จิตคือพุทธะ ตอน จิตที่ไปรู้นิพพาน จิตนี้คือพุทธะโยนิอันบริสุทธิ์ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน
สัตว์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิด กระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี
พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี
ล้วนแต่เป็นของแห่งธรรมชาติอันหนึ่งนี้เท่านั้น ไม่มีแตกต่างกันเลย
ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิดๆเท่านั้น
ย่อมนำเราไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิดไม่มีหยุด
ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิมของเรานั้น
โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว
เป็นสิ่งซึ่งไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว
สิ่งนั่นก็คือความว่าง
เป็นสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่ทุกแห่งซึ่งสงบเงียบและไม่มีอะไรเจือปน
มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง
จงเข้าไปสู่สิ่งสิ่งนี้โดยลึกซึ้ง โดยการลืมตาต่อสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรานี่แหละ คือสิ่ง สิ่งนั้น ในอัตราที่เต็มที่ทั้งหมดทั้งสิ้น
และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรนอกไปจากนี้อีกแล้ว
จิตก็คือพุทธะ (สิ่งสูงสุด) มันย่อมรวมสิ่งทุกสิ่งเข้าไว้ในตัวมันทั้งหมด
นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วทั้งหลาย เป็นที่สุดในเบื้องสูง
ลงไปกระทั้งจนถึงสัตว์ที่ต่ำต้อยที่สุด
ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานอยู่ด้วยอกและแมลงต่างๆ เป็นที่สุดในเบื้องต่ำ
สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่งนั้นย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะเท่ากันหมด
และทุกๆสิ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกับจิตหนึ่งนั้น
ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงได้เป็นสิ่งที่มีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกับพุทธะอยู่แล้วตลอดเวลา
ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทำความเข้าใจในจิตของเรานี้ให้สำเร็จ
และค้นพบธรรมชาติอันแท้จริงของเราเองได้ ด้วยความเข้าใจอันนั้นเท่านั้น
มันก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่พวกเราจำเป็นจะต้องแสวงหาแม้แต่อย่างใดเลย
จิตของเรานั้นถ้าเราทำความสงบอยู่จริงๆ
เว้นขาดจากการคิดนึกซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิตแม้แต่น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ
ตัวแท้ของจิตก็จะปรากฏออกมาเป็นความว่าง แล้วเราก็จะพบว่ามันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป
มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรที่ไหนๆแม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่า
เป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือว่าไม่มีความเป็นอยู่แม้แต่ประการใดเลย
เพราะเหตุที่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอาตยนะ
เพราะจิตที่เป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มันเป็นครรภ์หรือเป็นกำเนิด
ซึ่งไม่ได้มีใครทำให้เกิดขึ้น และไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย
ในการทำปฏิกริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆนั้น
มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาจากปรากฎการณ์ต่างๆ
ซึ่งสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา
แต่ในขณะที่มันไม่ได้ทำการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม
คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่คิดนึงหรือสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมานั้น
มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึงในการที่จะบัญญัติว่า
มันเป็นความมีอยู่ หรือไม่ใช่ความมีอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นอีก แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา
ในฐานะของกฏแห่งการตอบสนองของเหตุและผลของกันและกันนั้น
มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้
โดยทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวารอยู่นั่นเอง
ถ้าเราทราบความเป็นจริงข้อนี้ เราทำความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะแห่ง
ความไม่มีอะไรในขณะนั้น
พวกเรากำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง
ดังนั้น เราควรเจริญจิตให้อยู่หยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
มูลธาตุทั้งห้าซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้น มันเป็นของว่างเปล่า
แต่ละมูลธาตุทั้งสี่ของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นรูปกายนั้น
ไม่ใช่เป็นสิ่งทีประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเรา
จิตจริงแท้นั้นไม่มีรูปร่างและไม่มีอาการมา อาการไป
ธรรมชาติเดิมแท้ของเรานั้นเป็นสิ่งสิ่งหนึ่ง
ซึ่งไม่มีการตั้งต้นขึ้นที่การเกิด และไม่มีการสิ้นสุดลงที่การตาย
แต่เป็นของสิ่งเดียวรวดและปราศจากเคลื่อนไหวใดๆ
ในส่วนลึกจริงๆของมันทั้งหมด
จิตของเรากับสิ่งต่างๆซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้น เป็นสิ่งสิ่งเดียวกัน
ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ตามนี้จริงๆ
เราจะได้ลุถึงความรู้แจ้งเห็นแจ้งได้โดยแว๊บเดียวในขณะนั้น
และเราเป็นผู้ไม่ต้องข้องเกี่ยวในโลกทั้งสามอีกต่อไป
เราจะเป็นผู้อยู่เหนือโลก จะไม่มีการโน้มเอียงไปสู่การเกิดใหม่อีก
แม้แต่นิดเดียว เราจะเป็นแต่ตัวของเราเองเท่านั้น
ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง
และเป็นสิ่งสิ่งเดียวกับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น และเราจะได้ลุถึงภาวะแห่ง
ความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป
ฉะนั้นนี่แหละคือหลักธรรมะ นี่เป็นหลักมูลฐานอยู่ในที่นี้
สัมมาสัมโพธิเป็นชื่อของการเห็นแจ้งชัดว่า ไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ
ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว ของหลอกลวงทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา
ปรัชญาก็คือความรู้แจ้ง ความรู้แจ้งคือจิตต้นกำเนิดดั้งเดิมซึ่งปราศจากรูป
ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ
คือจิตและวัตถุเป็นของสิ่งเดียวกันนั่นแหละ
จะนำเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้งและลึกลับเหนือคำพูด
และโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเราจะได้ลืมตาต่อสัจธรรมที่แท้จริงด้วยตัวเราเอง
สัจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น มันไม่ได้หายไปจากเราแม้ในขณะที่เรากำลังหลงผิดอยู่ด้วยอวิชชา
และไม่ได้รับกลับมาในขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็นธรรมชาติแห่งภูตตถาตา
ในธรรมชาตินี้ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิฐิ
มันเต็มอยู่ในความว่างและเป็นเนื้อหาอันแท้จริงของจิตหนึ่งนั้น
เมื่อเป็นดังนั้นแล้วอารมณ์ต่างๆของเราที่จิตได้สร้างขึ้นทั้งฝ่ายธรรมและฝ่ายรูปธรรม
จะเป็นซึ่งอยู่ภายนอกของความว่างนั่นได้อย่างไร
โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั่นเป็น สิ่งซึ่งปราศจากมิติต่างๆแห่งการกินเนื้อที่
คือปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม ปราศจากอวิชชา และปราศจากสัมมาทิฐิ
พวกเราต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า
โดยแท้จริงแล้วไม่มีอะไรเลย
ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธะทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนี้ ไม่มีอะไรบรรจุอยู่
แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งซึ่งจะมองเห็นได้โดยทางมิติ หรือกฏแห่งการกินเนื้อที่เลย
มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ต้องติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิ
เป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้โดยตัวมันเอง และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น
มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริงๆ
เราต้องแยกรูปถอด ด้วยวิชามรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ
ใช้ หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด
สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาลมีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมี
รูปกับนาม สองอย่างเท่านั้น
นามเดิมก็คือจักรวาลเข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิดตัว
อวิชา เกิดเหตุก่อ
ที่ใดมีรูป ที่นั่นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั่นต้องมีรูป
รูปนามรวมกันเป็นเหตุเกิดปฏิกริยาให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาลและเกิดกาลเวลาขึ้น
คือรูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน
จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหวและหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย
รูปเคลื่อนไหวได้เพราะมีนาม ความว่างคั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้
เมื่อสภาวะธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุสสาร ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต
จึงต้องเปลี่ยนแปลงเป็น
ไตรลักษณ์ เกิดดับสืบเนื่องทุกขณะจิต
ไม่มีวันหยุดนิ่งคงทนเป็นปัจจุบันทุกยามได้
จิตวิญญาณก็เกิดมาจากรูปนามของจักรวาล
เพราะเป็นมายาหลอกลวงและเปลี่ยนแปลงให้คนหลง
จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามมีชีวิต
จากรูปนามมีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ
แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกันไป
คงแต่
นาม ว่างที่ปราศจาก
รูป นี่เป็นจุดสุดยอดของ..
การหลอกหลวงของ
รูปนาม ...
หลวงปู่ดูลย์...อัศจรรย์ !!!
บางส่วนของธรรมเทศนาของหลวงปู่
จากหนังสือ จิตคือพุทธะ
หลวงปู่เทศน์ไว้เมื่อ พ.ศ. 2525-2526
-http://cyberwalker.multiply.com/journal/item/170 - http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=512.0