ดังได้เคยพูดมาหลายครั้งแล้วและคงต้องพูดอีก เพราะว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับคนทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะคนในประเทศกำลังพัฒนาหรือพัฒนาใหม่ที่-เอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเรา หนึ่ง เรา-รวมทั้งเราในประเทศไทย ที่ไม่รู้หรือส่วนใหญ่มากๆๆๆ ไม่รู้สึกตัว หนึ่ง คนหรือมนุษย์จึงไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะมีเหตุผลพร้อม ชนิดที่เถียงอย่างไรก็ไม่ได้ อีกหนึ่งจงพิจารณาหัวข้อทั้ง 8 ข้อ ที่ผู้เขียนเรียกว่าวิถีทางเสื่อมทั้งแปด (โปรดอย่าไปนึกถึงมรรค 8 ของพุทธศาสนา ไม่อาจจะเอื้อมไปถึงเพียงนั้น) - ต่อไปนี้ โปรดอ่านให้ดีๆ และถ้าหากคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ผู้อ่านคิดว่าทั้ง 8 หัวข้อนี้-ผิด จะเอาผู้เขียนไปตัดหัวขั้วแห้งอย่างไรก็ยอม 8 ข้อนั้นมีดังต่อไปนี้ :-
๑.ระบบเศรษฐกิจอาจจะก่อกิเลสตัณหาได้
๒.ระบบเศรษฐกิจถือว่าได้มาก-ดี หากได้มากกว่ายิ่งดีกว่า
๓.ระบบเศรษฐกิจปัจจุบันถือว่าชี้วัดความก้าวหน้าดีที่สุด
๔.ระบบสังคมถือว่าคนเกิดมาเลว และดำรงอยู่กับ “ตัวกูของกู”
๕.ระบบการเมืองถือว่าตนและประเทศตนใหญ่ดี ถูกต้องที่สุดในโลก
๖.ระบบการเมือง-ข้าราชการส่วนใหญ่ถือว่าคอรัปชั่นไม่เป็นไร-โกงก็ได้
๗.ระบบการศึกษาไม่สอน-ไม่สนใจว่าคนมีหน้าที่ต้องปกป้องธรรมชาติ
๘.ระบบการศึกษาถือว่าเทคโนโลยี-ไม่ใช่คุณธรรม-ที่จะคุ้มครองเรา
คิดเอาเองว่าผู้ที่มีอายุมากแล้วเกินห้าหกสิบปีขึ้นไปแล้ว จัดว่าเป็นคนรุ่นเก่า หรือ “เก๋ากึ๊ก” หากว่ามีอายุมากกว่านั้น เช่น แปดหรือเก้าสิบปี แต่ยังมีไฟแรง คงจะรู้สึกแปลกใจเอามากๆ เช่น ผู้เขียนที่มีความรู้สึกไม่เห็นด้วย ตามมาด้วยความรู้สึกสลดใจต่อผลของการสำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ (โพลล์) ว่า โพลล์ได้ชี้ว่าคนส่วนใหญ่มองเห็นการคอรัปชั่นหรือการโกงกินชาติเป็นเรื่องปกติธรรมดา ซึ่งสำหรับคนรุ่นเก่า การคดโกง ไม่ว่าจะคดใครโกงใคร ยิ่งเป็นการโกงชาติด้วยแล้ว ยิ่งบาปนักบาปหนา รับรองได้ว่าไม่มีใครเคยได้ยินกันในหกสิบเจ็ดสิบปีมานี้ กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่หรือเป็นนคร นครที่ใหญ่มากๆ ที่พัฒนาแล้ว และที่สำคัญเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนา ซึ่งการคดโกงชาติหรือสังคมโดยรวมนั้น นอกจากก่อกรรมส่วนรวมแล้ว ส่วนตัว-ยังผิดศีลอย่างแรงอีกต่างหาก พุทธศาสนาบอกว่า กรรมเป็นผลที่ทุกคน “ต้อง” ได้รับไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดๆ หรือไม่ หรือไม่ถือและไม่เชื่อในศาสนาอะไรเลย ถ้าเป็นจริงอย่างนั้น และผู้เขียนขอรับรองว่าจริง อย่างน้อยก็ทางวิทยาศาสตร์ หรือทางคลาสสิคัลเม็คคานิกส์ธรรมดาๆ ของการเคลื่อนที่ (motion) ของมวลสารของไอแซ็ค นิวตัน คน-มนุษย์หรือสัตว์โลกจะแก่ชรา เจ็บป่วย และตายกันทุกคนได้อย่างไร? ผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะหรือคงจะสะท้อนความคิดของคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกได้เป็นอย่างดี คือคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่พวกนี้คงไม่มีหรือไม่เชื่อในศาสนา ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายก็ให้รู้ไป คนรุ่นใหม่ของเมืองใหญ่ๆ ทั่วทั้งโลกนั้น ไม่ใช่คนที่มีวิวัฒนาการทางจิตสูงกว่าหรือมีพาราไดม์ใหม่แต่อย่างใด ผู้เขียนคิดว่าคนรุ่นใหม่กับเทคโนโลยีใหม่ - ซึ่งคนรุ่นเก่าๆ เช่น ผู้เขียน ไม่รู้จักหรือใช้ไม่เป็น - เป็นการหาเงินธรรมดาๆ ของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม เงินที่คนส่วนใหญ่ต้องการ และผู้เขียนคิดว่า นั่นเป็นส่วนสำคัญที่ให้ผลของการสำรวจหรือโพลล์เป็นไปในรูปแบบนั้น
แต่ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ตั้งบน “กำไรสูงสุด-ช่างหัวธรรมชาติมัน” และระบบธุรกิจที่ตั้งอยู่บน “สามกอ” หรือสามสหาย คือ การบังคับบัญชา การควบคุมเบ็ดเสร็จ และการเชื่อฟังซื่อตรง ใช่จะอยู่ได้ตลอดกาลก็หาไม่ วันหนึ่งมันจะต้องพังครืนลงมาเมื่อสิ่งแวดล้อมธรรมชาติของโลกหมดไป และขณะนี้คือเวลานั้น (เราและอุตสาหกรรมผลิตเทคโนโลยีของเราได้ “ติดลบ” ไปแล้วร่วมๆ 30%) กับอีกอย่างหนึ่งเมื่อเรารู้ว่าระบบเศรษฐกิจและระบบธุรกิจที่สนับสนุนกิเลศตัณหาและความเห็นแก่ตัว นั่นคือเมื่อเรารู้ “จริงๆ” ไม่ใช่สักแต่เชื่อว่ามันจะนำเราไปสู่ความสมดุลกับธรรมชาติ และความพอเพียงพอดีที่ยั่งยืน เราก็จะเปลี่ยนแปลงตัวของเราเอง มนุษย์นั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เชื่อกันว่า โดยพื้นฐานแล้ว คนเกิดมาชั่ว สังคมของเราจึงพรั่งพร้อมไปด้วยกิเลศและราคะ หากแต่เราทุกคนโดยไม่มีการยกเว้นต้องการเป็นคนดีกันทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกเราเช่นนั้น เราจึงเจริญเติบโตขึ้นมาตลอดเวลา คือ มีการเกิดมากกว่าการตาย ยกเว้นตอนมีโรคระบาดที่เราคิดว่ามนุษย์เกิดมาชั่วร้าย เป็นเพราะวิวัฒนาการทางจิต (ซึ่งช้ากว่าวิวัฒนาการทางกาย) ต่างหาก วิวัฒนาการทางจิตนั้น เริ่มขึ้นจากทางกายก่อน เช่น เวทนาหรือความรู้สึก เป็นต้นว่า ความเจ็บหรือความสนุก (ที่เราเรียกผิดๆ ว่าความสุขที่เป็นเรื่องทางกายภาพล้วนๆ) แม้แต่ในสมัยดึกดำบรรพ์ สมัยของมนุษย์โฮโมอีเร็กตัสรุ่นหลังๆ และสมัยของนีอันเดอร์ธัล มนุษย์ยังไม่มีวิวัฒนาการทางจิตเลย เรา - ตอนนั้นแยกจากสัตว์ โดยเฉพาะตระกูลไพรเมตได้ยาก เรามองเห็นธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างว่าสร้างขึ้นและดำรงอยู่ด้วยเวทมนตร์คาถา-มายากล (magic) เหมือนเราตอนยังเล็กๆ ผู้เขียนเชื่อว่า - ซึ่งต่างไปจากนักคิดนักปรัชญาชาวตะวันตก เช่น เค็น วิลเบอร์ ฌ็อง เก็บเซอร์ ฯลฯ ที่บอกว่า มนุษย์เราเริ่มมีวิวัฒนาการทางจิตตั้งแต่ระดับเวทมนตร์คาถา-มายากล (magic) - เรามีวิวัฒนาการทางจิตจริงๆ มาตั้งแต่ระดับนิยายปรัมปรา (mythic) ระดับที่เรามีการเปรียบเทียบตัวเราว่าต่ำจากเทพเทวดาและเจ้าพ่อเจ้าแม่อันเป็นธรรมชาติที่มองไม่เห็นมากนัก
ผู้เขียนเชื่อว่า ในที่สุดระบบเศรษฐกิจทุนนิยมในรูปแบบของการตลาดเสรี - ที่เน้นเฉพาะการแข่งขันกันอันเอื้อแต่การแพ้-ชนะกัน ที่ใครก็ตามประเทศไหนก็ตามที่มีสายป่านยาวกว่าหรือรวยกว่า คือผู้ชนะตลอดกาล - จะต้องสิ้นสุดลง ว่ากันตามความเป็นจริง ในปีหนึ่งปีใดอย่างเร็วๆ ที่สุด ทั้งๆ ที่มีการริเริ่มคิดถึงสังคมกันบ้าง เช่น “บรรษัทหรือธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคม” (corporate or business social responsibility-CSR) ทั้งนี้ ก็เพราะว่า เจ้าของหรือซีอีโอ (CEO) ของบรรษัทหรือนักธุรกิจที่จะเห็นแก่สังคม เห็นแก่สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ โดยไม่ทนทุกข์ทรมานที่แสนสาหัสและยาวนานเสียก่อนนั้นหายากยิ่งนัก ผู้เขียนเองได้รับเชิญให้ไปพูดเรื่องบรรษัทหรือธุรกิจเพื่อความรับผิดชอบต่อสังคมเมื่อประมาณ 3 ปีมาแล้ว คิดว่าได้จัดขึ้นโดยบริษัทที่ปรึกษาบริษัทหนึ่ง มีคนฟังเพียง 10 กว่าคน แต่ไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น แต่อยู่ที่ความก้าวหน้าของอุดมการณ์ จากวันนั้นถึงวันนี้ กลับไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ (CSR-BSR) แม้แต่น้อย และที่สำคัญอย่างยิ่ง ดังได้จากผลของการวิจัยของแอนดรูว์ นิวเบิร์ก (Andrew Newberg : Born To Belief, 2006) ผลวิจัยบอกว่าเป็นการยากลำบากที่ร่างกายเราปรับเปลี่ยนความเชื่อที่ฝังใจเป็นเวลาที่ยาวนานให้เป็นรูปแบบอื่น ทั้งนี้ ก็เพราะว่าตาข่ายของเซลล์ประสาทใยเยื่อของสมอง (neural network of the brain) ซึ่งให้ความเชื่อที่ฝังใจนั้นๆ ภายหลังที่ตาข่ายของเซลล์สมองได้วางรูปแบบไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ยากลำบากที่จะทำให้มันเปลี่ยนรูปแบบของตาข่ายใหม่ นั่น-แปลว่า ถ้าหากโดยธรรมชาติแล้ววิวัฒนาการของกายเพียงอย่างเดียวจะให้เราปรับและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์เราไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการห้ามไม่ให้เรามีอัตตาตัวตน (self) เลย หรือมีให้น้อยลงนั้น แถมยังมีเรื่องตาข่าย (network) อีก วิวัฒนาการทางกายภาพอย่างเดียวจึงเป็นไปได้ยากยิ่งนัก ต่อให้มีเหตุผลดีอย่างไร เรารู้ว่ามันจะต้องมีวิวัฒนาการทางจิตต่างหากจากวิวัฒนาการทางกายภาพ และผู้เขียนขอคาดเดาเอาเอง โดยคิดว่าวิวัฒนาการทางจิตนั้นจะเป็นไปเพื่อให้สมองเปลี่ยนหรือบริหารจิตไร้สำนึกของจักรวาล ซึ่งในสัตว์โลกและในคน จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือแก่นแกนข้างในเป็นจิตหนึ่ง และล้อมรอบเป็นชั้นๆ เหมือนหัวหอมข้างนอกด้วยส่วนของจิตไร้สำนึกที่แปดเปื้อนด้วยกรรม (ทั้งกรรมโดยรวมและกรรมแห่งปัจเจกตามลำดับ) - และส่วนหรือชั้นๆ ที่อยู่ล้อมรอบแก่นแกน (จิตหนึ่ง) และส่วนหรือชั้นๆ ที่อยู่ข้างนอกส่วนนี้เองที่จะถูกบริหารโดยสมองให้เป็นจิตใต้สำนึกก่อนที่จะเป็นจิตรู้หรือจิตสำนึกเพื่อบริหารให้เป็นจิตเหนือสำนึกในภายหลัง ตรงนี้ผู้เขียนเห็นด้วยกับทั้งฌ็อง เก็บเซอร์ จุงเก็น ฮาเบอมาส กับเค็น วิลเบอร์ ว่า วิวัฒนาการของจิตนั้น ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการคลี่ขยายของจิตจักรวาล (ชั้นนอกของ “หัวหอม”) สู่ระดับจิตวิญญาณ (spirituality unfoldment) ซึ่งก็คือจิตเหนือสำนึกไปตามสเปกตรัมของจิตที่ไล่ไต่ระดับจนกระทั่งถึงนิพพาน แต่เป็นความคิดความเชื่อของผู้เขียน (ที่ไม่มีการวิจัยอะไรสนับสนุนเลย) โดยคิดและเชื่อว่า สมองมีหน้าที่สำคัญหน้าที่อันเดียวคือ มีหน้าที่บริหารจิตจักรวาล (ชั้นนอกๆ) ให้เปลี่ยนเป็นจิตรู้ หรือจิตสำนึก (เป็นจิตใต้สำนึกก่อน และเป็นจิตเหนือสำนึกทีหลัง) คนเราถึงได้มีจิตสำนึกใหม่ตลอดเวลา และชมรมจิตวิวัฒน์กำลังทำหน้าที่เพื่อที่จะให้มนุษย์ (ของประเทศไทย) ได้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น
ที่ผู้เขียนกล่าว ดังที่ได้ตั้งเป็นหัวข้อเรื่องของวันนั้น คำว่า “ไร้คุณธรรม ไร้จริยธรรม” ในที่นี้ ไม่ได้ขยายคำแปลหรือความหมาย คือพูดง่ายๆ ไม่ได้ลงไปที่ความคิดด้านลึกทั้งเปี่ยมด้วยตรรกะหรือเหตุผล แต่เป็นคำที่มีความหมายง่ายๆ แบบที่ทุกคนเข้าใจ คือหมายความว่า ความดีงามรอบด้านทั้งกายและจิตใจ ส่วนคำว่าสังคมนั้นหมายถึงสังคมปัจจุบัน และโดยความรู้ความเชื่อที่เรามี ฉะนั้น สังคมในยุคหนึ่งยุคใด คือพฤติกรรมของมนุษย์โดยรวมของสังคมนั้นๆ ที่หากเราไล่ๆ ไปแล้วก็เป็นวิวัฒนาการของจิตแห่งปัจเจก สังคมปัจจุบันซึ่งได้วิวัฒนาการมาตลอดเวลาของอดีต ที่พูดง่ายๆ ได้ว่ามีมาตั้งเป็นพันๆ ปี ที่ล้วนแล้วแต่มีหลักการเดียวหรือคล้ายๆ กัน นั่นคือ หลักการที่ตั้งอยู่บนวิวัฒนาการของจิตถึงระดับแห่งเหตุผล (rational) ของคนเราส่วนใหญ่ในขณะนี้คือ ยังมีหลักการ “ตัวกูของกู” โดยไม่ค่อยมีวิวัฒนาการทางจิตภาพมากนัก แต่เราส่วนหนึ่งกำลังจะมีวิวัฒนาการทางจิตในระดับ “ผ่านพ้นตัวตน” (transpersonal) ในเร็วๆ นี้ (สมาชิกของขบวนการนิวเอจเยอร์และผู้เขียนที่ไม่ได้เป็นคาดว่าจะเริ่มต้นราวๆ ปี 2013 นี้ไปแล้ว) นั่นคือระดับเริ่มต้นของสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) ซึ่งจิตรู้หรือจิตสำนึก ระดับนี้เองที่นักวิทยาศาสตร์และนักคิดจำนวนไม่น้อยคิดว่า คือความล่มสลายของระบบสังคม ระบบการเมือง ระบบการศึกษา ฯลฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบเศรษฐกิจทุนนิยม การตลาดเสรี ที่รอคอยมานานเสียที.
http://www.thaipost.net/sunday/260910/27932