ผู้เขียน หัวข้อ: ยาขนานเอกของ หลวงปู่ ชา สุภัทโท  (อ่าน 4312 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ 時々होशདང一རພຊຍ๛

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1011
  • พลังกัลยาณมิตร 1119
  • แสงทองส่องฟ้าคือชีวิต
    • ดูรายละเอียด








ยา เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตอยู่ของมนุษย์ซึ่งบรรดาแพทย์ทั้งหลาย ได้ค้นคิดขึ้นมารักษาโรคทางกาย พอเป็นปัจจัยผ่อนคลาย ความทุกข์ ความขัดข้องได้บ้าง พระพุทธองค์ก็ทรงบัญญัติไว้ในปัจจัย 4 ที่บรรพชิตต้องอาศัย - ต้องใช้ ต้องฉัน ในคราวอาพาธ แต่นั่นเป็นเพียงยาแก้โรคทางกาย สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ก็ยังรู้จักแสวงหามากินตามประสาสัตว์ส่วนยาอีกประเภทหนึ่ง เรียกว่า ยาใจเป็น ยาปราบโรคทางใจ รักษาใจให้เป็นปกติ ใจเป็นของละเอียด แทรกอยู่ได้ในทุกส่วนของร่างกาย เมื่อใจเป็นของละเอียดยา"ใจ"ที่ใช้ปราบโรคใจต้องละเอียดด้วย พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ใจเป็นใหญ่ - ใจเป็นนายผู้บังคับบัญชา ทุกอย่างย่อมสำเร็จมาแต่ใจ จะผิด - ถูก - ชั่ว - ดี ก็ใจเป็นผู้สั่งงาน หลวงพ่อ ชา เคย สอนพวกเราว่า เมื่อใจดี ทุกอย่างก็จะดีหมด เมื่อใจเสีย ทุกอย่างก็จะเสียหมด เมื่อใจร้าย ทุกอย่างก็จะร้ายหมด ฉะนั้นจึงควร

อบรมใจของเราให้ดีครั้งหนึ่งหลวงพ่อ ชา ได้รับนิมนต์ให้ไปโปรดญาติ - โยมต่างอำเภอ เมื่อฉันอาหารบิณฑบารตเสร็จแล้ว หลวงพ่อ ชา ก็ได้ให้โอวาทพอสรุปได้ว่า เรานับถือพระพุทธศาสนามานาน จะต้องพิจารณาให้ดี จะทำบุญ - ทำทาน อย่าให้เป็นบาป อย่าแอบอ้างสิ่งที่ไม่ใช่บุญมาทำ อย่าสักแต่ว่าทำไปตามคนอื่นพูด เราต้องพิจารณาให้ดี ให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ทำบุญอะไร ? ทำบุญอย่างไรจึงเหมาะสมและถูกต้อง ถ้าเราทำไม่คิดมันทำผิดก็นึกว่าถูก ทำชั่วนึกว่าทำดี หมั่นตรวจดูว่าสิ่งที่เราทำ - คำที่เราพูด เรื่องที่เราคิด ถ้าเห็นว่าสิ่งใดถูกต้องดีก็พึงพอใจ สิ่งใดบกพร่องต้องรีบแก้ไข ก่อนนอนต้อง สวดมนต์ - ไหว้พระนั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบ กำหนดลมหายใจเข้า - ออก กำหนดว่า พุทโธ ฯ ที่ปลายจมูกเอาใจนึกโดยไม่ต้องออกเสียง ให้มีความเมตตาอาร มีความสมานสามัคคีต่อกัน ให้รู้จักให้อภัยแก่กัน อย่าอาฆาต - พยาบาทกัน ให้มองเห็นกันเป้นพี่ - น้อง

เราจะมีความสุขตามอัตภาพเมื่อหลวพ่อให้โอวาทจบลง หลวงตารูปหนึ่งเข้าไปกราบเรียนท่านว่า ท่านอาจารย์ครับ กระผมเป็นโรคปวดท้องมานาน ฉันยาโรงพยาบาลเป็นประจำแต่ไม่หาย ท่านอาจารย์มียาดีมั๊ย ? ครับ โปรดเมตตาผมด้วยหลวงพ่อ ชา ตอบว่า มีเหมือนกันแต่ไม่ได้เอามามีอยู่ทีวัด ถ้าอยากได้ให้ไปเอาเอง"เพราะท่านทราบแล้วว่า สภาพของผู้บวชเมื่อแก่ มีการกระทำความเป็นอยู่ มีความต้องการอย่างไรถ้าฉันยาท่าน

อาจารย์แล้ว โรคผมจะหายมั๊ย ? ครับ หลวงตาถามขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ หายสิถ้าทำตามหมอบอกถ้างั้นผมจะตามไปวันหลัง วันนี้เตรียมตัวไม่ทันหลวงตามีสีน่าสดชื่นขึ้น เพราะดีใจใว่าจะหายปวดท้องเสียทีวันต่อมาหลวงตาก็ไปทีวัดหนองป่าพง เพื่อที่จะได้ฉันยาดี เมื่อไปถึง หลวงพ่อบอกให้ลูกศิษย์จัดที่พักให้ตามสมควร แล้วบอกหลวงตาว่า ก่อนจะฉันยานั้นจะต้องทำพิธีกรรมเบื้องต้นเสียก่อน เริ่มต้นด้วยการเดินจงกรม นั่งสมาธิ ทำวัตร สวดมนต์ อยู่กุฏิคนเดียว ไม่ไปคลุกคลีพูดคุยกับคนอื่น ฉันอาหารวันละครั้ง เวลาฉันต้องเคี้ยวให้

ละเอียดแล้วจึงกลืน ขณะกำลังฉันก็ให้พิจารณาว่าอาหารนี้มีใช่ของพ่อแม่พี่น้องของเรา เป็นของทายก - ทายิกาเขาให้มาด้วยความเลื่อมใสเขาเชื่อว่าเราปฏิบัติดี - ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควรถูกต้องตามพระพุทธองทรงตรัสค์สอนไว้ ให้หลวงตาทำใจสบาย ไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลัง ให้ท่านทำอย่างนี้ต่อไปเมื่อครบ 7 วัน จึงมาบอกผมอีกทีเมื่อหลวงตาได้มาอยู่ร่วมฉัน ร่วมปฏิบัตธรรม ทำตามพิธีกรรมที่หลวงพ่อแนะนำ อาการโรคกะเพาะก็ทุเลาลง สบายขึ้นเรื่อย ๆเพราะเมื่อก่อนหน้านั้นหลวงตาฉันวันละ 2 ครั้ง บางวันมีลูกหลาน เอาอาหารมาถวายระหว่าง 9 - 10 โมงก็ฉันอีก ตอนเย็นยังมีของฉันอีกด้วยเป็นเหตุให้ท้องไส้ทำงานหนัก ไม่ค่อยได้พักจึง

ย่อยไม่หมด เหลือกากตกค้่งในกะเพาะมากจึงทำให้ปวดท้อง แต่พอมาอยู่วัดหนองป่าพงต้องเข้าพิธีกรรม ทำตามที่หลวงพ่อบอกจึงเกิดความสบายเบากาย - เบาใจขึ้น เมื่อครบ 7 วัน หลวงตาจึงทวงฉันยาอีกหลวงพ่อบอกว่าเอาเถอะ ยาปรุงจวนจะได้ที่แล้วให้เข้าพิธีกรรมทำไปเรื่อย ๆ อีกสัก 7 วันข้อสำคัญอย่าขี้เกียจมักง่ายขยันทำพิธีกรรมทุกอย่างให้ครบก่อนนอนให้ทำ วัตรประจำกุฏิ นั่งสมาธิด้วย เวลานอน ให้นอนตะแคงขวา เอามีขวาคู้เข้ามาสอดไว้ใต้แก้มมือซ้ายเหยียดไปตามลำตัว เท้าเหลื่อมเท้า คู้เท้าซ้ายขึ้นมาหน่อยหนึ่ง เพื่อเข่าจะได้ไม่ทับกัน กำหนดลมหายใจทีปลายจมูก ภาวนา พุทโธ ดูลมหายใจทีี่ปลายจมูกจนกว่าจะหลับและเวลาตื่นก็ให้รู้ตัวว่าเราตื่นอยู่ท่า ไหนทำต่อไปเรื่อย ๆ อยู่อย่างนี้ ครึ่งเดือนผ่านไปหลวง ตามีอาการผ่องใส จิตใจปลอดโปร่งสบายทั้งกายและใจ แกมีความเคารพเลื่อมใสในข้อวัตรปฏิบัติของวัดหนองป่าพง มากโรคปวดท้องก็หาย

ไปหมดแล้ว หลวงตาจึงปรารฎกับตัวเองว่า เอ..เราเห็นจะไม่ตอ้งฉันยาของท่านอาจารย์แล้วกระมัง ? โรคปวดท้องเราหายไปแล้ว สบายดีแล้ว ไปบอกท่านดีกว่า แกจึงไปพบหลวงพ่อ ชา ที่กุฏิและได้กราบนมัสการว่าท่านอาจารย์ครับ ผมรู้สึกว่าเป็นปกติแล้วเห็นจะไม่ตอ้งฉันยาหรอกครับหลวงพ่อ ชา จึงพูดช้า ๆ ฟังเย็น ๆ ด้วยเมตตาว่าก็ผมให้เท่านฉันยาตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ที่นี่แล้ว..ท่านไม่รู้หรืองัย ?ได้ยินเสียงหลวงตาอุทานว่า.อ้อ.ผมเข้าใจแล้วครับอย่านี้นีเอง"ยาดีของหลวงพ่อ ชา ก็จบเพียงเท่านี้..............เอวัง







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2019, 08:02:34 pm โดย 時々होशདང一རພຊຍ๛ »
ชิเน กทริยํ ทาเนน