แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

พระสูตรเว่ยหล่าง พุทธทาสภิกขุ แปล

<< < (9/21) > >>

ฐิตา:


  ความคิดชั่วร้ายเพียงดวงเดียว  จากจิตเดิมแท้ของเรา  อาจจะทำลายความดีที่เราสร้างสม  อบรมมานาน  นับเป็นสมัยๆ ให้เสื่อมเสียไปหมดได้ทำนองเดียวกับความคิดอันดีงานจากจิตเดิมแท้นั่นอีกเหมือนกัน อาจจะชำระชะล้างบาปอกุศลของเรา  ซึ่งแม้จะมากมายเหมือนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ได้ดุจกันการเห็นประจักษ์ชัดต่อจิตเดิมแท้ของเราเองอยู่ทุกขณะจิต  ปราศจากการแทรกแซงจนกระทั่งลุถึงการตรัสรู้ขั้นสูงสุด ถึงกับอยู่ในภาวะแห่งความเต็มเปี่ยมด้วยความรู้ อันถูกต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นั่นแหละ คือสัมโภคกาย



ทีนี้ อะไรเล่า ชื่อว่านิรมานกายอันมากมายนับด้วยหมื่นแสน?
เมื่อใดเราทำตัวเรา
ให้เข้ามาอยู่ในฝักฝ่ายของความรู้จักแบ่งแยกว่า อะไรเป็นฝ่ายไหน

และระบุออกไปว่า อะไรเป็นสิ่งที่ควรต้องการ  ได้แม้แต่เพียงนิดเดียวเท่านั้น 
เมื่อนั้นความเปลี่ยนรูปแปลงร่างก็จะเกิดขึ้น (แก่ตัวเราเอง)*33

ถ้าผิดไปจากนี้  สิ่งทุกสิ่งจะยังคงว่างเปล่า เหมือนกับอวกาศ  ดังเช่นที่มันเป็นอยู่
ในตัวมันเองมาแต่เดิม
โดยการเอนอิงจิตของเราลงไปบนสิ่งชั่ว  นรกก็เกิดขึ้น
โดยการเอนอิงจิตของเราลงไปบนการกระทำกรรมดี  สวรรค์ก็ปรากฏ

มังกรและงูร้าย คือการแปลงร่างมาเกิดของเวรภัยอันมีพิษ
เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์
ก็คือตัวตน ของความเมตตากรุณา  จับกลุ่มกันมาเกิด

ซีกบนคือปัญญาซึ่งจับตัวกันเป็นผลึก ส่องแสงจ้าอยู่ 
ในขณะที่โลกซึกล่าง
เป็นเพียงอีกรูปหนึ่งของสิ่งที่ก่อรูปมาจากอวิชชา  และความมัวเมา

การเปลี่ยนรูปแปลงร่างของจิตเดิมแท้ช่างมีมากมายเสียจริงๆ
พวกที่ตกอยู่ภายใต้ความหลงก็ไม่มีวันตื่น  และไม่มีวันเข้าใจ 
จึงน้อมใจลงสู่ความชั่วเสมอและประพฤติความชั่วนั้นเป็นปกตินิสัย



แต่ถ้าเขาจะน้อมจิตเลี้ยวจากความชั่ว มายังความดีงาม
แม้แต่เพียงสัก ขณะจิตเดียว เท่านั้น
ปัญญาก็จะเกิดขึ้นทันที  นี่แหละ คือสิ่งซึ่งเรียกว่า
นิรมานกายของพระพุทธเจ้าแห่ง.. จิตเดิมแท้ 

       ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย  ธรรมกาย คือ สิ่งซึ่งมีความเต็มเปี่ยมอยู่ในตัวเอง 
อย่างแท้จริง 
การเห็นกันอยู่อย่างเผชิญหน้ากับจิตเดิมแท้ของคนทุกๆขณะจิต  นั้นคือ
สัมโภคกาย ของพระพุทธเจ้า

การเอนอิงจิตของเราลงที่สัมโภคกายนั้น (จนถึงกับเกิดความสว่างหรือปัญญา)
นั่นคือนิรมานกาย
การปฏิบัติให้ลุถึงการตรัสรู้  ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง และการที่ตนเอง
ปฏิบัติความดีงาม ตามที่มีอยู่ในจิตเดิมแท้ของตนเอง
นั่นแหละ คือกรณีชั้นเลิศของ "การถือที่พึ่ง"

กายเนื้อของเรานี้ประกอบอยู่ด้วยเนื้อและหนัง ฯลฯ มันไม่มากอะไรยิ่งไปกว่า
เป็นที่พักแรม (สำหรับอาศัยเพียงชั่วคราว)
 
ดังนั้นเราจึงไม่ถือที่พึ่งในกายเนื้อนั้น แต่เราจงพยายามให้เห็นแจ้ง
ในตรีกายแห่งจิตเดิมแท้
ของเราเถิด และเราจะรู้จักพระพุทธเจ้าแห่งจิตเดิมแท้ของเราเอง



*33 ข้อความนี้ คงฟังยากสำหรับบางคน จึงขออธิบายเสียด้วยว่า พอปัญญาแท้จริงเกิดขึ้นแม้นิดเดียว ในขณะนั้นก็เกิดการเปลี่ยนรูปขึ้นภายในจิต  เช่นเปลี่ยนจากความมืด มายังความสว่าง จากความเปื้อน มาเป็นความสะอาด  จากความร้อนมาเป็นความเย็น เป็นต้น  เป็นของใหม่ขึ้นมา มากน้อยตามสมควรแก่ความรู้จักแยก (discrimination) และความรู้จักระบุของที่ควรต้องการ (particularization) ของตนเอง หมายความสั้นๆว่า พอปัญญาเกิด ก็ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในภายในด้วยเสมอไป ถ้าผิดไปจากนี้ ก็คือยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้แปลไทย พุทธทาส

ฐิตา:





อาตมามีโศลกโคลง *34 อันไม่เกี่ยวกับ"รูปธรรม" อยู่บทหนึ่ง

ซึ่งการท่องและการปฏิบัติตามโศลกโคลงนี้ จะสามารถ..
.. เพิก อวิชชา ให้สูญไป
และชำระ.. ชะล้าง บาป..
.. อันได้สะสมอบรมมานานนับด้วยกัลป์ๆได้ โดยสิ้นเชิง
โศลกโคลงนั้นมีดังนี้:-




พวกที่จมอยู่ความเขลา ย่อมมัวแต่สะสมบุญอันแปดเปื้อน (ด้วยการลูบคลำ
ของตัณหาและทิฏฐิ)*35  ไม่ไต่ไปตามมรรคปฏิปทา

พวกนี้ตกอยู่ภายใต้ความรู้สึก ว่าการสะสมบุญ กับการไต่ไปตามมรรคปฏิปทานั้น
เป็นของสิ่งเดียวและอย่างเดียวกัน

แม้ว่าบุญของคนพวกนี้ อันเกิดจากการให้ทานและการบูชา
จะมีมากหาประมาณมิได้

เขาก็ไม่เห็นแจ้งว่า  วิถีทางมาอันเฉียบขาดของบาปนั้น เนื่องอยู่กับมูลธาตุ
อันมีพิษร้ายสามประการ (โลภ โกรธ หลง)อันมีอยู่ในใจของตนเอง

เขาคิดว่าเขาจะเปลื้องบาปของเขาได้ ด้วยการสะสมบุญ 
โดยหารู้ไม่ว่าความสุขที่เขาจะได้รับในชาติข้างหน้านั้น ไม่มีอะไร
เกี่ยวกับการเปลื้องบาปนั้นเลย

ทำไมจึงไม่เปลื้องบาป (ด้วยวิธีที่ทำกัน) ภายในใจของตนเอง เพราะนั่นแหละ
เป็นการชำระบาป (ภายในจิตเดิมแท้ของเรา) อย่างแท้จริง

คนบาปที่ได้มีความเห็นแจ้งขึ้นในทันทีทันใด ว่าอะไรจะนำมาซึ่งการสำนึกบาป
อย่างแท้จริง ตามวิธีของนิกายมหายาน

และได้เลิกละเด็ดขาดจากการทำบาป ทำแต่ความดีงาม
นี่แหละ คือ ผู้หมดบาป
ผู้ที่ไต่ไปตามมรรคปฏิปทา ซึ่งกำหนดในจิตเดิมแท้อยู่เนืองนิจนั้น
ควรถูกจัดเข้าในระดับชั้นเดียวกันกับ พุทธบุคคลอันมีประเภทต่างๆ



*34 โคลงโศลก ในที่นี้คือคำที่ผูกเข้าเป็นคำประพันธ์ชนิดกาพย์ หรือโคลงในภาษาบาลีเรียกคำชนิดนี้ว่า "คาถา" หรือคำสำหรับขับ  "ไม่เกี่ยวกับรูปธรรม" ในที่นี้  ก็เช่นเดียวกับที่อื่นนั่นเอง คือสอนวิธีปฏิบัติไม่เกี่ยวกับรูปธรรม  หรือพึ่งพาอาศัยรูปธรรม  ผู้แปลไทย พุทธทาส

*35 บุญเป็นสิ่งที่แปดเปื้อนหรือมีราคี เพราะบุญทุกอย่างต้องอาศัยตัณหาและทิฏฐิ หรือย่างใดอย่างหนึ่ง จึงเกิดขึ้นได้  ที่เป็นชั้นสูง  เช่นทิฏฐิที่ยังสำคัญว่าตัวตนบังคับให้ทำดีอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อตัวเช่นนี้ บุญนี้ ชื่อว่ายังถูกทิฏฐิ หรืออุปทานลูบคลำอยู่ ถ้าสูงพ้นนี้ไป คือมีความรู้สึกในความไม่มีตัวตน  ทำอะไรก็พ้นจากความเป็นบุญเสียแล้ว จึงมีหลักตายตัวว่า  บุญทุกชนิดต้องแปดเปื้อนแต่เป็นความแปดเปื้อนชนิดที่ถือกันว่าสวยเช่น การเขียนปาก เขียนคิ้ว  ของคนในสมัยนี้ เป็นตัวอย่าง  บุญย่อมนำหรือส่งเสริมให้เกิดในภพใดภพหนึ่งเสมอไป ซึ่งทำให้มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทางพุทธศาสนาจึงถือว่า  แม้บุญก็มีพิษร้ายเท่ากับบาป  แต่ว่าลึกซึ้งเกินกว่าที่คนธรรมดาจะมองเห็น  และเมื่อเขายังไม่สามารถทำอะไรให้สูงไปกว่านั้นได้  จึงให้ทำบุญกันไปก่อนดีกว่าทำบาป แต่เมื่อใดความเห็นจริง  เมื่อนั้น จะเบื่อบุญเท่ากับเบื่อบาป และหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์  ผู้แปลไทย พุทธทาส

แก้วจ๋าหน้าร้อน:
 :13: อนุโมทนากับความสวยงามของหัวใจครับ พี่แป๋ม

ฐิตา:




พระสังฆปริณายกของเราที่แล้วๆมา ไม่ค่อยสอนระบบธรรมอย่างอื่นเลย
นอกจากระบบ "ฉับพลัน"*36 นี้เท่านั้น
ขอให้ ผู้ปฏิบัติตามระบบนี้ทุกคน  จงเห็นอย่างเผชิญหน้าต่อ จิตเดิมแท้ของตน
และอยู่กับพระพุทธเจ้าเหล่านั้นได้ในทันที


        ถ้าท่านกำลังแสวงหาธรรมกาย
        ก็จงมองให้สูง  เหนือขึ้นไปจากลักษณะธรรมดา *37 (ปรากฏการณ์ต่างๆ) แล้วจิตเดิมแท้ของท่านก็จะบริสุทธิ์
        จงตั้งตัวมั่น  ในความมุ่งหมายที่เห็นจิตเดิมแท้อย่างเผชิญหน้า อย่าถอยหลัง
        เพราะความตายอาจมาถึงโดยปัจจุบัน และทำชีวิตในโลกนี้ของท่าน  ให้สิ้นสุดลงโดยทันที
        ผู้ที่เข้าใจคำสอนตามหลักแห่งมหายาน และอยู่ในฐานะที่จะมองเห็นจิตเดิมแท้เช่นนี้
        ควรจะกระพุ่มมือทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างนอบน้อม (ด้วยอาการแห่งความเคารพ) แล้วแสวงหาธรรมกาย ด้วยความกระตือรือร้นเถิด

        พระสังฆปริณายกได้กล่าวเสริมอีกว่า:-
        ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย  ท่านทั้งหลาย ควรสาธยายโศลกนี้และปฏิบัติตาม ถ้าท่านมองเห็นจิตเดิมแท้ของท่านหลังจากที่สาธยายแล้ว ท่านก็จะเห็นได้เองว่า ท่านได้อยู่ในที่เฉพาะหน้าของอาตมาตลอดไป แม้ว่าตามที่แท้ท่านอยู่ห่างออกไปตั้งพันๆไมล์ แต่ถ้าท่านไม่สามารถทำได้  แม้เราจะอยู่จ่อหน้ากันอย่างนี้  โดยทีแท้ก็คือเราอยู่ห่างกันตั้งพันๆ ไมล์นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น  จะมีประโยชน์อะไรในการที่ท่านทนทรมานเดินทางจนมาถึงที่นี่ จากที่อันไกลแสนไกล จงระวังตัวของท่านให้ดี อาตมาลาก่อน

       บรรดาผู้มาประชุมกันนั้น เมื่อได้ฟังพระสังฆปริณายกกล่าวจบแล้ว ได้พากันรู้แจ้งเห็นจริง ด้วยอาการอันปลื้มปิติ เขาพากันร้บเอาคำสอน และนำไปปฏิบัติ


*36 ระบบฉับพลัน  หมายถึงระบบลัดตามวิธีนี้  เพื่อตัดขาดจากการมัวข้องแวะกับรูปธรรม นับตั้งแต่ตำราไปจนถึงบุญกุศลหรือสวรรค์ อ้นเป็นหลักสำคัญของท่านผู้นี้ ผู้แปลไทย พุทธทาส
*37 คำนี้ของเดิมว่า "ธรรมลักษณะ" หมายถึงลักษณะธรรมดาของสิ่งทั้งปวงทั่วไป ข้าพเจ้าไม่ทับศัพท์เพราะอาจเกิดความสับสนแก่ท่านผู้อ่านได้ ผู้แปลไทย พุทธทาส

ฐิตา:




หมวดที่ 7
ว่าด้วยคำสอนอันเหมาะแก่อุปนิสัย และสิ่งแวดล้อม
***********************************
       แม้ว่าพระสังฆปริณายก  จะได้กลับมายังตำบลโซฮัวแห่งเมืองชิวเจา จากวองมุยอันเป็นที่ซึ่งท่านได้รับมอบพระธรรม (แห่งนิกายธยานะจากพระสังฆปริณายกองค์ก่อน)  อีกก็ตาม  ท่านก็ยังเป็นคนแปลกหน้า ที่ไม่มีใครรู้จักในหมู่คนทั้งหลายอยู่นั่นเอง  และผู้ทีให้การต้อนรับเลี้ยงดูอย่างครบครันแก่ท่านนั้น ได้แก่นักศึกษาแห่งลัทธิขงจื้อผู้หนึ่ง  ซึ่งมีนามว่าหลิวชีลั่ก เผอิญหลิวชีลั่กผู้นี้  มีน้าผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ชื่อวูจูจอง  ได้บวชเป็นบรรพชิตในพุทธศาสนา  และโดยปรกติสวดสาธยายมหาปรินิวาณสูตรอยู่เป็นนิจ  เมื่อพระสังฆปริณายกได้ฟังการสาธยาย  ของสตรีผู้นี้เพียงชั่วเวลาหน่อยเดียวเท่านั้น ก็สามารถจับฉวยเอาใจความอันลึกซึ้งของพระสูตรนั้นได้  และได้เริ่มอธิบายแก่เธอ  เมื่อเป็นดังนั้น  สตรีผู้นี้ได้หยิบคัมภีร์ขึ้นมาถามถึงความหมายของข้อความตอนหนึ่งแก่ท่าน

        พระสังฆปริณายกได้ตอบว่า  อาตมาไม่รู้หนังสือ  แต่ถ้าท่านประสงค์จะทราบใจความ  แห่งพระคัมภีร์เรื่องนี้  ก็จงถามเถิด  นักบวชสตรีผู้นั้นจึงถามต่อไปว่า  เมื่อท่านไม่รู้จักแม้แต่จะอ่านถ้อยคำเหล่านั้นแล้ว  ท่านจะสามารถทราบถึงความหมายแห่งตัวสูตรได้อย่างไรเล่า?   พระสังฆปริณายกได้ตอบคำถามนี้ว่า  ความลึกซึ้งแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่เกี่ยวอะไรกันเลยกับภาษาที่เขียนด้วยตัวหนังสือ

                   

        คำตอบนี้  ได้ทำให้สตรีผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจเป็นอันมาก  และเมื่อได้เล็งเห็นว่า  ท่านผู้นี้มิได้เป็นพระภิกษุอย่างธรรมดาสามัญแล้ว ก็ได้บอกกล่าวให้เป็นที่ทราบกันทั่วไป  ในบรรดาผู้ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือในหมู่บ้านนั้น  เธอได้บอกกล่าวว่า  ท่านผู้นี้เป็นอริยะบุคคล  เราทั้งหลายควรขอร้องท่านให้พักอยู่ที่นี่  และขออนุญาตจากท่านเพื่อถวายอาหารและที่พักอาศัย

        ต่อมา  มีเชื้อสายแห่งท่านขุนนางชั้นสูง  คือท่าน หวู่ แห่งราชวงศ์อาย ผู้หนึ่ง มีนามว่า  โซชุกเหลียง  พร้อมด้วยชาวบ้านจำนวนมาก ได้พากันมาในเวลาบ่ายวันหนึ่ง  เพื่อถวายความเคารพแด่พระสังฆปริณายก  วัดเปาลัมอัน เป็นวัดเก่าแก่ในประวัติศาสตร์  ซึ่งร้างไปเพราะภัยสงครามในปรายราชวงศ์ชิว  ในบัดนี้หักพังเหลือแต่เศษสิ่งของเป็นกองๆ นั้น  มหาชนได้พากันบูรณะขึ้นใหม่ตรงที่เดิมนั่นเอง  และได้ของร้องให้พระสังฆปริณายกอยู่อาศัยประจำที่นั่น ไม่นานนักก็กลายเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมาก


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version