แสงธรรมนำใจ > หยาดฝนแห่งธรรม

พรัดพราก

(1/1)

होशདངພວན2017:







ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ? สตรี บุรุษ

คฤหัสถ์หรือบรรพชิตจึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าเรามีความตายเป็นธรรมดา

ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความมัวเมาในชีวิตมีอยู่แก่สัตว์

ทั้งหลายซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ เมื่อ

เขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนือง ๆ ย่อมละความมัวเมาในชีวิตนั้นได้โดยสิ้นเชิง

หรือทำให้เบาบางลงได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล

สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีความ

ตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก - ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 140


होशདངພວན2017:





ในเอกาทสนิบาตคาถาว่า..........กลฺยาณมิตฺตตา เป็นต้นเป็น

คาถาของพระกีสาโคตมีเถรีมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้....................................

ได้ยินว่าพระเถรีรูปนี้ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ

ก็บังเกิดในเรือนสกุลกรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้ววันหนึ่งฟังธรรม

ในสำนักพระศาสดาเห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง

เอตทัคคะ เป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้ทรงจีวรปอนก็สร้างสมกุศลให้ยิ่ง ๆ

ขึ้นไปท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัปล์ในพุทธุปบาทกาลนี้ก็

บังเกิดในสกุลเข็ญใจกรุงสาวัตถีชื่อของนางว่า โคตมี แต่เพราะตัวผอม 

เขาจึงเรียกว่า กีสาโคตมีนางไปมีสามีบิดามารดาและญาติดูหมิ่นว่าเป็น

ลูกสาวของสกุลเข็ญใจนางคลอดลูกชายออกมาคนหนึ่งเพราะได้ลูกชาย 

บิดามารดาและญาติก็ทำสัมมานะยกย่องนางแต่ลูกชายนางก็ตายเสียขณะที่

วิ่งเล่นได้ด้วยเหตุนั้นนางจึงเกิดบ้าเพราะความเศร้าโศก

นางคิดว่าเมื่อก่อนเราถูกดูหมิ่นนับตั้งแต่ลูกชายเราเกิดก็ได้รับ

ยกย่องคนเหล่านี้พยายามจะทิ้งลูกชายเราไว้ข้างนอกจึงอุ้มร่างลูกชายที่ตาย

แล้วไปโดยความบ้าเพราะความเศร้าโศกตระเวนไปในนครตามลำดับ

ประตูเรือนโดยกล่าวขอร้องว่าขอท่านโปรดให้ยาแก่ลูกชายของข้าด้วยเถิด   

ผู้คนทั้งหลายบริภาษด่าว่าจะเอายาแก้ตายมาแต่ไหนนางก็ไม่เชื่อคำของ

คนเหล่านั้นครั้งนั้นชายบัณฑิตผู้หนึ่งคิดว่าหญิงคนนี้จิตฟุ้งซ่านเป็น

บ้าเพราะโศกเศร้าถึงลูกชายพระทศพลเท่านั้นคงจักทรงรู้จักยาสำหรับหญิง

คนนี้จึงกล่าวว่า แม่คุณไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วทูลถามถึงยาสำหรับ

ลูกชายของแม่นางสินางไปพระวิหารเวลาพระศาสดาทรงแสดงธรรมทูล

ถามว่าข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดทรงประทานยาสำหรับลูกชายของ

ข้าพระองค์ด้วยเถิดพระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยของนางจึงตรัสว่าไปสิ   

เข้าพระนครเรือนหลังใดไม่เคยมีคนตายจงนำเมล็ดผักกาดจากเรือนหลัง

นั้นมานางรับพระพุทธดำรัสว่า ดีละพระเจ้าข้า ดีใจก็เข้าพระนครไปในเรือน

หลังแรกพูดว่า พระศาสดาโปรดให้ข้านำเมล็ดผักกาดไปเพื่อทำยา

สำหรับลูกชายของข้าถ้าในเรือนหลังนี้ไม่เคยมีใคร ๆ ตายโปรดให้

เมล็ดผักกาดแก่ข้าด้วยเถิดคนในเรือนหลังนั้นกล่าวว่าใครเล่าจะสามารถนับ

คนที่ตายไปแล้วในเรือนหลังนี้ได้นางไปเรือนหลังที่สอง - สามด้วยพุทธา

นุภาพก็หายบ้าอยู่ในปกติจิตจึงคิดว่าจะประโยชน์อะไรด้วยเมล็ดผักกาด

นั้นพอกันทีสำหรับเมล็ดผักกาดในที่นี้นางคิดว่าธรรมเนียมนี้นี่

แหละคงจักมีทั่วพระนครความจริงนี้คงจักเป็นข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรง

อนุเคราะห์ด้วยหวังดีทรงเห็นแล้วก็ได้ความสลดใจจากที่นั้นก็ออกไป

ข้างนอกทิ้งลูกชายที่ป่าช้าผีดิบกล่าวคาถานี้ว่า

ธรรม คือ อนิจจตา ความไม่เที่ยงมิใช่เป็น ธรรม

ของชาวบ้านมิใช่ของชาวนิคมและมิใช่ของตระกูล

หนึ่งหากแต่เป็นธรรมของชาวโลกทั้งหมดรวมทั้งเทวโลกด้วย

ก็แลนางครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วก็ไปเฝ้าพระศาสดาพระศาสดาตรัส

ถามนางว่าโคตมีเจ้าได้เมล็ดผักกาดมาแล้วหรือนางกราบทูลว่าข้า

แต่พระองค์ผู้เจริญกิจกรรมเมล็ดผักกาดเสร็จแล้ว พระเจ้าข้าขอทรงโปรด

เป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ด้วยเถิดลำดับนั้นพระศาสดาตรัสคาถาแก่นางว่า

มฤตยูย่อมพานรชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์เลี้ยงมีใจฟุ้งซ่านไปเหมือน

กระแสน้ำหลากขนาดใหญ่พัดพาชาวบ้านที่มัวหลับใหลไปฉะนั้น

จบคาถานางก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลตามอาการที่ยืนอยู่ทูล

ขอบรรพชากะพระศาสดาพระศาสดาทรงอนุญาตให้บรรพชาในสำนักของ

ภิกษุณีนางถวายบังคมพระศาสดา ทำประทักษิณเวียนขวา ๓ รอบแล้วไป

สำนักภิกษุณีบรรพชาอุปสมบทแล้วไม่นานนักทำโยนิโสมนสิการเจริญ

วิปัสสนาครั้งนั้นพระศาสดาตรัสพระคาถาประกอบด้วยโอภาสแก่นางดังนี้ว่า

ผู้เห็นอมตบทมีชีวิตอยู่วันเดียวยังประเสริฐ

ว่าผู้ไม่เห็นอมตบทมีชีวิตอยู่ถึง 100 ปี

จบพระคาถานางก็บรรลุพระอรหันต์ในการใช้สอยบริขาร

ก็อุกฤษฏ์อย่างยิ่งครองแต่จีวรที่ประกอบด้วยความปอน ๓ อย่างครั้งนั้น

พระศาสดาประทับอยู่ ณ.พระเชตวันวิหารกำลังทรงสถาปนาพระภิกษุณีทั้ง

หลายไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะตามลำดับก็ทรงสถาปนาพระเถรีไว้ในตำแหน่ง

เอตทัคคะเป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้ทรงจีวรปอน พระเถรีนั้นพิจารณาการ

ปฏิบัติของตนคิดว่าเราอาศัยพระศาสดาจึงให้คุณวิเศษนี้ได้กล่าวคาถา

เหล่านั้นโดยมุข คือ การสรรเสริญกัลยาณมิตรว่า

เฉพาะโลกพระมุนีทรงสรรเสริญความเป็นผู้มี

กัลยาณมิตรคนเมื่อคบกัลยาณมิตรแม้เป็นพาลก็พึง

เป็นบัณฑิตได้บ้างควรคบแต่สัตบุรุษคนดีคนคบสัตบุรุษปัญญา

ย่อมเจริญได้เหมือนกับคนคบสัตบุรุษจะพึงพ้นจาก

ทุกข์ได้ทุกอย่าง

บุคคลพึงรู้จักอริยสัจแม้ทั้ง 4 คือ ทุกข์ ทุกข -

สมุทัยทุกขนิโรธและมรรคมีองค์ 8 ฯลฯ


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม 2 ภาค 4- หน้าที่ 302
อรรถกถาเอกาทสกนิบาต 1 อรรถกถากิสาโคตมีเถรีคาถา




แก้วจ๋าหน้าร้อน:
 :13: อนุโมทนาครับพี่ปู^^

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

ตอบ

Go to full version