เปิดประสบการณ์หนี้บัตรเครดิต ชีวิตจริงที่ผิดมากกว่าสองครั้ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 สิงหาคม 2553 17:11 น.
ใครหลายคนอยากเป็นคนมี "เครดิต" กับบัตรพลาสติกใบเล็ก ๆ ที่พกแล้วดีมีสิทธิประโยชน์มากมาย แต่เรื่องเล่าของคนที่ผิดพลาดจากการใช้งานบัตรเครดิตก็มีออกมาเตือนใจไม่น้อย จึงไม่แปลกที่จะยกฐานะของบัตรเครดิตมาเปรียบเทียบกับดาบสองคม แถมคมที่อยู่ในด้านมืดของบัตรเครดิตนี้ก็พร้อมจะทำลายผู้ใช้ด้วยความประมาท หรือใช้ด้วยความโลภให้บาดเจ็บเจียนตายได้อย่างง่ายดายเสียด้วย
ทีมงานได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณเอก (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี ผู้ที่ยอมรับว่าชีวิตเขากำลังล้มเหลวว่า เขาเป็นหนึ่งในคนที่หลงใช้ชีวิตผิดพลาด มีหนี้ท่วมตัวจนถึงขั้นล้มละลาย ผ่านเครื่องมือทางการเงินที่มีชื่อว่า "บัตรเครดิต" โดยคุณเอกเริ่มต้นเรื่องราวของเขาว่า เขามีบัตรเครดิตครั้งแรกตั้งแต่ยังเรียนในระดับอุดมศึกษาอยู่เลยทีเดียว
"ตอนนั้นใช้บัตรเสริมของคุณพ่อ โดยยอดการใช้จ่ายคุณพ่อเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด พี่น้อง 3 คนมีบัตรเสริมกันทุกคน แต่ละคนรูดใช้จ่ายกันอย่างไร ไม่มีใครทราบ สิ้นเดือนคุณพ่อเป็นคนเคลียร์ให้" คุณเอกเล่าย้อนถึงรูปแบบการใช้เงินของตนเองในอดีต
เมื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เขาเข้าทำงานในบริษัทมีชื่อแห่งหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่ภูมิใจแก่พ่อแม่เป็นอันมาก ในฐานะที่ลูกชายคนโตได้ดีทั้งด้านการเรียนและการงาน ท่านทั้งสองจึงปล่อยให้เขาบริหารชีวิตด้วยตัวเอง ขณะเดียวกัน ในยุคนั้น บริษัทบัตรเครดิตกำลังเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายมาเป็นกลุ่มบัณฑิตจบใหม่ เขาตัดสินใจสมัครใช้งาน เพื่อให้มีบัตรเครดิตของตนเอง คุณเอกยอมรับว่า เพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันก็ได้รับข้อเสนอดี ๆ จากบริษัทบัตรเครดิตเช่นนี้หลายราย
จากคน ๆ หนึ่งที่เคยใช้แค่บัตรเสริม เมื่อมีบัตรเครดิตใบที่ 1 สถาบันทางการเงินก็เริ่มยื่นข้อเสนอให้เขามีบัตรใบที่สอง สาม สี่ มาเรื่อย ๆ จนถึงวันที่เขาหมดตัวล้มละลายนั้น เขามีบัตรพลาสติกเหล่านี้ในกระเป๋ามากกว่า 10 ใบ คุณเอกเล่าถึงสาเหตุของการวางแผนทางการเงินที่ผิดพลาดว่า นอกจากรูดบัตรแล้ว ยังมีการกดเงินสดออกมาใช้ล่วงหน้า ซึ่งค่าธรรมเนียมของการกดเงินสดเหล่านั้น ทางคุณเอกไม่ได้ศึกษาให้ดีเสียก่อน
"ทางบัตรเครดิตเองก็มีบริการผ่อนชำระ จ่ายแค่ขั้นต่ำของยอดที่ต้องชำระก็ได้ ทำให้ชะล่าใจ จ่ายแค่นิดเดียว พอจ่ายแค่ขั้นต่ำ เงินเดือนที่เหลือเยอะขึ้นก็เลยเอาไปใช้จ่ายมากขึ้น หนี้ก็เริ่มมากขึ้น ๆ ๆ สุดท้ายก็ต้องสมัครบัตรใหม่ เพื่อกดเงินด่วนออกมาจ่ายชำระหนี้บัตรเครดิตใบเก่า เป็นวัฏจักรเช่นนี้ บัตรก็เริ่มมีเยอะขึ้น ๆ จนในที่สุด ยอดหนี้ก็เยอะเกินกว่าที่เงินเดือน ๆ หนึ่งจะสามารถจ่ายได้"
ในเวลานั้น เขาอ้างว่า เหตุที่ใช้เงินเกินตัวเพราะอยู่ระหว่างการสร้างฐานะ และเริ่มต้นชีวิตครอบครัวของตัวเองด้วยการมีลูกชาย 1 คน ส่วนภรรยาก็ไม่ได้ทำงาน จึงเป็นเหตุให้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของครอบครัว เขาต้องรับผิดชอบคนเดียว
เมื่อมีปัญหาทางการเงิน เขาจึงตัดสินใจกลับไปขอความช่วยเหลือจากทางบ้าน แต่ก็ต้องอึ้งเป็นคำรบสอง เมื่อทราบว่า พ่อของเขาซึ่งเคยเป็นหัวหน้าครอบครัวคนเก่ง หาเงินให้ลูก ๆ ใช้จ่ายมาตลอดนั้นก็ประสบปัญหาทางการเงินเช่นเดียวกัน โดยหนี้ที่พ่อของเขาก่อขึ้นนั้น ล้วนมาจากการใช้จ่ายภายในครอบครัวทั้งสิ้น
"มาทราบว่าพ่อเองก็เจอปัญหาเช่นเดียวกัน จนพ่อต้องออกจากงาน และเอาเงินที่เก็บสะสมไว้ตลอดการทำงาน 30 กว่าปีไปใช้หนี้จนหมด ทำให้ย้อนนึกถึงตอนที่เด็ก ๆ ที่เรารูดบัตรพ่อไปใช้ แต่พ่อไม่เคยบ่น ไม่เคยว่า เราจึงไม่รู้เลยว่าพ่อเองก็มีปัญหาทางการเงินเช่นกัน ตอนนี้จึงเท่ากับว่า เราต้องรับผิดชอบทั้งครอบครัวตัวเองและพ่อแม่ เพราะหนี้ของพ่อทำให้เงินเก็บหลังเกษียนหมดลง"
เมื่อไม่สามารถพึ่งครอบครัวได้ คุณเอกจึงตัดสินใจบ่ายหน้าไปหาญาติพี่น้อง โดยเขาได้รับความช่วยเหลือจากคุณลุงผู้เป็นพี่ชายของพ่อ ด้วยคุณลุงท่านนี้เป็นคนที่ค่อนข้างมีหน้าที่การงานมั่นคง อีกทั้งยังเป็นโสด ไม่มีครอบครัว เขาจึงขอหยิบยืมเงินจากคุณลุงจำนวน 1 ล้านบาทเพื่อไปใช้หนี้
แม้คุณเอกจะเล่าว่า เขาต้องยอมให้คุณลุงท่านนี้ดุด่าว่ากล่าวอยู่นานหลายชั่วโมงถึงการบริหารเงินที่ผิดพลาดด้วยความผิดหวัง เพราะเขาเป็นหลานที่คุณลุงรักมาก กว่าที่เขาจะได้รับเงินก้อนนี้มา แต่ในอีกมุมหนึ่ง นี่ก็เป็นวิธีหาเงินที่ง่าย และรวดเร็วที่สุดแล้ว
แต่เงินที่ได้มาง่าย ๆ ก็ไม่ได้สร้างบทเรียนอะไรให้กับชีวิต ....
ทันทีที่ได้เงินมา แทนที่เขาจะนำไปจ่ายชำระหนี้ของบัตรเครดิตแต่ละใบให้หมด แล้วเลิกใช้งานบัตรเครดิตเหล่านั้น เริ่มต้นชีวิตใหม่ เขากลับนำเงินบางส่วนมาใช้ในชีวิตประจำวัน ขณะที่ยอดหนี้ก็ยังเดินหน้าคิดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง
คุณเอกบอกว่า เขารอจนถึงวันครบกำหนดชำระ จึงค่อยไปจ่ายเงิน แต่ทันทีที่จ่ายเงินชำระหนี้ไปแล้ว บัตรเครดิตใบนั้นของเขาก็ประหนึ่งกลับมามีชีวิต เขาสามารถรูด-กดเงินสำรองมาใช้ได้อีกครั้ง!!
เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด เงิน 1 ล้านบาทที่ได้รับมาก็หมดลง โดยที่หนี้ของเขาไม่ได้หมดตามไปด้วย
อย่างไรก็ดี หนี้ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขาไม่สามารถจะบากหน้ากลับไปหาคุณลุงท่านเดิมได้อีกต่อไปแล้ว เขาจึงมองหาญาติพี่น้องของพ่อคนต่อไป รายแล้วรายเล่า จนทุกคนได้แต่ส่ายหน้าเมื่อเขาและพ่อแวะเวียนไปหา
"หลัง ๆ ไม่มีใครช่วยแล้ว ก็ต้องหาทางช่วยตัวเอง แต่ก็ยังดีที่คุณลุง (คุณลุงท่านแรกที่เคยให้ยืมเงิน 1 ล้านบาท) ยังช่วยค่าใช้จ่ายของพ่อบ้าง ตอนนี้งานที่ทำอยู่ก็ต้องลาออก เพราะบริษัททวงหนี้ได้ทำให้ความน่าเชื่อถือของเราหมดลง คนในองค์กรก็ไม่ยอมรับอีกต่อไป เลยก็ต้องมองหางานเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำไปก่อน" คุณเอกเล่า
ส่วนครอบครัวนั้น เขาเล่าว่า กำลังมีปัญหากับภรรยา จากที่ก่อนหน้านี้ ครอบครัวของภรรยาเชื่อว่าเขาเป็นคนมีฐานะดี มีรายได้สูง จึงตั้งความหวังกับเขาเอาไว้มาก เมื่อทราบความจริงว่า เขาในตอนนี้อยู่ในสภาพเกือบ ๆ จะล้มละลาย เงินไม่มีให้เหมือนเดิม ก็ปฏิบัติต่อเขาเปลี่ยนไป
"ตอนนี้ก็แยกกันอยู่ กลับมาอยู่บ้านพ่อ แล้วให้พ่อช่วยเลี้ยงลูกให้ เงินที่ใช้ก็เป็นของคุณลุง แล้วก็พยายามหางานทำอยู่" คุณเอกยอมรับแบบไม่อาย
หลายคนที่เคยประสบปัญหาทางการเงินเช่นเดียวกับคุณเอก อาจมีทางออกให้กับตัวเอง ทั้งการหักดิบ ตัดบัตรทิ้ง ยกเลิกทุกอย่าง และก้มหน้าก้มตาใช้หนี้จนหนี้หมด จนสามารถเริ่มต้นชีวิตได้ใหม่ แต่สำหรับคุณเอกนั้น แม้ครึ่งชีวิตที่ผ่านมา เขาได้ทำลายมันให้ย่อยยับลงไปจากพฤติกรรมการใช้เงินที่ผิดพลาด ทุกวันนี้ เขาก็ยังไม่แน่ใจกับตัวเองนักว่าจะสามารถเข้าใจ หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินได้หรือไม่
"อยากฝากถึงคนที่เริ่มต้นใช้บัตรเครดิต ขอให้ใช้อย่างระมัดระวัง อย่าคิดว่าจ่ายขั้นต่ำก็พอ เพราะจะทำให้วินัยทางการเงินเราเสีย และอาจส่งผลถึงครอบครัวได้ในที่สุด" คุณเอกกล่าวทิ้งท้าย
Life & Family - Manager Online -