ผู้เขียน หัวข้อ: ดวงตะวันในใจฉัน : ภาค จักรวาลในของฝุ่นผง  (อ่าน 7630 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ดวงตะวันในใจฉัน : ภาค จักรวาลในของฝุ่นผง
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 11:02:03 am »

 
 
อดีต ปัจจุบัน และอนาคตบนปลายเส้นผม
 
ข้อสังเกตุของชโรดินเจอร์เกี่ยวกับเรื่องของกาลเวลาช่วยให้ เราเกิดความกล้าขึ้นมาอีก ที่จะก้าวไปสู่อีกขั้นหนึ่ง ของการทำสมาธิพิจารณาการอิงอาศัยกันและกันของสรรพสิ่ง บัญญัติแห่งในหรือนอก หนึ่งหรือหลากหลาย กำลังล่มสลายไป เมื่อเราเพ่งพินิจธรรมชาติของการต่างเป็นและต่างอยู่อาศัยซึ่งกันและกันของสรรพสิ่ง แต่ความ คิดเหล่านี้จะไม่ล่มสลายไปโดยสมบูรณ์แบบ ตราบใดที่เรายังเชื่อเทศะและกาละในแนวความคิดแบบสมบูรณ์ ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการก่อเกิดของปรากฏการณ์ทั้งหลาย ในกาลก่อนที่มีนิกายทางพุทธศาสนา ชื่อว่า ธรรมลักษณะ ( การทำสมาธิพิจารณาปรากฏการณ์ ) ถูกมองว่าเป็นความจริงอันสมบูรณ์ ซึ่งอยู่นอกเหนือการเกิดและการตาย แต่เมื่อได้เกิดมี มัธยมิกนิกาย กาละเทศะจะถูกมองว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะกาละและเทศะจะดำรงอยู่ได้ต้องอิงอาศัยกัน และกันอยู่ เมื่อหลักการของการต่างเป็นต่างอยู่อาศัยซึ่งกันและกันของอวตังสกสูตรปฏิเสธที่จะยอมรับ บัญญัติ ใน-นอก ใหญ่-เล็ก หนึ่ง-หลากหลาย ว่าเป็นจริง มันก็ได้ปฏิเสธบัญญัติที่ว่าเทศะเป็นความจริงอันสมบูรณ์ลงเสียด้วย เมื่อกล่าวถึง กาละ บัญญัติที่แบ่งแยกชัดระหว่างอดีต ปัจจุบัน อนาคตก็ได้ถูกทำลายลงเสียด้วย อวตังสกสูตรกล่าวว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคตนั้น สามารถนำมาใส่ลงในปัจจุบันได้ และปัจจุบันก็สามารถนำใส่ลงไปในอนาคต และปัจจุบัน อนาคตก็สามรถ ใส่ลงไปในอดีตได้ ในที่สุดกาลเวลาชั่วนิรันดร์ก็จะสามารถใส่ลงไปในชั่วขณะหนึ่งได้ ซึ่งเป็นช่วงแห่งเวลาสั้นที่สุด ก็จะถูกประทับตราแห่งการต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกัน ชั่วขณะหนึ่งจึงบรรจุลงไว้ด้วยอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

อดีตอยู่ในกาลปัจจุบันและอนาคต อนาคตอยู่ในกาลปัจจุบันและอดีต กาลทั้งสามตลอดจนกาลเวลานับหลาย ๆ อสงไขย แม้ที่จริงแล้วเป็นเวลาชั่วขณะ ไม่สั้น ไม่ยาว นั่นคืออิสรภาพ ฉันสามารถล่วงล้ำอนาคต รวบรวมกาลนิรันดร์ลงสู่ชั่วขณะหนึ่งเดียว

อวตังสกสูตร ขยายความต่อไปว่า " ไม่เพียงแต่อณูหนึ่งของฝุ่นผงจะบรรจุไว้ด้วยเทศะ( เนื้อที่ ) อันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้น หากมันยังบรรจุไว้ซึ่งกาลเวลาอันไม่มีที่สิ้นสุดด้วย และในชั่วขณะหนึ่งของกาลเวลา เราจะพบ กาลเวลา เราจะพบทั้งกาลเวลาอันไม่มีที่สิ้นสุด และเทศะอันกว้างไหญ่ไพศาลที่ไม่มีที่สิ้นสุด "
อดีต ปัจจุบัน อนาคต อยู่ที่ปลายผม พร้อมทั้งพุทธโลกธาตุอันเอนกอนันต์ เข้าสู่โลกของการอิงอาศัยกันและกัน ด้วยทฤษฎีสัมพันธภาพ

อวตังสกสูตรกล่าวไว้ว่า กาละและเทศะจะมีกันและกันอยู่ ต่างอิงอาศัยกันและกัน จึงสามารถดำรงความมีอยู่เป็นอยู่ได้ มิอาจแยกออกจากกันได้ ทฤษฎีสัมพันธภาพ ของ ไอน์สไตน์ ที่ค้นคิดขึ้นหลังจากพระสูตรนี้ ๒, ooo ปี ได้ย้ำความรู้ ความสัมพันธ์อันไม่สามารถแยกออกจากกันได้ของกาละและเทศะ เวลาได้กลายมาเป็นมิติที่สี่ของเทศะซึ่งมีอยู่ ๓ มิติ ทฤษฎีนี้ได้ปฏิเสธเทศะในฐานะที่เป็นกรอบอ้างอิงสมบูรณ์ จักรวาลจะสถิตอยู่ในกรอบอ้างอิงสมบูรณ์นี้ ความคิดเรื่อง กาละอันสมบูรณ์อันเป็นสากลก็พลอยถูกลบล้างลงด้วย ทฤษฎีสัมพันธภาพกล่าวว่า เทศะเป็นเพียงความสัมพันธ์หนึ่งของ สิ่งต่าง ๆ ในกรอบอ้างอิงอันหนึ่งเท่านั้น และเวลาก็เป็นเพียงลำดับก่อนหลังของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในกรอบอ้างอิงหนึ่ง ๆ

เวลาจึงเป็นเรื่องเฉพาะส่วน และมิใช่เป็นสากล ด้วยเหตุนี้บัญญัติ " บัดนี้ " จึงใช้ได้เฉพาะ " ที่นี่ " เท่านั้น มิใช่ว่าจะใช้ กับที่ไหนก็ได้ในจักรวาลในทำนองเดียวกัน " ที่นี่ " ก็สามารถใช้กับ " บัดนี้ " เท่านั้น และไม่สามารถใช้กับอดีตหรืออนาคต ทั้งนี้เพราะกาละและเทศะที่จะต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกันในการดำรงอยู่ ทั้งสองต่างไม่สามารถดำรงอยู่เป็นอิสระต่างหาก ออกจากกัน ทฤษฎีนี้ทำให้เราสามารถล้มล้างบัญญัติที่ว่าด้วยเทศะอันไม่มีขอบเขตสิ้นสุด และกาละที่ไม่มีจุดจบได้ เราจะ เห็นคู่ของบัญญัติที่เป็นสองขั้ว อันเราจะต้องแยกสลายบัญญัตินั้น ๆ ลงเสีย คู่เหล่านั้นได้แก่ มีที่สิ้นสุด - ไม่มีที่สิ้นสุด นอก-ใน ก่อน-หลัง เป็นต้น ถ้าเรามองดูท้องฟ้า แล้วเกิดความสงสัยว่า มีอะไรอยู่ ณ สุดขอบจักรวาล นั่นก็แสดงให้เห็น ว่าเรายังไม่เข้าใจทฤษฎีสัมพันธภาพและยังไม่ได้ล้มล้างบัญญัติแห่งเทศะอันสมบูรณ์ ซึ่งเป็นบัญญัติที่ทำให้เราเข้าใจว่า เทศะดำรงอยู่ต่างหากจากสิ่งอื่น ๆ โดยไม่ขึ้นต่อสิ่งอื่น ๆ และถ้าเรากำลังตั้งคำถามว่า จักรวาลของเรากำลังวิ่งไปสู่ทิศทางใด นี่ก็หมายความว่าเราเชื่อในกาลเวลา นี่เป็นสากล กาลเวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทฤษฎีสัมพันธภาพได้นำความก้าวหน้ามาสู่ทั้ง สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ และปรัชญา เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ไอน์สไตน์มิได้นำความคิดอันวิเศษของเรานี้ ซึ่งเปรียบได้กับ ยานอวกาศ โคจรเข้ามาสู่เรื่องราวของความเป็นจริงในโลกที่เห็นและเป็นอยู่
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ดวงตะวันในใจฉัน : ภาค จักรวาลในของฝุ่นผง
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 11:02:42 am »

ภาพ เวลาที่หลอมเหลว โดย Dali : The Persistence of Memory, 1931
 
 
แพข้ามแม่น้ำ
 
การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ ทำให้ความคิดเก่า ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการอธิบายความเป็นจริงในโลกต้องล่มสลายลงไป คุณประโยชน์หนึ่งของทฤษฎีสัมพัทธภาพนั้นก็คือการล้มล้างความคิดเรื่อง กาละ - เทศะแบบเก่าลงอย่างสิ้นเชิง ด้วยความ คิดใหม่ของการเกี่ยวเนื่องอยู่ของกาละ-เทศะตามทฤษฎีนี้ ทุกสิ่งจะมีโครงสร้างจาก ๔ มิติ เป็น ๔ มิติของกาละเทศะนี้แสดง ให้ปรากฏได้ด้วยกราฟเส้นโค้งในความสัมพันธ์ ๔ มิติ ของกาละ-เทศะ ไอน์สไตน์ทิ้งแบบจำลองจักรวาลแบบ ๓ มิติซึ่งเป็น เส้นตรงแบบยูคลิ ( คือแบบเรขาคณิตที่เราร่ำเรียนกันมา ) เขาได้จินตนาการและจำลองจักรวาลที่ประกอบขึ้นด้วยเส้นโค้ง ด้วยกาละ-เทศะจะเกี่ยวเนื่องกันเป็น ๔ มิติ ในปี ๑๙๑๗ เขาได้นำเสนอแบบจำลอง ๔ มิติ ซึ่งมีกาลเวลาเป็นแกน ในแต่ละ นาที รูปทรงของแต่ละเนื้อที่จะไม่ใช่รูปทรงเดียวกัน แต่กระนั้นก็ไม่ได้แยกขาดออกจากกัน เปรียบประดุจแผ่นฟิล์มที่จะให้ ภาพต่อเนื่องกันไป จักรวาลของไอน์สไตน์เป็นทั้งจักรวาลที่สิ้นสุดและไม่สิ้นสุด ในขณะเดียวกัน มดที่เดินอยู่บนผลส้มก็ สามารถเดินตรงไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมดเดินอยู่บนผิวโค้ง แต่มดก็เดินอยู่บนผลส้มนั่นเอง ซึ่งนั่นก็คือข้อจำกัดของมัน ไอน์สไตน์ขยายมิติของเส้นตรงขึ้นมาเป็นเส้นโค้ง และได้พบจุดผสานระหว่างความสิ้นสุดและความไม่สิ้นสุด


 
แต่ถ้ากาละและเทศะอันไม่สิ้นสุดเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการรับรู้แห่งจิตแล้วไซร้ แบบจำลองเส้นโค้ง ๔ มิติ แห่งกาละและ เทศะ ถึงแม้จะเข้าไปไกล้ความเป็นจริงมากขึ้นก็ตาม ก็ยังจะคงเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการรับรู้เท่านั้น ถ้าหากการมองดูยัง ไปไม่พ้นการปรากฏของ " สิ่งของ " ๔ มิติแห่งกาละและเทศะนี้ก็ยังไปไม่พ้นรูปแบบทางความคิดหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้น ด้วยความ คิดที่ว่าด้วย " สิ่งของ " และ " ความเคลื่อนไหว " เส้นโค้งในมิติแห่งกาละและเทศะที่ควรจัดอยู่ในความคิดหนึ่งที่เข้ามาแทนที่ ความคิดที่มองจักรวาลเป็น ๓ มิติแห่งเทศะ ที่ดำรงอยู่ในกาละอันไม่สิ้นสุด และที่ใช้แบบจำลองแบบเส้นตรง เราจะต้องทิ้ง ความคิดนี้ไว้เบื้องหลัง เช่นเดียวกับที่เมื่อถึงฝั่งเราจะต้องทิ้งแพ เราจึงจะสามารถข้ามฟากได้
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ดวงตะวันในใจฉัน : ภาค จักรวาลในของฝุ่นผง
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 11:03:35 am »

 
 
ความสามารถในการละทิ้ง และความสามารถในการค้นพบ
 
ความเป็นจริงถูกแปรสภาพไปทันทีที่เรามองดู เพราะว่าเราจะเข้าถึงความเป็นจริงนั้น ๆ ด้วยบัญญัติและความคิดทั้งหลายทั้งปวง ของเราหนึ่งกระบุงโกย นักฟิสกส์สมัยใหม่ตระหนักรู้ในสิ่งนี้เป็นอย่างดี พวกเขาบางคนได้ละทิ้งบัญญัติบางประการที่ไม่เคยเป็น พื้นฐานให้แก่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาเป็นเวลานานเสียแล้วด้วยซ้ำ ยกตัวอย่าง เช่น ความคิดเรื่องเหตุและผลแบบวิทยาศาสตร์ และบัญญัติแห่งกาลเวลาที่ว่าด้วยอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นต้น แต่การละทิ้งบัญญัติต่าง ๆ นั้น มิใช่เรื่องที่ง่ายเลย เราจะรู้สึกว่า การเข้าหาความจริงโดยไม่ได้ติดอาวุธแห่งบัญญัติและความคิดทั้งหลาย ก็เหมือนกับการเข้าสงครามโดยปราศจากอาวุธติดมือเลย อาวุธของนักวิทยาศาสตร์นั้นก็ได้แก่ ระบบความคิดที่เขาแสวงหารวบรวมเข้ามาได้นั่นเอง จะไม่ง่ายเลยที่จะละทิ้งระบบคิดดังกล่าว ข้าพเจ้าเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถที่จะละทิ้ง " การติดอาวุธ " นี้มากที่สุด ก็คือนักวิทยาศาสตร์ที่จะมีความสามารถ ในการค้นพบความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากที่สุด
 
ผู้แสวงหาความเข้าใจทางศาสนธรรม มักจะได้รับการเตือนให้ระลึกถึงอยู่เสมอว่า พวกเขาจะต้องละวางบัญญัติทั้งหลายทั้งปวง ก่อนพวกเขาจึงจะสามารถเข้าไปที่การณ์โดยตรงต่อความเป็นจริงได้ เช่น บัญญัติแห่งตนเอง-ผู้อื่น เกิด-ตาย นิจจะ - อนิจจา ดำรงอยู่ - ไม่ดำรงอยู่ เป็นต้น ถ้าหากความเป็นจริงถูกพรรณาว่าเป็นสิ่งที่มิอาจจินตนาการได้แล้วไซร้ เครื่องมือประการเดียวที่จะ มีประสบการณ์โดยตรงต่อความเป็นจริงได้ก็คือ จิตจะต้องละวางบัญญัติทั้งปวง กล่าวคือจิตจะต้องปราศจากบัญญัติทั้งหลายทั้งปวง โดยสิ้นเชิง
 

- คัดจาก ดวงตะวันในใจฉัน บทที่ ๓ จักรวาลในฝุ่นผง หน้า ๔๗ -๗๖ -
- ผลงานของ พระเดชพระคุณ องค์หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ -


http://www.sookjai.com/index.php?topic=2986.0
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: ดวงตะวันในใจฉัน : ภาค จักรวาลในของฝุ่นผง
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 04:48:21 pm »
 :13:   อนุโมทนาสาธุครับ ขอบคุณครับพี่มด^^
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~