ผู้เขียน หัวข้อ: ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก "เวมบลีย์ ไฟนัล" ความทรงจำของ "ปีศาจแดง" และ "ทีมนอกโลก"  (อ่าน 2292 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก "เวมบลีย์ ไฟนัล" ความทรงจำของ "ปีศาจแดง" และ "ทีมนอกโลก"


ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้วสำหรับศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ ณ สังเวียนแข้งเวมบลี่ย์ ประเทศอังกฤษ ในวันเสาร์ที่ 28 พ.ค. นี้ เป็นศึกที่จะพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของสองแชมป์ลีกที่โคจรมาเจอกัน


"บาร์เซโลน่า" เจ้าของแชมป์ ลา ลีกา สเปน 3 สมัยติด ทีมที่ทำให้ฟุตบอลสามารถเล่นกันได้แม้เพียงครึ่งสนาม โดยฝ่ายตรงข้ามมีหน้าที่เพียงวิ่งไล่บอลเท่านั้น ด้วยพลังของ "7 ขุนพลแชมป์โลก" ชาบี เอร์นานเดส, อันเดรียส อิเนียสต้า, ดาบิด บีย่า, เซร์คิโอ บุสเกตส์, การ์เลส ปูโยล, เปโดร โรดริเกซ และ บิคตอร์ บัลเดส รวมพลังกับ "มนุษย์ต่างดาว" ลิโอเนล เมสซี่ ที่ลงสนาม 54 นัด ยิง 52 ประตู รวมทุกถ้วยในฤดูกาลนี้ ทีมดังแห่งแคว้นกาตาลันทีมนี้ จึงไม่ต่างอะไรไปจาก "ทีมนอกโลก" ที่หลายทีมไม่อยากพบเจอในโปรแกรมนัดต่อไป


"แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" เจ้าของบัลลังก์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เพิ่งก้าวขึ้นหมายเลข "19" คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของ มากที่สุดในเกาะอังกฤษ ด้วยองค์ประกอบของกุนซือมากอายุและประสบการณ์อย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับแท็กติกเสริมแดนกลางให้แน่น แล้วสวนกลับอย่างรวดเร็ว ฝ่าฟันด่านอรหันต์ในรอบที่ผ่านๆมา ด้วยเอกลักษณ์ "สู้จนวินาทีสุดท้าย" ของ "ปีศาจแดง"


ทั้งคู่กำลังเตรียมทีมอย่างหนักเพื่อให้พร้อมที่สุดสำหรับแมตช์ในวันเสาร์นี้ โดยเฉพาะฝั่งบาร์เซโลน่า ที่ถึงกับขึ้นเครื่องบินมาที่ลอนดอนเร็วกว่ากำหนดเดิม 2 วัน เพื่อหลีกเลี่ยงควันจากภูเขาไฟกริมสวอตน์ ในไอซ์แลนด์ที่ประทุขึ้นอีกครั้ง หวั่นซ้ำรอยเหมือนเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งเหตุควันภูเขาไฟไอซ์แลนด์นี่เอง ที่ทำให้บาร์เซโลน่าต้องนั่งรถทัวร์ 11 ชั่วโมง ไปแข่งกับอินเตอร์ มิลาน ในรอบรองชนะเลิศ และพ่ายแพ้ 1-2 เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บาร์ซ่าไปไม่ถึงรอบชิงชนะเลิศ


เซอร์อเล็กซ์ ให้สัมภาษณ์ว่า หนักใจกับการจัดผู้เล่นตัวจริงตัวสำรองในเกมสำคัญนี้ และรู้ว่าทีมเป็นรองบาร์เซโลน่า แต่เมื่อถึงเวลาแล้วเชื่อว่า กึ๋นกุนซือที่สั่งสมมา 37 ปี น่าจะมีแผนลับที่เก็บไว้ใช้จับตายขุนพลบาร์ซ่า ในวันเสาร์นี้อยู่เป็นแน่ 


แต่ในขณะที่ทั้งสองยักษ์ใหญ่กำลังตระเตรียมกำลังกันอย่างเต็มที่ เพื่อเกมนัดสำคัญที่ทั่วโลกกำลังขับตามองอยู่นี้ เมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียด "ศึกเวมบลี่ย์ ไฟนัล" มีอะไรที่มากกว่านัดชิงชนะเลิศเกมหนึ่งเท่านั้น

 


เมื่อย้อนกลับไปในประวัติสโมสรของทั้งสองทีม พบว่าความทรงจำแรกของ "ปีศาจแดง" กับ "ทีมนอกโลก" บนเส้นทางอันรุ่งโรจน์ในศึกฟุตบอลสโมสรยุโรป เริ่มต้นขึ้น ณ สนามเวมบลีย์แห่งนี้


ปี 1968 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงเล่นในศึกยูโรเปี้ยน คัพ ร่างทรงเดิมของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปัจจุบัน ในฐานะแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ ซึ่งได้รับกำลังใจจากทั่วประเทศให้สร้างความสำเร็จมาให้ได้ เนื่องจากชาวอังกฤษยังคงไม่ลืมเหตุการณ์ "โศกนาฏกรรมมิวนิค" ที่ทำให้มีนักเตะดาวรุ่งพุ่งแรงของยูไนเต็ดเสียชีวิต และผู้จัดการทีมอย่าง เซอร์แมตต์ บัสบี้ ที่รอดชีวิตในวันนั้น ก็พักรักษาตัวจนกลับมาคุมทีมอีกครั้งในฤดูกาลดังกล่าว


เส้นทางของยูไนเต็ด ตั้งแต่รอบแรก เอาชนะทั้ง ฮิเบอร์เนี่ยนส์ จากมอลต้า, ซาราเยโว จากยูโกสลาเวีย, กอร์นิค ซาบรีซ จากโปแลนด์ จนกระทั่งหลุดเข้าไปในรอบรองชนะเลิศคว่ำเจ้ายุโรปในยุคนั้นอย่าง เรอัล มาดริด ได้สำเร็จ และตบเท้าเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในบ้านตัวเอง ที่เวมบลี่ย์ ดวลกับ เบนฟิก้า อีกหนึ่งมหาอำนาจฟุตบอลยุโรปในขณะนั้น ซึ่งมีสตาร์ชูโรงอย่าง "เสือดำแห่งโมซัมบิก" ยูเซบิโอ ร่วมทีมด้วย ซึ่งเกมการแข่งขันปรากฎว่า แมนฯยูไนเต็ด สามารถเอาชนะเบนฟิก้า ได้สำเร็จ 4-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ หลังจากเสมอกันในเวลาปกติ 1-1 คว้าแชมป์ถ้วยใหญ่สุดของยุโรปได้เป็นครั้งแรก และเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ได้ชูถ้วยนี้อีกด้วย

   

   


ปี 1992 บาร์เซโลน่า ตัวแทนแชมป์ลีกจากสเปน ลงเล่นในศึกยูโรเปี้ยน คัพ ครั้งสุดท้ายก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในปีถัดมา ด้วยความหวังว่าก่อนที่ยูโรเปี้ยน คัพ จะถูกเปลี่ยนชื่อ บาร์ซ่า ขอคว้าแชมป์ให้ได้ซักครั้งหนึ่งก่อน อย่างน้อยจะได้เป็นการสู้ในด้านความสำเร็จกับคู้แค้นตลอดกาลอย่างเรอัล มาดริด ได้บ้าง ซึ่งขณะนั้น "ราชันชุดขาว" กวาดถ้วยยูโรเปี้ยน คัพ ไปแล้วถึง 6 สมัย


พวกเขาฝ่าด่านฮันซ่า รอสต็อค จากเยอรมันตะวันออก, ไกเซอร์สเลาเทิร์น จากเยอรมันตะวันตก เข้าถึงรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ระบบแบ่งกลุ่ม ในฟุตบอลสโมสรยุโรป บาร์เซโลน่า ยุคนั้น ภายใต้การกุมบังเหียนของ โยฮัน ครัฟฟ์ สามารถโค่นคู่แข่งในกลุ่มทั้ง สปาร์ตา ปราก, ดินาโม เคียฟ และ เบนฟิก้า ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ กับซามพ์โดเรีย ตัวแทนจากอิตาลี ก่อนที่จะเป็นฟรีคิกเท้าหนัก โรนัลด์ คูมัน  ในนาทีที่ 111 ช่วยให้บาร์เซโลน่า ชนะไปได้ในช่วงต่อเวลา คว้าแชมป์สมัยแรกได้สำเร็จ

 

 

เมื่อลองสังเกตดูจะพบว่าทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และบาร์เซโลน่า ต่างเริ่มต้นการคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยใหญ่ของยุโรปใบนี้สมัยแรก ณ สนามเวมบลี่ย์ เหมือนกัน และต่างคว้าแชมป์ครั้งแรกด้วยการต่อเวลาพิเศษเหมือนกัน ที่ยิ่งกว่านั้นคือ จนประทั่งปัจจุบันนี้ ทั้งสองทีมต่างคว้าแชมป์ได้ทีมละ 3 สมัย เท่าๆกัน นอกจากนี้ ทั้งบาร์เซโลน่า และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังใส่เสื้อแข่งชุดเยือน ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศ ที่นำไปสู่การคว้าแชมป์ครั้งแรก เหมือนกันด้วย


จึงไม่ต้องแปลกใจ หากจะกล่าวว่า เวมบลี่ย์ ไฟนัล ครั้งนี้ จะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ชวนให้เกมการแข่งขันวันเสาร์นี้ น่าติดตามมากขึ้น


ฉะนั้นด้วยจุดเริ่มต้นร่วมของทั้งสองทีม อันมีที่มาจากสนามเวมบลี่ย์ เมกะสเตเดี้ยมในตำนานแห่งนี้


เวมบลี่ย์ ที่ทั้งสองทีมได้ชูถ้วยขึ้นในวันนั้น วันนี้กลายเป็นเวมบลี่ย์ยุคสร้างใหม่


ต้องมาดูกันว่าทีมใดกันแน่ จะได้ชูถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 4 ในสังเวียนประวัติศาสตร์แห่งนี้     

 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1306303061&grpid=01&catid=&subcatid=


.




.




.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)