเอง คุณเริ่มที่จะรู้สึกยินดีปรีดาในความมั่นใจที่คุณเป็นอะไรบางอย่าง แทนที่จะเป็นแสงสุกใสที่ปราศจากดินแดนพักพิง และเนื่องเพราะคุณเป็นอะไรบางอย่าง คุณจึงจำต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งตนเอง อันเป็นบ่อเกิดแห่งสภาวะอันสะดวกสบายและปีติสุข เป็นการซึมซาบดื่มด่ำกับตนเองอย่างยิ่งยวด
 
ภูมิทั้งหกแห่งจักรวาลเป็นแหล่งอาศัยในสังสารวัฏ และเป็นบันไดก้าวต่อไปสู่ภูมิแห่งธรรมกาย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการช่วยให้เข้าใจใน ความสำคัญของนิมิตที่บรรยายในคัมภีร์เกี่ยวกับภาวะบาร์โดแห่งการเกิด อันเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างโลกสองโลก เป็นประสบการณ์ของภูมิทั้งหก จากมุมมองแห่งตัวตนที่กำลังจะเคลื่อนสู่ภูมิใหม่ นิมิตต่าง ๆ อาจมองได้ว่าเป็นการแสดงออกของพลังงานอันปกติ มากกว่าจะมองว่าเป็นเทพที่ช่วยคุณให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ หรือเป็นเหล่าปีศาจที่ไล่ล่าคุณ

มดเอ๊กซ:

 
 
บาร์โดแห่งธรรมดา
 
นอกจากภูมิทั้งหกแล้วเรายังจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับแนวคิดพื้นฐานของบาร์โด คำว่า " บาร์ " หมายถึงในระหว่าง " โด " หมายถึง เกาะแก่งหรือตำแหน่ง รวมความหมายถึงดินแดนที่อยู่ระหว่างสิ่งสองสิ่ง คล้ายดังแก่งในใจกลางทะเลสาบ บาร์โดนั้นอยู่ท่ามกลาง ความปกติและความวิกลจริต หรือในระหว่างความสับสนและการเปลี่ยนแปลงของความสับสนสู่ปัญญญาณ เราอาจกล่าวว่าเป็นสถานภาพระหว่างการเกิดและการตาย สถานการณ์ในอดีตเพิ่งผ่านพ้นไปและสถานการณ์ในอนาคตก็ยังมาไม่ถึง ดังนั้นจึงบังเกิดช่องว่างขึ้น นี้คือ ประสบการณ์บาร์โด
 
ธรรมดาบาร์โดคือ ประสบการณ์ที่เป็นแสงสุกใส ธรรมดาคือแก่นของสรรพสิ่งที่มันเป็นอยู่จริง เป็นคุณลักษณ์เช่นนั้นเอง ดังนั้นธรรมดา บาร์โดคือพื้นภูมิกลาง ๆ ที่เป็นสามัญ เปิดเผยและเป็นปกติและการรับรู้ถึงสภาพปกตินี้คือการได้ประจักษ์ชัดถึงธรรมกาย กายอันเป็นภาวะแห่งความจริงและกฎธรรมชาติ
 
ธรรมดานั้นปรากฏแสดงไม่ใช่ในรูปวัตถุหรือสิ่งที่แลเห็นได้แต่เป็นในรูปพลังงาน พลังงานที่มีคุณลักษณ์แห่งธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และ อากาศธาตุ เราไม่ได้กำลังพูดถึงวัตถุธาตุในแบบธรรดาสามัญ ทว่าเราจักพูดถึงวัตถุธาตุที่คุณลักษณ์อันละเอียดอ่อน จากแง่มุมของผู้รับรู้ การประจักษ์ถึงตถาคตทั้งห้าในนิมิตมิใช่ตัวนิมิต และมิใช่การรับรู้และมิใช่ประสบการณ์ มันมิใช่นิมิต เพราะหากมันเป็นนิมิตคุณย่อมต้อง ดูแลมัน และการแลดูคือกระบวนการส่งออกนอกที่แยกตัวคุณเองออกจากสิ่งของ นัยเดียวกัน คุณไม่อาจรับรู้มันได้ เพราะหากคุณทำการรับรู้ คุณก็จะย่อยประสบการณ์ดังกล่าวนั้นสู่ระบบภายในตัวของคุณ อันเป็นรูปแบบสัมพันธ์แบบทวิลักษณ์ แม้คุณไม่สามารถรู้จักมันได้ เพราะตราบใดที่มีคนคอยแนะนำคุณว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของคุณ คุณย่อมแยกแยะพลังงานทั้งหลายออกจากตัวคุณ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สำคัญมาก และต้องทำความเข้าใจให้ดี เพราะมันเป็นกุญแจดอกสำคัญในการทำความเข้าใจสัญลักษณ์ในภาพจิตกรรมแห่งตันตระ มีคำอธิบายอย่างแพร่หลายว่าภาพเทพศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นภาพของจิต แต่จริงแล้วภาพเหล่านี้กลับมีความหมายล้ำลึกกว่าที่คิด
 
หนึ่งในรูปแบบการฝึกฝนชั้นสูงที่อันตรายที่สุด ได้แก่การฝึกฝนให้เผชิญหน้ากับภาวะบาร์โดซึ่งได้แก่การนั่งสมาธิในความมืดอย่างยิ่งยวด ๒ สัปดาห์ ซึ่งย่อมบังเกิดนิมิตธรรมดาที่มีพื้นฐานอยู่บนหลักการแห่งตถาคตทั้งห้าโดยจะมีสภาพแตกต่างไปตามแต่ละบุคคล ตำแหน่ง ศูนย์กลางดวงหทัย ดังนั้นคุณจะเห็นรูปดวงตาจำนวนมากหลากแบบที่หัวใจของคุณ และภาพแห่งเทพดุร้ายมีศูนย์กลางอยู่ที่สมองของคุณ อันทำให้คุณได้พบเห็นดวงตาจำนวนหลากแบบจ้องมองซึ่งกันและกันอยู่ในสมองคุณ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่นิมิตธรรมดา มันอุบัติขึ้น เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความวิกลจริตและการสุญเสียการติดต่อสัมพันธ์กับหลักธรรมดา
 
ครั้นแล้วประสบการณ์อันเปี่ยมล้นและท่วมท้นแห่งแสงสุกใสจะพัฒนาต่อเนื่องไป จะเกิดอาการสว่างวูบและดับมิดสลับไป บางคราคุณจะเห็นแสงกระจ่างนี้ บางคราก็ไม่ หากแต่เข้าไปรวมตัวอยู่ในนั้นเลยทีเดียว ดังนั้นจึงเกิดมีการเดินทางติดต่อระหว่างธรรมกายและแสงสุกใส โดยทั่วไปแล้วราว ๆ สัปดาห์ที่ห้า จะบังเกิดความเข้าใจโดยพื้นฐานเกี่ยวกับตถาคตทั้งห้า นิมิตทั้งหลายจะอุบัติขึ้นแต่ไม่ได้เป็นไปในแง่ศิลปะ เราอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้ได้เคยปรากฏมาก่อน แต่คุณลักษณ์เชิงนามธรรมจะเริ่มพัฒนา โดยอาศัยพื้นฐานจากพลังงาน เมื่อพลังงานเริ่มเป็น อิสระและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น มันจักเริ่มหันมาดูตนเองและทำการรับรู้ตนเองซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือกว่าการรับรู้แบบสามัญ เปรียบเสมือนการที่คุณ ตัดสินใจเดินเพราะคุณเชื่อว่าคุณเดินได้เองโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องค้ำจุน คุณก้าวเดินอย่างไม่รู้ตัว หาใช่เรื่องเพ้อฝันไม่ แต่เป็นประสบการณ์ ซึ่งคุณไม่รู้ตัวเลย

มดเอ๊กซ:

 
 
ธรรมชาติแห่งนิมิต
 
 
นิมิตที่อุบัติขึ้นในสภาวะบาร์โด รวมทั้งลำแสงและสีสรรที่บังเกิดขึ้นอย่างพร้อมกันนั้น ไม่ได้ก่อเกิดจากองค์ประกอบใด ๆ ที่ต้องการ ประคับประคองของผู้รับรู้สัมผัส มันเพียงอุบัติขึ้นเป็นการแสดงออกของความเงียบงันและความว่างเปล่า การจะรับรู้นิมิตต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องนั้น ผู้รับรู้จำต้องละทิ้งการยึดมั่นในตนเองลงเสียก่อน ตัวตนของเราในที่นี้ได้แก่สิ่งซึ่งเป็นเหตุให้เราทำสมาธิภาวนาหรือรับรู้บางสิ่งบางอย่าง
 
เมื่อใดก็ตามที่มีผู้รับรู้ บุคคลย่อมได้ประสบกับเหล่าเทพหรือสิ่งต่าง ๆ ที่อุบัติขึ้นนอกตัว การรับรู้เช่นนี้ช่างตื่นตาตื่นใจ และเป็นสุขยิ่งนัก นั่นเป็นเพราะว่ามันเป็นกระบวนการที่นอกจากจะมีผู้เฝ้ามองแล้ว ยังแฝงนัยบางอย่างที่ละเอียดอ่อน เป็นวิญญาณขั้นสามัญ เป็นแนวคิดและ แรงกระตุ้นอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งที่มองสู่โลกภายนอก เป็นการเริ่มสัมผัสได้ถึงความงดงามแห่งความเปิดกว้าง ความว่างโล่งและความปีติสุข ซึ่งเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับจักรวาล ความรู้สึกเปิดเผยและว่างโล่งของสากลจักรวาลนั้นช่างดูง่ายดาย และสะดวกดายที่จะเข้าไป เปรียบเสมือน การเดินทางเข้าสู่ครรภ์มารดา เป็นแหล่งพักพิงอันปลอดภัย มีแรงดึงดูดให้เข้าร่วมที่แรงกล้ามาก ผู้คนดูอบอุ่นและมีมิตรไมตรี สนทนาด้วย ถ้อยคำอ่อนหวาน บางทีก็มีนิมิตศักดิ์สิทธิ์บางประการปรากฏขึ้นในสภาวะนี้ด้วย แสงสว่างวาบหรือคีตบรรเลงและสิ่งสวยหรูดูจเคลื่อนใกล้ เข้ามา
 
ในกรณีของบุคคลที่สัมพันธ์กับตนเองไปในลักษณะเช่นนี้เป็นไปได้ว่า ภายหลังการตายเขาอาจเกิดขุ่นเคืองที่ได้เห็นนิมิตแห่งตถาคตทั้งห้า ในบาร์โดซึ่งจะมิได้ขึ้นตรงต่อการรับรู้ของเขา ในยามนี้นิมิตแห่งตถาคตทั้งห้าจะมิได้ปรารถนาการเข้าร่วมอีกต่อไป แต่กลับมีการต่อต้าน อย่างรุนแรง พวกเขาดำรงอยู่ที่นี้ อยู่ที่นั่นอย่างชวนขุ่นเคือง เพราะว่าพวกเขาจะไม่ตอบรับการติดต่อสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ
 
นิมิตแรกที่บังเกิดขึ้นได้แก่นิมิตแห่งเทพสันติ สันติในที่นี้มิได้หมายถึงประสบการณ์แห่งความรักและความอบอุ่นดังเรากล่าวถึงในข้างต้น หากเป็นสันติในแง่ของความนิ่งเงียบที่โอบล้อมเราอยู่ไม่เคลื่อนไหว ไม่อาจจะเอาชนะหักหาญได้ ไม่แก่ชรา ไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่มีจุดเริ่มต้น สัญลักษณ์แห่งสันติในที่นี้ได้แก่วงกลมที่ปราศจากทางเข้าเป็นสภาวะแห่งนิรันดรกาล
 
ไม่เพียงแต่ในประสบการณ์บาร์โดหลังการตายเท่านั้น แม้ในชีวิตประจำวันของเรา เหตุการณ์เช่นนี้ก็อุบัติขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ยามใดก็ตาม ที่บุคคลเกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับกับจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูสวยสด รื่นรมย์และน่าปรารถนา เป็นไปได้ที่จะมีบางสิ่งบางอย่าง ก้าวย่างเข้ามา เป็นอย่างเดียวกับกับนิมิตแห่งเทพสันติ คุณจะพบว่า เป็นไปได้ที่คุณจะสูญเสียภูมิพำนัก สูญเสียการเข้าร่วมรวมตัว สูญเสีย เอกลักษณ์แห่งตน และเริ่มเลือนหายไปในสถานการณ์แห่งแสงสุกใส สภาวะของสันติสุขอันเลอค่าดูจะน่าตื่นอกตื่นใจ บ่อยครั้งทีเดียวที่ ศรัทธาของบุคคลอาจสั่นคลอนได้โดยประกายสว่างไสวจากมิติอื่น ที่ซึ่งแม้กระทั่งแนวคิดแห่งเอกภาพก็ไม่อาจใช้การได้อีกต่อไป
 
นอกจากนี้ยังปรากฏประสบการณ์ที่เป็นเทพพิโรธ อันเป็นรูปแบบแสดงออกอีกแง่มุมหนึ่งของสันติธรรม ความอำมหิต ที่ไม่ยินยอมให้เกิด การผิดพลั้งใด ๆ ถ้าคุณย่องเข้าหาพวกเขาและพยายามเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ พวกเขาจะจับคุณเหวี่ยงออกมา นั้นคือสิ่งซึ่งดำเนินอย่าง ต่อเนื่องพร้อมอารมณ์ในสถานการณ์อันมีชีวิตชีวา จะโดยเหตุใดก็ตาม การเข้าถึงเอกภาวะที่ซึ่งทุกสิ่งมีความสงบและกลมกลืน ไม่ใช่ตัว สัจธรรมสูงสุด เพราะเมื่อใดก็ตามที่การระเบิดออกทางอารมณ์ในรูปของความก้าวร้าวหรือมักใคร่บังเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน คุณจะตาสว่างขึ้น นั้นแลคือความโหดร้ายแห่งสันติสุข เมื่อคุณต้องเข้าเกี่ยวกับขบวนการผลิตอัตตา ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างเป็นที่น่าพอใจ สัจจะอันแท้จริงแห่งความเปล่าเปลือยทางจิตและสีสรรแห่งอารมณ์จักปลุกคุณให้ตื่นขึ้น อาจเป็นไปอย่างรุนแรง ราวกับอุบัติเหตุหรือความโกลาหลฉับพลัน
 
แต่ก็แน่ละอาจเป็นได้ว่าพวกเราจะพากันเพิกเฉยต่อคำตักเตือนเหล่านี้ และพากันยึดมั่นอยู่แต่ความเชื่อดั้งเดิม ดังนั้นแนวคิดแห่งการละร่าง และเข้าสู่แสงสุกใส ครั้นแล้วก็ตื่นจากแสงสุกใสและได้รับรู้นิมิตเหล่านี้ในบาร์โดขั้นที่สาม อาจถูกมองในทางสัญลักษณ์ได้ว่าเป็นประดุจดัง การรับเข้าสู่อากาศธาตุอันว่างโล่ง เป็นอากาศธาตุที่ห้ามแม้กระทั่งร่างกายให้ล่องผ่าน เป็นอากาศที่ว่างที่คุณไม่อาจแสวงหาการรวมตัวได้ เพราะไม่มีสิ่งใดให้รวมตัวหรือพักพิง มีเพียงประกายแสงแห่งพลังงานที่ล่องลอยอยู่ ซึ่งอาจเบี่ยงเบนหรือส่งผ่านเข้าไปได้ นั่นคือนิยามแห่งจิตในกรณีเช่นนี้ จิตในที่นี้เป็นพลังงานลวงหลอกที่อาจเบี่ยงเบนไปสู่สถานการณ์แบบอื่น ๆ หรืออาจแปรรูปเป็นสถานการณ์ที่ถูกต้องได้ โอกาสที่บุคคลจะปลดปล่อยตนเองเข้าสู่สัมโภคกายภาวะแห่งตถาคตทั้งห้านั้นขึ้นอยู่กับว่า ยังมีความพยายามที่จะเล่นเกมส์แบบเดิมอยู่อีกหรือไม่
 
ในเวลาเดียวกันที่เราประสบอยู่กับสถานการณ์อันคมชัดและเร้าใจอยู่นี้ก็จะบังเกิดอาการทวนกลับไปมาของภูมิทั้งหกแห่งประสบการณ์ บาร์โด การรับรู้ภูมิทั้งหกและการรับรู้ตถาคตทั้งห้านั้นจะเป็นภาวะเดียวกันแต่มีหลายแบบ ดูเหมือนว่าผู้ที่ได้พบเห็นตถาคตทั้งห้ามักเป็น ผู้ที่มีความสามารถอย่างใหญ่หลวง ในการธำรงสายสัมพันธ์ระหว่างกายเนื้อและจิตใจไว้ได้อย่างเป็นไปเอง ไม่มีการแบ่งแยกระหว่าง มโนวิญญาณของร่างกายกับจิตใจ ทั้งคู่เป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีความขัดแย้งใด ๆ บังเกิดขึ้น
 
คัมภีร์เล่มนี้กล่าวไว้ว่า นับแต่คุณได้ตื่นจากภาวะซึมซาบดื่มด่ำใจกายอย่างไร้สำนึก คุณมีประสบการณ์แห่งนิมิต รวบรัดแจ่มชัด และแม่นยำ ใสสว่างและน่าเกรงขาม คล้ายดังการแลเห็นภาพลวงตาในทุ่งกว้างแห่งฤดูใบไม้ผลิ คุณจะได้สดับเสียงที่กึกก้องดุจดังสายฟ้าฟาดทั่งทั้งธรณี ในสภาพแห่งจิตมีความรู้สึกปลดปล่อยและลอยตัว ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกเหมือนถูกท่วมทับด้วยปัญญานานา เปรียบดังมีศีรษะ แต่ปราศจากกาย ศีรษะขนาดมโหฬารลอยล่องอยู่ ณ อากาศเวิ้งว้าง ด้วยเหตุนี้มิมิตอันแท้จริงในสภาวะบาร์โดจึงแจ่มใส ชาญฉลาด และ สุกสว่างยิ่งนัก แต่กลับจับต้องไม่ได้ คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณกำลังอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด มีเสียงกึกก้องระรัว คำรามอยู่เบื้องหลัง แผ่นดิน ก็สั่นไหว แต่กลับดูเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดไหวติงเลยในขณะนั้น ถึงแม้ว่าภาพนิมิตในบาร์โดจะแจ่มชัดและดูลวงหลอกได้แนบเนียน อันเนื่อง มาจากการหย่าขาดจากร่างกายก็ตามที ประสบการณ์ไกล้เคียงกันนี้ก็อาจอุบัติได้ในชีวิตประจำวันเช่นกัน แม้ในชีวิตธรรมดาภาพลวงตา จะดูไม่สมจริง แต่ก็ยังมีคุณลักษณ์แห่งความไร้ชีวิตจิตใจทำงานอยู่ รวมทั้งความเปล่าเปลี่ยวและความไม่แน่ไม่นอนด้วย เมื่อผู้คนเริ่มตระหนัก ว่าพวกเขาสุญเสียที่มั่นที่ใช้สัมพันธ์อ้างอิงเช่นตัวตนไปแล้ว ประสบการณ์แห่งความอ้างว้างเหลือประมาณนี้ย่อมนำมาซึ่งความสั่นคลอนสั่นไหว อันสุดแมนจะทนทาน

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version