ปริเฉทที่ ๑๔
ธรรมทายาทวรรค
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับพระศรีอารยเมตไตรยโพธิสัตว์ว่า
“ดูก่อนเมตไตรยะ ตถาคตมอบหมายพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรมซึ่งสร้างสมมาตลอดอสงไขยกัลป์
อันบ่อาจประมาณได้ให้ไว้แก่เธอ ณ กาลบัดนี้ อันพระสูตรมีนัยเภทดังกล่าวมาแล้วนี้ ในสมัยเมื่อตถาคตดับขันธปริ
นิพพานแล้ว เธอทั้งหลาย (ตรัสรวมผู้เข้าประชุมด้วย) พึงสำแดงอานุภาพ ประกาศแพร่หลายซึ่งธรรมนั้น ทั่วชมพู
ทวีปสืบไป อย่าให้ขาดถึงวิบัติเป็นอันขาด ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ก็เพราะว่าถ้าในกาลอนาคตภายภาคหน้า จักมี
กุลบุตรกุลธิดา กับทั้งทวยเทพ นาคา อสูร ยักษ์ คนธรรพ์ รากษส เป็นอาทิ ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิ
ญาณ มีความยินดีในธรรมอันกว้างใหญ่นี้ สัตว์เหล่านั้น ถ้ามิได้สดับพระสูตรเห็นปานนี้ ก็เสื่อมจากประโยชน์อันพึงได้
โดยแท้ ก็แลหารสัตว์เหล่านั้น ได้สดับพระสูตรดังกล่าวนี้แล้ว จักมีศรัทธาปสาทะมาก จักบังเกิดจิตที่หาได้ยาก น้อม
เทิดทูนพระสูตรดังกล่าวด้วยเศียรเกล้าของเขา เพราะเหตุนั้นเธอทั้งหลายพึงประกาศให้แพร่หลาย ให้สมควรแก่
ประโยชน์อันสรรพสัตว์จักพึงได้เกิด.”
“ดูก่อนเมตไตรยะ เธอพึงรู้ไว้ด้วยว่า อันพระโพธิสัตว์นั้น มี ๒ ลักษณะ ก็ ๒ ลักษณะนั้นเป็นไฉน ?
๑. คือ พระโพธิสัตว์ที่ยินดีเพลิดเพลิน ในเรื่องสำนวนอักขรโวหารบัญญัติ.
๒. คือ พระโพธิสัตว์ที่มิได้ครั่นคร้ามหวาดกลัวต่ออรรถธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพ สามารถจักเข้าถึง
ซึมซาบได้.
ก็พระโพธิสัตว์ใด ที่ยินดีเพลิดเพลินในเรื่องสำนวนอักขรโวหารบัญญัติ พึงรู้ได้ว่า เป็นพระโพธิสัตว์
นวกะ พระโพธิสัตว์ใดปราศจากความเพลิดเพลินยินดี ปราศจากความยึดถือ ปราศจากความครั่นคร้ามในพระสูตร
อันล้ำลึก สามารถเข้าถึงแก่นสารในพระสูตรนั้น ครั้นได้สดับซึ่งพระธรรมนั้นแล้ว ก็มีจิตสะอาดผ่องแผ้ว ธำรงรักษา
ไว้ได้ แลสาธยายเล่าบ่นกับทั้งอาจปฏิบัติตามธรรมดั่งกล่าว พึงรู้ได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์รัตตัญญู อบรมปฏิบัติโพธิสติ
ยามานานกาล อนึ่งเมตไตรยะ ! ยังมีธรรมอยู่ ๒ ประการ ซึ่งนวกโพธิสัตว์มิสามารถตัดสินเด็ดขาดในอรรถธรรมอัน
สุขุมคัมภีรภาพได้ ก็ ๒ ประการนั้นเป็นไฉน !
๑. พระสูตรอันมีนัยล้ำลึกใด ซึ่งนวกโพธิสัตว์ได้สดับแล้วบังเกิดความครั่นคร้ามกังขา ไม่สามารถ
อนุโลมตาม แลกล่าวจ้วงจาบโดยไร้ศรัทธาว่า ธรรมเหล่านี้เราบ่เคยได้ฟังมาก่อนเลย ได้มาจากผู้ใดกัน ? ประการ
หนึ่ง.
๒. บุคคลที่เขาอภิบาลซึ่งพระสูตรอันมีนัยล้ำลึก แลเขาแสดงประกาศซึ่งพระสูตรนั้น นวกโพธิสัตว์ก็
ไม่ยอมเข้าใกล้ สักการบูชาบุคคลผู้นั้น อนึ่ง ยังกล่าวโทษตำหนิติเตียนบุคคลผู้นั้นอีกด้วยอีกประการหนึ่ง.
ก็ทั้ง ๒ ประการนี้ เธอพึงสำเหนียกไว้เถอะว่า เป็นการกระทำซึ่งทำลายตนเองของนวกโพธิสัตว์ ผู้ไม่
สามารถควบคุมจิตของเขาในท่ามกลางธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพได้ อนึ่ง เมตไตรยะ ! ยังมีโทษอยู่อีก ๒ ประการ ซึ่ง
พระโพธิสัตว์ผู้ตัตตัญญูผู้มีศรัทธาเข้าใจในธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพ แต่เป็นการทำลายตนเอง มิสามารถบรรลุอนุต
ปาทธรรมกษานติได้ ๒ ประการนั้นเป็นไฉน ? คือ
๑. รัตตัญญูโพธิสัตว์ใด ดูหมิ่นนวกโพธิสัตว์ ไม่ว่ากล่าวอบรมสั่งสอนตักเตือนนวกโพธิสัตว์นั้น.
๒. แม้ว่าจะมีความเชื่อความเข้าใจในธรรมอรรถอันลึกซึ้ง แต่ยึดถือในวิกัลปลักษณะ นี้แลธรรม
๒ ประการ
พระศรีอารยเมตไตรยโพธิสัตว์ ครั้นได้ฟังพระพุทธดำรัสแล้วจึงกราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค อัศจรรย์ยิ่งนักแล้ว พระพุทธเจ้าข้า เป็นไปตามพระพุทธบรรหารโดยแท้ ข้า
พระองค์จักเว้นจากโทษดังที่กล่าวมาแล้วจักเป็นผู้ธำรงรักษาพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรม ซึ่งพระสุคตเจ้าสร้างสม
ไว้นับอสงไขยกัลป์ประมาณมิได้ ในอนาคตกาลภายหน้าหากมีกุลบุตรกุลธิดาใด ผุ้ปรารถนาศึกษามหายานธรรม ข้า
พระองค์จักยังเข้าให้ได้ถือเอาพระสูตรดังกล่าวนี้ไว้ในหัตถ์* แลด้วยกำลังแห่งอานุภาพจักยังเขาให้สามารถธำรงไว้
สวดสาธยาย กับทั้งแสดงประกาศแก่ผู้อื่น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกาลอนาคตผู้ใดซึ่งสามารถธำรงไว้ซึ่งพระสูตร
เป็นต้นดังกล่าวนี้ สามารถสวดสาธยายและประกาศแก่ผู้อื่น เขาพึงสำเหนียกว่า นี้เป็นอานุภาพบันดาลให้เป็นไปของ
ข้าพระองค์ ผู้มีนามว่าเมตไตรยะพระพุทธเจ้าข้า.”
พระบรมศาสดา ตรัสว่า
“สาธุ ! สาธุ ! เมตไตรยะ ! เป็นดั่งที่เธอกล่าว ตถาคตอนุโมทนาสาธุการแก่เธอด้วย.”
ลำดับนั้นแล บรรดาโพธิสัตว์ทั้งปวง ต่างก็อัญชลีกรกราบทูลขึ้นว่า
“แม้พวกข้าพระองค์ก็เหมือนกัน พระเจ้าข้า เมื่อพระสุคตเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว จักประกาศ
พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรมให้แผ่ไพศาลทั่วสรรพโลกธาตุในทศทิศ อนึ่ง จักเป็นผู้นำแก่ผู้ประกาศธรรมให้พระสูตร
นี้ด้วย.”
สมัยนั้น ท้าวจาตุมมหาราช ก็กราบทูลขึ้นว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในสถานที่ใด จักเป็นคามนิคมชนบทราชธานี บรรพต วนาสณฑ์ ป่าชัฏใด ๆ
หากจะมีซึ่งพระสูตรนี้ประดิษฐานอยู่ก็ดี มีผู้สาธยายประกาศซึ่งพระสูตรนี้ก็ดี ข้าพระองค์จักนำบริวารมาสดับพระ
ธรรมเทศนา ณ สถานที่นั้น ๆ พิทักษ์คุ้มครองบุคคลนั้น ภายในบริเวณภูมิดลโดยรอบร้อยโยชน์ จักป้องกันมิให้ภัย
พาลมาก่อกวนได้ พระพุทธเจ้าข้า.”
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า
“ดูก่อนอานนท์ เธอจงธำรงไว้ซึ่งพระสูตรนี้ แลประกาศแสดงให้แผ่ไพศาลเถิด.”
พระอานนท์กราบทูลว่า “อย่างนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ธำรงพระสูตรสำคัญไว้แล้ว
พระพุทธเจ้าข้า ก็พระสูตรนี้จักมีนามว่าอย่างไร ?”
ตรัสว่า “อานนท์ ! พระสูตรนี้มีนามว่า วิมลเกียรตินิทเทสสูตร หรือ อจินไตยวิมุตติธรรมทวารสูตร
เธอพึงทราบเอาไว้อย่างนี้แล
เมื่อพระผู้มีพระภาคแสดงพระธรรมบรรยายนี้อวสานลง ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี พระมัญชุศรี
โพธิสัตว์ พระสารีบุตรเถรเจ้า พระอานนทเถรเจ้าเป็นอาทิ กับทั้งบรรดาทวยเทพ อสูรประชุมชนทั้งนั้น บรรดาที่ได้
สดับพระพุทธภาษิต ต่างก็มีโสมนัสปรีดาร่าเริงในธรรม มีศรัทธาปสาทะ น้อมรับปฏิบัติตามด้วยประการฉะนี้แล.
ปริเฉทที่ ๑๔ ธรรมทายาทวรรค จบ.
วิมลเกียรตินิทเทสสูตร อวสาน.
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=khunz&date=22-07-2009&group=18&gblog=21