Black Panther: Wakanda Forever ในโลกที่ฉันเกลียดเธอ เธอเลวกว่าฉัน และเราต่างเชื่อกันว่าตัวเอง ‘ถูก’ เสมอSummary
• หากมีโอกาส เราจะ ‘ฆ่า’ คนที่เราเกลียดเข้าไส้ หรือคนที่เราคิดว่าสร้างความเลวร้ายกับสังคม ให้ตายดับไปตรงหน้าไหม? – การดูหนังจากค่ายมาร์เวลเรื่องล่าสุดอย่าง Black Panther: Wakanda Forever อาจทำให้เราคิดถึงคำถามทำนองนี้ขึ้นมาในหัวอย่างช่วยไม่ได้
• เนื่องด้วยมันเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ภาคต่อ ที่เล่าถึงการเดินหน้าห้ำหั่นแก้แค้นกันไปมาระหว่างสองอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) อย่าง วาคานดา และ ทาโลคาน ภายใต้การนำของ องค์หญิงชูรี และกษัตริย์เนมอร์
• Black Panther: Wakanda Forever อาจเป็นหนังมาร์เวลที่ค่อนข้าง ‘น่าเบื่อ’ สำหรับผู้ชมบางกลุ่ม แต่สิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าน่าปรบมือให้กับหนังเรื่องนี้ ก็คือ ความพยายามที่จะชี้ชวนให้ผู้ชมร่วมอภิปรายถึง ‘ความดี-ความชั่ว’ ภายในตัวมนุษย์คนหนึ่งๆ แล้วค่อยๆ พลิกสำรวจพวกมันดูทีละด้านสองด้าน
หมายเหตุ : บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาหลายส่วนของหนัง
หากมีโอกาส เราจะ ‘ฆ่า’ คนที่เราเกลียดเข้าไส้ หรือคนที่เราคิดว่าสร้างความเลวร้ายกับสังคม ให้ตายดับไปตรงหน้าไหม?
การดูหนังจากค่ายมาร์เวลเรื่องล่าสุดอย่าง Black Panther: Wakanda Forever อาจทำให้เราคิดถึงคำถามทำนองนี้ขึ้นมาในหัวอย่างช่วยไม่ได้
https://www.youtube.com/v//_Z3QKkl1WyM https://youtu.be/_Z3QKkl1WyMเนื่องด้วยมันเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ภาคต่อ ที่เล่าถึงการเดินหน้าห้ำหั่นแก้แค้นกันไปมาระหว่างสองอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) อย่าง วาคานดา และ ทาโลคาน ภายใต้การนำของ องค์หญิงชูรี (รับบทโดย เลทิเทีย ไรต์) และ กษัตริย์เนมอร์ (เตนอช เวร์ตา) ซึ่งต่างเป็นผู้นำของทั้งสองดินแดนที่ต้องถูกซุกซ่อนให้รอดพ้นจากการเข้าถึงของโลกภายนอก (วาคานดาอยู่บนแผ่นดินที่ต้องใช้เทคโนโลยีพรางทั้งประเทศไว้ ส่วนทาโลคานก็ตั้งรกรากอยู่ใต้ทะเลลึก) เนื่องจากพวกเขาล้วนถือครองทรัพยากรอันทรงอานุภาพอย่างแร่ไวเบรเนียมเอาไว้ในมือ
โดยความแค้นที่ก่อเกิดเป็นความขัดแย้งนี้ เริ่มต้นมาจากการที่ประเทศอื่นๆ ของโลกภายนอกพยายามแสวงหาไวเบรเนียมที่วาคานดาถือครองไว้ หลังการจากไปของ กษัตริย์ทีชัลลา (แชดวิก โบสแมน ผู้ล่วงลับ) แต่พวกเขากลับไปพบเข้ากับไวเบรเนียมของทาโลคานที่บริเวณใต้มหาสมุทรแทน จนทำให้กษัตริย์เนมอร์และชนเผ่ามนุษย์เงือกร่างฟ้าของเขาโกรธเกรี้ยว ก่อนเข้าบุกคร่าชีวิต และทำลายเรือของมนุษย์ผืนโลกจนยับเยิน พร้อมกับมีเป้าหมายว่าจะต้องควานหาตัว ‘นักวิทยาศาสตร์ปริศนา’ ที่สร้างเครื่องค้นหาไวเบรเนียมในเหตุการณ์นี้มาสังหารให้จงได้
อย่างไรก็ดี ความวุ่นวายก็ตามมา เมื่อประเทศโลกภายนอกที่ถูกโจมตี กลับมองว่า ความสูญเสียนี้เป็นฝีมือของชาววาคานดา ที่ต้องการฮุบไวเบรเนียมไว้แต่เพียงผู้เดียว โดยไม่แบ่งปันทรัพยากรนี้มาสู่โลก (เพราะวาคานดาเกรงว่า หากแร่นี้ตกอยู่ในมือมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว มันก็อาจสร้างอันตรายอันใหญ่หลวงได้) ตามด้วยการที่เนมอร์ลักลอบบุกมาหา ราชินีรามอนดา (แองเจลา บาสเซตต์) และองค์หญิงชูรีถึงวาคานดาในค่ำคืนหนึ่ง เพื่อบีบให้อาณาจักรของพวกเธอร่วมมือกับพวกเขา ในการค้นหานักวิทยาศาสตร์ตัวอันตราย ก่อนจะลุกลามไปถึงการโน้มน้าวให้พวกเธอร่วมเปิดศึกสงครามกับโลกภายนอกที่เนมอร์จงเกลียดจงชังมาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก
แต่เมื่อชูรีได้พบว่า นักวิทยาศาสตร์ที่พวกทาโลคานต้องการสังหารทิ้งนั้น เป็นเพียงเด็กสาวนักศึกษาวัยสิบเก้าจาก MIT ที่ชื่อ รีรี (โดมินิก ธอร์น) เธอ -ผู้ที่ในเวลาต่อมาก็ถูกจับตัวมายังทาโลคานพร้อมกับนักศึกษาสาวอัจฉริยะ- จึงพยายามต่อรองกับเนมอร์ว่า ให้ไว้ชีวิตเด็กคนนี้ และชาววาคานดาจะคอยดูแลเธอไม่ให้โลกภายนอกสามารถใช้ประโยชน์จากความอัจฉริยะของเธอผ่านการประดิษฐ์เครื่องค้นหาไวเบรเนียมได้อีก แต่เนมอร์กลับไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม จนกระทั่งการบุกเข้ามาช่วยชูรี และรีรี โดยอดีตสายลับมือหนึ่งของวาคานดาอย่าง นาเคีย (ลูปิตา ยองโก นักแสดงรางวัลออสการ์จาก 12 Years a Slave) ได้ทำให้หญิงชนเผ่าคนหนึ่งของเนมอร์ต้องจบชีวิตลง มันจึงยิ่งสร้างเพลิงแค้นให้กับเขาเป็นทวีคูณ
เนมอร์บุกเข้าไปล้างแค้นที่วาคานดา ระเบิดทำลายบ้านเมือง และคร่าชีวิตผู้คน รวมถึงทำให้ราชินีรามอนดาต้องยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยรีรีให้พ้นภัย ซึ่งก็แน่นอนว่ามันทำให้ชูรีกลายเป็นองค์หญิงผู้เกรี้ยวกราด ที่สามารถทำทุกอย่างได้เพื่อการแก้แค้น ทั้งการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ สำหรับการต่อสู้เพื่อรับมือกับพลังเหนือมนุษย์ของเนมอร์, การฟื้นคืนพลังลึกลับที่เคยได้มาจากสมุนไพรมหัศจรรย์ของบรรพบุรุษเพื่อทำให้ตัวเธอเองกลายเป็น แบล็ก แพนเธอร์ คนใหม่ รวมทั้งการพากองทัพวาคานดาบุกไปเอาคืนกองกำลังของทาโลคานถึงถิ่น ซึ่งเป็นการทำสงครามเพื่อหมายจะเด็ดหัวเนมอร์ให้ตายตกไปตามมารดาของเธอ
จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ เราจะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งแต่ละครั้งระหว่างสองอาณาจักรที่ทำให้มีคนต้องล้มตายนั้น ล้วนเป็นผลมาจาก ‘ความแค้น’ อย่างไม่ลืมหูลืมตา และ ‘การไม่ยอมลดราวาศอก’ ให้แก่กันของทั้งเนมอร์ และชูรี จนไม่อาจสร้างทางเลือกใหม่ๆ ที่น่าจะปราศจากความสูญเสียดังเช่นที่เป็นอยู่ได้
เราจะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งแต่ละครั้งระหว่างสองอาณาจักรที่ทำให้มีคนต้องล้มตายนั้น ล้วนเป็นผลมาจาก ‘ความแค้น’ อย่างไม่ลืมหูลืมตา และ ‘การไม่ยอมลดราวาศอก’ ให้แก่กันของทั้งเนมอร์ และชูรี จนไม่อาจสร้างทางเลือกใหม่ๆ ที่น่าจะปราศจากความสูญเสียดังเช่นที่เป็นอยู่ได้เพราะแม้ในช่วงแรกๆ ชูรีจะพยายามยื่นข้อเสนออื่นๆ ให้แก่เนมอร์เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะอยู่บ้าง แต่ด้วยความดื้อรั้นที่จะบรรลุเป้าหมายให้ได้ และความเกลียดชังที่มีต่อมนุษย์บนผืนโลก รวมถึงความเคียดแค้นที่ต้องสูญเสียพลเมืองไปของกษัตริย์จากใต้ท้องทะเลลึกผู้นี้ ที่สุดท้ายก็นำไปสู่ความตายของราชินีแห่งวาคานดา ก็ทำให้ชูรีระเบิดพลังงานด้านลบที่คุกรุ่นอยู่ภายในตัวเองออกมา หลังจากต้องเก็บงำความทุกข์ตรมจากความตายของพี่ชายอย่างกษัตริย์ทีชัลลามาเป็นแรมปี
เธอเลิกคิดที่จะประนีประนอม และพร้อมที่จะก่อสงครามเพื่อทำลายล้างอาณาจักรทาโลคานให้สิ้นซาก
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เธอปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะ ‘ฆ่า’ เนมอร์ ผู้มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงต่อการเสียชีวิตของมารดา และทำให้ต้องสยบยอมด้วยท่าทีทุกข์ทรมาน ก่อนที่จะสิ้นใจตายไปต่อหน้าเธอ
ในวันที่ความโกรธเกลียดเข้าครอบงำจิตใจ เราอาจมองคนที่เราเคียดแค้นด้วยความรู้สึก “อยากจะฆ่าให้ตายๆ ไปเสีย” ซึ่งไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะนำเราไปสู่การกระทำจริงๆ หรือไม่ แต่ทันทีที่เราเกิดความคิดว่าอยากทำร้ายทำลายใครสักคนให้ตายดับขึ้นมา นั่นก็น่าจะแปลว่า เราได้ปล่อยให้ ‘อารมณ์’ นำหน้า ‘สติ’ ไปแล้วเรียบร้อย
และเราก็อาจไม่ได้เลวร้ายน้อยไปกว่าคนที่เราเกลียดชังสักเท่าไรดังเช่นที่ทั้งเนมอร์และชูรีหลงคิดไปว่า สงครามที่พวกเขากำลังก่อนั้น เป็นไปเพื่อการปกป้องอาณาจักร และพลเมืองของตน ทั้งที่ความจริงแล้ว มันเป็นผลมาจาก ‘ความแค้น’ และ ‘อคติ’ ภายในใจของตัวเอง
ทั้งเนมอร์ที่เกลียดชังมนุษย์และโกรธขึ้ง เพราะต้องสูญเสียพลเมืองไป และชูรีที่คั่งแค้น เมื่อต้องทนเห็นความสงบสุขของบ้านเมืองและชีวิตของมารดา ถูกพรากทำลายไปในพริบตา
Black Panther: Wakanda Forever อาจเป็นหนังมาร์เวลที่ค่อนข้าง ‘น่าเบื่อ’ สำหรับผู้ชมบางกลุ่ม ด้วยค่าที่มันมีแต่ตัวละครหญิงผิวดำออกมาพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองความรู้สึกที่มีต่อชีวิตและโลก หรือมีฉากการปะทะต่อสู้ที่ไม่ได้ดุเดือดเร้าใจเท่าที่พวกเขาวาดหวังไว้
แต่สิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าน่าปรบมือให้กับหนังเรื่องนี้ ก็คือ ความพยายามที่จะชี้ชวนให้ผู้ชมร่วมอภิปรายถึง ‘ความดี-ความชั่ว’ ภายในตัวมนุษย์คนหนึ่งๆ แล้วค่อยๆ พลิกสำรวจพวกมันดูทีละด้านสองด้าน
ทั้งนี้ก็เพื่อคลี่แผ่ให้เห็นว่า ในตัวตนของคนที่เราหยามเหยียดว่า ‘ชั่วช้า’ อาจมีบางสิ่งที่ ‘ดีงาม’ ซุกซ่อนไว้ และในตัวตนของคนที่เราเชิดชูว่า ‘ดีงาม’ ก็อาจมีบางอย่างที่ ‘ชั่วช้า’ เจือปนอยู่ได้เช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าน่าปรบมือให้กับหนังเรื่องนี้ ก็คือ ความพยายามที่จะชี้ชวนให้ผู้ชมร่วมอภิปรายถึง ‘ความดี-ความชั่ว’ ภายในตัวมนุษย์คนหนึ่งๆ [...] เพื่อคลี่แผ่ให้เห็นว่า ในตัวตนของคนที่เราหยามเหยียดว่า ‘ชั่วช้า’ อาจมีบางสิ่งที่ ‘ดีงาม’ ซุกซ่อนไว้ และในตัวตนของคนที่เราเชิดชูว่า ‘ดีงาม’ ก็อาจมีบางอย่างที่ ‘ชั่วช้า’ เจือปนอยู่ได้เช่นกันแต่เพียงเพราะเราเกลียดเขา เราจึงมองว่าเขาเลวกว่าเรา และเชื่อว่าตัวเราต่างหากที่เป็นฝ่าย ‘ถูกต้อง’ ในความขัดแย้งนั้นๆ – ซึ่งหากเราเท่าทันความคิดของตัวเอง และรู้จักยอมรับว่า บางสิ่งที่เราคิดหรือเชื่อเสมอมา อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เราก็น่าจะได้ ‘ค้นพบ’ อะไรอีกหลายอย่าง
เช่น ค้นพบว่า เราอาจมีความเกลียดชังเกิดขึ้นได้เสมอ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ไม่จีรังพอๆ กับ ‘ความรัก’ นั่นแหละ
ค้นพบว่า เราอาจทำตัวเลวร้ายได้เหมือนกัน เมื่อถึงวันที่ต้องเอาตัวรอด หรือต้องทำบางอย่างเพื่อคนที่เรารัก
และก็ค้นพบว่า เราอาจไม่ใช่คนที่ ‘ถูก’ ไปเสียหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะกับข้อถกเถียงและความขัดแย้งต่างๆ เพราะมนุษย์และสังคมโลกนั้นซับซ้อนกว่าที่เราคิดและเชื่อเสมอ
แน่นอนว่า ในช่วงชีวิตนี้ มนุษย์อย่างเราคงไม่อาจหลีกเลี่ยงความหลงผิดคิดไปเองเหล่านี้ได้ แต่สิ่งที่เราพอจะทำได้บ้าง ก็คือการ ‘มีหวัง’ กับตัวเองและคนอื่นๆ ว่า พวกเราจะสามารถรู้เท่าทันและเข้าใจความโกรธเกลียดเคียดแค้น -แบบเดียวกับของชูรีหรือเนมอร์- ที่มีอยู่ภายในตัวเราได้บ้าง ณ ห้วงเวลาที่ความรู้สึกขุ่นข้องหมองมัวจนอยาก “ฆ่าแม่งให้ตาย” เริ่มเข้าครอบงำจิตใจของเรา
เพื่อที่เราจะไม่ต้องไปทำร้ายทำลายใคร เพียงเพราะคิดเหมาเอาเองว่า ‘พวกเรา’ มีสิทธิ์โดยชอบธรรมในการกระทำความรุนแรงต่อ ‘พวกมัน’ ที่เรามองว่าน่ารังเกียจ
หรือเพียงเพราะคิดเหมาเอาเองว่า ตัวเองถูก-คนอื่นผิด, ตัวเองดี-คนอื่นเลว อยู่ร่ำไปในทุกกรณี
เพราะความเชื่อมั่นเช่นนั้น ไม่อาจนำพาเราไปสู่ความดีงามได้เลย นอกจากความขัดแย้งและความสูญเสียที่ไม่มีวันจบสิ้นจาก
https://plus.thairath.co.th/topic/subculture/102411