แสงธรรมนำใจ > หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์

ความสงบจากชิ้นส้ม : ท่านติช นัท ฮันห์

(1/2) > >>

มดเอ๊กซ:

 
 
ความสงบจากชิ้นส้ม
ท่านติช นัท ฮันห์

ถ้าหากว่าขณะล้างจาน
เราไปคิดถึงแต่ว่าเดี๋ยวจะดื่มน้ำชาหรือคิดถึง
เรื่องอื่นที่จะมาในอนาคต
เราก็จะรีบล้างจานให้เสร็จๆไป
เหมือนกับว่าเป็นงานที่น่ารำคาญเหลือเกิน

นั่นแหละ "เราไม่ได้ ล้างจานเพื่อที่จะล้างจาน" แล้ว

และยิ่งกว่านั้น ตอนล้างจานเราก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่ด้วย
เราไม่อาจจะเข้าถึงความอัศจรรย์ของชีวิต
ขณะที่เรายืนอยู่ที่อ่างล้างจานได้ และถ้าเราล้างจานไม่เป็น

ตอนที่เราดื่มน้ำชาเราก็ไม่ได้ดื่มน้ำชาด้วย
เพราะเราจะมัวไปนึกถึงเรื่องอื่นเสีย
เกือบจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเรามีถ้วยชาอยู่ในมือ
ด้วยเหตุนี้เราก็เลยหลงเข้าไปอยู่ในโลกของอนาคต

และจริงแล้วมันหมายความว่า
เรามีชีวิตอย่างแท้จริงไม่เป็นเลยสักนิดเดียว

เรื่องเกี่ยวกับส้มและจิมก็เป็นเหมือนอย่างนี้

มดเอ๊กซ:
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วจิมกับครูนั่งกินส้มด้วยกัน
และคุยกันถึงสิ่งที่เราจะทำในอนาคต

ในตอนนั้นถ้าเมื่อไรเราคิดถึงโครงการที่น่าทำ
หรืองดงามได้สักโครงการหนึ่ง
จิมจะจมดิ่งเข้าไปในโครงการนั้นอย่างเต็มที่

จนพูดได้ว่าเขาลืมนึกว่า
เขากำลังทำอะไรอยู่ในขณะปัจจุบัน

จิมหยิบส้มใส่ปากชิ้นหนึ่ง
และยังไม่ทันจะเริ่มเคี้ยวส้ม
อีกชิ้นหนึ่งก็เตรียมจะตามเข้าไป
เขาหยิบส้มใส่ปากชิ้นแล้วชิ้นเล่า
แทบจะไม่มีจังหวะหยุดเลย
ดูแทบจะไม่รู้ตัวเอาเลยว่าเขากำลังกินส้ม

ครูต้องปลุกจิมให้ตื่นขึ้นมารับรู้ว่า
ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
โดยบอกเขาว่า

" เธอควรจะกินส้มชิ้นที่เธอใส่เข้าไปในปากเสียก่อน "

ครูพยายามชี้ให้เขาเห็นว่า
เขาไม่ได้กินส้มอยู่เลย
เพียงแต่ใส่กลีบส้มเข้าปากกลีบต่อกลีบอย่างรวดเร็วเท่านั้น
ครูจึงดุเขา

และความจริงเขาก็ไม่ได้กินส้มอยู่จริงๆ
ถ้าจะพูดให้ถูกเขากำลังกิน "โครงการในอนาคต" มากกว่า

มีใครบางคนกล่าวไว้ว่า

"ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน
เวลามอง คุณก็จะไม่เห็น
ฟังแต่จะไม่ได้ยิน กินแต่จะไม่ได้ลิ้มรส"

มดเอ๊กซ:
ส้มผลหนึ่งมีหลายกลีบ
ถ้าเธอกินเป็นเพียงกลีบเดียว
เธอก็จะสามารถกินส้มทั้งผล
แต่ถ้ากินไม่เป็นแม้แต่เพียงกลีบหนึ่ง
เธอก็จะกินส้มทั้งผลไม่เป็นด้วย

จิมเป็นคนหัวไว พอครูพูดทัก เขาก็ค่อยๆวางมือลง
แล้วก็ใส่ใจกับส้มชิ้นที่อยู่ในปากอย่างจริงๆ เคี้ยวอย่างสุขุม
ก่อนที่จะก้มตัวลงหยิบชิ้นต่อไป อย่างที่ครูบอกแล้ว

ต่อมาภายหลัง เขาก็สามารถที่จะเข้าใจสภาพของห้องขัง
ในฐานะส้มกลีบหนึ่งและก็สร้างความสงบจากส้มกลีบนั้นได้

เมื่อ ๓๐ กว่าปีมาแล้ว ตอนที่ครูเพิ่งบวชใหม่ๆ
ครูได้รับหนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนโดย
ภิกษุ ดอก เถ แห่งวัด เบ๋า เชิน
ชื่อ "หลักการที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน"

พระท่านสั่งให้ครูท่องจำให้ได้
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือบางๆ หนาไม่เกิน ๔๐ หน้า
แต่ได้บรรจุความคิดทั้งหมดที่ท่านภิกษุดอก เถ
ใช้ในการเจริญสติสัมปชัญญะในเวลาทำการงานต่างๆ

อย่างเช่นเมื่อตื่นนอนตอนเช้า
ท่านสอนให้นึกในใจก่อนอื่นใดหมดว่า

"อ้อ ฉันตื่นแล้ว ขอให้มนุษย์ทุกคนได้บรรลุความตื่นอันยิ่ง
และตาสว่าง ปราศจากอวิชชา มองเห็นแจ้งตลอด ๑๐ ทิศ "

หรือเมื่อตอนล้างมือ ท่านฝึกสติโดยนึกในใจว่า

"ฉันล้างมือขอให้เพื่อนมนุษย์ทุกคนจงมีมือที่บริสุทธิ์ไว้รองรับสัจธรรม"

ในหนังสือนั้นเต็มไปด้วยประโยคที่ว่านี้
เพื่อช่วยให้ผู้เริ่มปฏิบัติได้ฝึกสติตลอดเวลา

ท่านอาจารย์เซน ดอกเถ ได้ฝึกพวกเรา สามเณร
ให้รู้จักเจริญสติตามพระสูตรแต่เป็นแบบง่ายๆ
ไม่ว่าเธอจะทำอะไร จะห่มจีวร ล้างจาน เข้าห้องน้ำ
ม้วนเสื้อเก็บ หิ้วน้ำ แปรงฟัน อื่นๆ
เธอก็สามารถจะใช้ความคิดอันใดอันหนึ่งจากหนังสือเล่มนั้นได้

เพื่อช่วยให้เธอมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมว่าเธอกำลังทำอะไร

มดเอ๊กซ:
ในมหาสติปัฏฐานสูตรกล่าวไว้ว่า

"เมื่อเดินอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเราเดินอยู่
เมื่อยืนอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเรายืนอยู่
เมื่อนั่งอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเรานั่งอยู่
เมื่อนอนอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเรานอนอยู่

เธอตั้งกายไว้ด้วยอาการใดๆ ย่อมรู้ถึงกายนั้น
ด้วยอาการอย่างนั้นๆ ด้วยอาการนี้
ที่เธอเป็นผู้อยู่ด้วยสติมั่นคงเห็นกายในกาย "

แต่การมีสติรู้เท่าทันอาการต่างๆของกายนั้นยังไม่พอ

ในมหาสติปัฏฐานสูตรยังกล่าวว่า
เราต้องมีสติรู้พร้อมถึงลมหายใจแต่ละครั้ง
การเคลื่อนไหวแต่ละหน
ความคิดทุกความคิด
และความรู้สึกทุกความรู้สึก

พูดง่ายๆ ว่า มีสติรู้ทั่วพร้อมถึงทุกสิ่งที่เนื่องกับตัวเรา

เป้าหมายแห่งคำสอนในพระสูตรคืออะไร?

เราจะหาเวลาที่ไหนมานั่งฝึกสติที่ว่านี้

ถ้าผู้ปฏิบัติงานของเราใช้เวลาทั้งวันฝึกสติ
เราจะมีเวลาพอให้กับการทำงาน
เพื่อการเปลี่ยนแปลงและสร้างสรรค์สังคมใหม่ได้อย่างไร?

การเดินบนพื้นโลกเป็นเรื่องปาฏิหารย์

มดเอ๊กซ:
สตีฟทำอย่างไรขณะที่ช่วยโทนีทำการบ้าน
เอาผ้าอ้อมของซูไปร้านซักรีด
ทำไมเขาจึงสามารถฝึกสติไปด้วยได้

สตีฟกล่าวว่าตั้งแต่เริ่มพิจารณาว่า
เวลาที่ให้กับโทนีและแอนนั้นเป็นเวลาของเขาเองแล้ว
เขาก็มี “ เวลาของตัวเองอย่างไม่มีขีดจำกัด”

แต่บางทีอาจจะเป็นเพียงหลักการเท่านั้นก็ได้
เพราะคงมีเวลานับครั้งไม่ถ้วนที่เขาอาจลืมไป

โดยลืมคิดว่าเวลาที่เขาอยู่ทำการบ้านกับโทนีนั้นเป็นเวลาของเขาเอง

คงมีบางครั้งที่เขารู้สึกอยากให้เวลามันผ่านไปเร็วๆ
เพราะดูมันเป็นการเสียเวลาสำหรับเขา
ถ้าเวลานั้นไม่ใช่เวลาของเขาเอง

ดังนั้น ถ้าเขาต้องการเวลาของตนเองอย่างไม่มีขีดจำกัดจริงๆ
เขาต้องคิดตลอดเวลาว่า “นี่เป็นเวลาของฉัน”
ในขณะที่อยู่กับโทนี

แต่ในช่วงเวลานั้นๆ เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากจิตใจของเราจะวอกแวกด้วยความคิดอันอื่น

ดังนั้นหากใครต้องการจะให้
มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมตลอดเวลาละก็
ผู้นั้นก็ต้องเริ่มฝึกในช่วงเวลาที่จัดไว้สำหรับฝึกสมาธิ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version