แสงธรรมนำใจ > วัชรยาน

คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead] ช่วงสอง

(1/2) > >>

มดเอ๊กซ:


การเข้าสู่มหาวิมุตติ โดยผ่านการสดับฟัง
 
 
ขอถวายสักการะแด่บรรดาเหล่าคุรุ
พระอมิตตาภพุทธ ผู้มีรัศมีอันหาที่สุดมิได้ - ธรรมกาย
ปทุมเทพแห่งสันติ และความพิโรธโกรธา - สัมโภคกาย
คุรุปัทมะสัมภวะ เทพอารักษ์แห่งสรรพสัตว์ - นิรมาณกาย
 
คัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " เล่มนี้ เป็นหนทางที่ใช้ปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขในบาร์โดสำหรับบรรดาผู้ฝึกโยคศาสตร์ที่มีความสามารถพอประมาณ คัมภีร์เล่มนี้แบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน ส่วนหนึ่งได้แก่คำแนะนำสำหรับผู้ฝึกฝน ส่วนที่สองได้แก่เนื้อหาแห่งคัมภีร์ ส่วนทีสาม ได้แก่บทสรุป
 
ในส่วนของคำแนะนำในคัมภีร์เล่มนี้ เป็นส่วนที่ผู้ฝึกฝนต้องทำความเข้าใจให้ดีเสียก่อน อันจะเป็นหนทางนำไปสู่การปลดปล่อยสรรพสัตว์ ที่เปี่ยมไปด้วยวิชชาชั้นสูง แต่หากไร้ซึ่งวิชชาดังกล่าว บุคคลพึงฝึกฝนการเคลื่อนย้ายวิญญาณ ซึ่งจะชักนำเข้าสู่วิมุตติภาวะในทันทีหลังจาก ละทิ้งซึ่งสังขาร วิธีนี้ใช้ปลดปล่อยสรรพสัตว์ที่ทรงวิชชาพอประมาณ แต่ถ้าไม่สำเร็จในกิจดังกล่าวนี้ บุคคลจะต้องพยายามเข้าถึง " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " ขณะอยู่ในภาวะบาร์โดแห่งธรรมดา
 
ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกฝนพึงทำการวินิจฉัยบรรดานิมิตแห่งความตายตามลำดับ ตามคัมภีร์ว่าด้วย " การปลดปล่อยสัญลักษณ์แห่งความตาย " โดยฉับพลัน หากเขากระทำการได้สัมฤทธิ์ผล เขาย่อมสามารถเคลื่อนย้ายวิญญาณได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งจะนำไปสู่การปลดปล่อยโดย ฉับพลันทันทีที่คำนึงเท่านั้น ถ้าการเคลื่อนย้ายลุล่วงไปด้วยดี การอ่านคัมภีร์เล่มนี้ก็หาจำเป็นไม่ แต่หากเขาผู้นั้นทำการไม่สำเร็จ ก็จำเป็นต้องทำการอ่านคัมภีร์เล่มนี้อย่างชัดถ้อยชัดคำและถูกต้อง ในระยะประชิดร่างของผู้ตาย
 
หากร่างกายของผู้ป่วยมิได้อยู่ที่นั่น ผู้อ่านควรนั่งลงบนเสื่อหรือฟูกนอนของเขาและอ้างอิงอำนาจแห่งสัจจะ เรียกมโนสำนึกของผู้ป่วยให้ มาหา และเริ่มต้นสร้างจินตภาพว่าเขาได้มานั่งฟังอยู่เบื้องหน้าในช่วงเวลานี้เสียงคร่ำครวญร่ำไห้เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ดังนั้นบรรดา ญาติสนิทจะต้องถูกกักออกไปจากบริเวณ ถ้าร่างของผู้ตายยังคงอยู่ ณ ที่นั้น ในช่วงวิกฤตที่ลมหายใจกำลังจะแผ่วสิ้นไป และชีพจร จะหยุดดับลง คุรุหรือญาติทางธรรมของเขาที่เขาเคารพรักและศรัทธาจักต้องอ่านคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " เล่มนี้ที่ข้างหูของเขา
 
ในการอ่าน " คัมภีร์มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " จำต้องมีการถวายเครื่องสักการะอันประณีตต่อพระรัตนตรัยถ้ามีเครื่องถวายพอเพียง แต่หากในที่แห่นั้นขาดแคลนเครื่องบูชา ควรจะสักการะถวายเฉพาะสิ่งที่จัดหามาได้ และจินตนาการเอาในส่วนที่เหลือ ผู้อ่านจะต้อง ทำการท่อง " บทสวดดลบันดาลวอนขอต่อพุทธองค์และโพธิสัตว์ทั้งหลายเพื่อคุ้มครองชีพ " สามครั้งหรือเจ็ดครั้ง และทำการท่อง ออกเสียง " บทสวดดลบันดาลเพื่อการรอดพ้นจากภยันตรายในบาร์โด " รวมทั้ง " วลีสำคัญแห่งบาร์โดทั้งหก " แล้วจึงทำการอ่าน " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " สามครั้งหรือเจ็ดครั้ง
 
เนื้อหาหลักของคัมภีร์นั้นแยกออกเป็นสามส่วน การปรากฏตัวของแสงสุกใสในบาร์โดช่วงเวลาก่อนหมดลมหายใจเป็นส่วนแรก ส่วนที่สอง นั้นได้แก่การเตือนให้ตระหนักถึงภาพนิมิตในบาร์โดแห่งธรรมธาตุ ส่วนที่สามได้แก่การแนะนำให้ทำการปิดทางเข้าสู่ครรภ์อุทรในบาร์โด ช่วงที่จะกำเนิด
 
เบื้องแรกเมื่อมีการปรากฏตนของแสงสุกใสในบาร์โดช่วงขณะก่อนจบชีวิตลง เมื่อได้ทำการอ่านคัมภีร์เล่มนี้ ผู้คนทั่วไปที่แม้จะได้รับ การฝึกฝนสมาธิภาวนาแต่ไม่อาจจำแสงสุกใสได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีความฉลาดเฉลียวสักปานใด จะจำแสงสุกสกาวได้ และจะผ่านเลย ประสบการณ์ในบาร์โดเข้าสู่ธรรมกายที่จักไม่หวนกลับมาเกิดอีก
 
สำหรับวิธีการอ่านนั้น จะเป็นการดีหากได้คุรุหรืออาจารย์ใหญ่ที่เขาได้รับการถ่ายทอดคำสอนมาประกอบพิธี หรือไม่ก็เป็นญาติทาง ศาสนธรรม ที่เขาได้รับเอาแนวทางสัมมาปฏิบัติมาประพฤติ หรือไม่ก็เป็น กัลยาณมิตรในสายสกุลเดียวกัน หากหาบุคคลเหล่านี้ไม่ได้ ก็ควรต้องเป็นบุคคลที่สามารถอ่านได้ชัดเจนและถูกต้องและควรอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายเที่ยวด้วยกัน การกระทำดังกล่าวนี้จะเตือนเขา ให้นึกถึงคำสั่งสอนแห่งคุรุที่ได้ถ่ายทอดมาแล้วในกาลก่อน อันทำให้เขารู้ทันทีเมื่อแสงสุกใสอุบัติขึ้น และได้รับการปลดปล่อยสู่วิมุตติสุข เป็นการแน่นอน
 
เมื่อลมหายใจใกล้จะสิ้นสุดลง ลมปราณจักซึมซาบเข้าสู่ธูติแห่งปัญญา และแสงสกาวซึ่งปลอดพ้นจากสิ่งบดบังจักเฉิดฉายอย่างกระจ่างชัด ในมโนวิญญาณ ถ้าลมปราณเกิดการย้อนกลับและลับหายเข้าไปในนาภีซ้ายขวา สภาวะแห่งบาร์โดจักบังเกิดขึ้นทันที ดังนั้นการอ่านจะต้อง กระทำก่อนที่ลมปราณจะสูญหายเข้าไปในนาภีซ้ายขวา ช่วงเวลาที่ชีพจรภายในดำรงอยู่หลังการดับสิ้นของลมหายใจจะเป็นระยะชั่วรับประทาน อาหารหนึ่งมื้อ
กระบวนวิธีในการอ่านคัมภีร์นั้นจะได้ผลดีที่สุดถ้าการเคลื่อนย้ายวิญญาณกระทำเมื่อลมหายใจใกล้จะสุดสิ้นลง แต่หากทำไม่ได้ ผู้อ่านควร กล่าวคำเหล่านี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ( ชื่อของผู้ตาย ) บัดนี้เวลาที่ท่านจต้องเสาะหาหนทางของท่านเองได้มาถึงแล้ว ทันทีที่ลมหายใจในกายท่านสุดสิ้นลง แสงสุกใสอันเป็นปกติวิสัยแห่งบาร์โดแรกจะปรากฏขึ้น ดังที่คุรุได้อบกเล่าแก่ท่านในกาลก่อน สิ่งที่ปรากฏนี้ได้แก่ธรรมดา ซึ่งเปิดโล่งและ ว่างเปล่าดุจอากาศธาตุ เป็นที่ว่างอันสุกสกาว เป็นจิตอันเปล่าเปลือยที่ปราศจากหลักยึดหรือปริมณฑล จงจำสิ่งนี้ให้ได้ และพิงพักอยู่ในสภาวะดังกล่าวนี้ และข้า ฯ จะติดต่อกับท่านในยามนั้นด้วย "
 
ข้อความดังกล่าวนี้จำต้องปลูกฝังลงในความคิดคำนึงของผู้ตายให้มั่นคง โดยการกล่าวทวนไปทวนมาหลาย ๆ ครั้งที่ข้างหูของเขา จนกว่าเขาจะสิ้นลมลงไป ครั้นเมื่อเราได้สังเกตเห็นว่าลมหายใจของเขาได้สุดสิ้นลงแล้ว ให้วางผู้ตายลงในท่าสีหไสยาสน์ และจับชีพจรสองเส้น ที่ก่อให้เกิดการหลับไหล กดให้แน่น จนกระทั่งมันหยุดเต้นระรัว เมื่อนั้นลมปราณที่ได้เข้าสู่ธูติ จะไม่สามารถตีย้อนกลับได้ และจะผุดขึ้น ผ่านพรหมรันธะ
 
บัดนี้เนื้อความในคัมภีร์จะถึงกาลบอกกล่าว ในเบื้องแรกจะปรากฏบาร์โดขั้นปฐมที่เรียกขานกันในนามของ รัศมีสุกใสแห่งธรรมธาตุ อันเป็นจิตแน่วแน่แห่งธรรมกาย ที่อุบัติในสรรพสัตว์ บุคคลธรรมดาจะรับรู้สภาพดังกล่าวนี้อย่างไม่รู้สึกตัวอันเนื่องมาจากลมปราณได้ ดำดิ่งกลมกลืนไปกับอวธูติ
 
ในช่วงระหว่างการสิ้นสุดของลมหายใจและชีพจร ระยะเวลาที่ดำเนินอยู่นั้นไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแห่งจิตใจ และขั้นของ การฝึกในธรรมะ มันอาจคงอยู่ได้เป็นเวลานานในบุคคลที่ผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำมาเป็นอันมาก และแน่วแน่ในอำนาจแห่งสมาธิภาวนาที่สงบนิ่งและละเอียดอ่อน ในการอ่านคัมภีร์บทนี้ ผู้อ่านจะต้องอ่านทวนไปทวนมาจนกว่าจะมีน้ำเหลืองไหลออกมาจากทางช่องศีรษะ ในบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยความชั่วร้ายและหยาบช้าระยะเวลามีเพียงชั่วดีดนิ้วมือเท่านั้น แต่ในบางบุคคลมันอาจคงอยู่ได้ชั่วเวลารับประทาน อาหารหนึ่งมื้อ ในตำราและพระสูตรตันตระกล่าวว่าช่วงเวลาที่ไร้ความรู้สึกตัวนี้ดำรงอยู่ถึงสี่วัน ผู้อ่านจะต้องใช้เวลาประกอบพิธีในระยะเวลาดังกล่าว
 
ในพิธีดังกล่าว หากผู้ตายมีความสามารถจะดำเนินการด้วยตัวเองโดยอาศัยคำสอนที่ได้เรียนรู้มาแล้ว แต่หากเขาไม่สามารถจะช่วยเหลือตนเองได้ คุรุของเขาหรือศิษย์แห่งคุรุองค์นั้นหรือพี่น้องทางธรรมของผู้ตายจะต้องเขยิบเข้ามาใกล้กายของผู้ใกล้ตายและอ่านตัวบทคัมภีร์ อย่างช้า ๆ และแจ่มชัด ถึงลำดับของนิมิตในความตาย " เมื่อภาพของแผ่นดินได้เลือนหายสู่ห้วงน้ำ เมื่อห้วงน้ำกลายเป็นอัคคีระอุ เมื่ออัคคีได้แปรเปลี่ยนสู่ท้องนภา และเมื่อท้องนภาได้กลายสู่มโนวิญญาณ .... เช่นนี้ ต่อไปเรื่อย ๆ " เมื่อการพรรณาลำดับแห่งนิมิตใกล้จะ สิ้นสุดลง ผู้อ่านจะต้องทำการปลุกปลอบใจผู้ใกล้ตายให้ทำความในใจว่า " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล " หรือในกรณีที่ผู้ตายเป็นคุรุธรรม จงขานว่า " ดูกร ท่านผู้เป็นที่เคารพ " " อย่าปล่อยให้ความคิดของท่านร่อนเร่พเนจรไป " ถ้อยคำนี้ควรกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของผู้ใกล้วายชนม์ ในกรณีที่ผู้นั้นเป็นญาติทางศาสนธรรมหรือบุคคลอื่น ผู้อ่านจะต้องขานชื่อของเขาและกล่าวถ้อยคำเหล่านี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล สิ่งที่เรียกกันว่ามรณะได้มาสู่ท่านแล้ว ท่านจงทำความในใจดังนี้ ' ข้า ฯ ได้มาถึงซึ่งมรณกาล ณ บัดนี้ ข้า ฯ จะแน่วแน่อยู่เพียงแต่วิมมุติภาวะแห่งจิต ไมตรี มิตรภาพ กรุณาคุณ และเข้าสู่ภาวะตรัสรู้ยิ่งแล้วเพื่ออำนวยประโยชน์แด่สรรพสัตว์ที่มี มากมายเหลือคณานับดุจสากลจักรวาล ด้วยการอธิษฐานจิตเยี่ยงนี้ เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์ ข้า ฯ จะระลึกว่าแสงสุกใสนั้นย่อมได้ แก่ธรรมกาย และในภาวะเช่นนั้น ข้า ฯ จะทำให้แจ้งซึ่งมหาสัญลักษณ์ ข้า ฯ จะมุ่งหน้าสู่หนทางแห่งประโยชน์สุขของสรรพสัตว์ หากแม้นว่าไม่อาจสัมฤทธิ์ดังใจหวัง ข้า ฯ จะระลึกได้ซึ่งภาวะบาร์โด และเข้าถึงมหาสัญลักษณ์อันมิอาจจะแบ่งแยกได้ในภาวะบาร์โด ข้า ฯ จะประกอบกรรมดีเพื่อปลดปล่อยสรรพสัตว์อันหาที่ประมาณมิได้ ในทุกอุบายวิธีที่ทำได้เพื่อผลประโยชน์แก่สัตว์ที่ร่วมเกิดแก่เจ็บตายทั้งมวล ' เพื่อมิไห้ความคิดดังกล่าวลบเลือนไป ท่านต้องทบทวนและฝึกฝนสมาธิภาวนาที่ท่านได้รับการสอนสั่งมาในอดีต "
 
ถ้อยคำดังกล่าวถูกกล่าวขานอย่างชัดถ้อยคำที่ข้างหูของผู้วายชนม์ เพื่อที่จะเตือนเขาให้ระลึกถึงการฝึกฝนในอดีตโดยไม่ปล่อยให้จิตออก เร่ร่อนไปแม้เพียงเสี้ยวเวลา ครั้นแล้วเมื่อลมหายใจของเขาได้สุดสิ้นลงให้ท่านกดชีพจรเส้นที่ลึกที่สุดอันทำให้เกิดการหลับใหล และกล่าว ย้ำในถ้อยคำเช่นนี้ว่า " ท่านที่เคารพ บัดนี้แสงสุกใสได้อุบัติอยู่เบื้องหน้าของท่านแล้วจงทำความจดจำมันให้จงได้ และพักผ่อนในระหว่างนั้น " คำกล่าวนี้ใช้กับคุรุธรรมหรือกัลยาณมิตรที่สูงกว่าผู้อ่าน

มดเอ๊กซ:

 
 
ในกรณีของบุคคลอื่นให้ใช้คำกล่าวเช่นนี้ว่า " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ( ชื่อของผู้ตาย ) บัดนี้แสงกระจ่างใสแห่งธรรมธาตุได้ฉายฉานอยู่ เบื้องหน้าท่านแล้ว จงจดจำให้ได้ ดูกรทายาทแห่งอริยสกุล ณ เพลานี้จิตตะสภาวะแห่งท่านเป็นความว่างเปล่าล้วน ๆ โดยธรรมชาติ มันไม่มี คุณสมบัติอย่างอื่นอยู่เลย และไม่ปรากฏองค์ประกอบหรือสีสรรใด ๆ ด้วย สภาวะนี้เองที่ได้แก่ธรรมดา พุทธสตรี ในนามของ สมันตรภัทรติ ทว่าสภาวะจิตดังกล่าวนี้มิใช่เพียงความว่างเปล่า มันไม่มีสิ่งใดกีดขวาง มันเจิดจรัส ผ่องใส และสั่นไหวยิ่ง จิตนี้คือสมันตรภัทรพุทธะ คุณสมบัติสองประการต่อไปนี้ได้แก่ ความว่างเปล่าที่ปราศจากธาตุใด ๆ ความสั่นไหวโอนอ่อนและสุกสกาวอันไม่อาจแยกเป็นสองได้นี้เอง คือธรรมกายแห่งพุทธองค์ จิตของท่านได้แก่ความใสสว่างและความว่างที่ไม่อาจขาดแยกออกจากกัน ได้รวมตัวอยู่ในรูปของกลุ่มแสง อันเจิดจ้า มันปราศจากการเกิดและดับสลายจึงเป็นพุทธองค์แห่งประภารัศมีอันเป็นอมตภาวะ การระลึกสิ่งนี้ได้นับว่าสำคัญมาก เมื่อใดที่ท่าน ได้รับรู้ธรรมชาติบริสุทธิ์ของจิตว่าคือพุทธะ การมองกลับเข้าไปสู่จิตของตนก็คือ การพักพิงอยู่ในจิตแห่งพุทธะ "
 
ถ้อยคำดังกล่าวควรกล่าวซ้ำประมาณสามหรือเจ็ดเที่ยวอย่างชัดเจนและถูกต้อง ในขั้นแรกจะทำให้เขาระลึกได้ถึงสิ่งที่คุรุได้สอนสั่งเขาใน กาลอดีต ในขั้นต่อมา เขาจะระลึกได้ว่าจิตอันเปล่าเปลือยของเขานั้นประภัสสรแต่เดิมมา ในขั้นสาม เขาจะระลึกได้ว่าตนเองเป็นผู้ใดแน่ เขาจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมกายภาวะและเข้าสู่วิมุตติสุข
 
ครั้นระลึกได้ถึงแสงสุกใสนับแต่แรกเห็น ผู้ตายย่อมไปสู่ความรำงับเสียได้ แต่หากการณ์ไม่เป็นไปเช่นนั้น แสงสุกสกาวลำดับที่สองจัก ปรากฏตัวขึ้น ช่วงเวลาดังว่านี้สั้นกว่าหนึ่งมื้ออาหารเสียอีกหลังจากการสิ้นสุดของลมหายใจ
 
ไม่ว่าผู้ตายจะประกอบกรรมดีหรือกรรมชั่วไว้ในอดีตก็ตามลมปราณจะไหลเข้าสู่นาภีขวาหรือซ้าย และผ่านออกทางกลางกระหม่อม มโนสำนึกจะกระจ่างชัดในบัดดล ระยะเวลาในยามนี้จะยาวนานเกินกว่าหนึ่งมื้ออาหารหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับความอ่อนไหวละเอียดอ่อนของผู้ตาย และการฝึกฝนปฏิบัติครั้งยังมีชีวิตอยู่ เมื่อวิญญาณได้หลุดออกจากร่าง เขาย่อมไม่แน่ใจว่าได้ตายลงแน่นอนแล้วหรือไม่ เขาจะได้แลเห็นญาติมิตรและเพื่อนพ้องชุมนุมอยู่รอบ ๆ ร่างดังก่อนสิ้นชีพ และได้ยินซึ่งเสียงร่ำไห้ที่ระงมไปทั่ว
 
ในช่วงเวลาที่ผลกรรมยังไม่ปรากฏ และยมราชผู้ทรงไว้ด้วยความน่าสะพรึงกลัวยังเสด็จมาไม่ถึง คำแนะนำสู่สุคติภพควรจะได้รับการ กล่าวขานอีกครั้ง มีข้อที่ควรจำว่ามีความแตกต่างระหว่างผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างสมบูรณ์พร้อม กับผู้ที่ฝึกฝนแบบบริกรรมนิมิต ถ้าเขา ได้ผ่านการฝึกฝนในแบบสมบูรณ์ครบถ้วน ผู้อ่านจะต้องเรียกชื่อผู้ตายสามครั้งและทำการทบทวนบทสวดข้างต้นอีกครั้งเพื่อเตือนให้ ระลึกถึงแสงสุกใส แต่หากเขาเป็นผู้ผ่านการฝึกฝนแบบบริกรรมนิมิต ผู้อ่านควรอ่านสาธนาคัมภีร์ให้ดังก้อง และอธิบายพรรณาให้เห็นถึง ยิดัมประจำตัวของผู้ตาย และเตือนเขาด้วยถ้อยคำดังกล่าวนี้ " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงแน่วแน่ในสมาธิอยู่ที่ยิดัมของท่าน อย่าแส่ส่าย จงเพ่งเล็งอยู่ที่ยิดัมอย่างมั่นคง จงมองนิมิตนี้ว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ปราศจากแก่นสารแน่นอนที่เปรียบประดุจดังจันทราในสายน้ำ อย่าได้คิดว่าเป็นรูปทรงที่มีตัวตน " แต่ถ้าผู้ตายที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนใด ๆ จงกล่าวกับเขาดังนี้ว่า " จงแน่วแน่อยู่ในพระพุทธองค์ที่เปี่ยมด้วยกรุณา ( พระอวโลกิเตศวร ) "
 
แม้แต่ผู้ที่ไม่รู้จักภาวะบาร์โดก็จะเข้าใจภาวะนี้ได้หากได้รับการชี้แนะข้างต้น ทว่าสำหรับผู้คนที่ไม่เคยผ่านการฝึกฝนสมาธิภาวนามาก่อน แม้พวกเขาจะได้รับการชี้แนะโดยเหล่าคุรุวิปัสสนาจารย์ในยามมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ไม่สามารถจดจำบาร์โดสภาวะด้วยตนเองได้ ดังนั้น เหล่าคุรุหรือกัลยาณมิตรจำต้องทำการช่วยเหลือพวกเขา เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจำต้องช่วยชี้แนะผู้ตายที่ไม่สามารถจดจำคำสอนระหว่างอยู่ในภาวะบาร์โดช่วงขณะก่อนตายได้ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาสับสนจากอาการเจ็บไข้อย่างหนักและเวทนากล้า แม้ว่าเขาจะได้รับ การฝึกฝนสมาธิภาวนามาบ้างก็ตาม แต่หากสัมมาปฏิบัติของเขาได้เสื่อมทรามลง เขาย่อมมีสิทธิ์ร่วงหล่นลงสู่ภูมิอันต่ำช้า
เป็นการดีมากหากพวกเขาสามารถทำความเข้าใจได้นับแต่บาร์โดแรกถึงแม้ว่าเขาทำการไม่สัมฤทธิ์ผล แต่ถ้าวิปัสสนาญาณของเขามีคนเตือน ให้ตื่นขึ้นในบาร์โดที่สองเขาย่อมหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้ ภายในบาร์โดที่สอง วิญญาณของเขาที่ยังไม่แน่แก่ใจว่าเขาได้ตายลงแล้วหรือไม่ จะกระจ่างชัดขึ้น มีนามเรียกขานกันทั่วไปว่าเป็น กายมายาอันบริสุทธิ์ ถ้าหากเขาทำความเข้าใจคำสอนในตอนนี้ได้มารดาและบุตรแห่งธรรมธาตุจะประสบพบกัน เขาจะไม่ถูกครอบงำโดยวิบากกรรมอีกต่อไป เปรียบดังแสงสุริยะฉายฉานเหนือความมืดมัว อำนาจแห่งวิบาก กรรมถูกขจัดโดยแสงกระจ่างใส อาการหลุดพ้นจึงเป็นไปได้ บาร์โดที่สองนั้นจะปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากายทิพย์ วิญญาณจักสามารถสดับเสียง ได้ดังยามมีชีวิตอยู่ ถ้าคำสอนสั่งเป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในเวลานี้ก็เท่ากับสำเร็จประโยชน์แล้วและเนื่องจากภาพมายาอันสับสนแห่งผลกรรม มิได้บังเกิดขึ้น เขาย่อมบังคับตนให้ไปได้ทุกแห่งหน
 
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถจดจำแสงกระจ่างในบาร์โดแรกได้ เขาย่อมถูกปลดปล่อยหากสามารถจดจำแสงกระจ่างในบาร์โดที่สองได้ แต่หากเขายังไม่ได้รับการปลดปล่อยแม้ในบัดนี้ บาร์โดที่สาม อันได้แก่บาร์โดแห่งธรรมธาตุจักปรากฏขึ้น ภาพมายาแห่งวิบากกรรม จะอุบัติขึ้นด้วย การอ่านคำสอนเกี่ยวกับบาร์โดแห่งธรรมดาในเวลานี้จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันทรงอำนาจและมีคุณูปการสูง
 
ในเวลาเหล่านี้ ญาติมิตรของเขาจะพากันร่ำไห้และโศกศัลย์ เขาจะไม่ได้รับอาหารเลี้ยงดูอีกต่อไป เสื้อผ้าจะถูกเปลี่ยน ที่นอนจะถูกแบ่งแยกออก ผู้ตายจะแลเห็นผู้อื่นแต่ผู้อื่นไม่อาจแลเห็นผู้ตายได้ เขาย่อมอาจแลเห็นมวลมิตรได้ แต่มวลมิตรไม่อาจแลเห็นเขาได้ เขาย่อมได้ยินถ้อยคำ สนทนาของผู้อื่น แต่ผู้อื่นไม่อาจได้ยินเสียงเรียกขานของเขา ดังนั้นเขาจึงจากไปด้วยความเศร้าโศกเหลือประมาณ ปรากฏการณ์ทั้งสาม อย่างจะอุบัติขึ้นในเวลานี้ อันได้แก่ เสียง สี และประภารัศมี เขาจะสลบไปด้วยความหวาดกลัว ไหวหวั่นและพรั่นพรึง ดังนั้นในเวลานี้ การอ่านถ้อยคำเกี่ยวกับบาร์โดแห่งธรรมธาตุควรเริ่มขึ้นตอนนี้ จงเรียกชื่อของผู้ตาย แล้วกล่าวถ้อยความต่อไปนี้อย่างแจ่มชัด
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยะสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน ท่านจะประสบกับบาร์โดหกสภาวะด้วยกัน อันได้แก่ บาร์โดแห่งการเกิด บาร์โดแห่งความฝัน บาร์โดแห่งสมาธิภาวนา บาร์โดแห่งชั่วขณะก่อนตาย บาร์โดแห่งธรรมดา และบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน ดูกร ทายาทแห่งอริยะสกุล ท่านจะได้ประสบกับบาร์โดสามสภาวะนี้ในภายภาคหน้า อันได้แก่ บาร์โดแห่งชั่วขณะก่อนตาย บาร์โดแห่งธรรมดา และบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน ในบาร์โดทั้งสามนี้ แสงกระจ่างจากธรรมดาจักฉายฉานจนถึงเมื่อวานนี้ แต่ท่านกลับไม่อาจจดจำ มันได้ ท่านจึงพเนจรมายังบัดนี้ นับแต่นี้ท่านจะได้ประสบกับบาร์โดแห่งธรรมดา และบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน ดังนั้นจงจดจำในสิ่งที่ข้า ฯ จะชี้แนะแก่ท่าน อย่าแชเชือนเป็นอันขาด
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล บัดนี้สิ่งที่เรียกขานกันว่าความตาย ได้มาสู่แล้ว ไม่ใช่เพียงท่านผู้เดียวหรอกที่ต้องจากโลกนี้ไป ความตายบังเกิด กับทุกคน ดังนั้นจงอย่ารู้สึกผูกพันและหลงใหลในชีวิตนี้ แม้ท่านจะเกิดความปรารถนาแรงกล้าหรือดื้อดึงสักเพียงใด ท่านก็ไม่อาจจะรั้งอยู่ บนโลกต่อไปได้ ท่านทำได้เพียงแต่ร่อนเร่อยู่ในสังสารวัฏ อย่าหลงใหล อย่าละโมบ จงยึดมั่นในไตรสรณาคมณ์ ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ไม่ว่านิมิตมายาอันน่าสะพรึงกลัวใด จะปรากฏขึ้นในบาร์โดแห่งธรรมดา จงอย่าลืมถ้อยความเหล่านี้ แต่จงทบทวนความหมายของมัน จุดสำคัญอยู่ที่การจดจำมันให้ได้
 
บัดนี้เมื่อบาร์โดแห่งธรรมดาได้อรุณขึ้นเบื้องหน้าข้า ฯ
ข้า ฯ จะละทิ้งความคิดเกี่ยวกับความกลัวและความไหวหวั่นเสีย
ข้า ฯ จะระลึกเสมอว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นเพียงภาพสะท้อนจากใจข้า ฯ
และรับรู้ว่ามันคือนิมิตแห่งบาร์โด
บัดนี้ข้า ฯ ได้มาถึงจุดวิกฤติเป็นตายแล้ว
ข้า ฯ จะไม่พรั่นพรึงต่อภาพสันติอันงดงามหรือพิโรธกราดเกรี้ยวประการใด
อันเป็นภาพสะท้อนจากใจข้า ฯ เอง
 
" จงสาธยายคัมภีร์ต่อไป กล่าวถ้อยคำเหล่านี้อย่างชัดและถูกต้อง และระลึกถึงความหมายของมัน อย่าหลงลืมเป็นอันขาด เพราะประเด็น สำคัญได้แก่การจดจำอย่างแม่นยำไม่ว่าสิ่งใดจะปรากฏขึ้นว่าล้วนเป็นนิมิตจากใจท่านเอง
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล เมื่อกายและจิตของท่านแยกขาดออกจากกัน ธรรมธาตุภาวะจะปรากฏขึ้น บริสุทธิ์ และใสกระจ่าง จนยากจะ จ้องดู ช่างใสสว่างและเจิดจ้า ใสสว่างจนน่ากลัว เปล่งแสงดุจดังภาพลวงตาบนผืนแผ่นดินในฤดูใบไม้ผลิ อย่าหวาดกลัวมัน อย่าไหวหวั่น มันเป็นประภารัศมีโดยธรรมชาติของธรรมธาตุแห่งตัวท่าน ดังนั้นจงจดจำมันให้ได้
 
" เสียงคำรามแห่งสายฟ้าฟาดจะอุบัติจากภายในแสงสว่างเป็นแสงโดยธรรมชาติแห่งธรรมดาภาวะ กึกก้องราวกับเสียงสายฟ้านับพันอุบัติ โดยพลัน เนื่องด้วยมันเป็นเสียงตามธรรมชาติของธรรมดาแห่งตัวท่าน ดังนั้นจงอย่ากลัวอย่าไหวหวั่น ท่านได้ครอบครองในสิ่งที่มีนามว่า กายทิพย์แห่งความคิดฝ่ายต่ำ ท่านไร้ซึ่งกายเนื้อที่มีมังสาและโลหิต ดังนั้นไม่ว่าเสียง สีสรร หรือรัศมีเช่นใดจักปรากฏขึ้น มันย่อมมิอาจ ทำร้ายท่านได้และท่านก็ไม่อาจจะตายลงได้ เป็นการง่ายดายยิ่งนักที่จะระลึกเสมอว่ามันคือนิมิตจากตัวท่าน รับรู้ว่าท่านกำลังตกอยู่ในบาร์โดสภาวะ
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล หากท่านไม่อาจจดจำสิ่งเหล่านี้ได้ว่าเป็นนิมิตจากใจท่านเอง ไม่ว่าท่านจะฝึกฝนสมาธิภาวนาเพียงใดขณะที่ท่าน มีชีวิต หากท่านไม่เข้าใจคำสอนนี้แล้ว แสงประกายสีจะข่มขวัญท่าน เสียงคำรามจะข่มขู่ท่าน และประภารัศมีจะทำให้ท่านพรั่นพรึง หาก ท่านไม่เข้าใจประเด็นหลักแห่งคำสอน ท่านย่อมไม่อาจจดจำ เสียง แสง และรัศมีต่าง ๆ ได้ ดังนั้น ท่านย่อมจะวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ อีกต่อไป
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล หลังจากหลับใหลมาเป็นเวลาสี่วันครึ่ง ท่านจะเริ่มเคลื่อนไหว และตื่นจากการสลบไสล ท่านจะประหลาดใจ ว่ามีสิ่งใดบังเกิดกับท่าน จงระลึกว่าบัดนี้ท่านได้อยู่ในภาวะบาร์โดแล้ว ขณะที่สังสารวัฏเริ่มจะย้อนกลับ และทุกสิ่งที่ท่านเห็นจะปรากฏตน ดังแสงและจินตภาพ

มดเอ๊กซ:
" พื้นที่ทั้งหมดของอากาศธาตุจะฉายฉานด้วยแสงสีคราม และพระไวโรจนพุทธจะปรากฏตนเบื้องหน้าท่านจากมัชฌิมภูมิ ภูมิแห่งวงแหวนอันไร้จุดเริ่มต้น กายสีขาวนวล นั่งบนบัลลังก์สิงห์ ถือวงล้อแปดซี่ในมือ สวมกอดศักติแห่งวัชระอากาศธาตุ แสงสีคราม แห่งวิญญาณขันธ์อย่างหมดจดบริสุทธิ์ เป็นภูมิปัญญาแห่งธรรมธาตุอันสว่างไสว กระจ่างใส แหลมคมและเจิดจ้า จะพุ่งเข้าหาท่านจาก หว่างกลางหทัยขององค์ไวโรจนพุทธและองค์ศักติ ทะลวงผ่านท่านจนมิอาจมองได้ด้วยตาเปล่า ในเวลาเดียวกันนั้น แสงสีขาวมัวจาก ภูมิแห่งเทพเทวาจะพุ่งเข้าสู่ท่านด้วยด้วยและทะลุผ่านท่านไป ในเวลานั้นเอง โดยอิทธิพลของผลกรรม ท่านจะรู้สึกหวาดกลัวและ หลบหนีจากภูมิปัญญาแห่งธรรมธาตุและแสงสีครามนวล แต่กลับหลงใหลพึงใจกับแสงสีขาวมัวของเทพเทวา จำไว้ว่า อย่าหวาดหวั่น ต่อแสงสีครามแห่งปัญญาอันเลิศ ซึ่งสว่างไสว เจิดจ้า คมชัดและใสกระจ่างเป็นอันขาด เพราะว่ามันคือประภารัศมีแห่งพุทธสกุลเป็น ปัญญาญาณแห่งธรรมธาตุภาวะ จงมุ่งหน้าเข้าหามันอย่างช้า ๆ ด้วยศรัทธาและการอุทิศตนและการยินยอมพร้อมใจ คิดอยู่เสมอว่า " มัน คือ แสงอันเบาบางแห่งกรุณาคุณของพระไวโรจนพุทธอันศักดิ์สิทธิ์ ข้า ฯ ขอถือเอาท่านเป็นสรณะ จงตระหนักว่าพระไวโรจน์ อันศักดิ์สิทธิ์ได้มาเชื้อเชิญท่านถึงในบาร์โดอันเปี่ยมด้วยภยันตราย ในรูปของลำแสงสีขาวของกรุณาคุณแห่งพระไวโรจนเจ้า
 
" จงอย่าพึงใจในแสงสีขาวแห่งทวยเทพ อย่าหลงใหลหรือสมัครใจในมัน หากท่านยินดีในมันท่านจะร่อนเร่ในภูมิแห่งทวยเทพและวนเวียน อยู่ในภูมิทั้งหก มันเป็นอุปสรรคขัดขวางเส้นทางสู่วิมุตติสุข อย่าจ้องดูมัน แต่จงพึงใจในแสงสีครามนวล และท่องบทสวดอันก่อแรง บันดาลใจด้วยความรู้สึกแน่วแน่ต่อองค์ไวโรจนพุทธ
 
เมื่อเร่ร่อนผ่านอวิชชาอันแรงกล้า ข้า ฯ ท่องอยู่ในสังสารวัฏ
โดยหนทางอันกระจ่างสุกใสแห่งภูมิปัญญาของธรรมธาตุ
ขอให้องค์ไวโรจนพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
ศักติของพระองค์รานีแห่งวัชรอากาศธาตุอยู่เบื้องหลัง
นำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
และนำเข้าสู่ภาวะสมบูรณ์แห่งพุทธ "
 
โดยการท่องกล่าวบทสวดเพื่อขอแรงบันดาลใจนี้ด้วยศรัทธาแรงกล้า เขาผู้นั้นย่อมถูกกลืนหายเข้าไปในลำแสงสีรุ้งของพระไวโรจนพุทธ ผู้ศักดิ์สิทธิ์และเหล่าศักติของพระองค์ และกลายเป็นสัมโภคกายพุทธประจำมัชฌิมภูมิ เป็นประภารัศมีอันแน่นหนา

มดเอ๊กซ:
ถึงแม้จะได้รับการชี้แนะดังนี้ก็ตาม เขาก็ยังหวาดกลัวในลำแสงและประภารัศมีอันเนื่องจากความก้าวร้าวและอาการวิกลจริตแห่งจิต และหลบหนีไป และหาดเขายังสับสนแม้ภายหลังจากท่องบทสวด ในวันที่สองวงล้อแห่งทวยเทพของวัชรสัตวพุทธะมาเชื้อเชิญเขา พร้อมกับอกุศลที่จะนำเขาเข้าสู่นรก ดังนั้น เพื่อชี้แนะเขา ผู้อ่านควรเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน ในวันที่สอง แสงสีขาวและคุณสมบัติอันบริสุทธิ์แห่งธาตุน้ำจะฉายฉานและ ในเวลาเดียวกันนั้น พระวัชรสัตวะ-อักโษภยะผู้ศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าท่านจากภูุมิตะวันออกครามครึ้มแห่งแดนสุขาวดี กายของท่านสีครามเข้ม ถือวัชระห้าแฉกไว้ในมือและนั่งบนบัลลังก์กุญชร สวมกอดศักตินามพุทธ-โลจนา ร่วมทางด้วยโพธิสัตว์ สององค์ กษิติครรภ์และเมตไตรย และสองโพธิสัตว์สตรีลาสยาและบุษบา พุทธะทั้งหกจึงปรากฏขึ้น
 
" แสงสีขาวจากรูปขันธ์ที่บริสุทธิ์หมดจด เป็นภูมิปัญญาที่กระจ่างใสดุจกระจกเงา ใสสว่างและกระจ่างชัดจะพวยพุ่งเข้าหาท่านจากกลางหว่างหทัยขององค์พระวัชรสัตว์และองค์ศักติ และทิ่มแทงผ่านร่างของท่านจนไม่อาจจ้องมองด้วยนัยน์ตาเปล่า ในเวลาเดียวกัน หมอกควันจากนรกภูมิจะปรากฏขึ้นด้วย พวกพุ่งเข้าหาท่าน ทิ่มแทงผ่านท่านไปโดยอิทธิพลของความก้าวร้าวชิงชัง ท่านจะรู้สึกหวาดกลัว และหลบหนีจากแสงสุกใสอันกระจ่างชัด แต่กลับรู้สึกหลงใหลในหมอกควันจากนรกภูมิ ในช่วงเวลานั้น จงอย่าหวาดกลัวแสงสีขาว อันกระจ่างใสแจ่มชัด และคมกริบ ทว่าจงจดจำไว้ว่ามันคือตัวแทนแห่งภูมิปัญญา จงมุ่งหน้าเข้าหามันด้วยศรัทธาและความหวัง อุทิศตน ให้แก่มัน และคิดว่า " มันเป็นแสงสีขาวแห่งกรุณาคุณของพระวัชรสัตว์ ข้า ฯ ขอหวังเป็นที่พึ่งที่ระลึก " จงตระหนักว่าพระวัชรสัตว์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้มาเชิญเชื้อท่านถึงในบาร์โดอันเปี่ยมด้วยภยันตราย ในรูปของแสงสีขาวแห่งกรุณาคุณของพระวัชรสัตว์ ดังนั้นจงมุ่งปรารถนาในมัน
 
อย่างพึงใจในหมอกมัวแห่งนรกภูมิอันเป็นหนทางเชิญเชื้อจากความพิกลพิการทางจิตของท่านเอง ซึ่งสั่งสมจากความก้าวร้าว หากท่านเกิด ความผูกพันกับมัน ท่านจะพลัดหล่นสู่นรกภูมิ และดิ่งลงไปในโคลมตมแห่งความทรมาณอันสุดจะทานทน อันไม่มีผู้ใดหลบหนีไปได้ มันเป็นอุปสรรคขัดขวางหนทางสู่วิมุตติ อย่ามองดูมันเป็นอันขาด ทว่าจงยุติความก้าวร้าว อย่าข้องแวะกับมันเป็นอันขาด อย่าโอนอ่อน ตามมัน แต่จงมุ่งหวังในแสงสีขาวอันสุกใสกระจ่างจ้า และท่องบ่นบทสวดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจด้วยสมาธิอันแรงกล้าต่อองค์พระวัชรสัตว์อันศักดิ์สิทธิ์
 
 
เมื่อร่อนเร่ผ่านอวิชชาอันแรงกล้า ข้า ฯ ท่องอยู่ในสังสารวัฏ
โดยหนทางอันกระจ่างสุกใสแห่งภูมิปัญญาที่ใสสว่างดุจกระจกเงา
ขอองค์พระวัชรสัตว์ผู้ศักดิ์สิทธิ์จงปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
ศักติของพระองค์นามพุทธะ - โลจนาอยู่เบื้องหลับ
นำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
และนำข้า ฯ เข้าสู่ภาวะสุขสมบูรณ์แห่งพุทธะ "
 
 
โดยการท่องกล่าวบทสวดเพื่อขอแรงบันดาลใจด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้า ผู้ตายย่อมเลือนหายสู่ลำแสงสีรุ้งในหว่างหทัยของ พระวัชรสัตวพุทธ และกลายเป็นสัมโภคกายพุทธประจำทิศบูรพาแห่งแดนสุขาวดี

มดเอ๊กซ:
ถึงแม้จะได้รับการชี้แนะดังกล่าวนี้ บุคคลบางจำพวกอาจยังหวาดกลัวต่อรัศมีของกรุณาคุณ โดยเหตุมาจากมานะและม่านมายาอันวิกล จริตประจำตน บุคคลเหล่านี้จะหลบลี้ไปด้วยเหตุนี้ในวันที่สามวงแหวนแห่งทวยเทพจากรัตนะสกุล จะปรากฏเพื่อเชื้อเชิญพวกเขา พร้อม ๆ กับเส้นทางเรืองแสงชักจูงสู่มนุษ์ภูมิ เพื่อประสงค์จะช่วยเขาให้รอดพ้นอีกครา ผู้สาธยายคัมภีร์ควรเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยความต่อไปนี้
 
" ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้าอย่าแชเชือน ในวันที่สามลำแสงสีเหลืองคุณสมบัติอันประภัสสรแห่งแผ่นดินจะฉายฉาน และในยามนั้น พระรัตนสัมภวพุทธอันศักดิ์สิทธิ์จักปรากฏตนเบื้องหน้าท่านจากทักษิณภูมิแฝงไว้ซึ่งสีเหลืองลออตาเร้าปีติอย่างยิ่ง ร่างของท่านจะนวลจรัสถือคฑาเอกอุในมือ ประทับนั่งบนบัลลังก์แห่งอาชา สวมกอดนางมามากิ ชายาประจำตน ร่วมขบวนด้วยโพธิสัตว์ สองท่านคือ อากาศครรภ์และสมันตภัทร และโพธิสัตว์สตรีสองนางได้แก่ มาลา และ ธูปะ ครั้นแล้วเหล่าพุทธะทั้งหกจักปรากฏตน จากอากาศธาตุแห่งแสงสีรุ้ง
 
" แสงสีเหลืองนวลแห่งเวทนาขันธ์อันหมดจดบริสุทธิ์นั้น เป็นภูมิปัญญาแห่งความทัดเทียม ประดับประดาด้วยแสงนานา อันกระจ่างและ สุกใส ดวงตาของท่านจักไม่อาจรู้แสงได้ ลำแสงจะพุ่งเข้าหาท่านจากหว่างกลางหทัยของรัตนสัมภวพุทธและเหล่าศักติชายาทะลุผ่าน ไปในดวงใจของท่าน เวลาเดียวกันนั้นเอง แสงสีครามจากมนุษย์ภาวะจะทิ่มแทงหัวใจของท่านด้วย และโดยอิทธิพลแห่งมานะกล้า ท่านจะหวาดกลัวและหลบหนีจากแสงสีเหลืองอันคมกริบและแจ่มจ้า แต่กลับหลงใหลพึงพอใจกับแสงนวลครามแห่งภูมิมนุษย์ จำไว้ว่า อย่าหวาดหวั่นต่อแสงสีเหลืองนวล อันชัดคมและสว่างไสว แต่จงจดจำว่ามันคือสัญลักษณ์แห่งโลกุตรปัญญา ปลดปล่อยจิตของท่าน ให้พิงพักอยู่ในนั้น อย่ากระทำสิ่งใด ๆ เข้าหามันด้วยใจปรารถนา หากท่านจดจำได้ว่ามันคือประภารัศมีตามธรรมชาติแห่งจิตแล้วไซร้ แม้ท่านจักไม่เคยอุทิศตน ไม่เคยท่องบทสวดเพื่อปลุกเร้ากำลังใจมาก่อนเลย ทั้งจินตภาพและลำแสงรวมทั้งรัศมีที่ปรากฏจะเข้าร่วมเป็น เอกภาพกับท่าน ท่านจะเข้าสู่ภาวะวิมุตติสุข แต่หากท่านไม่อาจทำความระลึกได้ว่ามันเป็นรัศมีตามธรรมชาติแห่งจิตใจในตัวท่านเอง จงสวดอ้อนวอนอย่างหนัก เพ่งความคิดว่า " สิ่งนี้คือแสงรัศมีแห่งพระรัตนสัมภวะผู้เปี่ยมไปด้วยกรุณาคุณ ข้าขอถือเอาท่านเป็นสรณะ " ด้วยเหตุที่มันคือรัศมีใสสกาวที่ก่อกำเนิดจากอำนาจแห่งความกรุณาของพระรัตนสัมภวพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านจึงควรปรารถนาถึงมัน
 
" จงอย่าพึงใจในแสงสีครามนวลแห่งมนุษย์ภูมิ อันเป็นลำแสงเชื้อเชิญจากอำนาจใฝ่ต่ำ อันสั่งสมจากอวิชชาภายในตัวท่าน ถ้าท่านรักใคร่ ยินดีในมัน ท่านจะพลัดตกสู่มนุษย์ภูมิและต้องประสบภัย ชาติ ชรา มรณะ และทุกข์นานาประการอีกและย่อมไม่อาจหนีจากสังสารวัฏได้ สิ่งนี้นับเป็นเครื่องกีดขวางหนทางสู่วิมุตติสุข ดังนั้นจงอย่างเพ่งมองมัน ทว่าจงละทิ้งความโง่งม ละทิ้งความคิดใฝ่ต่ำ อย่าทำความสนใจ อย่าลุ่มหลง เพ่งสมาธิไปที่แสงนวลกระจ่างอันเจิดจรัส และท่องบทสวดอันก่อแรงบันดาลใจ ด้วยจิตแน่วแน่เป็นหนึ่งเดียว ต่อองค์รัตนสัมภาวพุทธ
 
 
เมื่อเร่ร่อนผ่านอวิชชาอันแรงกล้า ข้าท่องอยู่ในสังสารวัฏ
โดยหนทางอันกระจ่างสุกใสแห่งองค์ของความเท่าเทียม
ขอให้องค์รัตนสัมภวพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
ศักติของพระองค์นามมามากิ เบื้องหลัง
นำข้า ฯ ผ่านเส้นทางอันตรายในบาร์โด
และนำเข้าสู่ภาวะสุขสมบูรณ์แห่งพุทธะ"
 
 
 
โดยการท่องมนต์เพื่อขอแรงบันดาลใจนี้ด้วยศรัทธาแรงกล้า เขาผู้นั้นย่อมถูกกลืนหายเข้าไปในลำแสงสีรุ้งจากหทัยของพระรัตนสัมภวะผู้ศักดิ์สิทธิ์ และเหล่าศักติของพระองค์ และกลายร่างเป็นสัมโภคกายพุทธ ประจำทักษิณภูมิ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version