Long Live Love อัปลักษณ์และงดงามที่เกิดจาก ‘ความรัก’
•
Long Live Love (ลอง ลีฟ เลิฟว์) ผลงานกำกับของ มุก—ปิยะกานต์ บุตรประเสริฐ เจ้าของผลงานซิตคอมในดวงใจของใครหลายคนอย่าง เนื้อคู่ประตูถัดไป และเนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร บันทึกเรื่องราวความรักของสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ใกล้จะ ‘พังแหล่ไม่พังแหล่’ แต่ดันมีอุบัติเหตุที่จะพาพวกเขาและผู้ชมไปทบทวนแง่มุมต่างๆ ของความรักกันอีกครั้ง
หากใครเคยเป็นแฟนตัวยงของซิตคอมอารมณ์ดี เนื้อคู่ประตูถัดไป และ เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร มาก่อน การมาถึงของภาพยนตร์ Long Live Love (ลอง ลีฟ เลิฟว์) ผลงานกำกับของ มุก—ปิยะกานต์ บุตรประเสริฐ อาจเรียกความตื่นเต้นและจูงมือให้คุณซื้อตั๋วเข้าชมภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอได้ไม่ยาก
แต่หากคุณไม่เคยเป็นแฟนของซิตคอมเรื่องดังกล่าวมาก่อนเลย ลอง ลีฟ เลิฟว์ ก็ถือเป็นภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องที่ใครๆ ก็น่าจะอินตามไปด้วยได้ นั่นก็เพราะมันพูดถึง “ความรัก” ทั้งในแง่งามและไม่งาม ทั้งในมุมที่เราอยากเห็นและไม่อยากเห็น ห่อเอาไว้ด้วยมุกตลกที่จะบุกมาจั๊กจี้ให้เราขำอยู่เรื่อยๆ
ลอง ลีฟ เลิฟว์ คือบันทึกเรื่องราวความรักอันระหกระเหินของ สติ (แสดงโดย ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) และ เมตตา (แสดงโดย ชมพู่—อารยา เอ. ฮาร์เก็ต) คู่สามีภรรยาที่เคียงข้างกันมาจนมีลูกสาววัยรุ่นหนึ่งคนคือ นะโม (แสดงโดยรีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง)
แม้ทั้งคู่จะมีโซ่ทองคล้องใจ แต่ภาพยนตร์ก็แสดงให้เราเห็นตั้งแต่เปิดเรื่องว่า ความรักของพวกเขาดำเนินมาจนถึงจุดที่จะ ‘พังแหล่ไม่พังแหล่’ เหมือนท่อประปาที่ปริแตกจนน้ำไหลทะลัก ทว่า อุบัติเหตุรถยนต์ที่ทำให้ ‘สติ’ เกิดภาวะความจำเสื่อม ก็เข้ามาหยุดความพังที่ว่าไว้ก่อน เหมือนใครสักคนเอื้อมมือมาแปะสก็อตช์เทปกันน้ำเพียงชั่วครู่
ผู้ชมจะได้ตามหาความจริงไปพร้อมกับสติว่า ในเส้นทางความรักที่ผ่านมา เขาเป็นใคร เกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่ ความรักจึงใกล้ถึงเวลาขาดสะบั้น และยิ่งภาพยนตร์ดำเนินไปเรื่อยๆ เท่าไร เราก็จะยิ่งได้พบว่า อาการ ‘เหม็นขี้หน้า’ ของสองสามีภรรยาคู่นี้นั้นทั้งเรื้อรังและรุงรัง แต่ก็ไม่ได้ ‘เกินไป’ จากสิ่งที่เราได้พบในชีวิตจริงแต่อย่างใด
อาจเป็นพรหรือคำสาปก็ไม่แน่ชัด แต่สติได้วิธีพิเศษในการทวงคืนความจำ ด้วยการที่เขาต้องย้อน ‘ถ่ายรูป’ ตามภาพถ่ายต่างๆ ในชีวิต เพื่อที่จะได้ย้อนกลับไปจ้องมองช่วงเวลาในภาพถ่ายเหล่านั้น ภาพถ่ายแต่ละภาพทำงานคล้ายกับความทรงจำในชีวิตของเรา แม้ภาพหนึ่งภาพจะปรากฏให้เห็นเพียงใบหน้า สีหน้า และสายตาอันหยุดนิ่งของผู้คนในภาพ แต่เบื้องหลังของมันกลับอัดแน่นไปด้วยเรื่องราว ซึ่งโดยมากภาพทรงจำของสติและเมตตานั้นก็ออกจะคุกรุ่นไปด้วยเรื่องราวเสียดใจ
หากไม่นับคำวิจารณ์อันล้นหลามต่อประเด็นสังคมการเมืองของนักแสดงนำทั้งคู่ คงต้องบอกว่า ฝีมือการแสดงของชมพู่นั้นอยู่ในระดับ ‘เอาอยู่’ มากทีเดียว เมตตาผ่านฝีมือของเธอ คือผู้หญิงวัยกลางคนที่เริ่มมีร่องรอยตามวัย และยิ่งไปกว่านั้นคือร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยและชาชินที่ปรากฏอยู่ในทุกอณู ภาพยนตร์ฉายให้เราเห็นบรรดาความรู้สึก ‘ไม่ปลอดภัย’ ความประหวั่นพรั่นพรึง ที่ผู้หญิงหลายคนมักเจอเมื่อความรักดำเนินมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ความ ‘เกเร’ ของสามี แก๊งเพื่อนตัวดีที่จะพาสามีออกนอกลู่นอกทาง การโกหกปิดบัง การนอกกายนอกใจ และอะไรต่างๆ นานาที่เราพอจะจินตนาการได้ไม่ยาก
ในคราบของความตลก ทั้งหมดนั่นในชีวิตจริงคือเรื่องที่เราล้วน ‘ตลกไม่ออก’ เมื่อได้เจอ และเป็นตลกแบบที่ทำให้ใครสักคนอาจโกรธผึงทันทีหากใครหยิบมันมา ‘เมคฟัน’ การที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ห่อเรื่องราวหนักอึ้งไว้ภายใต้มุกตลกเสียดแทงมันจึงเหมือนการยั่วล้อที่น่าจะกระเทือนใครหลายคนอย่างเจ้าเล่ห์ และพร้อมกันนั้น มันก็ฉายให้เห็นด้านที่ไม่ตลกไปพร้อมกันด้วย
การที่ภาพยนตร์ดำเนินเรื่องผ่านความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อ อาจเป็นความท้าทายที่จะทำให้คนดูรู้สึก ‘อิน’ ตามอยู่บ้าง เพราะเราต่างเป็นผู้ชมที่ไม่ได้มองเห็นความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม ในฉากหนึ่งที่คู่สามีภรรยาทะเลาะกันอย่างรุนแรง ทั้งสองสาดอารมณ์และเปิดเปลือยหัวใจที่ทรมาน ซึ่งนักแสดงและผู้กำกับก็ทำออกมาทรงพลังไม่น้อย เพราะมันคือการย้ำกับเราว่า ส่วนหนึ่งของความรักอาจประกอบไปด้วยความแตกสลาย ภาพยนตร์ทำให้เราเห็นหน้าตาความ ‘อัปลักษณ์’ ที่เกิดจากความรัก และเป็นอัปลักษณ์ที่มีอยู่จริง
นอกจากการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของสามีภรรยาแล้ว อีกส่วนที่ประคับประคองภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้คือบรรดาตัวละครคนรอบตัว ทั้ง ปีเตอร์—นพชัย ชัยนาม ที่มารับบทเป็นแก๊งเพื่อนของสติ ป๋อมแป๋ม นิติ ชัยชิตาทร ที่รับบทเป็น ‘พี่ชาย’ ของสติ และเป็นตัวละครสำคัญในการไกล่เกลี่ยประคับประคองครอบครัวนี้ไว้ ตัวละครเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเหล่ามนุษย์เพื่อนและครอบครัวในชีวิตจริงของเรา ที่ต้องมาพัวพันไปกับความสัมพันธ์อย่างช่วยไม่ได้ และแม้พวกเขาจะไม่ใช่ตัวละครหลัก แต่กลับสำคัญ และมีผลกับชีวิตของเราไม่มากก็น้อย
ตั้งแต่ต้นยันจบที่เล่ามา ผู้อ่านอาจสงสัยว่า ‘ไหนเล่า แง่งามของความรักที่ว่า?’ ในส่วนนี้คงไม่ต้องกล่าวถึงให้มากความ เพราะเราต่างรู้กันดีว่า ไม่ว่าจะเป็นความอัปลักษณ์ ซากปรักหักพัง หรือการที่ความรักดำเนินมาถึงจุดที่ขาดสะบั้น รากลึกของมันล้วนเกิดมาจากความรักที่เคยงดงาม ไม่เช่นนั้น มันจะทำร้ายเราได้หรือ ไม่เช่นนั้นมันจะอัปลักษณ์ได้ถึงขนาดนี้หรือ
เอาเป็นว่า หากใครยังไม่เห็นภาพ ก็ลองให้ภาพยนตร์ลอง ลีฟ เลิฟว์ เล่าให้ฟังได้ตั้งแต่วันนี้ ในโรงภาพยนตร์ทั่วไป
https://www.youtube.com/v//-tQ9_GkHV8Q จาก
https://plus.thairath.co.th/topic/subculture/103412