ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวประวัติ หลวงปู่พุทธอิสระ  (อ่าน 5092 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ แก้มโขทัย

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • *
  • กระทู้: 376
  • พลังกัลยาณมิตร 192
  • แก้มโขทัย
    • ดูรายละเอียด
    • สืบอย่างเซียน โดย พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์
ชีวประวัติ หลวงปู่พุทธอิสระ
« เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 06:43:34 pm »


ชีวประวัติ หลวงปู่พุทธอิสระ


! No longer available



ท่านเป็นพระที่มีปฏิปทางดงาม เป็นที่เคารพศรัทธาอย่างสูงสำหรับลูกหลานศิษยานุศิษย์ และประชาชนทั่วไป คำสอนของท่านเป็นธรรมะที่ง่าย ลึกซึ้ง และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงด้วยวิธีสอนที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ผู้ฟังธรรมเกิดความเห็นที่ถูกตรงและกระจ่างชัด ท่านจึงเป็น "ปูชนียาจารย์" ที่มหาชนเคารพศรัทธายิ่ง


มีผู้ถามอยู่เสมอว่า "พุทธอิสระ" แปลว่าอะไร หลวงปู่ได้ให้ความหมายว่า "พุทธะ" แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ย่อมมีเสรีภาพอิสระต่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ ไม่ทำอารมณ์ให้เป็นอะไร เพราะเรามีธรรมะในหัวใจ ย่อมอิสระกับทุกเรื่องที่พบพานเจอะเจอและเห็น


มีคนเคยมาถามหลวงปู่เสมอๆ ว่า "ทำไมหลวงปู่ จึงยังดูหนุ่ม ยังไม่เห็นแก่เลย แต่คนเรียก หลวงปู่" ท่านมักจะตอบตามภาษิตโบราณที่ว่า


"คนจะงาม งามน้ำใจ ใช่ใบหน้า
คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
คนจะรวย รวยศีล รวยทาน ใช่บ้านโต"

หลวงปู่สอนพระเณรในวัดว่า ของทุกอย่างที่ชาวบ้านเขาถวาย ก็ให้ถือเป็นส่วนกลาง ให้ทุกคนใช้ด้วยความเคารพต่อผู้ให้ คือ ใช้อย่างทะนุถนอม และใช้อย่างประหยัด


ท่านสอนให้ทุกคนยึดหลักในการดำรงชีวิตว่า "ทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้ และทำตนให้ผู้อื่นพึ่งได้ด้วย" และให้ปฏิบัติธรรมในระหว่างปฏิบัติงาน โครงการต่างๆของท่านจึงมีมากมาย และหลวงปู่ยังเป็นผู้นำในการทำกิจการน้อยใหญ่ นานัปการอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ทั้งหมดนี้ท่านทำเพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อศิษยานุศิษย์และเพื่อลูกหลานของท่าน ให้เป็นผู้ดำเนินชีวิตอย่างคุ้มค่าสมกับที่เกิดมาในบวรพุทธศาสนา...

หลวงปู่พุทธะอิสระ หรือ พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม(ฉายาปัจจุบัน) ท่านเป็นชาวกรุงเทพฯ โดยกำเนิด แต่บรรพบุรุษตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัดนครปฐม โยมพ่อชื่อนายชมภู โยมแม่ชื่อนางอัมพร นามสกุล ทองประเสริฐ เกิดเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๙๙ แต่ได้ไปแจ้งเกิดช้า ดังนั้นในใบสุทธิพระจึงระบุว่าเกิดวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒

การศึกษาเล่าเรียนทางโลก ไม่จบชั้นประถมปีที่ ๔ ส่วนการศึกษาเล่าเรียนทางธรรมนั้นจบนักธรรมเอก

ท่านเริ่มบวชเรียนครั้งแรกเมื่ออายุ ๒๐ ปี โดยบวชที่วัดคลองเตยใน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ โดยมี

- พระครูธีราภินันท์ เจ้าอาวาสวัดคลองเตยใน เป็นพระอุปัชฌาย์
บวชได้เพียงพรรษาเดียวก็สึกออกไปเป็นทหาร ๒ ปี

หลังเสร็จภารกิจทางทหาร ก็กลับมาบวชใหม่ที่วัดเดิม คือวัดคลองเตยใน เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๒๖ โดยมี

- พระครูธีราภินันท์ เจ้าอาวาสวัดคลองเตยใน เป็นพระอุปัชฌาย์ เช่นเดิม และ พระครูวรกิจวิวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดภาษี เขตคลองเตย กรุงเทพฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูวินัยธรสมพงษ์ วัดคลองเตยใน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ธมฺมธีโร" แปลว่า "ปราชญ์ทางธรรม"

ช่วงที่อยู่วัดคลองเตยใน มีผู้คนมากมายมาฟังท่านแสดงธรรม จนมีครั้งหนึ่งท่านได้มีโอกาสแสดงธรรมที่วัดท่าซุง จ. อุทัยธานี การแสดงธรรมครั้งนั้นจับใจผู้ฟัง ซึ่งไม่คิดว่าพระหนุ่ม พรรษาไม่มาก จะแสดงธรรมได้ดีถึงเพียงนี้ น่าจะเป็นพระอาวุโสมากกว่า จึงเรียกท่านว่า "หลวงปู่" แล้วก็เรียกกันต่อๆ มา

ท่านอยู่วัดคลองเตยในได้ประมาณ ๖ ปี ก็มาสร้างวัดอ้อน้อย ที่ตำบลห้วยขวาง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ในปี ๒๕๓๒ โดยอุบาสิกาทองห่อ วิสุทธิผล เป็นผู้บริจาคที่ดินผืนนี้ให้ สร้างวัดเสร็จเป็นรูปเป็นร่างภายใน ๓ ปี ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ยกฐานะขึ้นเป็นวัด ชื่อว่า "วัดอ้อน้อย" (เดิมได้ทำเรื่องขอใช้ชื่อวัดว่า "วัดธรรมอิสระ" แต่ก็มีเหตุขัดข้องบางประการ) เมื่อสร้างวัดเรียบร้อยท่านก็ให้พระลูกศิษย์ดูแลวัด ส่วนท่านก็ออกธุดงค์เพื่อฝึกฝนปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังเป็นเวลากว่า ๕ ปี
หลวงปู่พุทธะอิสระกลับมาปกครองดูแลวัดอ้อน้อยอีกครั้ง เมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๓๘ ท่านได้ทำนุบำรุงวัดจนเจริญเรื่อยมา และเมื่อพระอุโบสถสร้างเสร็จเรียบร้อย จึงได้จัดพิธีผูกพัทธสีมาปิดทองฝังลูกนิมิตในวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานจุดเทียนชัย ในพิธีผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตของพระอุโบสถ

ต่อมาในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลห้วยขวาง แทนเจ้าคณะตำบลคนเก่าที่มรณภาพไป (ซึ่งในใบแต่งตั้งเจ้าคณะตำบลนี้ได้ลงอายุและพรรษาของพระอธิการสุวิทย์มากกว่าความเป็นจริงประมาณ ๔ - ๕ ปี ทั้งๆ ที่ท่านเองไม่ทราบมาก่อน เพราะไม่ได้ดูรายละเอียดจึงถูกใบปลิวโจมตีว่าโกงพรรษา)

ปลายเดือนธันวาคม ๒๕๔๓ ท่านยื่นหนังสือลาออกจากทุกตำแหน่งกับเจ้าคณะจังหวัดแต่ไม่ได้รับการอนุมัติ

ต่อมาวันที่ ๑๓ ก.ย. ๒๕๔๔ มีใบปลิวเถื่อนโจมตีว่าโกงพรรษา ท่านจึงประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งต่อหน้าพระสังฆาธิการในจังหวัดนครปฐมที่มาประชุมกันที่วัดวังตะกู จ. นครปฐม และยื่นหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการกับเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ในวันที่ ๑๖ ก.ย.๒๕๔๔ และได้รับการอนุมัติในวันที่ ๑๘ ก.ย.๒๕๔๔

ขณะนี้หลวงปู่พุทธะอิสระ ไม่มีตำแหน่งใดๆ ในคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐม


กิจการการงานที่ผ่านมา
ตั้งแต่บวชอยู่ที่วัดคลองเตยใน ท่านก็แสดงธรรมให้ญาติโยมที่มาทำบุญได้ฟังธรรมจนเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของผู้คน รวมทั้งได้จัดอุปสมบทพระเณรภาคฤดูร้อนขึ้นด้วย

เมื่อมาเป็นเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย และเจ้าคณะตำบลห้วยขวาง อ. กำแพงแสน จ. นครปฐม ท่านได้ดำริและริเริ่มจัดทำโครงการต่างๆ มากมาย และบางงานก็ยังสืบเนื่องจนถึงปัจจุบันดังนี้

๑. การแสดงธรรม ท่านได้ไปแสดงธรรมโปรดญาติโยมและพุทธศาสนิกชน ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิ สถานศึกษา โรงพยาบาล วัด มากกว่า ๑๐๐ แห่ง รวมทั้งการแสดงธรรมทุกวันอาทิตย์ต้นเดือนเป็นประจำที่วัดอ้อน้อย(ธรรมอิสระ)

๒. โครงการเผยแผ่ธรรม ด้วยหนังสือธรรมะและเทปเสียง ซึ่งประกอบด้วยหนังสือธรรมะประมาณ ๔๐ เรื่อง และเทปเสียงประมาณมากกว่า ๕๐๐ กว่าเรื่องแล้ว

๓. โครงการเผยแผ่ธรรม ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ มีการจัดทำเวปไซต์ วัดอ้อน้อย www.dhammaisara.org(และปัจจุบันยังมี www.onoi.org) เพื่อนำเสนอธรรมะและกิจกรรมทางพุทธศาสนาของวัดอ้อน้อย(ธรรมอิสระ)

๔. โครงการเผยแผ่ธรรม ทางหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา รายเดือน เพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และเพื่อเผยแพร่ผลงานของพระสงฆ์ดีๆ ที่ยังมีอีกมากมายในสังคม โดยส่วนหนึ่งได้จัดส่งให้กับวัด สถานศึกษา ห้องสมุด ทั่วประเทศกว่า ๑๐,๐๐๐ แห่ง โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

๕. โครงการอบรมพระวิปัสสนาจารย์ โดยท่านได้รับเลือกให้เป็นเลขานุการของศูนย์พระวิปัสสนาจารย์ จังหวัดนครปฐม ทำหน้าที่ดำเนินการจัดฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์ของจังหวัดนครปฐม ซึ่งท่านได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจและกำลังทรัพย์ให้กับงานนี้ เพราะเป็นงานที่ท่านรักมากที่สุดในชีวิต (ปัจจุบันท่านได้ลาออกจากตำแหน่งดังกล่าวนี้แล้ว)

๖. โครงการศากยบุตรกู้วิกฤต เนื่องจากท่านเห็นว่าวิกฤตเศรษฐกิจของบ้านเมืองทำให้ผู้คนหมดหวัง หมดที่พึ่ง ดังนั้นท่านจึงเปิดรับคนเข้ามาบวชในโครงการศากยบุตรกู้วิกฤต และอบรมให้มีความรู้มีวิชาชีพ จากนั้นจึงส่งไปเผยแผ่ธรรมและให้ความรู้แก่ประชาชนในชนบท

๗. โครงการบรรพฃาและอุปสมบทพระภิกษุ สามเณร ภาคฤดูร้อน ซึ่งท่านเคยทำมาตั้งแต่อยู่วัดคลองเตยใน ท่านก็สานต่อโครงการนี้เรื่อยมา โดยผู้เข้าร่วมโครงการไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

๘. โครงการธรรมศึกษาในโรงเรียน ได้ดำเนินการร่วมกับศึกษาธิการอำเภอกำแพงแสน โดยจัดส่งพระภิกษุไปสอนตามโรงเรียนต่างๆ สนับสนุนการสอบธรรมศึกษาสนามหลวง และจัดตั้งกองทุนค่าพาหนะแก่พระสงฆ์ที่ไปสอน

๙. โครงการค่ายจริยธรรม ท่านได้ให้พระเณรในวัดอ้อน้อย จัดค่ายอบรมจริยธรรมคุณธรรม ให้กับนักเรียนนักศึกษา ในช่วงปิดเทอม มีผู้มาเข้าค่ายปีละ ๓,๐๐๐ กว่าคน

๑๐. โครงการมอบทุนการศึกษา ท่านได้มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนในโครงการธรรมศึกษา นักเรียนที่ยากไร้ รวมทั้งพระนักศึกษาในสถาบันการศึกษาของสงฆ์ เป็นประจำทุกปี

๑๑. โครงการกลุ่มออมทรัพย์วัดอ้อน้อย เพื่อสนับสนุนให้ชุมชนได้เรียนรู้อาชีพ มีทุนประกอบอาชีพพึ่งตนเองได้ในท้องถิ่น

๑๒. โครงการแจกมหาทานแก่ครอบครัวผู้ยากไร้ โดยจัดมอบข้าวสาร อาหารแห้ว ยารักษาโรค และเงินจำนวนหนึ่ง เนื่องในโอกาสต่างๆ เช่น วันสำคัญทางศาสนา หรือเมื่อประชาชนประสบปัญหา เช่น อุทกภัย

๑๓. กองทุนดูแลพระสงฆ์อาพาธจังหวัดนครปฐม โดยบริจาคเงินกองทุนเริ่มแรก ๕๐๐,๐๐๐ บาท

๑๔. โครงการอนุรักษ์อุทยานธรรมชาติและศาสนา จัดให้มีการปลูกป่าในวันสำคัญต่างๆ ณ สถานที่ปฏิบัติธรรมหลายแห่ง

๑๕. โครงการศูนย์การเรียนรู้ชุมชนธรรมอิสระ ด้วยเล็งเห็นว่ายังมีเด็กที่เรียนดีแต่ขาดโอกาสอีกมากมายท่านจึงได้ตั้งศูนย์การเรียนชุมชนธรรมอิสระขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กยากจนได้รับการศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อให้ทุกคนพึ่งตนเองได้ และเป็นที่พึ่งให้กับผู้อื่นได้

๑๖. โครงการสถานบำบัดและฟื้นฟูสุขภาพด้วยธรรมชาติ และศูนย์พัฒนาจิตวิญญาณเชิงท่องเที่ยว เพื่อให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย โดยใช้วิธีธรรมชาติบำบัด และเป็นสถานที่พักผ่อน เรียนรู้ การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ การอนุรักษ์ธรรมชาติ ศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่น และเรียนรู้การฝึกจิตวิญญาณของต้นด้วยการปฏิบัติธรรม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาสถานที่ ที่อำเภอทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 24, 2016, 09:07:42 pm โดย มดเอ๊กซ »
สืบอย่างเซียน เปิดแฟ้มคดีดัง พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์

          http://peemza.siam2web.com/

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: ชีวประวัติ หลวงปู่พุทธอิสระ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 10:00:57 pm »
 :13: อนุโมทนาสาธุครับ
ขอบคุณครับพี่กบ
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวประวัติ หลวงปู่พุทธอิสระ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2010, 04:52:56 am »


  ขอบคุณ คุณกบค่ะ
  :13: อนุโมทนาสาธุนะคะ...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวประวัติ หลวงปู่พุทธอิสระ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 24, 2010, 05:36:33 pm »










เรื่องของหลวงปู่ ตอนที่  ๑  หลวงปู่คือใคร

              ถาม          หลวงปู่ค่ะ  ทำไมคนเขาถึงเรียกท่านว่าหลวงปู่  บางทีก็เรียกเป็นพระโลกอุดร
บ้าง  เป็นพระองค์ที่  ๑๐  บ้าง เป็นพระพุทธเจ้าบ้าง

              ตอบ          ทำไมคนเขาถึงเรียกท่านว่าหลวงปู่  บางทีก็เรียกเป็นพระโลกอุดรบ้าง  เป็น
พระองค์ที่  ๑๐  บ้าง เป็นพระพุทธเจ้า

               การที่เขาเรียกว่าพระโลกอุดร  เพราะปกติแล้วพระโลกอุดรถ้ามีชีวิตอยู่ตอนนี้ประมาณ
สามร้อยกว่าปี  ชีวิตของพระโลกอุดรปกติจะไปไหนก็อิสระ  จะมาไหนก็เป็นผู้ไม่ยึดไม่ผูกพัน  และพระ
โลกอุดรมีชีวิตแปลกตรงที่ว่า  ผู้ใดต้องการปรารถนาเห็นท่านจะไม่ได้เห็น  ผู้ใดไม่ปรารถนาจะเห็น
หรือเมื่อหมดความปรารถนา  สามารถจะเห็นได้ทุกเวลา  และผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นพระโลกอุดร
ปกติที่พระโลกอุดรปฏิบัติท่านจะไปทุกที่  ที่มีธรรมชาติ  และไปทุกที่ที่บุคคลทั้งหลายมีความทุกข์
ความเดือดร้อนใจ  แล้วท่านจะแสดงออกซึ่งร่างกายที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง  ท่านอาจแสดงออกใน
รูปพระหนุ่ม  อาจจะแสดงออกในรูปของพระผู้เฒ่า  อายุ  ๑๐๐  กว่าปี  และอาจแสดงออกในรูปของ
สามเณร  นี่เป็นปกติของพระโลกอุดร

               ทำไมเขาจึงเรียกฉันเป็นพระโลกอุดร  เพราะว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นอยากจะเห็นฉันมาก
ก่อนที่จะมีวันในวันนั้น  อยากจะเห็นฉันเป็นเวลาแรมปี  แต่ก็ม่มีโอกาสได้เห็น  เมื่อเขาสิ้นหวังที่จะได้
เห็น  เขาก็ได้เห็นฉันในวันนั้น คงจะเป็นสาเหตุอย่างนี้กระมัง  ที่เขาเรียกฉันว่า  พระโลกอุดร  ซึ่งเป็น
ความเข้าใจของชาวบ้าน  แตยังไงฉันก็ยังเป็นพระปกติอยู่  หรืออาจไม่ใช่พระ  เพราะมีพระมากมายมา
ถามฉันว่าเป็นพระหรือเปล่า  ฉันบอกฉันไม่ใช่พระ  พระดูกันตรงไหน  จะบอกว่าดูกันที่รูปถ่าย  การแต่ง
กายอย่างนี้ที่เป็นลักษณะของพระ  ไม่ถูกต้อง  พระมันอยู่ที่ใจ

                พระองค์ที่  ๑๐  หมายความว่าอย่างไร

                พระองค์ที่  ๑๐  ก็คือพระพุทธเจ้าองค์ที่  ๑๐  พระพุทธเจ้าองค์ที่  ๑๐  คือพระกกุสันธะ
เขานับเริ่มต้นจากพระกัสสปะองค์ที่  ๓  จนถึงพระกกุสันธะ  รับภาระธุระหน้าที่เผยแพร่พุทธศาสนาด้วน
กฎเกณฑ์  กติกา ของธรรมชาติ  ท่านไม่มรหลักการ  ไม่มีกฎเกณฑ์  ไม่มีตำราในสิ่งคำสอน  มีแต่
เพียงว่า  " ขอเธอทั้งหลายจงมุ่งมั่นหมายใจในการพิจารณาในสภาวะสิ่งแวดล้อม  ให้เป็นธรรมะที่ถูก
ต้อง " นี่คือคำสอนของพระองค์ที่  ๑๐  ฉะนั้น  คำสอนของฉันอาจจะเหมือนพระองค์ที่  ๑๐ ก็ได้

              มีอีกครั้งหนึ่ง  เขาเรียกฉันว่าพระพุทธเจ้า  ทำไมเขาจึงเรียกฉันว่าพระพุทธเจ้า   ครั้งนั้นฉัน
ไปนั่งอยูใต้ต้นโพธิ์  มีเก้าอี้แดงเวลานี้เขาก็สร้างศาลาเรือนแก้วไว้ให้ฉันอยู่  ก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปอยู่หรือ
เปล่า  วันที่เขาสร้าง  เขาส่งคนมาขอรูป  เพื่อจะไปหล่อรูปเหมือน  ฉันก็บอกว่า  เอ..ถ้าจะไม่เข้าท่า
ตรงที่คำสอนของฉัน  สอนให้ทุกคนไม่ยึด  ไม่ผูกพัน  ไม่ติด  ไม่รัดรึง  ไม่กราบไหว้  ไม่เคารพบูชาใน
ตัวฉัน  แต่จงเคารพในการปฏิบัติตัวเอง  ซึ่งประกอบด้วยสติปัญญา  ความสามารถและการเรียนรู้  แล้ว
ทำไมฉันจึงต้องส่งรูปไปให้เขาหล่อ  ก็เลยไม่อนุญาตในการถ่ายรูป

         ทำไมเขาถึงเรียกฉันว่าพระพุทธเจ้า       เพราะฉันนั่งห้อยขา  มีพระสมุนมือขวามานวดให้ฉัน
ก็คงจะนวด  เพราะว่าเริ่มนั่งตั้งแต่ตี  ๕  ถึง  ๔  โมงเย็น เลือดลมมันก็ลงไปกองอยู่ที่พื้นหมด  นวดไป
นวดมาเขาก็ไปพลิกฝ่าเท้า  เขาบอกว่าเขาเห็นกงจักรที่ฝ่าเท้าทั้ง  ๒  ข้างของฉัน  เขาเลยพาลเรียก
ฉันว่าพระพุทธเจ้า  ซึ่งฉันมามองอยู่ตั้งนาน  ยังไม่เห็นกงจักรเลย  ที่เห็นแนๆคือรอยฝ่าเท้า

            นี่เป็นสาเหตุให้เขาเรียกฉันว่าพระโลกอุดร  พระองค์ที่  ๑๐  พระพุทธเจ้า  แล้วก็หลวงปู่  คำ
ว่า หลวงปู่  นี่เริ่มเรียกจากหมู่คนที่วัดนั้นเหมือนกัน

               สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นความถูกต้อง  ไม่ถูกต้อง  ฉันไม่เข้าใจ  ฉันเข้าใจอยู่เพียงว่าใจฉัน
สบายเป็นปกติ  มีความรู้สึกเฉยๆ  ในคำเรียกเหล่านั้น  และมีความรู้สึกไม่ผูกพัน  ไม่ยึดถือ  ไม่สนใจ
ถ้าฉันอยากไปแสดงตัว ง่ายนิดเดียว  เดินไปพักเดียว  เดี๋ยวก็ได้เจอความอัศจรรย์  นั่นก็จะเป็นเหมือน
สิ่งที่ผ่านมา  พวดเราก็อย่าไปสนใจ  อย่าไปวุ่นวายและอย่าไปสืบอายุ  อย่าไปค้นหา  ขอเพียงฉันเป็น
ผู้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจเป็นใช้ได้

                ทีนี้คนจะเห็นฉันหนุ่ม   เห็นฉันแก่  เห็นฉันขาว  เห็นฉันดำ  เห็นฉันอ้วน  เห็นฉันมีอายุ
ปานกลาง  มีอายุปฐมวัย  ปัจฉิมวัย  ยังไงก็แล้วแต่  นั้นถือว่าเป็นเรื่องตาของชาวบ้าน

                 ความจริงฉันไปวันนั้นไม่ได้มีเจตนาอะไร  เพียงอต่ทำหน้าที่ในการแสดงออก  ความจริง
วันนั้นมีพระประมาณ ๒๐๐  กว่ารูปในศาลาหลังเก่าริมน้ำวัดจันทาราม  ซึ่งฉันก็ไปรวมอยู่กับพระทั้ง
หลายแต่บรรดาผู้คนทั้งหลาย  ก็ไม่ทราบว่าตาจะสูงจะต่ำอบ่างไร  ก็มาจับเอาฉันเริ่สต้นจากที่ฉันไปนั่ง
อยู่กับพระ  ความจริงก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร  แต่เมื่อพวกเราสงสัยอยากจะรู้

                  วันนั้นฉันไปนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้  เป็นตอไม้อยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง  ฉันกำลังเล่าเรื่องอดีต
ของการสร้างวัด  แล้วก็เล่าเรื่องเจดีย์สามองค์ที่ล่มลงไปในแม่น้ำ  กับลูกศิษย์  ๓  คนที่เขาตามไป
จากกรุงเทพฯ  ในขณะที่เล่าอยู่นั้น  มีชาวบ้านมาฟังหลายคน  สุดท้ายฉันก็ไปสรงน้ำในแม่น้ำสะแก
กรัง  วันนั้นมันคงจะเกิดปาฏิหาริย์  ในขณะที่ฉันสรงน้ำลำน้ำมันไหลทวนกลับ  ปกติมันไหลลงใต้
พวกชาวบ้านเห็นเป็นเรื่องอัศจรรย์ผิดปกติ  ตั้งแต่นั้น  เลยนอนไม่ได้  กลางคืน ตี  ๑  ตี  ๒  ก็มาถ่าย
รูป  จะนอนท่าไหนก็ถ่ายหมด  เลยหลบไปอยู่ใต้พุ่มไม้  ก็มีคนตามไปที่พุ่มไม้  สุดท้ายก็ตามจองเวร
กันไม่รู้จักจบจักสิ้น     
             
 ครั้นรุ่งขึ้นเข้าไปนั่งสมาธิในโบสถ์เก่า  มันก็พากันไปรอเป็นพันคน  พอออกมาเสร็จเรียบร้อย  ตั้งแต่ตี
ห้าครึ่งถึงสี่โมงเย็นไปไหนไม่ได้

                  ของถวายมีก๋วยเตี๋ยว  ขนม  กับข้าวมีมาก  แต่ก็ฉันไม่ได้  มันมีหลายสาเหตุ

๑)  กลางคืนทั้งคืนไม่ได้นอน  กลางวันไม่ได้พัก  โรคที่มันเป็นอยู่ในกระเพาะก็ทรมาน  จึงทำให้ฉัน
อะไรไม่ได้

๒)  ผู้คนมากันมากมาย  พากันมานั่งรอ  ถ้าจะไปนั่งฉัน ก็เป็นเรื่องผิดปกติวิสัย  เพราะคนเหล่านั้นต้อง
การจะถามปัญหา  ภาระธุระที่มีอยู่  ถือว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันอาหารไม่ได้

                 ตอนเย็นแล้วก็กลับมาที่พัก  ความจริงแล้วเขาให้คนมานิมนต์ให้อยู่ต่อ  แต่ฉันมีความ
รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง  ไม่ถูกต้องที่ฉันต้องไปทำภาระอย่างอื่น  การอยู่ต่อก็เป็นการมาผูกพัน  รัดรึงเหนียว
แน่นเกินไปเลยรีบหนีออกมาตอนนั้น  เขาก็ส่งคนมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่วันนั้นมา  ฉันก็มีความรู้สึกไม่ถูกต้อง
ที่ส่งคนมา  และขอรูปที่จะปั้นรูปไว้  วันนั้นเข้าใจว่าจะได้สตางค์ที่ติดกัณฑ์เทศน์ซึ่งชาวบ้านเขาถวาย
ตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็ประมาณร่วมสามแสนกว่าบาท  ทองอีกประมาณ  ๒๗  บาท เพชรนิลจินดา แก้ว
แหวนเงินทองก็มากพอสมควร  มากขนาดพานทองเส้นผ่าศูนย์กลาง  ๕  นิ้วใส่ถึง  ๓  พาน ฉันก็ไม่
ได้สนใจ  มีพระที่นั่นเขาเก็บไป  ไม่ใช่ว่าฉันให้เงินเขามากมาย  แล้วเขาเรียกฉันว่าหลวงปู่หรอกนะ
คำเรียกหลวงปู่  เขาเริ่มเรียกตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันเหยียบเข้าไปในอุทัยธานี  ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันไป
ก็เป็นเรื่องธรรมดามันผ่านไปแล้วก็ผ่านไป

จาก http://malabuchakhun.blogspot.com/2014/03/10.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 24, 2016, 09:06:01 pm โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...