ผู้เขียน หัวข้อ: ชัมบาลา : บทที่ ๙ เฉลิมฉลองการเดินทาง  (อ่าน 69 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



 
 
บทที่ ๙ เฉลิมฉลองการเดินทาง

 
 
" ความเป็นนักรบคือการเดินทางอย่างต่อเนื่อง
การเป็นนักรบคือการเรียนรู้ที่จะเป็นจริงในทุก ๆ
ขณะของชีวิต "



......จุดมุ่งหมายของการเป็นนักรบ ก็คือการสำแดงออกซึ่งความดีงามพื้นฐานอย่างเต็มขีดขั้น อย่างสดฉ่ำและสง่างาม การณ์ทั้งนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อคุณตระหนักได้ว่าคุณมิได้ครอบครองความดีงามพื้นฐานอยู่ แต่ทว่าตัวคุณได้กลายเป็นคนดีงามพื้นฐานเองทีเดียว ดังนั้น การฝึกฝนเพื่อเป็นนักรบก็คือ การเรียนรู้ที่จะพำนักอยู่ในความดีงามพื้นฐาน พำนักอยู่ในสภาวะแห่งความเรียบง่ายอย่างสมบูรณ์ตามแนวทางพุทธ สภาวะนั้นเรียกว่าความไร้ตัวตน(อนัตตา) ความไร้ตัวตนนี้เป็นสิ่งสำคัญมากในหลักคำสอนชัมบาลา คุณไม่มีทางจะเป็นนักรบได้เลย เว้นเสียแต่คุณได้ผ่านประสบการณ์ความไร้ตัวตนมาแล้วเท่านั้น หากปราศจากความไร้ตัวตนแล้ว จิตของคุณจะเป็นไปด้วยอัตตา เต็มไปด้วยแผนการณ์และเรื่องราวส่วนตน แทนที่จะห่วงใยกังวลผู้อื่น คุณกลับอัดแน่นไปด้วยความมีอัตตาของตนเอง สำนวนที่ว่า "อัดแน่นไปด้วยตัวเอง" นี้หมายถึงความยโส และความหลงตัวเองอย่างผิดๆ
 
......ดังที่ได้สาธยายมาแล้วในบทก่อนว่า การตัดทอนคืออุบายในการทำลายความเห็นแก่ตัว ผลของการตัดทอนจะนำคุณเข้าสู่โลกของนักรบอันเป็นโลกซึ่งคุณสามารถมากขึ้น เปิดกว้างต่อผู้อื่น ทว่าก็ยังมีดวงใจเศร้าและโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้นเช่นกัน คุณเริ่มเข้าใจความเป็นนักรบคือหนทางหรือคือเส้นที่ร้อยผ่านตลอดชีวิตของคุณ มันไม่ได้เป็นเพียงแค่วิธีการหรืออุบายบางอย่าง ซึ่งคุณนำมาประยุกต์ใช้เมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือเมื่อยามทุกข์ทนกลัดกลุ้ม ความเป็นนักรบคือการเดินทางอย่างต่อเนื่อง การเป็นนักรบก็คือการเรียนรู้ที่จะเป็นจริงในทุก ๆ ขณะของชีวิต นี่คือวินัยของนักรบ
 
......ทว่าโชคร้ายที่คำว่า "วินัย" ล้วนถูกตีความไปในทางลบ วินัยมักจะประกอบด้วยการลงโทษ รวมถึงการใช้อำนาจ การบีบคั้นและบังคับเอาด้วยกฎเกณฑ์เทียมๆ แต่ในสายวัฒนธรรมชัมบาลาแล้ว วินัยสัมพันธ์กับคำถามที่ว่าเราจะอ่อนโยนและเป็นจริงได้อย่างไร มันเป็นเรื่องของการเอาชนะความเห็นแก่ตัวและเกื้อหนุนความไร้ตัวตนหรือความดีงามพื้นฐานให้เกิดขึ้น ทั้งกับตัวเองและกับผู้อื่น วินัยช่วยชี้ให้คุณแลเห็นว่าจะเดินไปบนเส้นทางของความเป็นนักรบได้อย่างไร มันช่วยนำคุณไปในหนทางนั้น และช่วยบอกว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไรในโลกของนักรบ
 
......วินัยของนักรบนั้นไม่หวั่นไหวคลอนแคลนและแผ่กว้างครอบคลุม ดังนั้นจึงคล้ายกับดวงอาทิตย์ แสงของดวงอาทิตย์ฉานฉายไปทั่ว ณ ที่ใดก็ตามที่อาทิตย์เบิกฟ้า ดวงอาทิตย์ไม่เคยเลือกที่จะส่องแสงบนผืนดินใดโดยเฉพาะและละเลยที่แห่งอื่น แสงอาทิตย์นั้นส่องสว่างฉายฉานไปทั่วทุกแห่งหน ในทำนองเดียวกันนี้ วินัยของนักรบก็ไม่เลือกที่รักมักที่ชังเช่นกัน นักรบไม่เคยทอดทิ้งหรือหลงลืมวินัยของตน ความสำนึกรู้และความอ่อนไหวของเขาแผ่ขยายออกไปอยู่ทุกขณะ แม้ว่าสถานการณ์จะยากลำบากและบีบคั้นยิ่ง แต่นักรบก็ไม่เคยยอมถดถอยเลย เขาดำรงตนไว้ได้อย่างดียิ่ง เต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน ทั้งเขายังคงสัตย์ ซึ่งยังติดกับอยู่ในโลกแห่งอาทิตย์อัสดง ภารกิจของนักรบก็คือการเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความอบอุ่นและความกรุณาต่อผู้อื่น เขากระทำกิจเหล่านี้อย่างไม่เกียจคร้าน วินัยและการอุทิศตนของเขามาถึงจุดที่หนักแน่นไม่สั่นคลอน
 
......เมื่อนักรบได้มีวินัยอันไม่สั่นคลอนแล้ว เขาย่อมเบิกบานในการเดินทาง และมีสุขในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ความเบิกบานนี้เกิดขึ้นตลอดชั่วชีวิตของนักรบ เหตุใดคุณจึงเบิกบานอยู่เสมอ เพราะเหตุว่าคุณได้รับรู้ถึงความดีงามพื้นฐานในตนเอง เพราะเหตุที่คุณไม่มีสิ่งใดจะต้องไปพึ่งพิงและเพราะเหตุที่คุณได้สัมผัสรับรู้ถึงความหมายของการตัดทอน ซึ่งเราได้อภิปรายกันมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ทั้งกายและจิตของคุณจึงประสานกันอยู่ตลอดเวลาและเบิกบานอยู่เสมอเช่นกัน ความเบิกบานนี้คล้ายดังบทเพลงซึ่งขับขานท่วงทำนองของตนเอง การขับขานนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าชีวิตจะยังเต็มไปด้วยการขึ้นและลง นี่คือความหมายของการมีใจเบิกบานอยู่เสมอ
 
......อีกแง่มุมหนึ่งของวินัยนักรบก็คือ มันยังประกอบด้วยญาณกำหนดรู้หรืออุบายปัญญา
ดังนั้นมันจึงเป็นเหมือนกับธนูและศร ลูกศรนั้นแหลมคมและมีพลังทะลุทะลวง แต่การที่จะทำให้มันพุ่งออกไปได้ การที่จะใช้ความแหลมคมนั้น คุณจำเป็นต้องใช้คันธนูด้วย ในทำนองเดียวกันนี้ นักรบนั้นเป็นผู้ที่สงสัยในสิ่งต่าง ๆ และโลกรอบๆตัวอยู่ตลอดเวลา ทว่าเขาจำเป็นต้องมีการกระทำที่แยบยลด้วย เพื่อจะสามารถประยุกต์สติปัญญามาใช้งานได้ เมื่อลูกศรแห่งปัญญาถูกนำมาใช้ร่วมกับคันธนูแห่งอุบายวิธี เมื่อนั้นนักรบก็จะไม่ถูกยั่วยวนให้หลงโดยโลกอาทิตย์อัสดงเลย
 
......แรงยั่วยวนนี้หมายถึงสิ่งใดก็ตามซึ่งช่วยเกื้อหนุนอัตตาและขัดขวางต่อญาณทัศนะอนัตตา รวมถึงความดีงามรากฐาน มีแรงยั่วยวนน้อยใหญ่อยู่หลายประการด้วยกัน คุณอาจจะถูกยั่วยวนด้วยคุกกี้หรือเงินล้าน แต่ด้วยความแหลมคมของลูกศรคุณก็อาจแลเห็นถึงธรรมชาติของอาทิตย์อัสดง และเห็นถึงกิจกรรมอย่างเลวซึ่งเริ่มเกิดขึ้นในตัวคุณก่อน แล้วก็เกิดขึ้นกับโลกทั้งหมด นี่พูดกันอย่างตรงไปตรงมา ครั้นต่อมาในการจะหลีกเลี่ยงจากแรงยั่วยวนได้อย่างแท้จริง คุณจำเป็นต้องใช้คันธนู คุณจำต้องเสริมญาณทัศนะนั้นด้วยอุบายวิธีอันทรงประสิทธิภาพ หลักการของธนูและศรนี้ก็คือการเรียนรู้ที่จะ "ปฏิเสธ" ต่อสิ่งเท็จเทียมทั้งหลาย "ปฏิเสธ" ต่อความเลินเล่อบกพร่องทั้งหลาย ปฏิเสธต่อความหลับใหลในการที่จะกล่าวคำว่า "ไม่" อย่างเหมาะสม คุณจำต้องมีทั้งคันธนูและลูกศร จะต้องกระทำด้วยความอ่อนโยนซึ่งก็คือคันธนู และด้วยความแหลมคมซึ่งก็คือลูกศร การผสานสิ่งทั้งสองเข้าด้วยกัน คุณก็ประจักษ์ได้ว่าคุณอาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนระหว่างความหลงกับการแลเห็นคุณค่า คุณอาจมองดูโลกและแลเห็นถึงวิถีทางการดำเนินไปของสรรพสิ่งต่าง ๆ เมื่อนั้นคุณก็อาจมีชัยเหนือความเชื่อผิด ๆ ของตนเอง ความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าคุณไม่อาจกล่าวคำว่า "ไม่" ไม่อาจกล่าวปฏิเสธต่อโลกอาทิตย์อัสดงหรือกล่าวปฏิเสธต่อตัวเอง เมื่อคุณเริ่มรู้สึกจมลงสู่ความตึงเครียดหรอืดิ่งลงสู่ความหลัง ดังนั้น ธนูและศรจึงเป็นเครื่องมือที่ใช้กำหราบแรงยั่วยวนแห่งโลกอาทิตย์อัสดง
 
.....เมื่อคุณเรียรู้ที่จะมีชัยเหนือแรงยั่วยวน เมื่อนั้นลูกศรแห่งปัญญาและคันธนูแห่งการกระทำย่อมปรากฎขึ้นเป็นความเชื่อมั่นในโลกของคุณ สิ่งนี้จะทำให้เกิดความสงสัยใคร่รู้กว้างไกลออกไป คุณปรารถนาจะแลดูและสำรวจตรวจสอบดูในทุกสถานการณ์ เพื่อว่าคุณจะได้ไม่งมงายอยู่เพียงในความเชื่อเท่านั้น แทนที่จะเป็นดังนั้น คุณกลับต้องการที่จะค้นหาความจริงโดยอาศัยสติปัญญาและความสามารถของตนเอง ความรู้สึกเชื่อมั่นนั้นก็คือเมื่อคุณได้ประยุกต์ความสงสัยใคร่รู้มาใช้ เมื่อคุณได้มองลึกเข้าไปในภาวการณ์ คุณก็รู้ขึ้นว่าคุณจะได้พบคำตอบที่ชัดเจน ถ้าหากว่าคุณกำลังจะเริ่มก่อการอะไรสักอย่าง การกระทำนั้นจะมีผลตามมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม เมื่อคุณยิงธนู ถ้าไม่ถูกเป้าก็ต้องพลาด ความเชื่อมั่นก็คือการระลึกรู้ว่าจะต้องมีข่าวสารเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
 
.....เมื่อคุณเชื่อมั่นในข่าวสารเหล่านั้น ซึ่งก็คือสะท้อนของโลกแห่งปรากฏการณ์ เมื่อนั้นโลกก็จะคล้ายกับธนาคาร หรือเป็นอ่างเก็บน้ำของความเต็มเปี่ยม คุณจะรู้สึกได้ว่าคุณมีชีวิตอยู่ในโลกซึ่งเต็มเปี่ยมยิ่ง เป็นโลกซึ่งไม่เคยขาดแคลนข่าวสารเลย ปัญหาเกิดมีขึ้นเพียงเมื่อคุณพยายามจะเข้าไปบังคับควบคุมสถานการณ์ หรือเพิกเฉยต่อมันด้วยผลได้ส่วนตน เมื่อนั้น คุณก็ได้ละเมิดต่อสายสัมพันธ์อันเชื่อมั่นที่ตนมีต่อโลกแห่งปรากฎการณ์ เมื่อนั้นแหล่งเก็บน้ำก็จะแห้งเหือดไป แต่โดยปกติแล้วคุณจะได้รับข่าวสารเป็นอันดับแรกทีเดียว ถ้าคุณหยิ่งผยองเกินไปก็จะพบว่าตัวเองถูกกดให้ต่ำลงด้วยฟ้าเบื้องบน และถ้าคุณขี้หวั่นวิตกเกินไปคุณก็จะพบว่าตนเองถูกยกให้สูงขึ้นโดยแผ่นดินโลก
 
.....โดยทั่ว ๆ ไปแล้วความเชื่อมั่นในโลกของตนนั้นหมายถึงว่า คุณคาดหวังว่าจะได้รับการคุ้มครองดูแล คุณคิดว่าโลกจะให้ในสิ่งที่คุณต้องการหรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้ในสิ่งที่คุณคาดหวัง แต่ในฐานะของนักรบคุณต้องพร้อมที่จะเสี่ยง คุณต้องพร้อมที่จะเปลือยตัวเองออกสู่โลกแห่งปรากฎการณ์ และคุณก็เชื่อมันว่าคุณจะได้รับข่าวสารจากมัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารแห่งความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม ข่าวสารเหล่านั่นไม่อาจถือเป็นการลงทัณฑ์หรือการฉลองชัย คุณเชื่อมั่น มิใช่ในความสำเร็จ แต่ในความจริงคุณเริ่มตระหนักได้ว่าคุณมักจะล้มเหลวเมื่อการกระทำ และสติปัญญาไม่ได้รับการขัดเกลาหรือขาดความบรรสานสอดคล้อง คุณจะพบอีกว่าคุณมักจะสำเร็จผลเมื่อสติปัญญาและการกระทำสอดคล้องต้องกัน แต่ไม่ว่าผลจากการกระทำจะเป็นเช่นไร ผลลัพธ์นั้นมิใช่บทสรุปในตัวของมั้นเอง คุณอาจขึ้นเหนือผลกรรมนั้นได้เสมอ มันเป็นเสมือนหนึ่งเมล็ดพันธุ์สำหรับการเดินทางสืบต่อไป ดังนี้เอง ความรู้สึกในเรื่องของการรุดไปเบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง และการเฉลิมฉลองการเดินทางจึงเกิดขึ้นจากการขัดเกลาตนเองด้วยวินัยนักรบตามแนวคันธนูและลูกศรนี้
 
......แง่มุมสุดท้ายของวินัยนักรบก็คือสมาธิกำหนดรู้ หลักการของวินัยข้อนี้เกี่ยวพันกับการที่จะดำรงตนอยู่ในโลกของนักรบได้อย่างไร ดวงตะวันอันหนักแน่นแห่งวินัยย่อมเอื้อให้เกิดมรรคาแห่งชีวิตชีวาและความเบิกบานเพื่อให้คุณก้าวเดินไป ในขณะที่หลักการธนูและศรกลายเป็นอาวุธสำหรับพิฆาตแรงยั่วยวน และเจาะผ่านเข้าสู่แหล่งกำเนิดอันเต็มเปี่ยมในโลกแห่งปรากฎการณ์ แต่หลักการเหล่านี้ไม่อาจบรรลุถึงความสมบูรณ์ในตัวเองได้ นอกจากว่านักรบจะมีจุดยืนอันมั่นคงหรือมีความรู้สึกถึงการดำรงอยู่ในโลกของเขาเอง สมาธิกำหนดรู้ย่อมช่วยให้นักรบตั้งมั่นอยู่ ณ จุดยืนอันนี้ มันแสดงให้เห็นว่าจะแสวงหาสมดุลได้อย่างไรในยามที่พลาดพลั้ง มันบอกเขาว่าจะใข้ข่าวสารในโลกแห่งปรากฏการณ์เพื่อผลักดันการขัดเกลาตนเองสืบไปเบื้องหน้าได้อย่างไร แทนที่จะเลอะเลือนแฉไฉออกนอกทางหรือถูกกลืนกลบอยู่ด้วยผลสะท้อนอันนั้น
 
......หลักการของสมาธิกำหนดรู้ย่อมคล้ายกับเสียงสะท้อนซึ่งดำรงอยู่ในโลกของนักรบ เสียงสะท้อนนี้รับรู้ได้เป็นครั้งแรกในการปฏิบัติสมาธิ ในขณะที่ความคิดของคุณร่อนเร่เข้ามาในภวังค์สมาธิหรือในขณะที่คุณ "จมอยู่ในความคิด" เสียงสะท้อนของการกำหนดรู้นี้ย่อมช่วยเตือนคุณให้หมายรู้ถึงความคิดนั้นและดึงกลับมาสู่ลมหายใจ หวนกลับมาสู่สำนึกรู้ถึงการดำรงอยู่ ในทำนองเดียวกันนี้ เมื่อนักรบหลงออกนอกทางแห่งการขัดเกลาตนเอง โดยการหยุดพักหรือมัวเมาอยู่ในภาวะจิตแห่งอาทิตย์อัสดง การกำหนดรู้ของเขาย่อมคล้ายดั่งเสียงสะท้อนซึ่งก้องกลับมาหา
 
......ในตอนแรก ๆ เสียงสะท้อนนี้แผ่วเบามาก แต่ครั้นแล้วมันก็ยิ่งดังขึ้นดังขึ้นทุกขณะ นักรบย่อมถูกเตือนให้ดำรงตนอยู่ ณ จุดนั้นเสมอ เพราะว่า เขาได้เลือกที่จะมาอยู่ในโลกซึ่งไม่มีแนวคิดตามแบบอาทิตย์อัสดงเรื่องการหยุดพักอยู่เลย บางครั้งบางคราวคุณอาจรู้สึกว่าในโลกอาทิตย์อัสดงนั้นจะช่วยผ่อนคลายได้อย่างใหญ่หลวง คุณไม่จำเป็นต้องทำงานหนักในโลกนั้น คุณเพียงแต่โลดเต้นโครมครามไปและลืมเสียงสะท้อนเสีย แต่ครั้นแล้ว คุณจะพบว่าตัวเองพร้อมที่จะกลับไปรับฟังเสียงสะท้อนนั้นอีกครั้ง ด้วยเหตุว่าโลกอาทิตย์อัสดงนั้นเป็นทางตันและจุดอับ ในโลกนั้นไม่มีแม้แต่เสียงสะท้อน
 
.....จากเสียงสะท้อนของสมาธิกำหนดรู้ คุณก็ได้พัฒนาความรู้สึกในเรื่องสมดุลขึ้น ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งเพื่อขึ้นไปสู่การบัญชาโลกของคุณเอง คุณรู้สึกว่าคุณนั่งอยู่บนอานม้า ที่ม้าพยศแห่งจิต ไม่ว่าม้านั้นมันจะโลดเต้นไปอย่างไร คุณก็ยังคงทรงกายอยู่ได้ ตราบใดที่คุณยังหยัดกายได้อย่างมั่นคงบนอาน คุณก็สามารถทนต่อแรงโลดโผนโจนทะยานของมันได้เสมอ และเมื่อใดก็ตามที่คุณลื่นไถลเสียหลักเพราะนั่งไม่มั่นคงพอ คุณก็เพียงแต่จัดท่วงท่าเสียใหม่ คุณจะไม่ตกม้า ในกระบวนการสูญเสียการกำหนดรู้นั้น คุณได้มันกลับคืนมาด้วยเหตุที่คุณได้สูญเสียมันไป การลื่นไถลโดยตัวของมันเองก็คือ การปรับเปลี่ยนท่วงท่าอยู่ในตัว มันเกิดขึ้นโดยอันโนมัติ คุณจะเริ่มรู้สึกเชี่ยวชาญขึ้นชำนาญมากขึ้น
 
......การกำหนดรู้ของนักรับนั้นมิได้มีพื้นฐานอยู่บนการฝึกฝนโรคจิตหลอนขั้นสูง ทว่ามันมีพื้นฐานอยู่บนการฝึกความมั่นคงอย่างยิ่งยวด ซึ่งก็คือความเชื่อมั่นในความดีงามพื้นฐาน นี่มิได้หมายความว่าคุณจำต้องเป็นคนเคร่งเครียดหรือน่าเบื่อหน่าย หากเพียงแต่คุณรู้สึกหยั่งรากลึกและมั่นคง คุณมีความเชื่อมั่นและคุณก็มีความเบิกบานอยู่เป็นนิจ ด้วยเหตุนี้เองคุณจึงไม่ตื่นตกใจง่าย จะไม่มีอาการตื่นตูมหรือผลุนผลันเกิดขึ้นในระดับจิตแบบนี้ คุณได้ดำรงอยู่ในโลกของนักรบแล้ว เมื่อมีเหตุเล็กๆน้อย ๆ อุบัติขึ้นไม่ว่าจะเป็นดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด คุณก็ไม่ได้ไปขยายมันให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต คุณก็กลับมาทรงตัวอยู่บนอานได้ในทันใด นักรบนั้นย่อมไม่ตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อมีใครบางคนเดินเข้ามาหาและบอกว่า "ฉันจะฆ่าแกเสียเดี๋ยวนี้" หรือพูดว่า "ฉันมีเงินล้านเหรียญจะมอบให้เป็นของขวัญ" คุณก็จะไม่ตกตะลึงเลย คุณเพียงแต่ดำรงตนมั่นอยู่บนอานม้า
 
......หลักการของสมาธิกำหนดรู้ ย่อมเอื้ออำนวยที่ทางอันเหมาะสมให้แก่คุณในโลกนี้ เมื่อคุณดำรงอยู่ในโลกได้อย่างเหมาะสม ก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยประจักษ์พยาน มาช่วยยืนยันความหนักแน่นมั่นคงของคุณเลย จากเรื่องราวในพุทธประวัติ เมื่อพุทธองค์ได้ตรัสรู้ มีคนหนึ่งกล่าวถามขึ้นว่า "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านได้ตรัสรู้แล้ว" พุทธองค์ตอบว่า "ธรณีย่อมเป็นพยานยืนยัน" ท่านได้แตะสัมผัสผืนธรณีด้วยหัตถ์ ท่วงท่านี้ ภายหลังรู้จักกันในนามว่าปางสัมผัสพระธรณี นี่ก็เป็นเช่นเดียวกับการดำรงรักษาดุลยภาพบนอานม้า คุณได้ดำรงอยู่แนบชิดในความจริงอย่างเต็มเปี่ยม อาจมีบางคนกล่าวว่า "ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณไม่ได้กระทำการอย่างเกินเลย" คุณก็เพียงแต่ตอบว่า "ท่านั่งบนอานม้าจะบ่งบอกด้วยตัวของมันเอง"
 
......ตรงจุดนี้เองที่คุณจะเริ่มสัมผัสได้ถึงรากฐานของความไม่หวาดหวั่น คุณพร้อมที่จะตื่นขึ้นเผชิญหน้ากับทุก ๆ สถานการณ์ที่เข้ามา และในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่าตนเองสามารถจัดการกับชีวิตของตนได้อย่างดี เพราะเหตุที่คุณไม่ได้กังวลถึงเรื่องสำเร็จหรือล้มเหลว ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวล้วนเป็นการเดินทางเช่นกัน แน่นอน คุณยังอาจรู้สึกได้ถึงความกลัวซึ่งซุกซ่อนอยู่ในความไม่หวาดหวั่นนั้น อาจมีบางขณะของการเดินทางซึ่งคุณอาจกลัวจนตัวแข็งหรือสั่นสะท้านตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่บนอานม้า จนแทบไม่อาจยืนหยัดทรงกายอยู่บนหลังม้าได้อีก ย่อมมีบางเวลาที่คุณท่วมท้นอยู่ด้วยความกลัว แต่ประสบการณ์นี้ก็เช่นเดียวกัน อาจถือเป็นปรากฏการณ์หนึ่งของความไม่หวาดหวั่นได้ด้วย ถ้าหากคุณยังมีสายใยเชื่อมโยงอยู่กับโลกแห่งความดีงามพื้นฐานของตน


<a href="https://www.youtube.com/v//8dtgQuIBPjI" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//8dtgQuIBPjI</a> 

https://youtu.be/8dtgQuIBPjI?si=21YlsJxkgf5s0fkE

ตามไปฟังจบเล่มเลย https://youtube.com/playlist?list=PLV8Tyvuuh60Gzj63YdX_62gwt2EMxIPT4&si=Vs4VPeGcWJOd9k1g
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...