บล็อก > บทความ (Blog)

บะหมี่น้ำ...(ย๊าวยาว)

(1/2) > >>

lek:
 
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 23  ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม 2528
 
ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่ร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโร
 
 
 
การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาว
 
ญี่ปุ่น
 
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี "ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน ใน
 
วันนี้คน
 
แน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง โดยปกติแล้วบน
 
ถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่
 
 
 
 
 
แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นถนนสายนี้จึง
 
ปิดร้าน
 
เร็วกว่าปกติ เถ้าแก่ของร้าน "ฮอกไก" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคน
 
อัธยาศัยใจ
 
คอดี
 
 
 
ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน
 
ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน
 
คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน
 
 
 
เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน
 
ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ
 
 
 
"เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา
 
 
 
หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า
 
"ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมค๊ะ"
 
 
 
เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
 
 
 
"ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ"
 
 
 
เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง
 
แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
 
บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่
 
เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม
 
ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง
 
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
 
กินพลางพูดพลาง
 
 
 
"ทานเถอะครับ" ลูกคนพี่พูด
 
 
 
 
 
"แม่ทานหน่อยสิครับ"ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน
 
ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
 
แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า
 
 
 
"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)"
 
 
 
พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป
 
 
 
"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
 
 
 
ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ
 
ทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี
 
วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า
 
ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา
 
สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง
 
22.00น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น
 
ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน
 
พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชย
 
เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่
 
แล้วนั่นเอง
 
 
 
2. fenlasia (0)
 
 
 
"ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ"
 
 
 
"ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ"
 
 
 
เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สอง
 
ตะโกนไปพลางว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" เถ้าแก่รับคำพลาง
 
จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
 
เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า
 
 
 
"นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ"
 
 
 
"ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย"
 
 
 
สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน
 
เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า
 
 
 
"เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"
 
 
 
 
 
ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้สาม
 
แม่ลูก สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง
 
เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย
 
 
 
"หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริง ๆ "
 
 
 
"ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว"
 
 
 
"ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"
 
 
 
กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
 
แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป
 
 
 
"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
 
มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป
 
 
 
สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง
 
ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก
 
สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00น.ไปแล้ว
 
สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00น.
 
พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป
 
 
 
พอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียน
 
ไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง
 
แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน"
 
30นาทีก่อนเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว"
 
ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง
 
 
 
 
 
เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ
 
22.30น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่ง
 
หนึ่ง
 
 
 
น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว
 
เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก
 
 
 
ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม
 
 
 
"เชิญค่ะ เชิญค่ะ"
 
 
 
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ
 
 
 
มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย
 
 
 
ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า
 
 
 
"รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ" "ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ"
 
 
 
เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง
 
 
 
แล้วรีบเอาป้าย"จองแล้ว"ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
 
 
 
แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า
 
 
 
"บะหมี่น้ำสองชาม"
 
 
 
"ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ"
 
 
 
เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน
 
สามแม่ลูกกินไปพูดไป
 
 
 
ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก
 
 
 
สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน
 
ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย
 
 
 
"ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก"
 
 
 
"ขอบคุณ ?"
 
 
 
"ทำไมครับ"
 
 
 
"เรื่องเป็นอย่างนี้
 
 
 
คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ
 
และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น
 
 
 
ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน"
 
 
 
"เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ"
 
ผู้เป็นพี่ตอบ
 
 
 
 
 
3. fenlasia (0)
 
 
 
ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ
 
อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร
 
 
 
"แต่เดิมนั้นเเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม
 
 
 
แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"
 
 
 
"จริง ๆ หรือครับ แม่"
 
 
 
"จริงสิจ๊ะ
 
นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์
 
 
 
ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร
 
ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่
 
 
 
ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก
 
 
 
จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด"
 
 
 
"ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ
 
 
 
แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"
 
 
 
"ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ นายน้องชาย
 
 
 
เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ"
 
 
 
"ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ "
 
 
 
 
 
"แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ
 
คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้อง
 
ได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง
 
คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า
 
เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด
 
เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆ
 
ของน้องนะครับผมถึงทราบ ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่
 
ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง"
 
 
 
"จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ"
 
 
 
"หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า"
 
 
 
น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ
 
 
 
แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย"
 
 
 
 
 
"เรียงความเขียนว่า…หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว
 
ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหาม
 
รุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์
 
น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…"
 
 
 
"ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม
 
พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ
 
อร่อยมาก…สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว
 
คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก
 
แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก
 
 
 
เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป
 
พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด…"
 
 
 
 
 
"ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่
 
แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย
 
แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน…ขอให้มีความสุขครับ…ขอบคุณครับ…"
 
 
 
สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ
 
ก็หายตัวไป
 
 
 
พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ
 
ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง
 
 
 
พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ
 
 
 
"พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า
 
 
 
"วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสัก
 
หน่อยค่ะ "
 
 
 
"จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรหล่ะ"
 
 
 
"ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
 
ผมจึงพูดว่า…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี
 
น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน
 
ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะ
 
อยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน
 
เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร"
 
 
 
"เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม
 
ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่
 
น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อ
 
สักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริงๆ "
 
 
 
"หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกิน
 
กันสามคนนั้นผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยัน
 
และดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"
 
 
 
สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปี
 
 
 
จ่ายเงินไปสามร้อยเยนกล่าวขอบคุณค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป
 
 
 
มองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ
 
 
 
พร้อมกับกล่าวว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
 
 
 
และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง
 
 
 
 
 
4. fenlasia (0)
 
 
 
พอถึงเวลา21.00น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย"โต๊ะจอง"ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอย
 
การมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย
 
 
 
แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย
 
 
 
ปีที่สอง ปีที่สาม
 
โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม
 
 
 
สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย
 
กิจการของร้านฮอกไกดีมาก
 
 
 
เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว
 
ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่
 
 
 
โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่
 
 
 
จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม
 
 
 
"นี่มันเรื่องอะไรกัน"
 
ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา
 
 
 
 
 
เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง
 
 
 
โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง
 
 
 
และก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก
 
 
 
พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา
 
 
 
โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "โต๊ะแห่งความสุข"
 
 
 
ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป
 
 
 
 
 
 
 
มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากิน
 
บะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้
 
 
 
ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลาย ๆ ปี
 
 
 
พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก
 
 
 
ก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก
 
กินไปพลาง
 
 
 
ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง
 
 
 
แล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน
 
เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว
 
 
 
ในวันนี้พอเลย 21.30น.ไปแล้ว
 
 
 
เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย
 
 
 
ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ เป็นระยะ บ้างก็เอาเหล้ามา
 
บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา
 
 
 
ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน
 
ต่างก็คึกคักกันมาก
 
 
 
ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง
 
 
 
ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า
 
 
 
วันนี้"โต๊ะจอง"ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง
 
 
 
มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม
 
 
 
พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้า ๆ
 
ออก ๆ
 
 
 
พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป
 
พูดเรื่องการค้าบ้าง
 
 
 
คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง
 
 
 
ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่
 
 
 
ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุก ๆ เรื่อง
 
 
 
จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน
 
 
 
เวลาผ่านไปจนถึง 22.30น.
 
ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
 
 
 
ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน
 
สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน
 
 
 
 
 
5. fenlasia (0)
 
 
 
ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล
 
พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน
 
 
 
 
 
พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง
 
 
 
และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก
 
ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า
 
 
 
"ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ"
 
 
 
เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น
 
 
 
ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน
 
 
 
ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า
 
 
 
"เอ้อ…รบกวน…รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ"
 
 
 
ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
 
เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว
 
 
 
ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ
 
กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า
 
 
 
เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน
 
 
 
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่
 
 
 
ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก "พวกคุณ .. พวกคุณ"
 
เขาพูดได้เพียงแค่นั้น
 
 
 
คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ
 
 
 
ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับ
 
เถ้าแก่เนี้ยว่า
 
 
 
"พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มา
 
สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ
 
และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น
 
พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้"
 
 
 
 
 
"หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ
 
ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว
 
ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต
 
ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว"
 
 
 
"วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว
 
แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ
 
และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น
 
 
 
ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต
 
ได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือ
 
 
 
ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า
 
 
 
พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร
 
 
 
และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"
 
 
 
สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า
 
 
 
เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู
 
 
 
 
 
พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ
 
 
 
แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า "อ้าว…เถ้าแก่… เป็นอะไรไปหล่ะ
 
 
 
อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้
 
"โต๊ะจอง"
 
 
 
ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง
 
 
 
รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"
 
 
 
ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ
 
ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า
 
 
 
 
 
"ยินดีต้อนรับค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…นี่ตาเฒ่า…บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง"
 
 
 
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า
 
"ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม"
 
 
 
หากดูกันตามจริงแล้ว
 
 
 
 
 
สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย
 
 
 
มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน
 
คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ
 
 
 
รวมทั้งคำอวยพรว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ)
 
สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ก็เท่านั้นเอง
 
 
 
 
 
แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์
 
คับขันได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
 
 
 
จบแล้วค่ะ

ดอกโศก:
อ่านกี่ครั้งก็ยังรู้สึกอิ่มใจ ^_^

 :13:

แก้วจ๋าหน้าร้อน:
 :06: ผมทานยังไม่หมดเลย ห่อกลับบ้านทานต่อวันหลังนะครับพี่เล็ก
แหม๋ การสร้างกำลังใจใช้เวลานานเหมือนกันนะครับ กว่าจะสำเร็จ ทุกสิ่งทุกอย่างใช้เวลาไปซะหมด
ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆเน้อ อนุโมทนครับ

mmm:
 :45: :45: :45:

ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ:





   :27:  อ่านเรื่องนี้กี่ครั้ง ก็ซึ้ง+ประทับใจ จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ทุกครั้งค่ะ .. ขอบพระคุณจิตความเมตตา ใจดี  ท่านเถ้าแก่ และ เถ้าแก่เนี๊ยะ ทั้งสอง ตลอด3แม่ลูกในเรื่องนี้ ที่มองเห็นคุณค่าอันใหญ่ที่แฝงเร้นไว้ ในสิ่งเล็กๆน้อยๆอันเรียบง่าย ที่ทำได้ไม่ยาก แต่น้อยคนที่จะอยาก/ยอมทำสิ่งเล็กน้อยที่ดีงามเหล่านั้น ..โดยมองข้ามไปด้วยคำว่า "ไม่สำคัญ" .. ขอบพระคุณในหัวใจของผู้ให้ แบบไม่หวังผล แบบปิดทองหลังพระ เช่น 2สามี-ภรรยาเจ้าของร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโร และ หัวใจอันละเอียดอ่อน ดีงามของผู้รับ เช่น 3 แม่ลูก ..ที่ทำให้เกิดตำนานเรื่องราว เล่าขานที่แสนประทับใจ :19:  ทุกคน ..จนกลายมาเป็น 1 ใน FW -mail ที่ส่งต่อกันมากที่สุด จนทุกวันนี้ค่ะ ^^ ..




 ** :13: .. และ สุดท้าย ขอบพระคุณ +  อนุโมทนามากมายค่ะ พี่ตี๋เล็ก..^^ สำหรับเรื่องราวดีๆที่น่ารัก แสนประทับใจ ♥ ที่นำมาแบ่งปันให้ได้สัมผัสถึงความสุข แห่งธรรมะ ของคำว่า ผู้ให้ แท้จริงสุดท้าย คือ ได้รับ = การ "เกื้อกูลซึ่งกันและกัน" ..ขอให้มีความสุข ความเจริญ ในการเกื้อกูลธรรมะ ทั้งให้+รับ ซึ่งกันและกัน  ทุกท่านเลยนะคะ ^^ ..









นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version