บล็อก > บทความ (Blog)
ไดอารี่...จิตดวงหนึ่ง
lek:
บางทีดูเด็กๆเล่นกันคุยกันหยอกล้อกัน
ทำให้อยากทำแบบเด็กๆบ้างเหมือนกัน
เด็กๆไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ...
ไม่ต้องกลัวว่าอะไรควรอะไรไม่ควร...
คิดจะทำอะไรก็ทำไปเลยไร้มารยา...
ชอบก็บอกว่าชอบไม่ชอบก็บอกไม่ชอบเลย
อยากจะพูดอะไรก็พูดไม่โกหกใจตัวเอง...
แต่เป็นผู้ใหญ่สิ...มันทำอะไรแบบเด็กไม่ได้
สร้างกำแพงสร้างฉากสร้างหัวโขนขึ้นมามากมาย
ทำให้เหมือนกักขังตัวเองอึดอัดแบกจนหนักเหลือจะทน
แต่ก็ต้องทนเพราะด้วยศักดิ์ศรีอะไรบางอย่าง
ด้วยความมีตัวมีตนที่เราอุปโลกกันขึ้นมา...
นี่แหละนะผู้ใหญ่ที่โตแต่ตัว...แต่หัวใจไม่ยอมโต
lek:
หากเราจะลองทำเหมือนเด็กเล็กๆ
ไม่ถือตัวถือตนแบบที่ผู้ใหญ่ทำกัน
การพบเจอในแต่ละครั้ง...
คงไม่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากันแบบนี้
ทุกครั้งที่ได้พบกัน...
เธอฉันกลับปิดบังความเป็นจริงแอบซ่อนไว้
ถึงจะปิดซ่อนไว้ยังไง...
มันก็ยังมีบางส่วนเล็ดลอดออกมาบ้าง
มันเป็นความรู้สึกดีๆที่รับรู้ได้จากกันและกัน
เพียงแต่มันมีเส้นบางๆที่แข็งแรง...
กั้นตรงกลางระหว่างเราไว้...
ไม่ให้ล่วงล้ำขีดจำกัดของกันและกัน
lek:
ฉันนิ่งสงบเพื่อระงับอารมณ์ตัวเอง
ที่คนอื่นเพิ่งจะต่อว่าฉันไปหยกๆ
คำว่าคำด่าเหล่านั้นไม่ได้มีผลอะไร
ที่จะทำให้อารมณ์ของฉันสั่นไหวเลย
แต่ความคิดพิจารณาของฉันสิ...
กำลังใช้สติปัญญาในการไตร่ตรอง
บางทีการนิ่งเงียบไม่ต้องตอบโต้อะไร
กลับทำให้อะไรๆดีขึ้นได้เหมือนกัน...
เพราะหลายต่อหลายคนต้องการเป็นผู้ชนะ
น้อยคนนักที่จะยอมเป็นคนแพ้ตกเป็นรองคนอื่น
เพราะฉะนั้น...คนที่นิ่งเฉยนั้น...
เป็นการเสียสละอย่างกล้าหาญทั้งต่อตนเองและผู้อื่นนัก
มองในอีกมุมหนึ่ง...ผู้ที่นิ่งเฉยรู้แพ้รู้ชนะรู้จักสำนึก
กลับเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย
ส่วนผู้ที่ชนะอย่างทะนงตนนั้น...กลับกลาย
เป็นผู้แพ้ที่น่าสงสารเสียจริงๆ...
เพราะผู้ที่รู้จักแต่ชัยชนะ...
จะไม่เคยได้เรียนรู้ถึงความพ่ายแพ้
ที่เป็นบทเรียนที่มีค่ายิ่งไปกว่าความสำเร็จและชัยชนะนั่นเอง
lek:
คุณโชคดีมาหา...ทำให้ฉันดีใจมากมาย...
รู้สึกพอใจมีความสุขที่คุณโชคดีมาเยี่ยมเยียน
คุณโชคดีนำสิ่งดีๆมาให้ตั้งมากมาย...
ทำให้รู้สึกมีกำลังใจที่จะอยู่ต่อไปบนโลกนี้
บ่อยครั้งที่ฉันคิดไม่ออกว่าคุณโชคดีจะต้องจากฉันไป
แต่แล้ว...คุณโชคดีก็ไปจากฉัน...อยู่กับฉันเพียงไม่นาน
ฉันได้แต่รู้สึกกลัวรู้สึกเสียดายรู้สึกอยากเหนี่ยวรั้งคุณโชคดีไว้
รู้สึกน้อยใจที่คุณโชคดีจากไป...ทำไมคุณโชคดี
จึงไม่ยอมอยู่กับฉันตลอดไปนะ...ฉันได้แต่พร่ำพรรณา
แต่แล้ว...คุณโชคร้ายก็มาหา...ทำให้ฉันทุกข์ใจมากมาย
ฉันมองไม่เห็นใครเลยว่าจะโชคร้ายเท่าฉันอีกแล้ว...
ฉันรู้สึกหมองเศร้าหดหู่ท้อแท้สิ้นหวังอ่อนแอเหลือเกิน
ฉันโมโหคุณโชคร้ายทุกครั้ง...ที่แวะมาหาฉันแบบนี้...
ฉันต่อว่าคุณโชคร้ายว่าไม่ยุติธรรมกับฉันเลย...
ที่คุณโชคร้ายคอยแต่จะแวะมาเยี่ยมฉันแบบนี้บ่อยๆ
ทุกครั้งที่แวะมาก็อยู่กับฉันนานเหลือเกิน...
ฉันอยากจะไล่คุณโชคร้ายไปให้ไกลๆและเร็วๆ
แต่ยิ่งฉันไล่คุณโชคร้ายเท่าไหร่...คุณโชคร้ายก็เหมือนแกล้ง
กลับนิ่งเฉยปล่อยให้ฉันตีอกชกตัวเองอยู่เหมือนคนบ้าคนหนึ่ง
แต่แล้วในวันที่คุณโชคร้ายกำลังเพลินๆอยู่นั่นเอง...
ฉันกลับมองเห็นว่าคุณโชคร้าย...ก็ไม่ได้ร้ายอย่างที่ฉันคิดเลย
คุณโชคร้าย...สอนให้ฉันเข้มแข็ง...สอนให้ฉันรู้จักสู้...
สอนให้ฉันรู้จักอภัยให้คนอื่นและตัวเอง...
ที่สำคัญ...สอนให้ฉันรู้จักให้อภัยคุณโชคร้ายที่แวะมาหา...
เมื่อฉันรู้สึกเช่นนี้...ฉันก็ไม่เห็นคุณโชคร้ายแล้วล่ะ...
คุณโชคร้ายจากไปแล้ว...แต่ฉันคิดว่าคุณโชคร้าย...
ก็คงจะแวะเวียนมาหา"เพื่อน"อย่างฉันอีกวันใดวันหนึ่ง
เหมือนที่คุณโชคดีก็ผลัดกันแวะเวียนมาเยี่ยมฉันเช่นกัน
คุณโชคดีคุณโชคร้าย...คุณเป็นความต่างที่ทำให้ฉันเรียนรู้
ฉันต้องขอบคุณคุณทั้งสอง...ที่ให้บทเรียนแสนมีค่ากับฉัน
ฉันรักคุณนะ...คุณโชคดีคุณโชคร้าย...เราเป็นเพื่อนกันนะ :19:
lek:
การได้รับมอบหมายหน้าที่ให้มานั้น
ทำให้เรากลัวว่าจะทำไม่ได้...
กลัวไปก่อนที่จะได้ทำ...
แต่เมื่อเราทำได้สำเร็จแล้วนั้น...
ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร...
ก็เหมือนได้ปลดความกลัวได้เปราะหนึ่ง
และทำให้มั่นใจว่าเราก็ทำได้ถ้าเราตั้งใจทำ
ไม่มีอะไรหรอกที่เราจะทำไม่ได้...
มีแต่เราไม่ทำต่างหาก...เราถึงทำมันไม่ได้
ไม่ต้องเล็งไปที่ผลว่าจะออกมาเป็นยังไง
อย่างน้อยเราก็ได้ทำแล้ว...ทำมันต่อไป
ทำสิ่งดีเรื่อยไป...ขอบคุณที่ให้โอกาส
ได้เกิดมารู้จักโลกใบนี้...ยินดีที่ได้รู้จัก
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version