อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
ธรรมข้อคิดจากหนังสือ "อตุโล ไม่มีใดเทียม"
ฐิตา:
"การปฏิบัติ ให้มุ่งปฏิบัติเพื่อสํารวม เพื่อความละ เพื่อคลายความกําหนัดยินดี เพื่อความดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อเห็นสวรรค์วิมาน หรือแม้พระนิพพานก็ไม่ต้องตั้งเป้าเพื่อจะเห็นทั้งนั้น ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆไม่ต้องอยากเห็นอะไร เพราะนิพพานมันเป็นของว่างไม่มีตัวไม่มีตน หาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบไม่ได้ ปฏิบัติไปจึงรู้เอง" (น. ๔๙๔)
"........การฟังจากคนอื่น การค้นคว้าจากตํารานั้น ไม่อาจแก้ข้อสงสัยได้ ต้องเพียรปฏิบัติทําวิปัสสนาญาณให้แจ้ง ความสงสัยก็หมดไปโดยสิ้นเชิง" (น. ๔๙๙)
มีผู้อยากฟังความคิดความเห็นเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของหลวงปู่ และยกบุคคลมาอ้างว่าท่านผู้นั้น ท่านผู้นี้ระลึกชาติย้อนหลังได้หลายชาติ
หลวงปู่ว่า
"เราไม่เคยสนใจเรื่องอย่างนี้ แค่อุปจารสมาธิก็เป็นไปได้แล้วทุกอย่างมันออกไปจากจิตทั้งหมด อยากรู้อยากเห็นอะไร จิตมันบันดาลให้รู้ให้เห็นได้ทั้งนั้น และรู้ได้เร็วเสียด้วย หากพอใจเพียงแค่นี้ ผลที่ได้ก็คือ ทําให้กลัวการเวียนว่ายตายเกิดในภพที่ตํ่า แล้วก็ตั้งใจทําดี บริจาคทาน รักษาศีล แล้วก็ไม่เบียดเบียนกัน พากันกระหยิ่มยิ้มย่องในผลบุญของตัว, ส่วนการที่จะขจัดกิเลสเพื่อทําลาย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงนั้น อีกอย่างหนึ่งต่างหาก" (น.๔๙๙)
"ถึงจิตไม่สงบก็ไม่ควรปล่อยให้มันออกไปไกล ใช้สติระลึกไปแต่ในกายนี้ ดูให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภสัญญา หาสาระแก่นสารไม่ได้ เมื่อจิตมองเห็นชัดแล้ว จิตก็เกิดความสลดสังเวช เกิดนิพพิทา ความหน่าย คลายกําหนัด ย่อมตัดอุปาทานขันธ์ได้เช่นเดียวกัน" (น. ๔๗๖)
ฐิตา:
คติธรรมคําสอน ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตที่ส่งออกนอกเพื่อรับสนองอารมณ์ ทั้งสิ้น เป็นสมุทัย (สนองอารมณ์-เวทนา)
ผลอันเกิดจากจิตส่งออกนอกแล้วหวั่นไหว เป็นทุกข์ (หวั่นไหว-คิดปรุงแต่ง,ตัณหา)
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค (สติเห็นจิตสังขารในขันธ์๕)
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ
หลวงปู่ ดูลย์ อตุโล
Webmaster - จิตส่งออกนอก-ส่งจิตไปคิดนึกปรุงแต่งต่างๆให้เกิดเวทนา
รับสนองอารมณ์-เสวยอารมณ์, เวทนา
หวั่นไหว-คิดนึกปรุงแต่งแล้วเกิดตัณหา
จิตเห็นจิต-สติเห็นทั้งเวทนาและจิตสังขาร หรือ เวทนานุปัสสนา และ จิตตานุปัสสนา
คติธรรม คําสอนของท่านหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ข้อนี้ในความเห็นของผู้เขียน ล้วนแฝงไว้ด้วยแก่นธรรมอันสําคัญยิ่ง อันน่าจดจําเป็นเครื่องเตือนสติ มีหลักธรรม
๑. อริยสัจ๔ อันแสดงทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
๒. ปฏิจจสมุปบาท อันแสดงให้เห็นถึงกระบวนการเกิดของทุกข์ อันเนื่องจากเวทนาหรือเสวยอารมณ์
๓. สติปัฏฐาน๔ อันแสดงถึงจิตตานุปัสสนาให้ เห็นจิตในจิต หรือจิตเห็นจิต หรือจิตเห็นจิตสังขาร หรือสติเห็นคิดในขันธ์๕ นั่นเองเช่นโลภะ โทสะ โมหะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯลฯ.
ฐิตา:
รวมคำสอนข้างบนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล พร้อมคำแนะแนวของwebmaster
เพื่อการพิมพ์ไว้อ่าน
ข้อคิด อันเนื่องมาจากปฏิจจสมุปบาทและขันธ์๕
และ
จิตส่งออกนอกไปคิดนึกปรุงแต่ง
คิดนึกปรุงแต่ง ๑ ครั้ง, คือการเกิดของขันธ์๕ขึ้น ๑ ครั้ง
เกิดขันธ์๕ขึ้น ๑ ครั้ง, ย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้น ๑ ครั้ง
ดังนั้นคิดนึกปรุงแต่ง ๑๐๐ ครั้ง, ย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้น ๑๐๐ ครั้งเช่นกัน
เวทนาเกิดขึ้น ๑๐๐ ครั้ง ย่อมเปิดโอกาสให้เกิดตัณหาได้ ๑๐๐ ครั้งเช่นกัน
ตัณหาเกิดขึ้นเมื่อใด ทุกข์อุปาทานเกิดขึ้นเมื่อนั้น
ดังนั้นจงมีแต่คิดนึก, แต่ไม่มีคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่าน.
(ดูภาพประกอบ คลิ๊กที่นี่ คิดนึกปรุงแต่งคือ 22, รวมทั้ง 14 อันเป็นอุปาทานขันธ์๕)
พนมพร
ฐิตา:
หยุดคิดนึกปรุงแต่ง
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้กล่าวอยู่เนืองๆว่า อย่าส่งจิตออกนอก ด้วยเหตุเพราะตัณหานั้นอาจไม่ได้เกิดจากเวทนาของความคิดหรือสังขารขันธ์แรกแต่ฝ่ายเดียว, แต่ตัณหา ที่เกิดนั้น อาจเกิดจากเวทนาของความคิด(นึกปรุงแต่ง)อันเป็นขันธ์๕ชนิดหนึ่งเช่นกันที่เกิดขึ้นตามหลัง(วนเวียน)มาเรื่อยๆก็ได้ หลวงปู่จึงมักกล่าวอยู่เสมอๆว่าอย่าส่งจิตออกนอก(ไปคิดนึกปรุงแต่ง) เพราะจะยังให้เกิดทุกข์ขึ้นตามมาในที่สุดนั่นเอง (พนมพร)
พุทธพจน์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยจักษุ(ตา)และรูป เกิดจักษุวิญญาณ ความประจวบกันของธรรมทั้ง๓เป็นผัสสะ และเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ย่อมเกิดความเสวยอารมณ์(เวทนา) เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง (อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น)
เขา(บุคคล)อันสุขเวทนาถูกต้อง(กระทบ)แล้ว ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พูดถึง ไม่ดำรงอยู่ด้วยความติดใจ จึงไม่มีราคานุสัยนอนเนื่องอยู่
อันทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบาก ไม่ร่ำไห้ ไม่คร่ำครวญทุ่มอก ไม่ถึงความหลง(โมหะ)พร้อม จึงไม่มีปฏิฆานุสัยนอนเนื่องอยู่
อันอทุกขมสุขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมทราบชัดความตั้งขึ้น ความดับไป คุณ โทษ และที่สลัดออกแห่งเวทนานั้น ตามความเป็นจริง จึงไม่มีอวิชชานุสัย นอนเนื่องอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลนั้นละราคานุสัยเพราะสุขเวทนาบรรเทา, ละปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนา, ถอนอวิชชานุสัยเพราะอทุกขมสุขเวทนา, ยังวิชชาให้เกิดขึ้นเพราะละอวิชชาเสียได้ แล้วจักเป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้ ฯ
ข้อความเดียวกันใน เสียง-หู, กลิ่น-จมูก, รส-ลิ้น, สัมผัส-กาย, ธรรมารมณ์-ใจ
(ฉฉักกสูตร)
:13: : http://www.nkgen.com/10.htm
Pics by : Google
เรียนขออนุญาตนำมาเผยแพร่..
อนุโมทนาสาธุ ที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
:13: อนุโมทนาครับพี่แป๋ม
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version