งานขายขนมไทย ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นผู้ประกอบการชายสนใจ แต่เมื่อต้องกลายเป็นทายาทธุรกิจ ทำให้ “ โบ๊ท” หนุ่มวัย 30 ปี ต้องเข้าสู่วงการนี้อย่างเต็มตัว แม้ในช่วงแรกต้องปรับตัวเพื่อเรียนรู้ธุรกิจอยู่บ้าง แต่สุดท้ายธุรกิจขนมไทยก็กลายเป็นอาชีพที่รัก และมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ พร้อมต่อยอดธุรกิจด้วยความตั้งใจจริง ทุ่มเทให้กับ “ร้าน แก้วจีบ ข้าวเกรียบปากหม้อทรงเครื่อง” ให้เป็นที่รู้จักให้หมู่คนรักสุขภาพ
เอกภักดิ์ อารีย์พงศา ทายาทธุรกิจร้านแก้วจีบ ข้าวเกรียบปากหม้อทรงเครื่องเจ้าแรกในประเทศไทย เล่าว่า ตนเองถือเป็นผู้สืบทอดธุรกิจนี้จากผู้เป็นแม่ผู้เริ่มต้นธุรกิจ โดยสูตร ขนมมาจากคุณยายที่ชื่นชอบการทำขนมไทยมายาวนาน จนกระทั่งผู้เป็นแม่ต้องออกจากงานประจำ ในบริษัท ที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้ารถยนต์ ต้องปิดตัวลง ดังนั้นจึงคิดทำธุรกิจ โดยนำสูตรข้าวเกรียบปากหม้อมาพัฒนา พร้อมนำร่องเปิดร้านที่ตลาดบองมาเช่ ย่านประชาชื่น หลังจากที่ทำการสำรวจตลาดในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีร้านขายข้าวเกรียบปากหม้อเลย จึงตัดสินใจเริ่มต้นทำธุรกิจนี้
“ในช่วงแรกแม่ได้นำสูตรข้าว เกรียบปากหม้อสูตรโบราณ ของคุณยายมาลองทำ และปรับปรุงสูตร โดยเฉพาะไส้ของขนมให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่าง และหลังจากที่แม่มาเปิดร้านที่ตลาดบองมาเช่ ทำให้รู้ว่า กลุ่มคนที่เดินเลือกซื้อสินค้าในแห่งนี้ส่วนใหญ่ จะเป็นผู้ที่รักในสุขภาพ และเป็นลูกค้าระดับพรีเมียม ดังนั้นแม่จึงเริ่มปรับเปลี่ยนไส้ให้เป็นแบบเพื่อสุขภาพมากขึ้น เช่น นำงาดำมาเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุดิบที่นำมา และต่อยอดนำงาดำมาคลุกแทนมะพร้าว ในการทำขนมถั่วแปบ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้า”
เมื่อคุณยายชอบทำขนมไทย ดังนั้นสูตรขนมต่างๆ จึงมีมากมาย ให้เลือกไปลองทำขาย ซึ่งทางร้านแก้วจีบ ก็ได้นำสูตรขนมถั่วแปบมาพัฒนาด้วย แต่ทำในลักษณะถั่วแปบแบบทำสด โดยอาศัยกรรมวิธีคล้ายกับการทำข้าวเกรียบปากหม้อ สนนราคาของขนมใน ร้านอยู่ที่ชุดละ 30-50 บาท ในขณะที่ชุดที่จัดเรียงเป็นถาดเหมาะเป็นของฝากอยู่ที่ 120 บาท
ส่วนที่มาของข้าวเกรียบปากหม้อทรง เครื่องนั้น มาจากการที่นายเอกภักดิ์ เห็นก๋วยเตี๋ยวลุยสวน ที่มีหน้าตาไม่ต่างจากข้าวเกรียบปากหม้อของตนเองมากนัก จึงพัฒนาเป็นข้าวเกรียบปากหม้อทรงเครื่อง ที่นำไส้แบบอาหารคาวเข้ามาประยุกต์ จนกลายเป็นข้าวเกรียบปากหม้อไส้กุ้งสด กับมะพร้าวอ่อน นำมาปรุงรสเค็ม (รับประทานคู่กับน้ำจิ้มกะทิสด) และไส้ไก่ ผสมแครอท และงาดำกับเห็ดหอม (รับประทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด) และไส้มังสวิรัติ
สำหรับจุดเด่นของบรรดาขนมไทยร้านแก้ว จีบ จะอยู่ที่ความสดใหม่ของแป้ง และไส้ขนมที่ไม่ค้างคืน ในขณะที่สีของแป้งที่นำมาทำจะเป็นสีจากธรรมชาติล้วนๆ ทำให้ลูกค้าติดอกติดใจ ไม่ว่าจะเป็นข้าวเกรียบปากหม้อ ถั่วแปบ สาคู ที่เป็นขนมเน้นขายหน้าร้านเป็นประจำทุกวัน ในขณะที่ขนมไทยอื่นๆ จะทำเฉพาะสำหรับงานจัดเลี้ยงนอกสถานที่เท่านั้น เช่น สาคูแคนตาลูปนมสด บัวลอยไข่หวานทรงเครื่อง ผลไม้ลอยแก้ว (ตามฤดูกาล) ข้าวเหนียวมะม่วง ครองแครงกะทิสด เป็นต้น
“ผมถือเป็นผู้สืบทอดธุรกิจขนมไทยจากครอบครัว ซึ่งร้านที่ตลาดบองมาเช่ พ่อ และแม่ จะเป็นผู้ดูแล ส่วนผมก็มีเวลาไปขยายสาขาที่ย่านอโศก โดยเป็นรถเข็น เพื่อทำให้ขนมของร้านแก้วจีบเป็นที่รู้จักมากขึ้น แม้เรื่องการขายขนมไทยๆ เช่นนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นงานของผู้หญิง แต่เมื่อเรามารับช่วงต่อ จึงต้องพยายามทำให้ดีที่สุด โดยในช่วงแรกก็ยังขายไม่ค่อยเก่ง ไม่กล้าพูดคุยกับลูกค้ามากนัก แต่ตอนนี้ก็ปรับตัวได้ และคิดว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจ และสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้”
สำหรับแผนธุรกิจร้านแก้วจีบนั้น ทางเอกภักดิ์ บอกว่า จะมีการขยายสาขาเพิ่มเติม และคิดเมนูใหม่ๆ เพื่อสุขภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงตนเองจะไปเรียนการทำขนมไทยอื่นๆ บ้าง เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมสอดไส้ และขนมมัน เพื่อสร้างความหลากหลายให้ธุรกิจ แต่ยังคงรสชาติของความไม่หวานจัด ไม่เน้นแป้ง น้ำตาล แต่จะเน้นไปที่ถั่ว งา เจาะลูกค้ารักสุขภาพโดยเฉพาะเช่นเดิม
***สนใจติดต่อ 08-7062-3525, 0-2954-3743***
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์
ขอขอบคุณที่มา
http://www.thaismefranchise.com/?p=5395