ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติการกินเจเดือนเก้า  (อ่าน 2272 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ rain....

  • ศรัทธาในสิ่งที่ค้นหา มั่นคงในสิ่งที่เป็น แบ่งปันในสิ่งที่ค้นพบ
  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 994
  • พลังกัลยาณมิตร 379
  • สุขลึกๆในความเหงา แม้จะโดดเดี่ยวแต่ไม่เคยเดียวดาย
    • ดูรายละเอียด
ประวัติการกินเจเดือนเก้า
« เมื่อ: กันยายน 19, 2010, 03:26:31 pm »
ประวัติการกินเจเดือนเก้า
 
พิธีการกินเจเดือนเก้าตามปฏิทินจีนทุก ๆ ปีมีกำหนด 9 วันนั้น ลั ท ธิ ม ห า ย า น ในพระพุทธศาสนามีอรรถาธิบายว่า เป็นการประกอบพิธีกรรม สั ก ก า ร ะ บู ช า (ที่ศักดิ์สิทธิ์แผ่เมตตากรุณาจิต โปรดสัตว์ให้รอดตายได้จริง ๆ พระอริยเจ้าทุก ๆ องค์สรรเสริญคุณธรรมแบบนี้มาก ส่วนพิธีกรรมอื่น ๆ นั้น ถ้าทำบุญมาก ๆ มีคนมากันมาก ๆ ก็ต้องฆ่าชีวิตสัตว์ให้ตายมาก ๆ เอาเนื้อบาปนั้นไปฉลองปากท้องกันมากเท่านั้นเอง ผู้รู้กฏแห่งกรรมดี จิตใจมีคุณธรรม หรือปราชญ์แท้ทางธรรมะถ้ายอมรับความจริงแล้วจะไม่ค้านกรรมร่วม เพื่อลิ้น หรือเถียงว่าไม่มีกรรมร่วมเพื่อลิ้นแล…มีแต่สาธุ ! ธรรมาณา จักรใจนี้ต้องใช้เวลาพัฒนาจิตอีก 100 ปี จึงจะเป็นเนื้อนาบุญที่ดี) พระพุทธเจ้า 7 พระองค์ กับ พระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรือนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวพระเคราะห์ทั้ง 9 อันมี : -

…….พระอาทิตย์
……..พระจันทร์
……..ดาวพระอังคาร
……..ดาวพระพุธ
……..ดาวพระพฤหัสบดี
……..ดาวพระศุกร์
……. ดาวพระเสาร์
……..พระราหู
……..พระเกตุ

พิธีเก้าอ๊วงเจนี้กำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 (ปฏิทินจีน) รวม 9 วัน 9 คืน พิธีกรรมสักการบูชา พระพุทธเจ้า 7 พระองค์ กับพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์นี้ ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาต่างสละกิจโลกียวัตร และบำเพ็ญศีลสมาทาน กินเจ (ถือมังสวิรัติ) บริโภคแต่อาหารผักและผลไม้ งดเว้นไม่กร ะทำกิจใด ๆ อันนำมาซึ่งความเบียดเบียนเดือดร้อยให้แก่สัตว์ทั้งปวง กล่าวคือ : -

ไม่เอาชีวิตของสัตว์มาต่อเติมบำรุงชีวิตของเรา
ไม่เอาเลือดของสัตว์มาเป็นเลือดของเรา
ไม่เอาเนื้อของสัตว์มาเป็นเนื้อของเรา ซักฟอกมลทินออกจาก ร่างกาย วาจา และใจ สวมเสื้อผ้าสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากจุดด่างพร้อยพากันเดินทางสู่วัดวา อาราม พร้อมด้วยดอกไม้ ธูปและเทียน ไปนมัสการน้อมบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้า 7 พระองค์กับพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ ทั้งจัดหาเครื่องกระดาษทำเป็นรูปเครื่องทรงเสื้อผ้า หมวก รองเท้า กระดาษเงิน, กระดาษทองต่าง ๆ ไปน้อมถวายเป็นเครื่องสักการะ * (*เรื่องนี้นักปราชญ์ยุคปัจจุบันค้นพบหลักฐานแสดงให้เชื่อว่าจำเดิมแท้นั้น เอาวัตถุสิ่งของเช่นปัจจัย 4 ไปถวายพระเณรผู้ถือศีล และแจกทานด้วยเงินทองแก่คนทุกข์ยากจน ซึ่งเป็นของจริงให้จริง ๆ หมด (ไม่ใช่เผาทิ้ง) แล้วมาภายหลังด้วยความไม่เที่ยงของอุปาทาน กาลเวลาแห่งประเพณีผันแปรไป เป็นโมหะกรรมของมนุษย์เอง ลูกหลานไม่คิดแก้ไข เปลี่ยนมาให้ทานของจริง ๆ กันที ทำบุญแท้กันที) เป็นการกุศลสมาจาร แล้วก็สวดมนต์ทำสมาธิภาวนาแผ่เมตตาจิต ขอพรเพื่อความเจริญสมบูรณ์พูนสุข

…….เ บื้ อ ง ต้ น แ ห่ ง พิ ธี ก ร ร ม เ ก้ า อ๊ ว ง เ จ ……..มีอรรถกล่าวไว้ดังนี้

ใน กาลครั้งหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ สิวาลัยรัตนสถาน มีบรรดาพระมหาโพธิสัตว์ ท้าวมหาพรหม ท้าวสักกะ เทพยาดา ยักษ์ นาค คนธรรพ์ กินนร ฯลฯ ได้พากันมาเฝ้าสมเด็จพระพุทธองค์ ในขณะนั้นมี "พระมัญชุศรีมหาโพธิสัตว์" ได้ทูลถามต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อันพระเทพสัตตเคราะห์ทั้ง 7 พระองค์ ได้มีกุศลสะสมมาอย่างไร ? จึงได้เสวยทิพย์ผลอันรุ่งเรืองพร้อมเพรียบไปด้วยยศและอำนาจในเทวภพนี้" สมเด็จพระบรมศาสดาจึงมีพระพุทธดำรัสตอบว่า "ดูกรมัญชุศรีฯ อันดาวเทพสัตตเคราะห์ 7 นั้น แท้จริงเป็น พระอวตารภาพแห่งอดีตพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ ทรงแบ่งภาคมาแสดงให้ปรากฏกับพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ ก็แบ่งภาคมาเป็นดาวพระราหู และดาวพระเกตุ รวมเป็นดาวพระเคราะห์ทั้ง 9 ฉะนั้น จึงสมบูรณืด้วยอลังการแห่งยศและอำนาจ อันไม่มีปริมาณเห็นปานฉะนี้"

ในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก้วฮุกเซียวไจเอียงซิ่วเมียวเก็ง กล่าวนามพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ กับพระมหาโพธิสัตว์ 2 พระองค์คือ :-

พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ
พระศรีรัตนโลกประภาโฆษอิศวรพุทธะ
พระเวปุลลรัตนะโลกสุวรรณสิทธิพุทธะ
พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ
พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ
พระธรรมมติธรรมสาครโลกมโนพุทธะ
พระเวปุลลจันทรโภไภสัชชไวฑูรณ์พุทธะ
พระศรีสุขโลกปัทมครรภอลังการมหาโพธิสัตว์
พระศรีเวปุลสังสารโลกสุขอิศวรมหาโพธิสัตว์

พระพุทธเจ้าทั้ง 7 กับพระมหาโพธิสัตว์ 2 ทรงตั้งพระปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งภาคมาเป็น เทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ :- (อ่านเป็นภาษาแต้จิ๋ว)
ไต้ข่วยเอี๊ยงเม้งทัมหลั่งไท้แชกุน
ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งง้วนแชกุน
ไต้ค้วงจิงหยิงลกชุ้งเจงแชกุน
ไต้เฮ้งเฮี่ยงเม้งบุ่งเคียกนิวแชกุน
ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยมเจงกังแชกุน
ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เคียกกี่แชกุน
ไต้เพียวเทียนกวงผั่วกุงกวงแชกุน
ตั่งเม้งงั่วหูแชกุน
อุ้นกวงไลเพี๊ยกแชกุน และเทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์นี้ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์ บริหาร ธาตุดิน ธุาตน้า ธาตุไฟ ธาตุลม และ ธาตุทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ จึงทรงแบ่งภาคต่อจากนี้อีกวารหนึ่งเป็น ดาวนพเคราะห์ (ดาวนพเคราะห์ 9 ดวง) ดังต่อไปนี้:-

ดาวไท้เอี้ยงแช คือ พระอาทิตย์
ดาวไท้อิมแช คือพระจันทร์
ดาวฮวยแช คือ ดาวอังคาร
ดาวจุ้ยแช คือ ดาวพระพุทธ
ดาวบักแช คือ ดาวพฤหัสบดี
ดาวกิมแช คือ ดาวพระศุกร์
ดาวโท้วแช คือ ดาวพระเสาร์
ดาวล่อเกาแช คือพระราหู
ดาวโกยโต้วแช คือ พระเกตุ


 

...........................................
"ข้าพเจ้า ขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่อุบัติขึ้นมาในโลก  ทุกๆพระองค์
พร้อมทั้งพระธรรม และ พระสงฆ์
ว่าเป็น  สรณะ  ที่พึ่งตลอดชีวิต" 
 

ออฟไลน์ rain....

  • ศรัทธาในสิ่งที่ค้นหา มั่นคงในสิ่งที่เป็น แบ่งปันในสิ่งที่ค้นพบ
  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 994
  • พลังกัลยาณมิตร 379
  • สุขลึกๆในความเหงา แม้จะโดดเดี่ยวแต่ไม่เคยเดียวดาย
    • ดูรายละเอียด
Re: ประวัติการกินเจเดือนเก้า
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 19, 2010, 03:27:05 pm »
ในตำราโหราศาสตร์จีน วางหลักดาวนพเคราะห์เป็นหมวดดังนี้:-

ดาวทวิมหาเคราะห์ คือ พระอาทิตย์กับพระจันทร์
ดาวทวิกำลัง คือพระราหูกับพระเกตุ
ดาวปัญจลักษณะ คือ ดาวพระอังคาร ดาวพระพุทธ ดาวพฤหัสบดี ดาวพระศุกร์และดาวพระเสาร์

เทพเจ้า ทั้งเก้าพระองค์ ทรงเครื่องทรงอย่างแบบพระมหากษัตริย์ ประชาชนจึงถวายพระนามว่า เก้าอ๊วง หรือ กิวอ๊วง แปลว่า นพราชา (ตีความตามหลักนักโหราศสตร์) กำหนดเวลาทุก ๆ ปี ของขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ ตามจันทรคติ (ฝ่ายจีน) เทพเจ้าประจำดาวนพเคระห์ ต่างองค์ทรงผลัดเปลี่ยนกันลงมาตรวจโลกทั้งกลางวันและกลางคืน บุคคลใดมีความประพฤติตั้งอยู่ใน กุศลธรรมวิถี (บุญ) ก็จักทรงประทานพรอำนวยความสมบูรณ์พูนสุขให้ หากบุคคลใดที่มีความประพฤติในทาง อกุศลกรรมวิถี (บาป) ก็จักทรงลงโทษตามโทษานุโทษนั้น

เทพเจ้าแห่งดาวนพเคระห์ ทรงพระคุณธรรมแก่โลกเป็นเอนกประการ เฉพาะอย่างยิ่ง คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และธาตุทอง ที่พระองค์ทรงประทานไว้ให้แต่ละอย่างเป็นของจำเป็นในสรรพสังขารอันไม่มีจำกัด รวมทั้งมนุษย์ สัตว์ทุกชนิด ต้นไม้ ฯลฯ

มนุษย์ ถ้าไม่มีธาตุลม ก็ถึงแก่ความตย
มัจฉาชาติ ถ้าหากไร้ธาตุน้ำเป็นที่พึ่งก็ต้องตาย
พฤกษาชาติ ถ้าหากหมดธาตุดิน ก็อับเฉา กิ่งใบแห้งเหี่ยวตาย
สัตว์โลก ถ้าหากสูญสิ้นธาตุไฟในร่างกาย ก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้

1. พระราชา ไม่ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม โดยปราศจากเมตตากรุณาธรรมต่อข้าราชบริพารและราษฎร ในสุดท้ายก็ต้องสูญเสียพระราชบัลลังค์ ทั้งนี้เนื่องด้วยพระองค์ปลูกเหตุอกุศลไว้ ก็ทรงรับผลอกุศลกรรมตามมาสนอง
2. ข้าราชบริพาร ไม่ภักดี ซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติและพระมหากษัตริย์ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ในที่สุดก็ต้องถูกริบสมบัติพัสสถาน ทั้งนี้เพราะตนได้ปลูกอกุศลไว้ และผลอกุศลกรรมตามมาสนอง
3. บิดา ไม่ให้ความอุปการะแก่บุตร ไม่รับรองหรือไม่เลี้ยงดูบุตรตามฐานะ ในสุดท้ายก็เป็นผู้ปราศจากลูกหลานช่วยเหลือ
4. บุตร ไม่มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ให้กำเนิด ในสุดท้ายบุตรของตนเองจะสนองตน ด้วยความไม่กตัญญูเช่นกัน (เพราะเห็นพ่อแม่เป็นตัวอย่าง)
5. พี่ ไม่มีความอารีอารอบเอ็นดูน้อง ในสุดท้ายเหตุร้ายก็ยังผลร้ายให้ คือตัดมือ ตัดเท้าของตนเอง จะไปเฟ้นหาใครอื่นผู้มีความสนิทสนมไว้วางใจเท่ากับน้องของตน หามีไม่
6. น้อง ไม่คำรพนับถือยำเกรงพี่ ที่ได้เคยเอื้อเฟื้อมาแต่น้อย อีกทั้งมีอาวุโสกว่าและดื่มนมด้วยกัน ร่วมครรภ์มารดามาด้วยกัน ในสุดท้ายบรรดาวงศสคณาญาติก็ตัดขาดจากตน
7. สามี ไม่เลี้ยงดูภริยาอย่างเป็นธรรม ไม่นำพากิจในครอบครัว เอาแต่สนุกเที่ยวเตร่ ดื่มเหล้าเมายา ในสุดท้ายเรือนที่ตนเองพำนักอยู่ก็พังทลายลง
8. ภรรยา ไม่ครองตนเป็นแม่บ้าน ประพฤติเล่นไพ่การพนัน สามีหาเงินมาเท่าใด ไม่พอใช้ กลับเที่ยวหยิบยืมเงิน กู้หนี้ยืมสิน ในสุดท้ายก็เป็นคนมีเสนียดเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป
9. มิตร ไม่ซื่อตรง ไม่มีความจริงใจต่อเพื่อน (ในที่สุดจะขาดมิตรที่ดี)
10. สหาย ใจคิดคดทรยศต่อเเกลอ (มิตรและสหาย) ทั้งสองประเภทนี้ ในสุดท้ายตนเองก็ถูกตัดออกจากหมู่สังคมทั่วไป (คนดีเขาไม่คบหาสมาคมด้วย)

ความว่า พระราชาก็ดี ข้าราชบริพารก็ดี บุคคลทั่วไปก็ดี ควรจะละลดอกุศลกรรมที่กล่าวมาเบื้องต้น และอุตส่าห์สะสมแต่สิ่งที่ดีงามเพื่อรับพรจากเทพยเจ้าทั้ง 9 พระองค์นี้ ทรงน้ำพระทัยเต็มเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา ทรงควบคุมดาวนพเคราะห์ให้เดินตามวิถีโคจรด้วยความบริบูรณ์ ทั้งทรงธรรมเนตรสอดส่องควบคุมทุกข์สุขของสัตว์โลกด้วย
บัณฑิตในโบราณจึงได้บัญญัติไว้ * (*ถ้าเป็นวัดหรือโรงเจ พระสัมพุทธเจ้าศากยมุนีเป็นประธาน และยังอัญเชิญทวยเทพต่าง ๆ พร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ พระอรหันต์สาวก ทั้งปวงด้วย พิธีกรรมแบบนี้สมควรให้มีมากขึ้น เป็นบุญกุศลทางดีหมดเลย สาธุ !) ให้มีการกระทำพิธีกรรมบูชาดาวนพเคราะห์นี้ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพในพระเมตตากรุณาธิคุณ ให้บรรดาพุทธบริษัทได้มาประชุมบำเพ็ญกุศลวัตรถวายพุทธบริโภค รักษาศีล สดับฟังพระอภิธรรมและธรรมเทศนา บริจาคไทยทานทิ้งกระจาดและลอยกระทง แผ่กุศลแก่สัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากในนรกอเวจี อันมีพวกเปรตอสุรกายเป็นอาทิ เช่น นก ปลา เต่า ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นต้น

ในลัทธิมหายาน ยังมีอรรถกล่าวอธิบายว่า:-

"ดาวพระเคราะห์ทั้ง 9 นี้" ต่างกระทำการในหน้าที่หมุนเวียนธาตุทั้ง 5 ให้แก่โลกมนุษย์นับเป็นเวลาหหลายร้อยล้านปีมา โดยมิได้หยุดพักเลย ก็เนื่องด้วย พระองค์ทรงบัญชาบริรักษ์ควบคุมอยู่และทรงเล็งทิพยญาณว่า ถ้าหากดวงดาวนพเคราะห์จะหยุดพักแม้เพียงขณะใดขณะหนึ่งเท่านั้น ก็จะเกิดมหันตภัยอย่างใหญ่หลวงสุดประมาณได้ โลกมนุษย์ก็จะถึงซึ่งความพินาศสลายลง มนุษย์กับสัตว์โลกจะตายหมด จะไม่มีแม้แต่ละอองธุลีของสังขารเหลือเลย

อันพิธีกรรมบูชาดาวนพเคาะห์นั้น *(* ต้องถือศีล 5 อย่างต่ำ และไม่เสพเนื้อสัตว์ หรืออย่างน้อยที่สุดก็หยุดวัน หรืองดเว้นในวันพระ ถือมังสวิรัติบ้าง หรือบวชพระ เณร บวชชี จำพรรรษา) นับว่ามีอานิสงส์มากมาย ทั้งเป็นกรรมคติ และเกิดธรรมมิตรสู่บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายได้มีโอกาสกระทำการวิสาสะกันในยามที่ต่างคนต่างมีจิตเบิกบานผ่องแผ้ว ถือศีล กินเจ นุ่งขาว ห่มขาว อันเป็นปัจจัยเตือนตนเองให้สำนึกว่า ตนเป็นคนบริสุทธิ์ขาวสะอาดทั้งกาย วาจา ใจ อยู่ในศีลและสามัคคีธรรม พรั่งพร้อมอยู่แล้วที่จะให้อภัยอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ร่วมกันน้อมนมัสการเทพยเจ้าทั้ง 9 พระองค์นี้ เป็นการแสดงความเคารพในพระเมตตากรุณาธิคุณ และร่วมกันถวายเครื่องสรรพสักการะบูชาแก่พระองค์ทั้ง 9 เป็นการบูชาพระเมตตาคุณที่ทรงไว้ซึ่งธาตุทั้ง 5 ให้แก่โลกทุกโลกให้ดำรงอยู่ตามจักรราศียั่งยืนตลอดมา จึงพร้อมกันน้อมขอพระกรุณาธิคุณ ได้โปรดประทานพระอภิบาลรักษาพระมหากษัตริย์องค์อมร พร้อมทั้งทวยนิกรให้อยู่เย็นเป็นสุข และขอพระองค์ทรงประสิทธิประสาทพรชัย

"ให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล
พืชธัญญาหารงอกงามพูนผล
พระราชาทรงพิพัฒน์มงคล
ราชปริขนสวัสดิ์สถาพร
ชาวนาชาวไร่สมัครสโมสร
มวลราษฎรระเริงรื่นยืนยง
เศรษฐกิจทั่วเขตแดนมั่นคง
การศึกษาดำรงวิทยาพูน
ประเทศชาติเรืองรุ่งไพบูลย์
พระพุทธศาสตร์จำรูญกาลนิรันดร"

อันเป็นทศพรชัยสิทธิ์วิเศษสิบประการ สมดังปรารถนาด้วยเทอญ

พิธีกรรมถือมังสวิรัติ (ไม่เสพเนื้อสัตว์) และการบูชาดาวนพเคราะห์ และทำบุญแจกทานแก่คนทุกข์ยากจนที่ขาดแคลนวัตถุ เช่น "ปัจจัย 4 อย่าง" มีผ้านุ่งห่ม อาหาร ที่นอน ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคต่าง ๆ นั้นเป็นที่นิยมกันมาแต่โบราณกาลว่าเป็นบุญจริง ๆ มีหลาย ๆ ศาสนายอมรับว่าการกินเจนั้นได้ผลแก่จิตใจ เป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ได้แผ่เมตตากรุราจิต ช่วยชีวิตสัตว์ให้รอดตายจริง ๆ อีกด้วย สาธุ ! ดังได้วิสัชชนามาจบลงด้วยประการฉะนี้
 
แปลโดย เสถียร โพธินันทะ
โพสโดย  http://buddhayan.sitepackage.net/?p=home

...........................................
"ข้าพเจ้า ขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่อุบัติขึ้นมาในโลก  ทุกๆพระองค์
พร้อมทั้งพระธรรม และ พระสงฆ์
ว่าเป็น  สรณะ  ที่พึ่งตลอดชีวิต" 
 

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: ประวัติการกินเจเดือนเก้า
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 19, 2010, 10:01:05 pm »
 :13: อนุโมทนาครับน้องฝน
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~