ปรัชญา และ กรุณา ตอนที่พูดถึงศูนยตา เราได้พบแล้วว่า แทนที่เราจะมองเห็นสิ่งทั้งหลาย ตามที่มันเป็น เรากลับ
ตีตราสมมติบัญญัติความคิดตาดคะเน และการรับ รู้ของเราให้กับปากฏการณ์ต่าง ๆ เมื่อเรามองทะลุผ่านม่านสมมติบัญญัติ ของเราที่กางกั้นอยู่ได้แล้ว เราจะเริ่มตระหนักได้ว่า ทั้งหมดเป็นการหา ด้ามไปต่อเติม สำหรับจับฉวยประสบการณ์ไว้อย่างไม่จำเป็น และอย่าง สับสน โดยหาพิจารณาไม่ว่าด้ามนั้นเหมาะหรือไม่เหมาะอย่างใดหรือ ไม่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง สมมติบัญญัติล่วงหน้าของเราเป็นรูปแบบหนึ่งของ ความมั่นคง พอเราเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจะเรียกชื่อมัน หาตำแหน่งแยก แยะจัดประเภทของมันโดยทันที
แต่รูปนั้นว่างเปล่า มันสำแดงธรรมชาติ ของมันออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ตามที่มันเป็นโดยไม่ต้องอาศัยการแยกประ เภทของเรา รูปนั้นว่างเปล่าจากสมมติบัญญัติของเราอยู่แล้ว ในตัวของ มันเองแต่
ความว่างเปล่าก็คือรูป ซึ่งหมายความว่าพอเข้าใจถึงระดับนี้ เราใส่ คุณค่ามากเกินไป ในการมองรูปว่าว่างจากสมมติบัญญัติของเรา เรา ต้องการประสบกับญาณหยั่งรู้ ราวกับว่าการเห็นรูปเป็นความว่างนี้ เป็น สภาวะที่เราจะบีบบังคับจิตใจของเราให้บรรลุได้กระนั้น
เราแสวงหา ความว่างจนมันกลายเป็นสิ่ง ๆ หนึ่ง เป็นรูป แทนที่จะเป็นความว่าง เปล่าที่แท้จริง ปัญหานี้เป็นเรื่องของความทะยานอยากมากเกินไป
ดังนั้น ขั้นต่อไปก็คือ เราจะต้องเลิกทะยานอยากเห็นรูปเป็นความว่าง ถึงจุดนี้
รูปจะปรากฏจากเบื้องหลังม่านสมมติบัญญัติของเรา รูปก็คง เป็นรูป เป็นรูปที่เปลือยเปล่าปราศจากนัยทางปรัชญาใด ๆ อยู่เบื้องหลัง และความว่างก็คือความว่าง ไม่ต้องยึดอะไรไปมากกว่านี้ เราก็จะประ สบกับสภาวะอวิลักษณ์ แม้กระนั้นก็ดี เมื่อตระหนักได้ว่า
รูปคือรูป และความว่างก็คือความ ว่าง เราก็อาจจะยังพอใจญาณหยั่งรู้ในอทวิลักษณ์ของเรา ถ้าเป็นเช่น นี้ ก็ยังมีความรู้สึกแยกอยู่ ระหว่างผู้รู้กับผู้ประสบกับญาณหยั่งรู้นั้น ยังมีความรู้สึกอยู่ว่าบางสิ่งขยับเขยื้อนไม่เข้าที่เข้าทาง บางสิ่งขาดหาย ไปเพราะลึก ๆ ลงไป เราจึงเราสู่ช่วงต่อระหว่างมหายานมรรคกับตัน ตระ ซึ่งปรัชญาจะเป็นประสบการณ์อันต่อเนื่องและกรุณาไม่เป็นสิ่งที่ ต้องตั้งอกตั้งใจอีกต่อไป กระนั้นก็ยังมีความสำนึกรู้ในตนอยู่ เป็นความ รู้สึกรับรู้ในปรัชญาและกรุณาของเรา เป็นความรู้สึกตรวจสอบและพึง พอใจในการกระทำของเรา
ดังที่เราได้เอ่ยถึงไว้แล้วใน
กัณฑ์โพธิสัตวกิจ ว่าปรัชญาเป็นสภาวะการ ดำรงอยู่อย่างแจ่มชัด เที่ยงตรง และหยั่งรู้ มีลักษณะคม สามารถซึม ซาบแลเปิดเผย ส่วนกรุณาคือ บรรยากาศอันเปิดโล่งที่ปรัชญาแลเห็น เป็นความสำนึกรู้อย่างเปิดโล่งต่อสภาพการณ์ที่ลั่นยิงการกระทำออก ไป ตามที่ดวงตาแห่งปรัชญาจะสั่งการ กรุณานั้นทรงพลังยิ่ง แต่กรุณา จะต้องอาศัยปรัชญานำ ดังที่ปรัชญาต้องอาศัยบรรยากาศอันเปิดโล่ง ของกรุณา ทั้งสองอย่างต้องมาพร้อมกัน กรุณานี้ หมายรวมเอาความไม่หวั่นกลัวเข้าไว้ด้วย เป็นความไม่หวั่น กลัวที่ปราศจากความลังเลสงสัย ( วิจิกิจฉา )
ความโอบอ้อมอารีอย่าง มหาศาลอันเป็นเครื่องหมายของความไม่กลัวนี้ ย่อมตรงกันข้ามกับ ความไม่กลัวในแบบที่ข่มขู่วางอำนาจกับผู้อื่น
" ความไม่กลัวที่เอื่ออารี " นี้ เป็นธรรมชาติพื้นฐานของกรุณา และไปพ้นสัญชาตญาณดิบของ อัตตา
อัตตามักพยายามสถาปนาอาณาจักรของมัน ส่วนกรุณากลับเปิด และเชื้อเชิญอย่างสิ้นเชิง เป็นท่วงทีที่เอื้ออารี ที่ไม่กีดกันผู้ใดกรุณาจะมีบทบาทในการทำสมาธิภาวนา เมื่อคุณได้สัมผัสกับความอบ อุ่น นอกเหนือไปจากความสงบราบเรียบที่คุณจะได้รับ ความรู้สึกอบอุ่น จับใจจะกระตุ้นให้เกิดมโนคติอันเปิดเผยและเชื้อเชิญ เมื่อความรู้สึกเช่น นี้ผุดขึ้นมา ความวิตกหรือกลัว ว่าสิ่งภายนอกจะขัดขวางการทำสมาธิ ภาวนาของคุณ ก็จะหายไป
ความอบอุ่นโดยสัญชาตญาณ ซึ่งเกิดขึ้นในการทำสมาธิภาวนานี้ จะขยาย สู่ความสำนึกรู้ในช่วงหลังจากทำสมาธิภาวนาแล้วด้วย ด้วยความรู้ตัวทั่ว พร้อมชนิดนี้ คุณจะไม่หย่าตัวเองจากกิจกรรมทั้งปวงของคุณ และหย่าขาด จากกิจกรรมก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะหากคุณพยายามตั้งใจทำกิจ ของคุณเช่นรินน้ำชาหรือกิจประจำวันใด ๆ ก็ตาม โดยที่ขณะเดียวกันก็ พยายามตั้งใจทำกิจของคุณเช่นรินน้ำชาหรือกิจประจำวันใด ๆ ก็ตาม โดย ที่ขณะเดียวกันก็พยายามรู้ตัวทั่วพร้อม แสดงว่าคุณกำลังอยู่ในสภาวะฝัน ฟุ้งนี้ดั่งที่ครูธิเบตผู้หนึ่งได้กล่าวไว้ว่า
" ถ้าเชื่อมความสำนึกรู้กับกิจกรรม อย่างไม่เป็นมวย ก็เหมือนพยายามผสมน้ำมันกับน้ำเข้าด้วยกัน " ความรู้ตัว ที่แท้จริงจะต้องเปิดยิ่งกว่าจะระวังระไว หรือปกป้อง เป็น
การเปิดใจสัมผัส กับที่ว่างโล่งภายในสภาพการณ์ต่าง ๆ คุณอาจกำลังทำงานอยู่ แต่ความรู้ตัว ทั่วพร้อมก็ทำงานไปพร้อม ๆ กับขั้นตอนการทำงานของคุณ กลายเป็นการ ปฏิบัติกรุณาและสมาธิไปพร้อม ๆ กันโดยทั่วไป ชีวิตเรามักขาดความรู้ตัวทั่วพร้อม เรามักดึงลงไปในสิ่งที่เรา กำลังกระทำอยู่ จนลืมสภาพที่แวดล้อมรอบ ๆ ตัว เราปิดกั้นมันไว้ แต่
พลังด้านบวกของกรุณาและปรัชญานั้นมันเปิดออกอย่างหยั่งรู้ คมชัดและ ซึมซาบ จะให้ทัศนะคติชีวิตอันกว้างไกลแก่เรา ซึ่งไม่เพียงแต่จะเปิดเผย เฉพาะการกระทำหรือเหตุการณ์บางอย่าง หากรวมตลอดถึงสภาพแวด ล้อมทั้งหมดนี้ย่อมสร้างสภาพการณ์อันเหมาะสมต่อการสื่อสารกับผู้อื่น เพราะเราจะไม่เพียงแต่กำหนดรู้สิ่งที่เขาพูดเท่านั้น หากจะสามารถเปิดรับ ต่อระดับภาวะทั้งหมดของเขาทีเดียว รอยยิ้มและคำพูดของเขาเป็นเพียง ส่วนเล็ก ๆ ของการสื่อสาร สิ่งที่สำคัญทัดเทียมกันก็คือ คุณลักษณ์ใน การปรากฏตัวของเขา วิธีเขาปรากฏตัวต่อเรา คุณลักษณ์นี้ย่อมสื่อสาร มากกว่าเพียงคำพูดถ่ายเดียว
ผู้ใดทั้งฉลาดเฉลียวและกรุณา การกระทำของผู้นั้นจะช่ำชองและแผ่รัศมี อานุภาพอย่างล้นเหลือ การกระทำอันช่ำชองนี้ คือ อุปาย " วิธีการอันช่ำ ชอง " ในที่นี้อาการ " ช่ำชอง " มิได้หมายถึงเล่ห์กระเท่หรือเหลี่ยมคูอุบาย เกิดขึ้นตามสภาพการณ์ ถ้าบุคคลเป็นผู้เปิดเสียแล้ว ปฏิกริยาตอบสนองต่อ ชีวิตของเขาจะเที่ยงตรง และบางครั้งถ้ามองด้วยทัศนะที่มีรูปแบบตายตัว ก็ออกจะดูแปลกประหลาดเลยด้วยซ้ำ เพราะอุบายไม่ปล่อยให้สิ่งเหลวไหล ปนเปอยู่ หากเป็นการเปิดเผยและจัดการกับสภาพการณ์ตามที่มันเป็น เป็น พลังที่ช่ำชองและแน่นอน ถ้าจู่ ๆ พลังเยี่ยงนี้รี่เข้ามากระชากสิ่งห่อหุ้มหรือ หน้ากากของเรา เราจะเจ็บปวดเป็นที่สุด จะเป็นเรื่องชวนอึดอัดใจยิ่ง เพราะ เราจะพบตนเองเปล่าเปลือย ไร้สิ่งใดปกปิด ในชั่วขณะนั้น
การเปิดและ ความเที่ยงตรง ซึ่งก็คือธรรมชาติของปรัชญาและกรุณาจะดูเย็นชาและไม่ เป็นกันเองเลย
ถ้าคิดตามรูปแบบเดิม ๆ
กรุณามักหมายถึงอาการใจดีและอบอุ่น กรุณา แบบนี้ ในคัมภีร์จะเปรียบเสมือน " ความรักของคุณยาย " คุณคาดหวัง ให้มีผู้มีใจกรุณาในแบบนี้ เป็นคนชนิดที่ใจดีและนุ่มนวลสุดจะพรรณนา เขาจะไม่ตบแม้แต่ยุง ถ้าคุณอยากได้หน้ากากอันใหม่ อยากได้ผ้าห่มผืน ใหม่ให้รู้สึกอบอุ่น เขาก็จะหามาให้ แต่จริง ๆ แล้ว กรุณาที่แท้นั้นโหด ร้ายในทัศนะของอัตตา เพราะกรุณาย่อมไม่ใส่ใจกับแรงผลักดันของอัตตา จะหล่อเลี้ยงตัวนเองไว้ มันเป็น
" ปรีชาญาณบ้าบอ " มันฉลาดหลักแหลม และก็บ้าบอด้วย เพราะมันจะไม่สัมพันธ์กับ ความพยายามอย่างเซื่อง ๆ ของอัตตา ที่จะหาความมั่นคงสะดวกสบายไว้พักพิง
เสียงตรรกของอัตตาจะแนะให้เราทำดีต่อคนอื่น เป็นเด็กดี ใช้ชีวิตเล็ก ๆ อย่างไร้เดียงสา เราทำงานประจำไปเรื่อย มีห้องเช่าหรือบ้านอบอุ่นเป็น ของตนเอง เราอยากให้มันเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ แต่แล้วทันใดนั้น บางสิ่ง ก็เกิดขึ้น เข้ามากระชากเราออกจากรังน้อย ๆ อันแสนอบอุ่นของเรา เรา รู้สึกขมขื่นเจ็บปวดสุดแสน เราเริ่มสงสัยว่า ทำไมสวรรค์ช่างไม่ปรานีเรา เลย " ทำไมเทพยดาฟ้าดินจึงต้องทำโทษฉันด้วย ฉันเป็นคนมาตลอด ฉัน ไม่เคยทำร้ายจิตใจผู้ใดเลย " แต่ชีวิตมีอะไรมากกว่านั้น
เรากำลังพยายามปกป้องอะไรเล่า ทำไมเราจึงยุ่งยากกับการปกป้องตน เองนัก พลังอันฉับพลันของกรุณาที่โหดร้ายทารุณกลับกระชากเราออก จากความสบายและความมั่นคงของเรา ถ้าเราไม่เคยตื่นตระหนกเยี่ยงนี้ เราจะไม่มีวันเติบโตได้ เราจะต้องถูกฉุดออกจากวิถีชีวิตอันซ้ำซาก ความ สะดวกที่เราเคยชินอยู่ ประเด็นของสมาธิภาวนาไม่ได้อยู่เพียงที่การเป็น คนดีคนซื่อตามรูปแบบ เพื่อหล่อเลี้ยงความมั่งคั่งของเราเท่านั้น
เราจะ ต้องกรุณาและหลักแหลมลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น คือเราจะต้องเปิดออก และ สัมพันธ์กับโลกตามที่มันเป็นอยู่