อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > มาลาบูชาครู

พระอาจารย์บุญจันทร์ จนฺทวโร

(1/3) > >>

เลดี้เบื๊อก:
 
  พระอาจารย์บุญจันทร์ จนฺทวโร
   
http://www.udon108.com/board/index.php?topic=12794.15

   จากหนังสือ อัตโนประวัติ พระอาจารย์บุญจันทร์   จนฺทวโร, พิมพ์ ครั้งแรก ๑ สิงหาคม ๒๕๓๘ 
 
   พระอาจารย์บุญจันทร์ จนฺทวโร
   
   วัดถ้ำผาผึ้ง    ตำบลหนองบัว  กิ่งอำเภอไชยปราการ  จังหวัดเชียงใหม่
     
   นาย บุญจันทร์ พงศ์สวัสดิ์ มีบิดาชื่อนายเพียร พงศ์สวัสดิ์ มารดาชื่อ นางสงบ พงศ์สวัสดิ์  เกิด ที่เมืองพล อำเภอพล ตำบลเมืองเก่า จังหวัดขอนแก่น เกิดวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๖๙ ขึ้น ๑๕ ค่ำ วันอังคาร มารดาและบิดา เป็บชาวนา อาชีพทำนาทำสวน เมื่อเกิดมาแล้ว มารดาและบิดา ก็ได้เลี้ยงดูเจริญขึ้นตามลำดับ จนมีอายุได้ ๘ ปี ก็ได้ฝากให้เรียนหนังสือ ที่โรงเรียนประชาบาลเมืองพล จนเรียนจบประถมสี่ ก็ได้ออก จากโรงเรียนมาอยู่ที่บ้าน ช่วยบิดามารดาทำนา ทำสวน ครั้นอายุได้ ๑๗-๑๘ ปี ชีวิตความเป็นหนุ่มก็กำลังเจริญขึ้น กิเลส ความโลภอยากได้ยินดี มันก็เจริญขึ้น จึงต้อง ทำงานต่างๆ ทำนาบ้าง ทำสวนบ้าง ค้าขายบ้าง หาปู หาปลา ทั้งวันทั้งคืน เพื่อเอามากิน เอามาเลี้ยงพ่อแม่ เอามาขาย เอาเงินเก็บหอมรอบ ริบ เพื่อจะมีครอบครัวในอนาคต จนอายุเจริญขึ้น ย่างเข้า ๒๑ ปี พ่อแม่ก็ปรารภ เรื่องจะให้มีครอบครัว เจ้าตัวเอง ก็เลยคิดว่า ถ้าไปมีครอบครัว แล้วกลัวจะไม่ได้บวช ฉะนั้นเมื่อพิจารณาตกลงใจว่า จะต้องบวช ทดแทน บุญคุณพ่อแม่เสียก่อน ถ้าอยู่ในศาสนาไม่ได้ สึกออกมา ก็ค่อยมีครอบครัวทีหลัง   จึงบอกความ ประสงค์ ให้พ่อแม่ทราบ ท่านก็ยินดี อนุโมทนาด้วย
   
   ต่อ มาท่านจึงนำไปฝากท่านอาจารย์ทองสุข ที่วัดป่ามัชฌิมวาส บ้านคึมชาติ เมืองพล เพื่อฝึกหัดครองนาคและฝึกขัอ วัตรปฏิบัติในเบื้องต้น เช่นหัดกราบไหว้ หัดปฏิบัติครูบาอาจารย์ หัดกินข้าวหนเดียว หัดท่องครองนาค และฝึกทำนองมคธ ภาษา หัดไหว้พระสวดมนต์ ปฏิบัติครูบาอาจารย์ ถวายน้ำใช้น้ำฉัน ตักน้ำใส่โอ่ง ส่วนบริขารเครื่องบวชนั้นบิดามารดา ท่าน เป็นเจ้าภาพจัดหา ตระเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อย ไปหัดนาคอยู่ ๑๕ วัด บิดาาท่าน ก็ได้ไป ติดต่อพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเวลานั้นมี พระครูอนุโยคธรรมฌานเป็นพระอุปัชฌาย์ มีอาจารย์มหาประสงค์ เป็นพระกรรมวาจารจารย์ ได้บรรพชาและอุปสมบท ที่พัทธสีมา วัดสระจันทร์ เมื่ออายุ ๒๑ ปี วันที่ ๓๑ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๔๙๐   เวลา ๑๐.๓๐ น ณ วัดสระจันทร์ ตำบลเมือง เกา อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น
   
   เมื่อ เสร็จการบรรพชา อุปสมบทแล้ว ก็ได้ลาพระอุปัชฌาย์ ไปจำพรรษาที่วัดป่ามัชฌิมวาส บ้านคึมชาติ มีท่านอาจารย์ ทองสุขเป็นอาจารย์ ได้มอบกาย ถวายตัวเป็นศิษย์ท่าน ท่านก็แนะนำสั่งสอน ให้ท่องทำวัตรเช้าเย็น แนะนำให้ท่องสวดมนต์ แนะนำให้ท่องนวโกวาท แนะนำให้ดูหนังสือนักธรรมตรี ครั้นถึงเวลาเช้า ก็นำทำวัตรเช้า ตอนเย็นก็นำทำวัตรเย็น ตอนเช้า ตื่นระยะเวลา ตี ๓-๔ ก็ลงมาที่ศาลา ปัดกวาด บนศาลา เสร็จก็ปูเสื่อ ปูอาสนะ ที่นั่งของอาจารย์ และพระตามลำดับ ตังน้ำฉัน ตั้งกระโถนเตรียมบาตร เมื่อถึงเวลาออกบิณบาต ประมาณ ๗ โมง ก็ไปบิณฑบาต บ้านคึมชาติ บ้าง บ้านเหล่านาคีบ้าง บิณฑบาตเสร็จก็กลับมาฉันที่ศาลาภายในวัด จัดแจงอาหารแจกจ่ายกันทั่วถึง แล้วก็ลงมือฉันด้วยสำรวม ฉันเฉพาะในบาตร ฉันวันละ ครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อฉันเสร็จก็นำบาตร ไปล้าง แล้วนำมาเช็ดให้แห้ง เอาผึ่งแดดพอสมควร แล้วก็เอาใส่สลก ตั้งไว้ แล้วก็ช่วยกันปัดกวาดศาลา เก็บเสื่อเก็บอาสนะ เก็บกระโถน ที่ล้างแล้วก็เอามาเช็ดให้แห้ง แล้วนำไปเก็บไว้ให้เรียบร้อย ต่อมา ก็เก็บบาตร และเครื่องใช้ของตนไปกุฏิ เอาบาตรและบริขารอื่นไปไว้แล้ว ก็เตรียมท่องหนังสือ สูตรไหน ที่ยังไม่ได้ก็เตรียม ท่องต่อไป
   
   ระหว่าง ที่เป็นนวกภิกษุผู้บวชใหม่ กิจที่จะต้องศึกษายังมีมาก ต้องอาศัยความเพียร ความอดทน บางทีท่องหนังสือไป มันเหนื่อย ก็หยุดพัก ภาวนา พุทโธ พุทโธ บางทีก็พิจารณากายในอาการสามสิบสอง โดยความเป็นปฏิกูลบ้าง บางครั้ง ก็ กำหนดลมหายใจ เข้าออก พร้อมทั้งคำบริกรรม พุทโธ พุทโธ

   ครั้นอยู่มา วันหนึ่ง มีโยมชาวบ้านเขาตาย เขาก็มานิมนต์พระไปให้บุญคนตาย   คือนิมนต์ไปสวดมาติกาและบีงสุกุล ก็มา นึกในใจว่า คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย เวลาตายลง เขามีบ้านมีเรือน ก็เอาไปไม่ได้   เขามีวัตถุ ข้าวของ เงินทองก็ เอาไปไม่ได้  บางคนทรัพย์สินเงินทองข้าวของมากมี เวลาตายเป็นผี เอาไปไม่ได้ ความตายนี้ไม่มีอะไรป้องกัน คนเกิดมาแล้ว ต้องแก่ เจ็บ ตาย กันทั้งนั้น อย่าว่าแต่คนอื่นจะตายเลย ตัวเราก็จะต้องตายเหมือนกัน เมื่อความตายมาถึงเรา เราจะเอาอะไร ในกายนี้ แม่แต ่ผมเส้นเดียวก็เอาไม่ได้
   
   เมื่อ พิจารณาไป ก็เกิดสังเวชสลดใจ   จึงได้พิจารณากายตัวเอง ถึงมรณานุสติ มากเข้า  ต่อนั้นมา การพิจารณากายคสติ กับมรณานุสติ มักจะไปด้วยกัน แต่ในตอนนั้น มันเป็นพรรษาแรก   ไหนจะเจริญกรรมฐานบ้าง ไหนจะไปท่องสวดมนต์บ้าง ไหนจะไป ดูธรรมะบ้าง  ไหนถึงเวลาทำข้อวัตรก็ต้องเบ่งเวลาไปทำ  รู้สึกว่าการเจริญกรรมฐานยังได้น้อย
   
   บางครั้งตัณหา กิเลส มันก็แสดงออกไปภายนอก  เพราะไปนึกถึงเรื่องอดีต ที่พ่อ แม่แบ่งนาไว้ให้  แบ่งสวนไว้ให้ แบ่งวัวแบ่งควายไว้ให้ และพ่อก็ไปขอสาวไว้ให้ แม่ก็ไปขอสาวไว้ให้ ถ้าสึกมา เมื่อไร ก็จะได้แต่งงานกัน
   
   คิดทางโลก ซึ่งเป็นเรื่องกามวัตถุ เมื่อคิดไปแล้วมันก็คิดทบทวน มาหาคนที่ตาย เห็นไหมผู้หญิงคนนั้นตาย เขาก็เอา เผาไฟ   ไฟก้ไหม้หมด ไหม้หัว ไหม้หน้าตา ที่สวยงามๆ ไหม้แขน ไหม้มือ ไหม้ตัว ไหม้ขา ไหม้แข้ง ไหม้ตีน ไหม้หมด ทั้งหนังเนื้อเส้นเอ็นและกระดูก แม้แต่ตัวเขา ก็เอาอะไรไม่ได้   มีวัตถุข้าวของเงินทองมากมายได้อะไร   ใจรู้ใหม ใจเห็นใหม ใจนี้มันตายใหม ถ้าใจมันตาย ไปด้วยกัน เอาไปเผาหมดทั้งกาย ทั้งใจเห็นจะดี  ไม่มีกาย ไม่มีใจแล้ว เห็นจะไม่มี ทุกข์ยากลำบากอะไร แต่ในหนังสือธรรมะ ท่านว่า ใจไม่ตาย กายตาย ใจไปเกิดอีก เป็นนั่นเป็นนี่ เป็นเรื่องของกรรม ถ้าทำ กรรมดี ใจก็ไปเกิดที่ดี ถ้าทำกรรมชั่ว ใจก็ไปเกิดที่ชั่ว

เลดี้เบื๊อก:
   เมื่อมีความเห็นอย่างนี้ใจก็น้อมไปในการเจริญกรรมฐานมากขึ้น ตายไม่ได้อะไร สึกไปทำไมา ถ้าสึกไปเอาเมีย เมียมัน ก็ตาย ตัวเราก็ตาย คนทั้งโลกตายกันทั้งนั้น ไม่มีใครได้อะไร สมบัติเครื่องใช้ในโลกชั่วคราว ดูซิ เศรษฐีมีเงิน ร้อยล้านพัน ล้านตายลง บาทเดียวก็เอาไม่ได้ ในเวลามีชีวิต อยู่ลุมหลงมัวเมาหาแต่วัตถุ ข้าวของเงินทอง เมาเสียจนมืด สิ้นบุญกุศล จะให้ทานก็กลัวแต่มันจะหมด เรื่องหมดไม่ชอบ ชอบแต่เรื่องร่ำรวยมั่งมี ยิ่งมียิ่งตระหนี่ขี้เหนียว เศรษฐีบางคน เอาทรัพย์ ไปซ่อนไว้ เอาไปฝังไว้ กลัวลูกหลาน เขาจะแย่งเอาไป เวลาตาย ก็ไปเป็นผี เฝ้าเงินเฝ้าทอง   ยิ่งทำโทษหนักให้แก่ตัวเอง   เพราะหลงมืดมน ไม่สนใจในธรรมะ จึงไม่รู้จักประโยชน์การใช้เงิน ในธรรมะท่านแสดงประโยชน์เอาไว้อย่างนี้ มีทรัพย์ ให้แบ่งออกห้าส่วน  เลี้ยงบิดา มารดา ที่แก่เฒ่าชราให้เป็นสุข เลี้ยงตัว เลี้ยงครอบครัวลูกหลาน บ่าวไพร่ บริวาร ให้เป็นสุข เอาทำทุนค้าขาย หากำไร เก็บไว้ใช้ในเวลาจำเป็น เอาทำบุญ ให้ทานการกุศล ถ้าทำได้อย่างนี้ ทางธรรมะ ท่านเรียกว่า รู้จัก ประโยชน์ในการใช้ทรัพย์   มีโภคทรัพย์แล้วเอาแลกเปลี่ยนเป็นอริยทรัพย์ คือ จาคธนัง ยังจะเป็นประโยชน์ต่อไปในสุคติภพ นี้ประโยชน์ตนชาตินี้   ประโยชน์ตนชาติหน้า  ประโยชน์อย่างยิ่ง อย่างสูง ได้แก่มรรคผล นิพพาน
   
   
   ท่าน มองเห็นประโยชน์ไหมว่า จะมีประโยชน์จริงหรือไม่จริง หรือตายแล้วสูญ ถามใจคุณดูซิว่า  ใจคุณมันสูญสิ้นไป ไหม   ไม่มีความเวียนว่ายตายเกิดหรือ   คุณเคยดู ปฏิจจสมุปทานไหม   พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ว่า  อวิชชา เป็นปัจจัย ให้มีสังขาร   สังขารเก่าตายไป สังขารใหม่เกิดขึ้นมา เพราะใจมีอวิชชาไม่ใช่หรือ   ใจหลงกับสังขาร กับความคิดนึกปรุง แต่ง ทั้งที่สังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา   ใจก็หลง แล้วหลงอีก  ท่านให้นึกพุทโธ รู้ใจ พุทโธ ใจรู้ ก็นึกไม่ได้ เพราะใจ มันหลงมัวเมา ในกิเลสกามและวัตถุกาม จนมืดมนอนธการ หลงบ้านเรา หลงผัวเรา หลงเมียเรา หลงลูกเรา หลงหลานเรา หลงญาติมิตรพี่น้องเรา ใจเมาในสังขารจนตาย ก็ไปเกิดกับสังขารอีก เป็นอย่างนี้มาหลายร้อยหลายพันกัปมาแล้ว ยังหลงต่อ ไปในอนาคต
   
   คนคงจะระลึกได้รู้ใจละมั้ง   ไม่ว่าแต่วัตถุข้าวของเงินทองภายนอก ตัวของคุณนี้แหละ ตายจริงๆนะ ถือเอาอะไรเลย ก็ไม่ได้ในาร่างกายนี้   ใช้รอเวลาเท่านั้นแหละ ใจอย่าไปลุ่มหลงมัวเมามันนัก   ใจที่ไม่ตายนี้ มีทรัพย์สมบัติอะไรบ้าง
   
   อริยทรัพย์ สัทธาธนัง ใจมีไหม
   อริยทรัพย์คือศีลธนัง  ใจมีไหม
   อริยทรัพย์คือหิริธนัง ในมีไหม
   อริยทรัพย์คือ โอตตัปปธนัง ใจมีไหม
อริยทรัพย์คือ สุตธนัง ใจมีไหม
อริยทรัพย์คือ จาคธนัง ใจมีไหม   
อริยทรัพย์คือ ปัญญาธนัง ใจมีไหม

ถ้าใจมีอริยทรัพย์ท่านเรียกว่า ใจไม่จน

ถ้า มีโภคทรัพย์ข้าว ของเงินทอง บ้านเรือน เรือกสวนไร่นา อันเทรัพย์เครื่องใช้ในโลก ใจเอาไม่ได้ ร่างกายตายแล้ว ก็ทิ้งไว้ในโลกทุกคน จะตายกันหมดทุกคน จะไม่ได้อะไร แม้ขันธาธิโลก ก็ทิ้งเอาไว้ในโลก ฉะนั้นท่านผู้รู้จึงเตือนเอาไว้ว่า อย่าประมาทตาย   ตายนะ   รีบกินรีบใช้ รีบทำบุญ เดี๋ยวตาย อย่าไปมัวอ้างกาล อ้างเวลาอยู่

ใน ปีแรกนี้ การศึกษาธรรมะ การเล่าเรียนก็ดำเนินต่อไปเพราะได้คติธรรม คือ มรณานุสติ สอนใจ เมื่ออยู่จำพรรษา วัดป่าคึมชาติ จนออกพรรษาแล้ว ก็ได้กราบลาท่านอาจารย์ ์ไปเยี่ยมโยมบิดา มารดาที่บ้านแฮด ก็ได้พักที่วัดป่า มีหลวงพ่อ อิสสโร ท่านอยู่ที่นั้น   เมื่อพักอยู่ที่นั้น ก้ได้ฟังธรรมจากท่าน  แนะนำสั่งสอนมีหลายอุบาย  แต่อารมณ์กรรมฐาน ท่านใช้ กายคตาสติ  กับพุทโธ   ใจบริกรรมพุทโธ แล้วพิจารณา ในอาการสิมสิบสอง  พิจารณาในความเป็นของปฏิกูลบ้าง พิจารณาความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ อนัตตาบ้าง

   ครั้นอยู่ต่อมา ท่านก็เป็นโรคเท้าบวม  หลังเท้าของท่านบวมเป็นหนอง เดินไปมาลำบาก   การถ่ายอุจจาระ การถ่ายปัสสาวะ ต้องใช้กระโถน ญาติโยม ช่วยหายา มารักษา ท่านทั้งยาทา  ทั้งยากิน   ทั้งยาประคบ แต่อาการไม่ทุเลา อาการบวมพองกลัดหนองข้างใน   ฉันก็ไม่ค่อยได้  นอนก็ไม่ค่อยหลับ  เราก็ได้เฝ้าดูแลการรักษพยาบาลท่าน  มาในคืนหนึ่ง ปรากฏอาการเจ็บปวดรุนแรงมาก เราก็เอายาทาให้และช่วยตักเตือนท่าน ให้ระลึกพุทโธ และเตือนท่านให้ละความยึดมั่นถือ มั่น  บางครั้งเราก็เป่าให้ท่าน แต่รู้สึกว่า อาการของ โรครุนแรงมาก   เท้าที่แตก หนองไหลออกมา  แทนที่ว่า อาการจะเบา ลง กลับกำเริบแรงกล้า จนถึงเท่านสิ้นลมหายใจตายลงในคืนนั้นเอง
   
   พระเณรที่เฝ้าอยู่และญาติ โยมได้เห็นก็เกิดสังเวชสลดใจ จนถึงเวลาเช้า ก็ไปบอกญาติโยม ทางในบ้าน และส่งข่าวไปถึง ท่านอาจารย์สีโห ท่านก็ได้พาพระเณร มาจากวัดป่าสุมนามัย อำเภอบ้านไผ่ เมื่อท่านมาแล้วก็ได้บอกให้โยมทำหีบ  เมื่อทำ เสร็จแล้ว ก็เอาขึ้นมาที่ศาลา เพราะท่านพักอยู่ศาลา   ทำพิธีรดน้ำศพแล้วก็เอาศพของท่านบรรจุลงในหีบ ทำพิธีสวดมติกา และชักอนิจจา ต่อมาเมื่อคณะสงฆ์มีท่านอาจารย์สีโห เป็นประธาน พร้อมพระเณร ญาติโยม ก็ได้พากันทำฌาปกิจ ที่วัดนั่น เอง เวลาจูงศพ ท่านไปขึ้นเชิงตะกอน แล้วทำพิธีชักผ้าบังสุกุลเสร็จ ก็พากันใส่ดอกไม้จันทน์ แล้วก็เผาที่นั่นเอง

   
ขณะที่เผาศพของท่าน ก็ได้ยืนดูพิจารณาไฟที่ไหม้ ไหม้กระดาษ ไหม้โลงพังออก เห็นตัวท่าน ไฟไหม้ผ้าจีวรที่คลุม ไหม้สบง ไหม้อังสะ ไหม้หัว ไหม้หน้า ไหม้ตา ไหม้หู ไหม้จมูก ไหม้ปากและไหม้ลำคอ ไหม้แขน ไหม้มือ ไฟไหม้อก ไฟ ไหม้ลำตัว ไฟไหม้หลัง ไฟไหม้สีข้างทั้งสอง ไฟไหม้ท้อง ไฟไหม้ขา ไฟไหม้แข้ง ไฟไหม้หนัง แล้วก็ไหม้เนื้อ ไหม้เข้าไปใน เส้น ไหม้ม้าม ไหม้เนื้อหัวใจ ไหม้ตับ ไหม้ไต ไหม้ไส้พุง มีเลือด น้ำเหลืองหลั่งไหลออกมา ไฟก้ไหม้ไปจนหมดเหลือแต่ กระดูกขาว กองอยู่ ปนกับถ่าน

นี้แลหนอจุดจบ ของร่างกาย ไม่ว่าคน ไม่ว่าสัตว์ ตายแล้วไม่เผากัฝัง   มองเห้นเด่นชัดว่า ตายไม่ได้อะไร จบลงแค่ตาย จบลงแค่เผา แค่ฝัง หมดทุกข์ เรื่องบริหารร่างกาย ไม่ต้องกินข้าวกินน้ำ ไม่ต้องทำงานทำการ ข้าวของเงินทอง บางคนหา ไว้เยอะ เมื่อยังไม่ตาย เมื่อตายแล้ว เอาอะไรไม่ได้ ฉะนั้นนักปราชญ์บัณฑิต จึงเตือนให้ระลึกถึงบุญ ตรวจตรองบุญว่า บุญ บารมีเราพอหรือยัง ถ้ายังไม่พอ ให้รีบทำนะ เดี๋ยวตาย จะเสียใจว่า ไม่ได้ทำบุญ ผู้จะรับผลบุญผลบาป ก็คือใจที่ไม่ตาย เมื่อ พิจารณาเขาก็มาพิจาณาเราตายเหมือนกัน ล่วงพ้นความตายไม่ได้ ก่อนความตายมาถึง ต้องรวบรวมบุญ กุศลมรรคผล ให้ถึง พร้อมภายในใจ

เลดี้เบื๊อก:
เมื่อเสร็จสิ้นการทำฌาปนกิจเศษอัฐิธาตุของท่านแล้ว ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลอีกครั้งสุดท้าย อุทิศส่วนบุญกุศลไปให้แก่ ท่านอีก ครั้นต่อมา พระเณรครูบาอาจารย์ที่ท่านมาในงาน ท่านกลับไปวัดท่าน   ยังเหลืออยุ่สามรูป ก็มีแต่พระบวชใหม่ เพิ่ง ได้พรรษาเดียว จิตใจก็ว้าเหว่ นึกหาครูบาอาจารย์อีก เพราะตนยังเป็นผู้ศึกษาอยู่ทั้งทางปริยัติและทางปฏิบัติ ก็คิดจะลาญาติ โยมไปจังหวัดอุดร จึงได้ไปหาโยมบิดา  เล่าความประสงค์ให้ท่านฟัง โยมบิดา บอกว่าจะเอานาไว้ให้  จะเอาสวนให้ จะเอา วัวให้ จะเอาควายให้ ถ้าสึกออกมา ก็จะหาภรรยาให้ จะมอบทรัพย์สมบัติให้ ก็เลยพูกับท่านว่า พ่อ ไม่ต้องห่วงอาตมา ถ้า อาตมาอยู่ในศาสนาไม่ได้ สึกออกมา จะหาเอาเอง ถ้าหาเอาเองไม่ได้ จะพามันกินดิน ได้พูดกับท่านอย่างนี้ และได้บอกท่านว่า เอาขายเสีย ให้หมด แล้วเอาเงินไปทำบุญ โยมพ่อเอง ก็ให้ออกบวชเสีย
เมื่อ อาตมาพูดท่านก็ฟัง แล้วท่านก็พูดออกมาว่า จะขายให้หมดแล้ว จะออกบวช เมื่อได้พูดปรับเความเข้าใจกันแล้ว อาตมาก็ลาท่าน พ่อไปส่งที่สถานีรถไฟบ้านแฮด อาตมาก็ขึ้นรถไฟไปอุดร ไปขอจำพรรษาที่วัดทิพยรัตน์ มีท่านอาจารย์ฐิน เป็นเจ้าอาวาส เมื่อจำพรรษาที่วัดทิพย์รัตน์ ก็ได้เรียนนักธรรมโท และท่องสวดมนต์แปลด้วย และได้ท่องปฏิโมกข์ด้วย จน ออกพรรษาได้ทราบข่าวว่า หลวงปู่ชอบ จำพรรษาอยู่หนองวัวซอ จึงคิดว่าจะไปกราบนมัสการท่าน เพื่อขอฟังธรรมคำสั่ง สอน จึงได้ไปขออนุญาติท่านอาจารย์ฐิน ก็เลยเตรียมเอาบริขารของตน ลาท่านเดินทางไป

เมื่อถึงวัดบ้านเล่า ท่านอาจารย์แพท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็เลยพูดให้ฟัง ว่าหลวงปู่ชอบ ท่านขึ้นไปเชียงใหม่แล้ว ไม่ทัน ก็เลยลาท่านอาจารย์กลับมาวัดทิพย์อีก   จนรับกฐินเสร็จ ก็ได้ลาท่านอาจารย์ฐิน บอกท่านว่า จะไปเชียงใหม่ เพื่อตาม หาหลวงปู่ชอบ ก็ได้ออกเดินทาง ผ่านบ้านตาดไปอำเภอผือ ไปขอพักที่วัดป่าอำเภอผือ มีอาจารย์บุญมา อยู่ที่นั่น เริ่มสวด ปาฏิโมกข์ ครั้งแรกที่วัดป่า อำเภอผือนั้น

ครั้น วันหลังต่อมา ก็ได้ลาอาจารย์บุญมา ออกเดินทางไปพักวัดบ้านค้อ มีอาจารย์คำมีอยู่ที่นั่น ได้พักที่วัดป่าบ้านค้อ หลายวัน ต่อมาก็ได้ลาอาจารย์คำมี เดินทางต่อไป พักที่พระบาทบัวบก ต่อมาก็ย้ายไปพักที่ถ้าพระนาผักหอก พักภาวนาอยู่ที่ นั่นหลายวัน   ต่อมาก็ได้ไป พักที่บ้านคึมสะโนด มีบ้านสามหลัง ตอนในพรรษา หลวงปู่หล้า   ท่าน ได้จำพรรษาที่นั้น เมื่อ ออกพรรษาแล้ว ท่านก็ย้ายไปอยู่ถ้ำพระนาหลวง ก็คิดจะไปกราบนมัสการ เพื่อขอฟังธรรม ข้อปฏิบัติจากท่าน ต่อมาก็ได้ลา โยมที่นั่นเดินทางไปพักที่บ้านน้ำซึม ต่อมาก้ได้ไปพักที่บ้านนาเก็น   โยมบ้านนาเก็นนี้ มีลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น คนหนึ่ง ชื่อ ผู้ใหญ่เหี่ยว ไปเห็นที่ไร่ที่นาดี ก็เลยสึกมีครอบครัวอยู่ที่นั่น

 ก็ได้พักภาวนา อยู่ใกล้บ้านนาเก็น เขาไปทำที่พักให้ข้างทางช้าง   ช้างออก จาดงมาก็มากินน้ำ สมัยนั้นสี่สิบกว่าปีมาแล้ว ช้าง เสือ กวาง ฟาน หมู ไก่ป่า อย่างนี้ชุกชุม โยมเาทำที่พักข้างทางช้าง เขาจะลองดูว่าอาตมาจะกลัวไหม บุญรักษาอาตมา ก็มีคำว่าบริกรรมภาวนา พุทโธ พุทโธ เท่านี้เป็นอารมณ์อยู่ภายในใจ แต่ปรากฏว่าช้างไม่ลงมากินน้ำ ช่วงที่อาตมาพักภาวนา อยู่ที่นั้น พักภาวนาอยู่หลายวัน ก็เลยลาโยม เดินทางไปบ้านสว่าง ที่วัดป่าบ้านสว่างนั้น มีหลวงปู่จันทร์อยู่   หลวงปู่จันทร์ ท่านก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น   พัก ภาวนาอยู่กับท่านหลายวัน เลยขอให้โยมเขาพาไปหา หลวงปู่หล้า ที่ถ้ำพระนาหลวง ท่านได้ย้ายไปอยู่ที่ถ้ำผาตัก ขอให้โยมไปส่ง เขาไม่รู้จักก็เลยไม่ได้พลหลวงปู่หล้า จึงได้กลับมาพักที่วัดป่าบ้านสว่างอีก

   ต่อ มาได้ลาหลวงปู่จันทร์ เดินทางผ่านบ้านปากลาง เดินทางผ่านดงปากเจียง ในดงนนี้มีช้างมาก มีช้างสีดอตัวหนึ่ง ไม่กลัวคน เห็นคนมันจะไล่ โยมเขาบอกว่า ครูบาเดินผ่านดงนี้ ให้ระวังช้าง ถ้าเห็นช้างหมู่ให้เป่ามือ มันจะแตกหนีไป ถ้าเห็น ช้างสีดอ ให้หลบให้ดีมันจะไล่ เราก็มีของดีคือ พุทโธ ไม่ต้องกลัว พุทโธป้องกันภัยอันตรายทุกอย่าง เดินไปจนเป็นเวลาบ่าย สี่โมงกว่า จึงข้ามพ้นจากดง ไปถึงบ้านหนอง    บ้าน นี้อยู่ฝั่งโขง ก็เดินผ่านบ้านหนองไปใกล้จะถึงบ้านหาดเบี้ย จึงพักปักกลด นอนจนถึงรุ่งเช้า บิณฑบาตบ้านหาดเบี้ย โยมใส่บาตรดีเหลือเกิน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ เมื่อฉันแล้วล้างบาตร เช็ด บาตรแห้งดีแล้ว ก็เอาผ้าครอง สิ่งของเอาใส่ในบาตร เตรียมเดินทางต่อไป
   
   จุดประสงค์จะเดินทางไปถึง เชียงใหม่  ญาติโยมใครถามก็บอกว่าจะไปเชียงใหม่   ก็เดินทางผ่านนบ้านผาแบ่นบัวโฮม ผ่านบ้านโคก มาถึงถ้ำผาปู่ มาพักที่ถ้ำผาปู่นั้นเจ็ดวัน  ไปถึงวันแรก พักที่ถ้ำน้อยทางตะวันออกถ้าผาปู่   เมื่อ เย็นลง ก็ทำวัตร สวดมนต์เสร็จก็ออกมาเดินจงกรม ได้สักพักหนึ่งก็กลับไปนั่งภาวนา ปรากฏเหมือนเสียงคนขึ้นบันไดมาหา เดินเหยียบขั้น บันไดเสียงกึกๆ ขึ้นมาถึงข้างบนพื้นถ้ำ ที่มีกระดานปูเสียงเงียบไป  ไม่ปรากฏเสียงเดิน สังขารมันปรุงไปว่าผีหลอก มันจะให้ ลุกออกไปดู   ขนลุกซู่ซ่าไปหมด ก็เลยบอกมันว่าไม่ไปดู นั่งหลับตาภาวนาอยู่นั่นแหละ   ถ้าเป็นผีมันจะกินได้ ให้มันกินเสียเลย  ตายแล้วไม่ต้องไป ต้องมาให้เป็นทุกข์ นั่งภาวนาพุทโธ พุทโธ อยู่อย่างนี้ จนอาการขนลุกขนชันมันระงับ ไป   นั่งอยู่จิตก็สงบเย็นลงมา   ต่อมาเมื่อออกจากภาวนาแล้ว ก็จุดเทียนส่องดูไม่เห็นมีอะไร
   
   ครั้นรุ่ง เช้า มาก็ไปบิณฑบาตบ้านน้ำภูบา  เมื่อ ก่อนรู้สึกกันดารมาก ไปบิณฑบาตก็ได้ข้าว เกลือ พริก น้ำอ้อย ได้มาอย่าง ไรก็ฉันตามมีตามเกิด ก็สบายไม่ต้องไปสร้างภวตัณหาอยากได้อยากดี  อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คราวนั้นได้ไปพักอยู่ที่ถ้ำ ผาปู่เจ็ดวัน ก็ออกเดินทางต่อไป ขอพักที่วัดเลยหลง หนึ่งคืน   รุ่ งเช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จก็เตรียมบริขารไปลาท่านเจ้าคุณ ก็ออกเดินทางต่อไปที่วัดบ้านม่วง ท่าแพร ซึ่งมีหลวงปู่ซามา อยู่ที่นั่น  พักที่วัดหลวงปู่ซามา ได้สามคืน ก็ไปลาท่าน ท่านถาม ว่าจะไปไหน  บอกท่านว่าจะไปเชียงใหม่ ลาท่านเสร็จก็ออกเดินทางผ่านบ้านภูสวรรค์ไปด่านซ้าย  พักที่ด่านซ้ายหนึ่งคืน รุ่งเช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จก็เตรียมบริขารไปลาเจ้าอาวาส ก็ออกเดินทางมุ่งไปหล่มเก่า
   
   ขณะ เดินทางจากด่านซ้ายไปหาเมืองหล่ม เกิดจับไข้สั่นหนาว เลยเข้าพักภาวนาใต้ร่มไม้ประมาณชั่วโมงกว่าอาการ ระงับลง ก็เลยออกนั่งภาวนา เดินทางต่อผ่านหล่มเก่าไปหล่มใหม่   ขอพักที่วัดหล่มใหม่หนึ่งคืน ตื่นเช้าไปบิณฑบาตได้ข้าว มานิดหน่อย อาหารอื่นไม่มี ก็เลยฉันข้าวไม่อิ่ม ก็หยุดล้างบาตร   เตรียมบริขารใส่ในบาตร ก็ออกเดินทางต่อไปเพ็ชรบูรณ์ ค้างที่เพชรบูรณ์คืนหนึ่ง รุ่งเช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จก็เตรียมบริขารลาเจ้าอาวาส  แล้วเดินทางต่อถึงสามแยกไปพักที่วัดข้าง ทาง จะขึ้นเขารัง  รุ่งเช้ามาไปบิณฑบาต มาฉันเสร็จแล้ว ก็เตรียมบริขาร ไปลาหลวงปู่เคลือบ ที่เป็นเจ้าอาวาส เสร็จแล้ว ก็เดินขึ้นเขารัง  หยุดพักใกล้บ้านกรมทาง  รุ่ ุงเช้ามา โยมที่กรมทางนั้นใจบุญ ส่งขึ้นรถยนต์มาลงที่สะพานหิน เมื่อถึง สะพานหินแล้ว ก็เดินตามทางรถไฟขึ้นมาเรื่อยๆ ค่ำไหนก็พักใต้ร่มไม้ เช้ามาก็บิณฑบาตฉัน   ฉันเสร็จล้าง เข็ดแห้งดีแล้ว ก็เตรียมบริขารเดินทางต่อมา เรื่อย   ค่ำ ก็พักค้างคืน เช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จก็เตรียมเดินทางต่อเรื่อยๆ ผ่านพิจิตร ผ่าน พิษณุโลก ผ่านอุตรดิตถ์ ผ่านบ้านด่าน จนถึงสถานีปางป๋วย  พักที่วัดป่า สถานีบ้านปางป๋วยหลายวัน  อาจารย์สวาท ซึ่งเป็น หลานชายหลวงปู่ตื้ออยู่ที่นั่น   ต่อมาโยมผู้ใจบุญสถานีปางป๋วย ถวายตั๋วรถไฟมาลงลำปาง  ไปขอพักที่วัดนาก่วมหนึ่งคืน  รุ่งเช้าเตรียมบริขารเสร็จ ไปลาเจ้าอาวาส ก็เลยไปขึ้นรถไฟขบวนลำปางเชียงใหม่
   
    วันนี้ ขบวนรถไฟจากลำปางไปเชียงใหม่ ไม่ได้ฉันอาหารเพราะเทวดาตาดีไม่มี ก็เลยฉัน พุทโธ พุทโธ เรื่ยยๆ จนถึงสถานีเชียงใหม่ พอรถจอดที่สถานีแล้วถือเอาบริขารลงรถไฟ ก็พบกับหลวงปู่สิม ท่านจะไปลำปาง ท่านเห็นลงรถไฟ ท่านก็เดินมาถามว่า จะไปไหน ก็เลยบอกท่าน  ผม จะไปวัดสันติธรรม ท่านเลยบอกเอาบริขารมานี่ ท่านไปส่งขึ้นรถสามล้อ ท่านให้เด็กของท่านจ่ายค่ารถสามล้อ ให้บอกคนรถไปส่งที่วัดสันติธรรม ก็เลยได้ไปพักอยู่วัดสันติธรรม

เลดี้เบื๊อก:
   ตอนนั้นวัดสันติธรรมยังสร้างใหม่ กุฏิเป็นกระต๊อบมุงใบตอง โบสถ์ยังไม่ได้สร้าง ถามถึงท่านอาจารย์ พระท่านบอกว่า ไปลำปาง พักอยู่วัดสันติธรรมหลายวัน  รอท่านอาจารย์กลับ  ท่านก็ยังไม่กลับเลยถามอีกว่า  มีตรูบาอาจารย์อยู่ที่ไหนบ้าง พระท่านก็บอกว่า มีหลวงปู่ตื้อ อยู่อำเภอแม่ริม มีหลวงปู่แหวน อยู่วัดป่าห้วยน้ำริน หลวงปู่ชอบ อยู่บ้านยางผาแด่น มีพระองค์หนึ่งสุจิต พักอยู่ทีวัดสันติธรรม   พูดคุยถูกนิสัยกัน เลยชวนกันไปหาหลวงปู่ตื้อ ที่อำเภอแม่ริม เมื่อเดินทางไปถึง วัดป่าแม่ริมแล้ว ก็ไปกราบนมัสการท่าน ท่านก็ถามว่ามาจากไหน  ก็บอกให้ท่านทราบและกราบนมัสการถวายตัวเป็นลูกศิษย์ ขอจำพรรษากับท่าน ที่วัดป่าแม่ริม ใน พ.ศ. ๒๔๙๓ เมื่ออยู่กับท่านปรากฏว่าท่านเทศน์เก่ง แนะนำพร่ำสอนดี   ในปีนั้น ท่านมักจะเทศน์เรื่อง ขันธ์ห้า  เทศน์เรื่อง อายตนะสิบสอง  ธาตุสิบแปด  อินทรีย์ยี่สิบสอง  โพชฌงค์เจ็ด  มรรแปด  ท่าน ยกหัวข้อธรรม ขึ้นมาแล้ว ท่านอธิบาย  เช่นท่านขึ้นขันธ์ห้าว่า " ปญฺขดฺชยฺโธ  รูปกฺขนฺโธ  เวทนากฺขนฺโธ  สญฺยากฺขนฺโธ  สงฺขารกฺขนฺโธ  วิญฺญาณกฺขนฺโธ " แล้วท่านก็อธิบายรูปกฺขนฺโธ ได้แก่รูปขันธ์ก็คือรูปร่างกาย  ชายหญิงทั่วไป  รูปมีธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ลม   ประชุมกันเรียกว่า รูปชาย รุปหญิง  รุปเป็นของปฏิกูลโดยที่เกิดปฏิกูลดัวยที่อยู่   ปฏิกูลด้วยสี  ปฏิกูล ด้วยกลิ่น  ปฏิกูลด้วยรส   ปฏิกูลด้วยการ สั่งสมระคนกัน  รูปขันธ์ก็ไม่เที่ยงจีรังยั่งยืน  มีความผันแปรเปลี่ยนแปลงแตกดับ ทำลายไปเป็นธรรมดา  ต้องทอดทิ้งไว้ในพื้นพสุธา หน้าแผ่นดิน ในโลกนี้ เวทนาก็ไม่เที่ยง  ผันแปรเปลี่ยนแปลง  สังขาร ก็ไม่เที่ยง ผันแปรเปลี่ยนแปลง   วิญญารก็ไม่เที่ยง ผันแปรเปลี่ยนแปลง  ขันธ์ห้าไม่เที่ยง  ขันธ์ห้าก็เป็นทุกข์   ขันธ์ห้าก็เป็น อนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา  ควรปล่อยวาง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
   
      เมื่อท่านเทศน์เรื่องขันธ์ห้าแล้ว   บางวันท่านก็เทศน์เรื่องอินทรีย์หก  จักขุนทริยัง  โสตินทริยัง  ฆานินทริยัง   ชิวหาทริยัง  กายินทริยัง  มนินทริยัง  อิคถินปุริสิน
   
   จักขุนทริ คือตา  เป็นใหญ่ในการดูรูป รูปทุกชริดรู้ได้ด้วยตา   ตาเห็นรูป ถ้าไม่สำรวม ก็เกิดอาสวะได้  ตาเห็นรูป ดี เกิดความยินดี ตาเห็นรูปชั่ว เกิดความยินร้าย  ตาเห็นรูปทั้งดีและไม่ดี เกิดความหลงอวิชชา  ทำให้ใจมืดมน ไม่มีความ จริงของตาและรูป  ตาและรูปไม่เที่ยง  เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา  ใจไม่รู้ เพราะใจหลง แล้วเกิดุอุปาทาน  ความยึดมั่นถือมั่น ของเรา ของเขา เรามี เราเป็น เขามี เขาเป็น
   
   อาสวะเกิดในอายตนะอย่างละสี่    สี่หกก็ยิ่สิบสี่  ท่านจึงสอนให้มีอินทรียสังวร  คือระวังใจไม่ให้ยินดี  ระวังใจไม่ให้ ยิ้นร้าย  ระวังใจไม่ให้ลุ่มหลงมัวเมา  ระวังใจไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ถ้าสำรวม ระวังใจให้ดี อย่างนี้ละ มันก็หลุดพ้น ก็เห็นได้เอง ที่ใจ   
     
   หูเป็นใหญ่ในการฟังเสียง    จมูกเป็นใหญ่ในการดมกลิ่น ลิ้นเป็นใหญ่ในการลิ้มรส  กายเป็นใหญ่ในการถูกต้อง โผฎฐัพพะ   ใจเป็นใหญ่ในการรู้ธรรมารมณ์   ต้องเอาของใหญ่ต่อใหญ่แก้กัน  ฝีกฝนอบรมศรัทธาให้เป็นใหญ่ ฝกฝน อบรมความเพียรให้เป็นใหญ่ ฝึกฝนอบรมสติ ให้เป็นใหญ่  ฝึกฝนอบรมปัญญาให้เป็นใหญ่  จะฝึกฝนอบรมอินทรีย์ห้านี้ ด้วยวิธีไหน

   ศรัทธาจะแก่กล้า เข้มแข็งขึ้นได้ด้วยอาการสามคือ   หนึ่งต้องหลีกเว้นคนไม่มีศรัทธา สองต้องคบบุคคลที่มีศรัทธา  สามต้องพิจารณาให้มากใน อสุสติหก คือพุทธานุสติ  ธรรมานุสติ  สังฆานุสติ  สีลานุสติ  จาคานุสติ  เทวดานุสติ  ในอนุ สติหกอย่างนี้  พิจารณาให้มากๆ  ศรัทธาก็จะแก่กล้า เข้มแข็ง วิริยะ ความเพียร จะมีกำลังแก่กล้า เข้มแข็งขึ้นได้ด้วยอาการ สาม  หนึ่งต้องหลีกเว้นจากบุคคลผู้เกียจคร้าน  สองต้องคบกับบุคคลที่หมั่นขยัน  สามให้พิจารณาองค์แห่งความเพียรคือ เพียรระวัง บาปไม่ให้เกิดขึ้นภายในใจ  เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้วภายในใจ  เพียรทำบุญกุศลให้เจริญ  เพียรรักษาบุญกุศลไว้ สติจะมีกำลังแก่กล้า เข้มแข็งขึ้นด้วยอาการสาม  หนึ่งต้องหลีกเว้นจากบุคคลผู้เผลอสติ สองต้องคบบุคคลผู้มีสติ  สามให้ระ ลึกเนืองๆ ในสติปัฏฐานสี่   สมาธิ จะมีกำลังแก่กล้า เข้มแข็งขึ้นได้ด้วยอาการสามคือ   ต้องหลีกเว้นจากบุคคล ที่มีจิตไม่ตั้ง มั่น จิตใจฟุ้งเฟ้ออยู่ด้วยนิวรณ์  สองต้องคบกับบุคคลที่มีจิตตั้งมั่น  สามให้พิจารณาเนืองๆ ในองค์แห่งฌานและวิโมกข์  ปัญญาจะแก่กล้า เข้มแข็งขึ้นได้ด้วยอาการสามคือ  หนึ่งต้องหลีกเว้นจากบุคคลผู้ไม่มีปัญญา  คนไม่มีปัญญามีลักษณะอย่างไร คือคนไม่เห็น กรรมชั่วเป็นชั่ว  ไม่เห็นกรรมดีเป็นดี  เห็นดีเป็นชั่ว  ไปเห็นชั่วเป็นดีไป เพราะคนไม่เห็นกรรมชั่วเป้นชั่ว ทั้งที่กรรมชั่ว ตัวเองก้ทำทั้งกาย วาจา ใจ  ยิ่งทางใจนี้ทำมากเหลือเกิน  ใจโลภอยากได้ยินดี ก็ไม่เห็นว่าชั่ว   ใจโกรธ พยาบาท อาฆาตจองเวร ก็ไม่เห็นว่าชั่ว  ใจลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในกิเลสกาม และวัตถุกาม ก็ไม่เห็นว่าชั่ว  เห็นว่าเป็นของดีไปอีก เมื่อเห็นชั่วเป็นดีแล้ว ก็พอใจในการทำกรรมชั่ว บาปอกุศลก็หนาแน่น จะให้ปัญญามันแก่กล้าเข้มแข็งได้อย่างไร   สองต้องคบผู้มีปัญญา   ถ้าทำเอาไม่ได้  พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็คงไม่มี
   
   ถ้าคุณเป็นผู้ฉลาดใน การฝึกฝนอบรมอินทรีย์แล้ว การบรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่ต้องไปถามใคร เหมือนเรารับประทาน อาหารเอง รสอาหารเรารู้ อิ่มเรารู้ ขอให้ทำอินทรีย์ให้แก่กล้า มรรคผลนิพพาน มันอยู่แค่ใจคุณนี้เอง
   
   ฉะนั้นจง พิจารณาอินทรีย์ของตนว่า ใจเชื่อไม่ว่า บุญกุศลมรรคผล นิพพาน ใจทำได้หรือว่าไม่ได้งั้นเหรอ หรือทำได้ แต่บาป   โลภใจทำได้ โกรธใจทำได้  หลงใจทำได้  ถ้าทำได้แต่กรรมชั่ว  กรรมดีทำไม่ได้  คงจะไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มี พระอรหันต์   พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านทำกรรมชั่วมาก่อน  ทำโลภ โกรธ หลง มาก่อน   ทำไมท่านจึงละได้ เพราะ ท่านเชื่อกรรมนี้เอง  ความเพียรก็เจริญ  สติก็เจริญ สมาธิก็เจริญ  ปัญญาก็เจริญ  ฉะนั้นขอให้ท่านผู้เจริญ จงทำเอาเถิด ทำ จริงๆ ของจริงคือ อริยสัจ จะปรากฏแก่ใจของท่านเอง เป็นสันทิฏฐิโก ใจเห็นได้เอง             
         
   ธรรมของหลวงปู่ตื้อมีมาก   ท่านเทศน์เก่งปฏิภาณโวหารท่านดี   อาตมาจำพรรษาอยู่กับท่านได้ประโยชน์ในการฟัง ธรรมมาก  เมื่อยู่กับท่าน อินทรีย์ของอาตมา ก็ยังไม่แก่กล้าพอ   ฉะนั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว จึงกราบลาท่านไปวิเวกไปพักที่ถ้า ปากสูง เร่งความเพียร เดินจงกรม นั่งภาวน ทั้งวันทั้งคืน  พิจารณากายนี้แหละ  ในมันหลง ใจมันยินดีในกาย  ในมันยึดกาย ว่าเป็นของเรา  ตอนพิจารณาอยู่ถ้ำปากสูง  พิจารณาจนปรากฏร่างกระดูก จึงพิจารณา ร่างกระดูกว่า ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็น อนัตตา  กระดูกก็ธาตุดิน ซึ่งเป็นโครงค้ำแข็งอยู่ในกาย  เห็นโครงกระดูกพังทลายลงไป  ใจรู้ว่ากายพังแล้ว  กายแตกสลาย แล้ว   กายเสื่อมสิ้นสูญไปแล้ว  ไม่มีอะไรเป็นเรา ไม่มีอะไรเป็นตัวตนของเรา  ใจมันก็รวมพรึ้บลง ที่ใจ รู้ใจ เห็นว่า เป็นธาตุ เป็นอนัตตา  ใจไม่ใช่เรา สูญเปล่าจากเรา  รู้แจ้ง สว่างขึ้นภายในใจ  ความไม่รู้ ความหลง มืดมนอนธการก็หายสิ้นไปจากใจ ไม่มีเรา ไม่มีผู้ทำ  ไม่มีผู้ได้ ไม่มีผู้เสีย  ไม่มีผู้เป็นนั่นเป็นนี่  เพิกถอนสมมุติออกจากใจ  เหลืออะไร เหลือแต่วิมุติ คือใจหลุด พ้นจากสมมุติ

เลดี้เบื๊อก:
   ภาวนาอยู่ที่ถ้ำปากสูง ได้ธรรมะเป็นสัปปายะ สบายใจมาก  พรรษาที่สี่ ก็เลยจำพรรษาทีวัดร้างข้างบ้านถ้ำ นั้นกับท่าน สุจิตสองคน  จนออกพรรษาแล้ว จงได้ลาโยมศรัทธาบ้านถ้ำมานมัสการหลวงปู่ตื้อ  สนทนาธรรมกับท่านและได้ปรารภเรื่อง การภาวนา  ความรู้ความเห็นในภาวนา สิ่งใดที่ยังสงสัยอยู่ ท่านอธิบายให้ฟังและ พูดนิมิต ให้ฟังว่า ได้มีดสองเล่ม แต่ด้ามไม่มีเลย เอาด้ามใส่ให้มีดเล่มหนึ่ง เอาด้าม ใ ส่ให้ทีเดียว ก็แน่นเลย มีดเล่มหนึ่ง เอาด้ามใส่ให้ก้หลุดออกมา เอาใส่อีกก็หลุดอีก เลยใส่ไม่ได้ ท่านพูดนิมิตให้ฟังอย่างนั้น
   มีดที่ด้ามหลุด หลุดจริงๆ หลุดออกไปอยู่ในฆราวาสวิสัย เมื่อพรรษาที่แปด
   
   เมื่อไปฟังธรรมจากท่าน ก็เลยลาท่านว่าจะไปนมัสการหลวงปู่ชอบ ที่วัดบ้านยางผาแด่น ลาท่านแล้ว ก็เตรียมเอาบริขาร ก็ออกเดินทางไปผ่านสรวง ไปสันป่าตึงค้างที่วัดสันป่าตึง ได้คืนหนึ่ง   รุ่งเช้าไปบิณฑบาตฉัน  เมื่อฉันเสร็จ แล้วก็ได้ลาครู บาวัดสันป่าตึง  ก็ออกเดินทางไปทางบ้านเอียก  ผ่านไปถึงบ้านยางผาแด่น  เดินเลยไปก็ถึงวัดป่าบ้านผาแด่น  เงียบสงบดี ห่างไกล จากเสียงรถเสียงรา  วิเวกสมควรแก่การบำเพ็ญสมณธรรม  เมื่อเอาบาตรบริขารวางไว้ที่ศาลาแล้วก็ไปกราบหลวงปู่ ชอบ ท่านก็ถาม ถึงการมา การไป   ก็เล่าเรื่องให้ท่านฟัง  ท่านก็บอกสามเณร ไปจัดที่พักให้  ก็ได้พักอยู่วัดผาแด่นหลายวัน
   
   ในวันหนึ่ง เมื่อทำข้อวัตรปัดกวาดลานวัดเสร็จ ได้พากันสรงน้ำให้ท่าน เมื่อสรงน้ำเสร็จ ก็มานั่งที่ศาลาฉันน้ำร้อน ท่าน ก็ให้โอกาสศึกษาธรรม  หรือใครภาวนาปรากฏนิมิตอย่างไร ก็มาเล่าให้ท่านฟัง  ท่านจะแก้ไข้ชี้แนะ อุบายให้ บางทีท่านก็ ถามเห็นอะไรบ้าง คืนนี้มีใครมาเห็นไหม   ท่านก็เล่าเรื่องเทวดามานมัสการ  บางคืนก็มาก  บางคืนก็น้อย  บางพวกก็มาฟัง ธรรม  บางพวกมานมัสการแล้วก็ไป  อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็ปรารภสถานที่ภาวนา แล้วก็บอกให้แยกกันไปภาวนา   เพื่อจะได้ กำลังองอาจกล้าหาญ   ท่านได้บอกอาตมาว่า ท่านบุญจันทร์ลองไปภาวนาถ้ำบ้านเมืองก๊ะดู   มีถ้ำและมีน้ำดีไหลผ่นข้างถ้ำ เป็นที่เงียบสงบดี   แล้วบอกให้ท่านสุจิตไปภาวนาบ้านยางแม่ตอ   บอกไปอยู่คนละที่ จะได้กำลังใจฝึกคุณธรรม อันเป็นที่ พึ่ง ของตน
   
   ครั้นถึงวันรุ่งขึ้น ไปบิณฑบาต มาฉันเสร็จแล้ว   ก็เลยเตรียมบริขารลาท่านเดินทางไป   ไปพักภาวนาอยู่ที่พระบาท สี่รอย นั้นเจ็ดวัน  ออกจากนั้นไปพักภาวนาที่ถ้ำบ้านเมืองก๊ะ   อยู่ห่างจากบ้านพอสมควร เงียบสงบดี   พักภาวนาอยู่ที่ถ้าบ้าน เมืองก๊ะ ได้เดือนกว่า   หลวงปู่ก็ให้อาจารย์สุณี ไปตามกลับมาที่บ้านยางผาแด่นอีก   เมื่อมาถึงผาแด่น ท่านก็พูดว่า ท่านสุจิต ไปอยู่บ้านแม่ตอคนเดียว ไม่มีหมู่ให้ท่านไปอยู่เป็นหมู่กัน   ก็เลยไปจำพรรษาที่บ้านยางแม่ตอ กับท่านสุจิต   การไปอยู่บ้าน แม่ตอ ก็ได้เร่งทำความเพียร   ทำได้ทั้งวันทั้งคืน เพราะไม่ค่อยมีปลิโพธกังวล   ไม่มีการสวดมนต์ภายในบ้าน   ไม่ได้เทศน์ สั่งสอนใคร สอนแต่ตัวเอง  การสอนนี้ เมื่ออินทรีย์อ่อน กิเลส กล้าก็ใช้อุบายหลายอย่าง ที่นึกได้ในสติภาวนาสูตร   จิตที่ควร ข่มก็พึงข่ม   จิตที่ควรยกย่อง ก็พึงยกย่อง  จิตควรเพ่งดู ก็พึงเพ่งดู จิตที่ควรข่ม คือ อย่างไร จิตหลง มัวเมาในความคิดนึกปรุงแต่ง  เดี๋ยวก็คิดไปเรื่องนั้น เดี๋ยวก็คิดไปเรื่องนี้  บางทีคิดใน เรื่องที่ดีก็เกิดความยินดี   บางครั้งคิดไปเรื่องชั่ว เรื่องไม่ดี ก็เกิดความยินร้าย บางครั้งก็เกิดความหงุดหงิดรำคาญ บางครั้ง ก็เกิดความลังเลสงสัย บางครั้งในก็หลงมัวเมา ในความคิดนึกปรุงแต่ง ต้องสอนใจด้วยวิธีต่างๆ ให้ใจมันรู้
   
   ความไม่รู้ที่มีในใจทาน เรียกว่าหลง   ใจละหลงไม่สิ้น บางครั้งต้องใช้อุบายร้ายว่าคำสอน ใช้อุบายหยาบๆ ด่า ข่มขู่ ชี้ โทษความหลงอวิชชา ความหลงนี้แหละ เป็นเหตุให้ปัจจัย ให้เกิดนิวรณ์ตัวอื่นๆ หลงแล้ว หลงอีก มัวเมา สร้างกิเลสกามขึ้น มาอีก หลงมัวเมา คิดไปเรื่องชั่ว เรื่องไม่ดี แม้เป็นเรื่องอดีต มันล่วงมาแล้วตั้งนาน   มันนึกคิดเอามาให้เกิดความไม่พอใจ เกิด โกรธ เกิดความหงุดหงิดรำคาญใจ ใจที่มีอวิชชา หนาแน่นไปด้วยอวิชชา สอนให้รู้ ก็ไม่รู้ สอนให้เข้าใจก็ไม่เข้าใจ  ต้องสอน แล้วสอนอีก บางครั้งจิตมัน เป็นปทรมะ บางครั้งนึกถึงอุบายจะสอน นึกไม่ออก บางครั้งสอนให้ทำดี  ใจก็ไปทำชั่วเพราะ กรรมชั่วมันเคยชิน  ยืดมั่นถือมั่นก็ยึดเสียจนชิน  ตระหนี่ขี้เหนียวก็ทำเสียจนชิน  กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด ก็ทำเสียจนชิน
   
   ฉะนั้น บาปอกุศลใจทำเสียจนชิน  ใจทำได้คล่องแคล่วว่องไว รวดเร็ว เพราะใจมันชินเสียแล้ว  บางคนถึงขั้นปทปรมะ ใจมีอวิชชา ความหลงหนาแน่น ไม่รู้จักบาป ที่ควรละ ไม่รู้จักบุญที่ควรทำ   เพราะมีอวิชชา ความไม่รู้มืดมน สอนอย่างไร ใจก็ไม่เชื่อว่าบาป บุญมี   ไม่เชื่อมรรคผล นิพพาน  ใจของคนประเภทนี้มากเหลือเกิน  จนครั้งแรก ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พิจารณาใจคนแล้วท้อใจไม่อยากจะสอนใคร  ท่านพิจารณาเห็นใจคนประเภทนี้  คนใจหลง ใจบาป มันมีมาก  สอนให้รู้จัก บุญ สอนให้รู้พอนในการทำบุญ ไม่ชอบ  ไม่พอใจ  ไม่ทำใจชอบ  ทำบาปเรื่องโลภ โกรธ หลง ไม่ต้องสอน  ใจมันทำเอง ใจทำได้คล่องแคล่ว ชำนิ ชำนาญ มีใครไปสอนให้ละ  ละไม่ได้  เพราะฉันไม่ชอบละ  ใจฉันชอบทำบาป   ทำอกุศล ใจชอบ ของไม่ดี

   ใจประเภท เนยยะ  พอแนะนำสั่งสอนได้  ใจคนประเภทนี้ ยังน้อยเต็มที  สอนให้ทำทาน ก็ทำได้นิดหน่อย   สอนให้ รักษาศีล ก็ทำได้นิดหน่อย  สอนให้ภาวนาก็ทำได้นิดหน่อย  ทำมากๆไม่ได้เพราะกลัว กลัวอะไร  กลัวหมด ใจตระหนี่ เหนียวแน่น หวงแหน กลัวทาน กลัวศีล กลัวไม่ได้ฆ่าสัตว์ กลัวไม่ได้ลักทรัพย์  กลัวไม่ได้เสพกาม กลัวไม่ได้พูดปด กลัวไม่ได้ ดื่มสุราเมรัย  พระสอนให้รักษาศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ กลัว กลัวศีล  กลัวบุญ  ยิ่งสอนให้ภาวนาทำสมถกรรมฐาน ก็กลัวเป็น ใบ้เป็บ้า  สอนให้เจริญวิปัสสนา ก็กลัวเกิดวิปลาส กลัวเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลัวสุญญตา   ชอบความมี ความเป็น ไม่ ชอบความว่าง ความเปล่า  ชอบใจ พอใจ อยู่ในความมี ความเป็น  กลัวจริงๆ การทำบุญ  แต่การทำบาป ไม่กลัว  กล้าทำ กล้าโลภ กลัวโกรธ กล้าหลง  กล้ายึด กล้าถือ ตัวเรา ผัวเรา เมียเรา ลูกเรา หลานเรา  ญาติเรา เงินทองเรา  วัตถุข้าวของต่งๆ ของเรา
   
   ยิ่งพระสอนสุญญตา อนัตตา ยิ่งกลัวใหญ่  ทำก็ทำได้นิดหน่อย  ให้ทานนิดหน่อย  รักษาศีลนิดหน่อย  เพราะกลัว กลัว บุญจริงๆ มีคนไปบอกบุญ มีคนไปสอน ให้ทำบุญ กล้วเหลือเกิน  ยิ่งสอนให้นั่งภาวนา ยิ่งกลัวใหญ่ กลัวเจ็บขา กลัวเจ็บก้น กลัวเจ็บหลัง กลัวปวด กลัวเมื่อย   กลัวเป็นเหน็บชา  กลัวเดินไปมาไม่ได้  เวลาไปนั่งทำบาปดูซิ  นั่งดื่มเหล้า นั่ง ดูละคร ดูลิเก นั่งเล่นไพ่ เล่นถั่ว นั่งเล่นโบก  นั่งกับ นังดักยิงสัตว์  เรื่องทำบาป นั่งได้ตั้งหลายชั่วโมง  ภยาคติ ใจลำเอียง เพราะกลัว กลัวบุญ สิ่งที่ควรกลัว  ใจกลับกล้าทำ  เรื่องทำบาป แล้วยกนิ้วให้ เอาเลย
   
   ยิ่งคน ประเภท อุคคติตัญญู และ วิปปจิตัญญู มีน้อยเหลือเกิน ยิ่งประเภท อุคติตัญญู รู้ธรรม เข้าใจธรรม เมื่อท่านยกหัว ข้อธรรม ขึ้นแสดงแล้ว ยิ่งน้อยมาก แม้สมัยพระพุทธเจ้ายังมีอยู่   ท่านแสดงธรรมเพียงภาษิต ข้อเดียว ได้ฟังธรรม แล้ว บรรลุพระอรหันต์เหมือนท่าน  ท่านแสดงให้  อุคคเสนฟัง  อุคคเสนบรรลุพระอรหันต์  พระพุทธเจ้าท่านแสดง ธรรมให้ อุคคเสน ฟังเพียงภาษิตเดียว ไม่ต้องแปล ไม่ต้องอธิบาย  ท่านฟังแล้ว บรรลุพระอรหันต์
   ภาษิตนั้นพระพุทธเจ้าแสดงว่า
   
      " มุญฺจ   ปุเร  ปจฺฉโต  มชฺเช  มุญฺเจ   ภวสฺส  ปารคู
        สพฺพตฺถ  วิมตฺตมานโส  น   ปุน  ชาติชรํ  อุเปหิสิ "
   
        อุคคเสนได้ฟัง ภาษิตนี้ ได้บรรลุพระอรหันต์ เป็นขิปปาภิญญา  ตรัสรู้แล้ว เมื่อท่านตรัสรู้ธรรมแล้ว  ก็ขอบรรพชา อุปสมบท พระพุทธเจ้าก็ให้ เอหุภิกขุ ยวช เป็นพระเดินตามหลังพระพุทธเจ้าไปบิณฑบาตเลย
   
   อุคคเสนนี้เป็นลูกเศรษฐี  มีเงินสี่สิบโกฏ  ใจของท่านเป็นพระพ้นแล้วจาก อาสวกิเลส  ไม่ห่วงใยอาลัยในทรัพย์สมบัติ ไม่อาลัยในภรรยา และบุตร อาจจะมีคนพูดเป็นส่วนมากว่า ท่านมีบุญบารมีแก่กล้า  ก็จริง  เพราะทำบุญบุญบารมีจึงแก่กล้า แก่กล้าเพราะทำ  บางคนจะคอยบุญบารมี มันแก่กล้า แต่ไม่ทำบุญ  ถึงทำบุญก็ทำนิดๆ หน่อยๆ เงินให้ทาน ก็ทานนิดๆ หน่อยๆ รักษาศีลนิดหน่อย  ภาวนานิดหน่อย  ทำบุญน้อยแต่ทำบาปมากๆ
     
ให้ท่านพิจารณาดูตัวเองซิว่า  การทำบุญกับการทำบาป ข้างไหนมาก ข้างไหนน้อย  คุณจะรู้ได้เอง  ถ้าบุญบารมีมาก พอสมควร  จะบรรลุพระอรหันต์ได้ ต้องบรรลุแน่นอน  เหมือนอุคคเสนนี้  ที่บรรลุไม่ได้เพราะมัวแต่ทำบาป ละมั้ง  มัวแต่ ทำความตระหนี่ ขี้เหนียว มัวแต่ทำเวรห้า เวรแปด เวรสิบ มัวแต่ลุ่มหลงมัวเมา ทำแต่กิเลสกาม และวัตถุกาม  จงดูตน จง พิจารณาตน  จงสอนใจตน  ให้รู้ว่าบาป คืออะไร บุญคืออะไร  และเอาบาปที่ทำกับบุญ ที่คุณทำมาเทียบกันดู  คุณก็จะรู้ตัว เองได้เลย  ถ้าบุญบารมีพอบรรลุพระอรหันต์ได้เหมือนพระพุทธเจ้า เหมือนพระอรหันตสาวก  สาวิกาทั้งหลาย
ภาษิตที่อุคคเสน ได้ฟังนี้มีความแปลว่า  ท่านจงเปลื้องความอาลัย ในกาลก่อนเสีย  ท่านจงเปลื้องความอาลัยข้างหล้ง เสีย   จักเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ  ท่านจงมีจิตพ้นแล้วจากมานะ  ความสำคัญมั่นหมายในที่ทั้งปวง เป็นของเราว่าเรามี เราเป็น ท่านจะไม่เข้าถึงและชราอีก  ภพชาติจบลงแค่นี้  ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

  ผู้ที่ท่านบารมีแก่กล้า ท่านก็เปลื้องได้ง่าย  ละได้ง่าย  ผู้มีบาปแก่กล้านี้ สิมันแสนยากเหลือเกิน ห่วงอาลัยในร่างกาย และชีวิต ห่วงอาลัยผัว ห่วงอาลัย เมีย ห่วงอาลัยหลาน    ห่วงอาลัยญาติมิตร ห่วงอาลัยทรัพย์สมบัติ อะไรๆ ก็มีแต่ของเรา ทั้งหมด  ติดจนมันตาย ยังไปเกิดเป็นผีเฝ้าทรัพย์เหมือนปู่โสมเฝ้าทรัพย์ นี่แหละเพราะมัวเมาทำแต่บาป บุญบารมีไม่พอสัก ที  วัน เดือน ปี นาที  ชั่วโมง  มันหมดไปสิ้นไป นะ  วันนี้แลานี้เราทำอะไร  เราทำบุญไหม  หรือเราทำบาปอยู่ ไม่ควร ประมาท ตายนะ  ร่างกายมันถึงเวลาตาย  มันตายจริงๆนะ  ระวังเราจะตายเปล่า  บุญกุศลมรรคผล นิพพานนะ รีบๆ ทำ เอาเสีย  เมื่อความตายมาถึงเรา  จะไม่เศร้าโศก  เพราะมีบุญทำไว้  เรามีมรรคผลทำไว้  รู้แจ้งพระนิพพานแล้ว  ใจละโลภ  โกรธ หลงสิ้น  ใจละมานะความถือตัว  ถือว่า เรามี  เราเป็น สิ้นแล้ว  สอนใจนะ  ถ้าบุญบารมีอินทรีย์แก่กล้าจริงๆ ต้องรู้แจ้งเห็นจริง ภาย ในใจในปัจจุบันนี้

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version