“เมตตาของเทวดา”ดร.สนอง วรอุไร
นอกจากมนุษย์แล้ว เทวดาก็มีเมตตาได้ ดังจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งพุทธกาลให้ฟังว่า
มีอยู่วันหนึ่งพระสารีบุตรอาพาธและโรคที่เป็นนั้นจะหายไปได้ต้องฉันข้าวมธุปายาส พระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวกับพระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกคู่กับท่าน ได้แนะนำพระสารีบุตรว่า
“มีโยมคนหนึ่งได้เปิดโอกาสให้ท่านขอในสิ่งที่ต้องการ(ปวารณา)ได้ กระผมจะส่งคนไปบอกให้หุงข้าวมธุปายาสเตรียมไว้ วันพรุ่งนี้กระผมจะไปบิณฑบาตข้าวมธุปายาสมาถวายท่าน”
เมื่อพระสารีบุตรผู้เคร่งครัดในธรรมวินัยได้ยินเช่นนั้น จึงกล่าวห้ามมิให้ท่านโมคคัลลานะ ส่งคนไปบอกบ้านที่ปวารณาไว้ แต่ปรากฏว่า เทวดาประจำองค์พระสารีบุตรมีความปรารถนาจะให้พระสารีบุตรหายจากอาพาธ จึงไปดลใจให้โยมที่ปวารณาไว้ หุงข้าวมธุปายาสไว้ใส่บาตรในวันรุ่งขึ้น
ผลปรากฏว่าเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นจริง พระมหาโมคคัลลานะไปบิณฑบาต และได้ข้าวมธุปายาสมาถวายพระสารีบุตร ท่านรับประเคนแล้วพิจารณาข้าวมธุปายาสที่รับไว้แล้วจึงได้เททิ้ง ด้วยรู้ว่าเทวดาประจำองค์ไปดลใจให้เขาทำเพื่อถวายท่าน
ที่บอกเล่ามาให้ฟังเพื่อจะบอกว่า เทวดาก็มีเมตตา ปรารถนาให้พระสารีบุตรหายจากอาพาธ
ยังมีอยู่อีกกรณีหนึ่ง ที่จะเล่า เรื่องความเมตตาของเทวดาคือ ในครั้งที่พระพุทธะประทับอยู่ในกุฏิบนยอดเขาคิชฌกูฏ ท้าวเวสสุวัณซึ่งเป็นหนึ่งในจตุโลกบาล ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีมเตตาต่อภิกษุที่ไปปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าเปลี่ยว มีอมนุษย์บางพวก ไม่ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธะ ที่ห้ามมิให้ฆ่าสัตว์ จึงประพฤติตนหลอกหลอนให้ภิกษุหวาดกลัว ท้าวเวสสุวัณจึงมาถวายมนต์ตราที่เรียกว่า “อาฏานาฏิยปริตร” แด่พระพุทธะ เพื่อประทานให้ภิกษุนำไปสาธยายคุ้มครองตนมิให้อมนุษย์เข้ามาหลอกหลอน นี่เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นความมีเมตตาของเทวดา(ท้าวเวสสุวัณ) ที่มีต่อมนุษย์
และจากประสบการณ์ของผู้บรรยายที่เกี่ยวกับเรื่องเมตตาของเทวดา จะบอกเล่าให้ฟังว่า มีเพื่อนของผู้บรรยายไดซื้อที่ดินผืนหนึ่งไว้ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่ตัวเองไปรับราชการอยู่ที่นั่น บนที่ดินแปลงนั้นมีบ่อน้ำที่ขุดโดยชาวบ้าน อยู่ในบริเวณด้านหน้าของที่ดิน เพื่อนของผู้บรรยายเล่าให้ฟังว่า เขาอยากถมดินกลบทับบ่อน้ำเพื่อให้ดูสวยงาม และจะปลูกบ้านอยู่บนที่ดินแปลงนั้น ความคิดที่จะถมดินทับบ่อน้ำได้รับการท้วงติงจากชาวบ้านอยู่เสมอ
เมื่อถึงเวลาที่มีการปลูกบ้านลงบนที่ดินผืนนั้น เพื่อนคนนี้ได้แวะเวียนไปดูความก้าวหน้าของการสร้างบ้านอยู่เสมอในห้วงเวลาหลังเลิกงานแล้ว
จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่เขาแวะไปดูบ้านที่กำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง ปรากฏว่าหัวหน้าผู้รับเหมาสร้างบ้านได้บอกกับเขาว่า
“เมื่อกี้มีผู้ชายผมขาว แต่งกายในชุดสีขาว มาบอกกับเขาว่า ถ้าจะถมบ่อน้ำให้ใช้ท่อหย่อนปลายข้างหนึ่งให้จมอยู่ใต้ผิวน้ำ และให้ปลายท่ออีกข้างหนึ่งโผล่ขึ้นเหนือผิวดิน แล้วก่อซีเมนต์ปิดทับบ่อน้ำได้”
เมื่อเพื่อนได้ยินคำบอกเล่าจากหัวหน้าผู้รับเหมาฯจึงรีบตามหาผู้ชายที่อยู่ในชุดแต่งกายสีขาว หาอย่างไรก็หาไม่พบ เพราะเขามิใช่มนุษย์ แต่เป็นภุมมเทวดา เนรมิตกายหยาบมาเป็นมนุษย์เพื่อช่วยเหลือเจ้าของบ้าน หลังจากปลูกบ้านแล้วเสร็จ เจ้าของบ้านและบริวารจึงได้เข้าอยู่อาศัยในบ้านหลังที่ปลูกขึ้นนั้น
มีอยู่วันหนึ่ง แม่บ้านและคนทำอาหาร ได้เห็นชายสูงวัยคนหนึ่งในชุดสีขาว นั่งอยู่โคนต้นมะมื่นใหญ่ที่ขึ้นอยู่หน้าบ้าน เจ้าของบ้านจึงได้รู้ ชายที่มาบอกวิธีแก้ปัญหาเรื่องบ่อน้ำก็คือเทวดา(เจ้าที่)นั่นเอง
คนที่อยู่ทางภาคเหนือ มีความเชื่อว่า การถมบ่อน้ำที่เคยดื่ม เคยใช้จะนำความวิบัติมาสู่ชีวิตได้ เรื่องเช่นนี้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่อาจพิสูจน์ได้ จึงเป็นเรื่องทีน่าคิด ดังที่ผู้บรรยายจะบอกเล่าให้ฟังว่า
มีอยู่วันหนึ่งผู้บรรยายได้รับเชิญไปบรรยายธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง ในอำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน เป็นงานพระราชทานเพลิงศพของพระผู้ใหญ่แห่งอำเภอบ้านโฮ่ง ก่อนการบรรยายจะมาถึง มีผู้นำพาผู้บรรยายไปดูสถานที่ตั้งของวัดก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน ขณะที่ผู้นำไปดูวัดได้จอดรถอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่ง ได้ชี้ให้ดูบ้านนั้นพร้อมพูดว่า
“อาจารย์เห็นบ้านหลังนี้แล้วคิดอะไร” ผู้บรรยายพูดว่า “เป็นบ้านร้าง”เขาได้อธิบายต่อไปว่า เจ้าของบ้านนั่งตายอยู่ในบ้าน ภรรยาเจ้าของบ้านเป็นอัมพาต จึงไม่มีผู้ใดเข้าอยู่อาศัย เป็นบ้านร้างอย่างที่อาจารย์เข้าใจ
เมื่อได้พูดคุยกันจึงได้รู้ถึงสาเหตุแห่งความวิบัติของคู่สามีภรรยาว่า เขาทั้งสองเป็นคนไม่เชื่อเรื่องอาถรรพ์ เขาได้ปลูกบ้านคร่อมลำเหมืองที่มีน้ำไหล ซึ่งใช้เป็นทางสัญจรของอมนุษย์(พญานาค)
ส่วนภรรยาเอาสังกะสีมาทำคล้ายฝาชีปิดบ่อน้ำที่ชาวบ้านใช้ดื่มใช้อาบ ซึ่งเป็นช่องทางหายใจของเมืองบาดาล เหตุผลลึกๆเช่นนี้ วิทยาศาสต์ไม่สามารถรู้เห็นเข้าใจว่ามีอยู่จริง เขาทั้งสองจึงต้องพบกับความวิบัติของชีวิต
เมตตาเป็นคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ (หน้า ๗๐-๗๑)
จากประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเมตตาที่บอกเล่ามาเป็นสัจจะ และมิได้คิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษแต่อย่างใด หากทุกท่านให้อภัยต่อสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจในทุกเรื่องได้ เมตตาบารมีย่อมเกิดขึ้นแน่นอน แล้วทำให้มีอารมณ์สงบเย็น
อานิสงส์ของการมีเมตตา อาทิ หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข นอนไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์และ อมนุษย์ มีเทวดาคุ้มรักษา ไฟ ยาพิษ ศัตราไม่แผ้วพาน มีจิตตั้งมั่น สีหน้าผ่องใส ฯลฯ ย่อมเป็นผลให้ผู้มีเมตตาได้รับสรรพสัตว์ที่เวียนตายเวียนเกิดอยู่ในภพต่างๆของวัฏสงสาร โดยเฉพาะสัตว์มนุษย์และเทวดา สามารถพัฒนาเมตตาบารมีให้เกิดขึ้นได้
ส่วนสัตว์ที่เป็นพรหม มีพรหมวิหารธรรม (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) เป็นคุณสมบัติประจำตนอยู่แล้ว ซึ่งเป็นผลที่ได้มาในครั้งที่เกิดเป็นมนุษย์
เมตตาเป็นหนึ่งในคุณธรรมที่นำสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต มนุษย์ที่พัฒนาจิต(สมถภาวนา)จนเข้าถึงความเป็นสมาธิแน่วแน่(อัปปนาสมาธิ)หรือเรียกว่า “สมาธิระดับฌาน” หากทิ้งขันธ์ลาโลกในขณะที่จิตทรงอยู่ในฌาน ย่อมไปอุบัติเป็นสัตว์ในพรหมโลกชั้นต่างๆ ตามกำลังของฌานที่พัฒนาได้
ตรงกันข้ามกับมนุษย์ที่ไม่มีเมตตา เมื่อถึงวาระสิ้นอายุขัยและต้องทิ้งขันธ์ลาโลกไป จิตวิญญาณย่อมโคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพต่ำ นับแต่ภพเดรัจฉานไปจนภพนรก
ดังนั้นมนุษย์ผู้มีเมตตา เป็นคุณธรรมประจำใจ จึงมีแต่คิดช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้ประโยชน์โดยไม่มีประมาณ
ซึ่งจะเห็นได้จากตัวอย่างของพระพุทธะ ขณะกำลังจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ได้ยินเสียงสนทนาระหว่างพระอานนท์พุทธอุปัฎฐาก ที่ไม่ยินยอมให้สุภัททปริพาชกชาวเมืองกุสินารา เข้าถามปัญหาธรรมกับพระพุทธเจ้าถึงสามหน ด้วยเหตุที่พระอานนท์เกรงว่าพระพุทธเจ้าจะทรงเหน็ดเหนื่อย
พระพุทธะผู้เปี่ยมด้วยเมตตาได้ตรัสกับพุทธอุปัฎฐากว่า
“ อานนท์ ให้สุภัททะเข้ามาหาเราเถิด”
พระองค์ได้ตรัสสอนสุภัททะว่า..
“ธรรมวินัยใด ประกอบไปด้วยมรรคมีองค์แปด ผู้ใดประพฤติถูกตรงตามธรรมแล้ว โลกย่อมไม่ว่างจากพระอรหันต์”
สุภัททะเกิดศรัทธาต่อพุทธวจนะที่กล่าว จึงขอบวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนา หลังจากบวชแล้วจึงเร่งปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตตผล อภิญญา ๖ พร้อมกับมีปฏิสัมภิทา๔ ในคืนเดียวกันนั้น ก่อนพุทธปรินิพพาน ปัจฉิมสาวกในพุทธศาสนาจึงได้เกิดขึ้น ด้วยเหตุแห่งเมตตาของพระพุทธะนั่นเอง..
-------------------
พิมพ์คัดลอกมาจากหนังสือ
“สัจจบารมีเมตตาบารมี”ของ ดร.สนอง วรอุไร หน้า๗๐-หน้า ๗๕
http://www.bhodhiyalaya.com/index.php?topic=395.0