แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

พระสูตรเว่ยหล่าง พุทธทาสภิกขุ แปล

<< < (2/21) > >>

ฐิตา:

ครั้นกล่าวดังนั้นแล้ว  พระสังฆปริณายกได้สั่งให้นำเอาธูปเทียนมาจุดบูชาที่ตรงหน้าโศลกนั้น และสั่งให้ศิษย์ของท่านทุกคนทำความเคารพ  แล้วจำเอาไปท่องบ่น  เพื่อให้เขาสามารถพิจารณาเห็น  จิตเดิมแท้  เมื่อศิษย์เหล่านั้นท่องได้แล้ว ทุกคนพากันออกอุทานว่า "สาธู"

        ครั้นเวลาเที่ยงคืน  พระสังฆปริณายกได้ให้คนไปตามตัวชินเชามาที่หอแล้วถามว่าเขาเป็นผู้เขียนโศลกนั้นใช่หรือไม่  ชินเชาได้ตอบว่า  "ใช่ขอรับ  กระผมมิได้เห่อเหิมเพื่อตำแหน่งสังฆปริณายก  เพียงแต่หวังว่าหลวงพ่อจะกรุณาบอกให้ทราบว่า โศลกนั้นแสดงว่ามีแววแห่งปัญญาอยู่ในนั้นบ้างสักเล็กน้อย  หรือหาไม่"

        พระสังฆปริณายกได้ตอบว่า  "โศลกของเจ้าแสดงว่าเจ้ายังไม่ได้รู้แจ้ง จิตเดิมแท้ เจ้ามาถึงประตูแห่งการบรรลุธรรมแล้วเป็นนาน  แต่เจ้ายังไม่ได้ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป  การแสวงหาความตรัสรู้อันสูงสุด  ด้วยความเข้าใจอย่างของเจ้าที่มีอยู่ในขณะนี้นั้น ยากที่จะสำเร็จได้"

        "การที่ใครจะบรรลุอนุตรสัมโพธิได้นั้น ผู้นั้นจะต้องสามารถรู้แจ้งด้วยใจเอง ในธรรมชาติแท้ของตนเอง หรือที่เรียกว่า จิตเดิมแท้  อันเป็นสิ่งที่ใครสร้างขึ้นไม่ได้ หรือทำลายให้สูญหายไปก็ไม่ได้  ชั่วเวลาขณะจิตเดียวเท่านั้น  ผู้นั้นสามารถเห็นแจ้งจิตเดิมแท้  ได้โดยตลอดกาลทั้งปวง  ต่อจากนั้นทุกๆ สิ่งก็จะเป็นอิสระจากการถูกกักขัง  กล่าวคือจะเป็นวิมุติหลุดพ้นไป ตถตา (คือความเป็นแต่ที่เป็นอยู่เช่นนั้น ไม่อาจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้, ซึ่งเป็นชื่อของจิตเดิมแท้อีกชื่อหนึ่ง) ปรากฏขึ้นเป็นครั้งเดียวหรือชั่วขณะจิตเดียว  ผู้นั้นก็จะเป็นอิสระจากความหลงได้ตลอดกาลไม่มีที่สิ้นสุด  ไม่ว่าสถานการณ์รอบข้างจะเป็นเช่นไรใจของผู้นั้น  ก็จะยังคงอยู่ในสภาพแห่ง  "ความเป็นเช่นนั้น" สถานะเช่นนี้ที่จิตได้ลุถึงนั่นแหละคือตัวสัจจธรรมแท้  ถ้าเจ้าสามารถเห็นสิ่งทั้งปวง โดยลักษณะการเช่นนี้  เจ้าจะได้รู้แจ้งจิตเดิมแท้ ซึ่งเป็นการตรัสรู้อันสูงสุด"

         "เจ้าไปเสียก่อน ไปคิดมันอีกสักสองวัน  แล้วเขียนโศลกอันใหม่มาให้ฉัน  ถ้าโศลกของเจ้าแสดงว่า เจ้าเข้าพ้นประตูไปแล้ว  ฉันจะมอบผ้ากาสาวพัสตร์และธรรมะ(แห่งนิกายธยาน) ให้แก่เจ้าสืบทอดไป"

        ชินเชา  กราบพระสังฆปริณายกแล้วหลีกไป  เวลาล่วงเลยมาหลายวันเขาก็ยังจนปัญญา  ในการที่จะเขียนโศลกอันใหม่  มันทำให้ใจของเขาหกหัวกลับไม่รู้บนล่างเหมือนคนถูกผีอำ  เป็นไข้ทั้งที่ตัวเย็นชืดเหมือนกับที่คนกำลังฝันร้ายจะนั่งหรือเดินอย่างไร ก็ไม่พบอริยาบทที่ผาสุก.

                เวลาล่วงมาอีกสองวัน  บังเอิญเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านมาทางห้อง  ที่อาตมาตำข้าวอยู่  เด็กคนนั้น  ได้เดินท่องโศลกของชินเชา ที่จำมาจากฝาผนังอย่างดังๆ พอได้ยินโศลกนั้น  อาตมาก็ทราบได้ทันทีว่าผู้แต่งโศลกนั้น  ยังไม่ใช่ผู้เห็นแจ้งใน  จิตเดิมแท้  แม้ว่าในเวลานั้น  อาตมายังมิได้รับคำอธิบายอะไรเกี่ยวกับข้อความในโศลกนั้น  อาตมาก็ยังเข้าใจในความหมายทั่วๆไปของมันได้เป็นอย่างดี  อยู่เองแล้ว

        อาตมาถามเด็กนั้นว่า  "โศลกอะไรกันนี่?"  เด็กเขาตอบว่า "ท่านคนป่าคนเยิง, ท่านไม่ทราบเรื่องโศลกนี้ดอกหรือ? พระสังฆปริณายกได้ประกาศแก่ศิษย์ทั้งหลายว่า  ปัญหาเรื่องการเกิดใหม่ไม่รู้สิ้นสุดนั้น  เป็นปัญหาเฉพาะหน้าของคนทั้งหลาย, และว่าผู้ใดปรารถนาจะได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์และธรรมะ จะต้องเขียนโศลกให้ท่านโศลกหนึ่ง  และว่าผู้ที่รู้แจ้งจิตเดิมแท้  จะได้รับมอบของเหล่านั้น  และจะถูกแต่งตั้งเป็นสังฆปริณายกองค์ที่หก ท่านชินเชาศิษย์อาวุโส ได้เขียนโศลกเรื่อง "ไม่มีรูป"  โศลกนี้ไว้ที่ผนัง  ทางเดินด้านทิศใต้  และ  พระสังฆปริณายกให้สั่งให้พวกเราท่องบ่นโศลกอันนี้ไว้  และท่านยังได้กล่าวไว้ด้วยว่า  ผู้ใดเก็บเอาคำสอนนี้ไปปฏิบัติ  ผู้นั้นจะได้รับอานิสงส์เป็นอันมาก  จะพ้นจากทุกข์แห่งการเกิดในอบายภูมิ"

        อาตมาได้บอกแก่เด็กหนุ่มคนนั้นว่า  อาตมาก็ปรารถนาที่จะท่องบ่นโศลกนั้นเหมือนกัน  เผื่อว่าในภพเบื้องหน้า  จะได้พบคำสอนเช่นนั้นอีก  อาตมาได้บอกเขาด้วยว่า  แม้อาตมาจะได้ตำข้าวอยู่ที่นี่ตั้งแปดเดือนมาแล้ว  ก็ไม่เคยเดินผ่านไปแถวช่องทางเดินเหล่านั้นเลย  เขาจะต้องนำอาตมาไปถึงที่ที่โศลกนั้นเขียนไว้บนผนัง  เพื่อให้อาตมาได้มีโอกาสทำการบูชาโศลกนั้น  ด้วยตนเอง

        เด็กหนุ่มนั้น  นำอาตมาไปยังที่นั่น  อาตมาขอร้องให้เขาช่วยอ่านให้ฟังเพราะอาตมาไม่รู้หนังสือ  เจ้าหน้าที่เสมียนพนักงานแห่งตำบลกองเจาคนหนึ่งชื่อ จางตัตยุง เผอิญมาอยู่ที่นั้นด้วย ได้ช่วยอ่านให้ฟัง  เมื่อเขาอ่านจบ อาตมาได้บอกแก่เขาว่า  อาตมาก็ได้แต่งโศลกไว้โศลกหนึ่งเหมือนกัน  และขอให้เขาช่วยเขียนให้อาตมาด้วย  เขาออกอุทานว่า  "พิลึกกึกกือเหลือเกิน  ที่ท่านก็มาแต่งโศลกกับเขาได้ด้วย"

        อาตมาได้ตอบว่า  "ถ้าท่านเป็นผู้ที่เสาะแสวงหาการบรรลุธรรมอันสูงสุดคนหนึ่งกะเขาด้วยละก็,  ท่านอย่างดูถูกคนเพิ่งเริ่มต้น  ท่านควรจะรู้ไว้ว่า  คนที่ถูกจัดเป็นคนชั้นต่ำ  ก็อาจมีปฏิภาณสูงได้เหมือนกัน  และคนชั้นสูง  ก็ปรากฏว่ายังขาดสติปัญญาอยู่บ่อยๆ  ถ้าท่านดูถูกคน  ก็ชื่อว่า  ท่านทำบาปหนัก"



        เขากล่าวว่า  "ไหนเล่า จงบอกโศลกของท่านมาชี  ฉันจะช่วยเขียนให้ท่านแต่อย่าลืมช่วยฉันนะ  ขอให้ท่านลุความสำเร็จในธรรมของท่านเถิด" โศลกของอาตมามีว่า:-


"ไม่มีต้นโพธิ์
ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสะอาด
เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว
ฝุ่นจะลงจับอะไร?"


        เมื่อเขาเขียนโศลกลงที่ผนังแล้ว  ทั้งพวกศิษย์และคนนอกทุกคนที่อยู่ที่นั่น  ต่างพากันประหลาดใจอย่างยิ่ง  จิตใจเต็มตื้นไปด้วยความชื่นชม  เขาพากันกล่าวแก่กันและกันว่า  "น่าประหลาดเหลือเกิน  ไม่ต้องสงสัยเลย  เราไม่ควรตัดสินใครว่าเป็นอย่างไร  ด้วยการเอารูปร่างภายนอกเป็นประมาณ  มันเป็นไปได้อย่างไรกันหนอ  ที่เราพากันใช้สอยโพธิสัตว์ผู้อวตาร  ให้ทำงานหนักให้แก่เรา  มานานถึงเพียงนี้?"

ฐิตา:



พระสังฆปริณายก  เห็นคนเหล่านั้นพากันเต็มตื้น  ไปด้วยความอัศจรรย์ใจ  ท่านจึงเอารองเท้าลบโศลก  อันที่เป็นของอาตมาออกเสีย  ถ้าไม่ทำดังนั้น  พวกคนที่มักริษยาจะพากันทำร้ายอาตมา  พระสังฆปริณายก  แสดงความรู้สึกบางอย่างออกมา  ซึ่งทำให้คนเหล่านั้นพอใจที่จะคิดว่า  แม้ผู้ที่เขียนโศลกอันนี้ก็ยังไม่ใช่เป็นผู้ที่เห็นแจ้ง  จิตเดิมแท้  เหมือนกัน

         วันรุ่งขึ้น  พระสังฆปริณายกได้ลอบมาที่โรงตำข้าวอย่างเงียบๆ ครั้นเห็นอาตมาตำข้าวอยู่ด้วยสากหิน  ท่านกล่าวแก่อาตมาว่า  "ผู้ค้นหาหนทางต้องยอมเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อธรรมะ  เขาควรทำเช่นนั้นมิใช่หรือ?"  แล้วท่านถามอาตมาต่อไปว่า  "ข้าวได้ที่แล้วหรือ?"  อาตมาตอบท่านว่า  ได้ที่นานแล้ว  ยังรอคอยอยู่ก็แต่ตะแกรงสำหรับร่อนเท่านั้น"  ท่านเคาะครกตำข้าวด้วยไม้เท้า 3 ครั้ง  แล้วก็ออกเดินไป

        อาตมาทราบดีว่าการบอกใบ้เช่นนั้น  หมายความว่ากระไร  ดังนั้นในเวลาสามยามแห่งคืนนั้น  อาตมาจึงไปที่ห้องท่าน  ท่านใช้จีวรขึ้นขึงบังมิให้ใครเห็นเราทั้งสองแล้ว  ท่านก็ได้อธิบายข้อความอันลึกซึ้งในวัชรสูตร(กิมกังเก็ง) ให้แก่อาตมา  เมื่อท่านได้อธิบายมาถึงข้อความที่ว่า  "คนเราควรจะใช้จิตของตน  ในวิถีทางที่มันจะเป็นอิสระได้จากเครื่องข้องทั้งหลาย"(*2)  ทันใดนั้นอาตมาก็ได้บรรลุการตรัสรู้ธรรมโดยสมบูรณ์  และได้เห็นแจ้งชัดว่า  "ที่แท้ทุกๆ สิ่งในสากลโลกนี้ก็คือตัว  จิตเดิมแท้  นั่นเองมิใช่อื่นไกล"

        อาตมาได้ร้องขึ้นในที่เฉพาะหน้าพระสังฆปริณายก ในที่นั้นว่า "แหม! ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้ นั้น เป็นของบริสุทธิ์อย่างบริสุทธิ์แท้จริง
ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้ นั้น เป็นอิสระไม่อยู่ภายใต้อำนาจ ความต้องเป็นอยู่ หรือภายใต้ความดับสูญ อย่างอิสระแท้จริง 
ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้ นั้น เป็นสิ่งที่มีความสมบูรณ์อยู่ในตัวมันเอง อย่างสมบูรณ์แท้จริง 
ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้ นั้น เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเปลี่ยนแปลง  อย่างนอกเหนือแท้จริง
ใครจะไปคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏออกมานี้  ไหลเทออกมาจากตัว จิตเดิมแท้"

        เมื่อพระสังฆปริณายก สังเกตเห็นว่า  อาตมาได้เห็นแจ้งแล้วใน  จิตเดิมแท้  ท่านได้กล่าวว่า "สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักจิตใจของตนเอง ว่าคืออะไร  ก็ป่วยการที่ผู้นั้นจะศึกษาพุทธศาสนา  ตรงกันข้าม  ถ้าผู้ใดรู้จักจิตใจของตนเองว่าเป็นอะไร  และเห็นด้วยปัญญาอย่างซึมซับว่า ธรรมชาติแท้ของตนเองคืออะไรด้วยแล้ว  ผู้นั้นคือวีรมนุษย์(นายโรงโลก) คือครูของเทวดาและมนุษย์  คือพุทธะ"

        ดังนั้น, ในฐานะที่ความรู้ย่อมไม่เป็นของบุคคลใดแต่ผู้เดียว  ธรรมะอันนั้นจึงถูกมอบตกทอดมายังอาตมาในเที่ยงคืนวันนั้นเอง  ผลก็คืออาตมาเป็นทายาทผู้ได้รับมอบทอดช่วง คำสั่งสอนแห่งนิกาย  "ฉับพลัน" (sudden school) พร้อมทั้งจีวรและบาตร (อันเป็นเครื่องหมายตำแหน่งสังฆปริณายกแห่งนิกายนี้สืบลงมาตั้งแต่สังฆปริณายกองค์แรก)

        พระสังฆปริณายกได้กล่าวสืบไปว่า  "บัดนี้ ท่านเป็นสังฆปริณายกองค์ที่หก  ท่านต้องคุ้มครองตัวของท่านให้ดี  จงช่วยมนุษย์ให้มากพอที่จะช่วยได้ จงทำการเผยแพร่คำสอน และสืบอายุคำสอนไว้อย่าให้ขาดตอนลงได้"  จงจำโศลกโคลงอันนี้ของเราไว้:-

                   "สัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิด ซึ่งเราหว่านเมล็ดพืชพันธุ์แห่งการตรัสรู้ ลงในเนื้อนาแห่งความเป็นไป
                   ตามอำนาจแห่งเหตุและผลแล้ว จะเก็บเกี่ยวผลถึงพุทธภูมิ
                   วัตถุมิใช่สัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิด  เป็นสิ่งว่างเปล่าจากธรรมชาติแห่งพุทธะ  ย่อมไม่หว่านและไม่เก็บเกี่ยวเลย"

        ท่านได้กล่าวสืบไปว่า "เมื่อสังฆปริณายกนามว่า โพธิธรรมได้มาสู่ประเทศจีนนี้เป็นครั้งแรก  ชาวจีนส่วนมากไม่ยอมเชื่อในท่าน  ดังนั้น, ผ้ากาสาวพัสตร์นี้ จึงเกิดเป็นธรรมเนียมที่จะต้องมอบต่อๆกันไป  จากพระสังฆปริณายกองค์หนึ่งไปยังอีกองค์หนึ่ง  ในฐานะเป็นเครื่องหมาย  สำหรับธรรมะนั้นเล่า ก็มอบทอดช่วงกันไปตัวต่อตัวโดยทางใจ(จิตถึงจิต) ไม่เกี่ยวกับคัมภีร์และผู้รับมอบนั้น  ต้องเป็นผู้ที่เห็นธรรมะนั้นแล้วอย่างแจ่มแจ้ง  ด้วยความพยายามของตนเองโดยเฉพาะ  นับตั้งแต่อดีตกาลอันกำหนดนับไม่ได้เป็นต้นมา เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันสำหรับพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง  ก็จะมอบหัวใจคำสอนของพระองค์ให้แก่ผู้จะสืบอายุพระพุทธศาสนาต่อไป  แม้สำหรับพระสังฆปริณายกหัวหน้าแห่งนิกายองค์หนึ่งๆก็เหมือนกัน  ย่อมจะมอบคำสอนอันเร้นลับแห่งนิกายนั้นโดยตัวต่อตัว  ให้แก่พระสังฆปริณายกที่รองลำดับลงไปโดยความรู้ทางใจ (ไม่เกี่ยวกับตำรา) แต่สำหรับผ้ากาสาวพัสตร์และบาตรนี้อาจเป็นต้นเหตุแห่งการยื้อแย่งเถียงสิทธิกันขึ้นก็ได้  ท่านเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับมอบในเวลานี้  ท่านควรมอบมันไปเสียแก่ผู้ที่จะรับสืบต่อจากท่านได้ ชีวิตของท่านกำลังล่อแหลมต่ออันตราย  จงเดินทางไปเสียจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้  มิฉะนั้นจะมีคนทำอันตรายท่าน

        อาตมาถามท่านว่า ควรจะไปทางไหน  ท่านตอบว่า "จงหยุดที่ตำบลเวย  แล้วซ่อนตัวอยู่ผู้เดียวที่ตำบลวุย"
        เมื่อได้รับผ้ากาสาวพัสตร์และบาตรในตอนเที่ยงคืนเสร็จแล้ว  อาตมาได้กล่าวกะท่านว่า  เนื่องจากตัวเป็นชาวใต้  จะรู้จักเดินทางไปตามภูเขาได้อย่างไรและไม่สามารถเดินไป(เพื่อลงเรือ) ที่ปากแม่น้ำได้  ท่านตอบว่า  "อย่าร้อนใจเราจะไปด้วย"


*2 บันทึกของ  ออน คณาจารย์แห่งนิกายธยานผู้หนึ่งมีว่า-เป็นอิสระได้จากเครื่องข้องทั้งหลาย นั้น หมายความว่า ไม่ข้องแวะอยู่ในรูปหรือวัตถุ ไม่ข้องแวะอยู่ในเสียง ไม่ข้องแวะอยู่ในความหลง ไม่ข้องแวะอยู่ในการตรัสรู้ ไม่ข้องแวะอยู่ในสิ่งอันเป็นตัวยืนโรง  ไม่ข้องแวะอยู่ในสิ่งอันเป็นคุณลักษณะที่อาศัย(อยู่กับตัวที่ยืนโรง) คำว่า "ใช้จิต" นั้น หมายความว่า ให้ "จิตเอก" (กล่าวคือ ตัวจิตร่วมของสากลโลก) ได้ปรากฏตัวมันเองในที่ทุกแห่ง อธิบายว่า เมื่อใดจิตประกอบอยู่ด้วยเมตตา หรือโทสะก็ตาม  เมื่อนั้นตัวเมตตาหรือตัวโทสะก็ปรากฏแทนเสีย ส่วนตัว "จิตเดิมแท้" ลับหายไป  แต่เมื่อจิตของเราไม่ประกอบอยู่ด้วยอะไรเลย เราก็ย่อมเห็นได้โดยประจักษ์ว่า  โลกนี้ทั้งสิบภาค(หรือสิบทิศ) ไม่ใช่อะไรอื่นไกล  นอกไปจากความปรากฏของ "จิตเอก" นั้นเท่านั้น

คำอธิบายข้างบนนี้แน่นแฟ้นและตรงจุด นักศึกษาที่เป็นเจ้าตำรานั้น ไม่สามารถให้คำอธิบายที่น่าพอใจเช่นนี้ได้ เพราะเหตุนั้น  คณาจารย์ฝ่ายธยาน (รวมทั้งท่าน ออน อาจารย์ฝ่ายธยานมีชื่อของประเทศด้วย ผู้หนึ่ง)  จึงอยู่สูงกว่าพวกที่เทศนาสั่งสอน ตามพระไตรปิฎก  (ดิปิงเซ่ ผู้แปลเดิม)

ฐิตา:



ท่านได้มาเป็นเพื่อนอาตมา  จนถึงกิวเกียง, ณ ที่นั้นท่านได้บอกให้อาตมาลงเรือลำหนึ่ง  ท่านแจวเรือนั้นด้วยตนเอง  อาตมาจึงขอร้องให้ท่านนั่งลงเสียและอาตมาจะแจวเอง  ท่านตอบว่า  "มันเป็นสิทธิฝ่ายเราผู้เดียวเท่านั้นในการที่จะพาท่านข้ามไป (ในที่นี้หมายถึงทะเลแห่งการเกิดตาย  ซึ่งคนเราจะต้องข้าม ก่อนแต่จะลุถึงฝั่งคือนิพพาน) อาตมาจึงตอบท่านว่า  "เมื่อกระผมยังอยู่ภายใต้โมหะ ก็เป็นหน้าที่ที่หลวงพ่อจะต้องพากระผมข้ามไป  แต่เมื่อได้บรรลุธรรมเป็นการตรัสรู้แล้ว กระผมก็ควรจะข้ามมันด้วยตนเอง (คำว่า "ข้าม" ทั้งสองแห่งนั้น แม้เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายต่างกัน)  โดยที่กระผมเกิดที่บ้านนอกชายแดน  แม้การพูดจาของกระผมยังแปร่งไม่ถูกต้องในการออกเสียงก็ตามแต่กระผมก็ได้รับเกียรติจากหลวงพ่อ ในการที่ได้รับมอบธรรมะอันนั้นจากหลวงพ่อ ฉะนั้นก็แปลว่ากระผมได้บรรลุธรรมแล้ว  มันควรจะเป็นสิทธิของกระผม  ในการที่จะพาตัวเองข้ามทะเลแห่งความเกิดตายไปได้ด้วยการที่ตนเห็นแจ้ง จิตเดิมแท้  ของตนเองแล้ว"

        "ถูกแล้ว  ถูกแล้ว"  ท่านรับรอง  แล้วท่านกล่าวต่อไปว่า  "นับจำเดิมแต่นี้เป็นต้นไป  เพราะอาศัยท่านเป็นเหตุ  พุทธศาสนา (หมายถึงนิกายธยาน)จะแผ่กว้างขวางไพศาล  นับตั้งแต่จากกันวันนี้แล้ว  อีกสามปีเราก็จะลาจากโลกนี้ไป  ท่านจงเริ่มต้นการจาริกของท่านตั้งแต่บัดนี้เถิด  จงลงไปทางใต้ให้เร็วเท่าที่จะเร็วได้  อย่าด่วนทำการเผยแพร่ให้เร็วเกินไป เพราะว่าพุทธธรรมนี้(หมายถึงนิกายธยาน) ไม่เป็นของที่เผยแพร่ได้โดยง่ายเลย

                         

        เมื่อได้กล่าวคำอำลาแล้ว  อาตมาก็จากท่าน เดินทางลงมาทางทิศใต้ เป็นเวลาประมาณสองเดือน  อาตมาก็มาถึงภูเขาไต้ยู้ ณ ที่นี้ อาตมาได้สังเกตเห็นว่ามีคนหลายร้อยคนติดตามรอยอาตมา  ด้วยหวังจะยื้อแย่งผ้ากาสาวพัสตร์ และบาตร (เป็นปูชนียวัตถุของพระพุทธเจ้า)

        ในจำพวกคนที่ติดตามมานั้น  มีภิกษุอยู่ด้วยรูปหนึ่งชื่อไวมิง  เมื่อเป็นฆราวาสใช้แซ่สกุลว่า เซ็น  และมียศนายทหารเป็นนายพลจัตวา  มีกิริยาหยาบคายโทสะฉุนเฉียว  ในบรรดาคนที่ติดตามอาตมามานั้น  เขาเป็นคนที่สะกดรอยเก่งที่สุด  ครั้นเขามาใกล้จวนจะถึงตัวอาตมา  อาตมาก็วางผ้ากาสาวพัสตร์กับบาตรลงบนก้อนหิน  ประกาศว่า "ผ้านี้ไม่เป็นอะไรอื่น  นอกจากจะเป็นเครื่องหมายเท่านั้น  จะมีประโยชน์อะไร ในการที่จะยื้อแย่งเอาไปด้วยกำลัง?" (แล้วอาตมาก็หลบไปซ่อนเสีย)

        ครั้นภิกษุไวมิงมาถึงก้อนหินนั้น เขาพยายามที่จะหยิบมันขึ้น  แต่กลับปรากฏว่าเขาไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้  แล้วเขาได้ตะโกนว่า "พ่อน้องชาย พ่อน้องชาย  ฉันมาเพื่อหาธรรมะ  ไม่ใช่มาเพื่อเอาผ้า" (พึงทราบว่าเวลานี้  พระสังฆปริณายกองค์ที่หกนี้ยังไม่ได้รับการอุปสมบท จึงถูกเรียกว่า พ่อน้องชาย เหมือนที่ฆราวาสเขาเรียกกัน)

ต่อจากนั้น  อาตมาก็ออกจากที่ซ่อน  นั่งลงบนก้อนหินนั้น ภิกษุไวมิงทำความเคารพ  แล้วกล่าวว่า "น้องชาย แสดงธรรมแก่ฉันเถิด ช่วยที"

        อาตมาได้กล่าวกับภิกษุไวมิงว่า  "เมื่อความประสงค์แห่งการมาเป็นความประสงค์เพื่อจะฟังธรรมแล้ว ก็จงระงับใจไม่ให้คิดถึงสิ่งใดๆ แล้วทำใจของท่านให้ว่างเปล่า  เมื่อนั้นข้าพเจ้าจึงจะสอนท่าน"  ครั้นเขาทำดังนั้นชั่วเวลาพอสมควรแล้ว   อาตมาได้กล่าวว่า  "เมื่อท่านทำในใจไม่คิดทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว(รู้จักสิ่งที่ไม่ดีและไม่ชั่ว) แล้ว ในเวลานั้นเป็นอะไร ท่านที่นับถือ นั่นคือธรรมชาติแท้ของท่าน(ตามตัวหนังสือ  เรียก หน้าตาดั้งเดิมของท่าน)มิใช่หรือ?"

        พอภิกษุไวมิงได้ฟังดังนั้น  ท่านก็บรรลุธรรมทันที  แต่ท่านได้ถามต่อไปว่า  "นอกจากคำสอนและข้อคิดอันเร้นลับ  ที่พระสังฆปริณายกท่านมอบต่อๆ กันลงไป  หลายชั่วพระสังฆปริณายกมากันแล้วนั้น ยังมีคำสอนเร้นลับอะไรอีกบ้างไหม?"  อาตมาตอบว่า "สิ่งที่ข้าพเจ้าจำนำมาสอนให้ท่านได้นั้น  ไม่ใช่ข้อเร้นลับอะไร  คือถ้าท่านมองย้อนเข้าข้างใน (*3)  ท่านจะเห็นสิ่งเร้นลับมีอยู่ในตัวท่านแล้ว"

   *3 หลักสำคัญที่สุดในคำสอนของนิกายธยานนั้น คือ "การมองด้านใน" หรือ "การเฝ้าดูแต่ภายใน" หมายถึงการหมุนให้ "แสง"ของตัวเอง  ฉายกลับเข้าภายในถ้าจะเปรียบ  เราควรจะเปรียบกับตะเกียง  คือเราทราบดีว่าแสงของตะเกียงนั้น  เมื่อมีโป๊ะครอบอยู่โดยรอบ  ก็ย่อมกระท้อนกลับเข้าภายใน  พร้อมทั้งรัศมีทั้งหมดไปรวมจุดศูนย์กลางอยู่ที่ดวงไฟผิดกับตะเกียงที่ไม่มีโป๊ะครอบ  แสงก็จะพร่าจางหายไปในภายนอก  เมื่อเราคอยแต่จะวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น  ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามักเคยทำกันจนเคยตัว  ก็เป็นการยากที่จะหมุนความคิดนึกให้มาสนใจแต่ตัวเองโดยเฉพาะ  เพราะเหตุนั้น  จึงเป็นการยากที่จะทราบเรื่องต่างๆ ของตัวเอง  โดยลักษณะตรงกันข้าม  พวกนิกายธยานหมุนความสนใจส่องกลับเข้าภายในทั้งหมด  และส่องระดมลงไปที่  "ธรรมชาติแท้"  ของตัวเองซึ่งเรียกกันในระหว่างชนชาวจีนว่า  "หน้าตาดั้งเดิม" ของตัวเอง

   เพื่อมิให้ผู้อ่านผ่านพ้นความสำคัญตอนนี้ไปเสีย  จึงควรบันทึกข้อความนี้ไว้เป็นเครื่องสะกิดใจว่า  ในประเทศจีนแห่งเดียวเท่านั้น  พุทธบริษัทจำนวนพันๆ ได้บรรลุธรรมถึงขั้นสูงโดยการปฏิบัติตามคำสอนอันฉลาด (ในการลัดทางตรง) ของพระสังฆปริณายกองค์ที่หกนี้ (ดิปิงเซ่ ผู้แปลเดิม)


ฐิตา:


ภิกษุไวมิงได้กล่าวขึ้นว่า  "แม้ฉันจะอยู่ที่วองมุยมานมนาน ฉันก็ไม่ได้เห็นแจ้งตัวธรรมชาติแท้ของจิตฉันเลย  บัดนี้รู้สึกขอบคุณเหลือเกินในการชี้ทางของท่าน  ฉันรู้สิ่งนั้นชัดแจ้ง  เหมือนที่คนดื่มน้ำเขารู้แจ้งชัดว่า  น้ำที่เขาดื่มนั้นร้อนหรือเย็นอย่างไร  พ่อน้องชายเอ๋ย  บัดนี้ท่านเป็นครูของฉันแล้ว"

        อาตมาตอบว่า  "ถ้าเป็นดังนั้นจริงแล้ว  ท่านกับข้าพเจ้า ก็เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน  ของพระสังฆปริณายกองค์ที่ห้า ท่านจงคุ้มครองตัวของท่านให้ดีเถิด"  เมื่อเขาถามอาตมาว่าต่อจากนี้ไป เขาควรจะไปทางไหน  อาตมาก็ตอบแก่เขาว่า  ให้เขาหยุดที่ตำบลยีวน  แล้วตั้งพำนักอาศัยที่ตำบลม็อง  เขาก็ทำความเคารพแล้วจากกันไป"



               ต่อมาไม่นาน  อาตมาก็ไปถึงตำบลโซกาย, ณ ที่นั้น พวกใจบาปได้ตามจองล้างจองผลาญอาตมาอีก ทำให้อาตมาต้องหลบซ่อนอยู่ที่ซีวุย  อันเป็นที่ซึ่งอาตมาได้อาศัยอยู่กับพวกพรานป่าตลอดเวลานานถึง 15 ปี ในบางโอกาส อาตมาก็หาทางสั่งสอนเขาตามที่เขาพอจะเข้าใจได้บ้าง  เขาเคยใช้อาตมาให้นั่งเฝ้าข่ายดักจับสัตว์ของเขา, เมื่ออาตมาเห็นสัตว์มาติดที่ข่ายนั้น  ก็ปลดปล่อยให้รอดชีวิตไป  ในเวลาหุงต้มอาหาร  อาตมานำผักมาใส่ลงไปในหม้อที่เขากำลังต้ม  หรือแกงเนื้อ  บางคนสงสัยก็ถามอาตมา  อาตมาตอบให้ฟังว่า แม้เนื้อนั้นแกงรวมกันอยู่กับผัก อาตมาก็จะคัดเลือกรับประทานแต่ผักอย่างเดียวเท่านั้น

        วันหนึ่ง  อาตมารำพึงในใจตนเองว่า  อาตมาไม่ควรจะเก็บตัวซ่อนอยู่เช่นนี้ตลอดไป  มันถึงเวลาแล้ว  ที่อาตมาจะทำการประกาศธรรม ดังนั้นอาตมาจึงออกจากที่นั้น  และได้ไปสู่อาวาสฟัดฉิ่นในนครกวางตุ้ง

        ในขณะนั้น  ภิกษุเยนชุง  ผู้เป็นธรรมาจารย์มีชื่อเสียงองค์หนึ่ง กำลังเทศนาว่าด้วยมหาปรินิวาณสูตร  อยู่ในอาวาสนั้น  มันเป็นการบังเอิญในวันนั้น เมื่อธงริ้วกำลังถูกลมพัดสะบัดพริ้วๆ อยู่ในสายลม ภิกษุสองรูปเกิดโต้เถียงกันขึ้นว่าสิ่งที่กำลังไหวสั่นระรัวอยู่นั้น ได้แก่ลม หรือได้แก่ธงนั้นเล่า  เมื่อไม่มีทางที่จะตกลงกันได้  อาตมาจึงเสนอข้อตัดสินให้แก่ภิกษุสองรูปนั้นว่า ไม่ใช่ลมหรือธงทั้งสองอย่าง ที่แท้จริง ที่หวั่นไหวจริงๆ นั้น ได้แก่จิตของภิกษุทั้งสองรูปนั้นเองต่างหาก ที่ประชุมที่กำลังประชุมกันอยู่ในที่นั้น พากันตื่นตะลึง.ในถ้อยคำที่อาตมาได้กล่าวออกไป และภิกษุเยนชุง  ได้อาราธนาอาตมาให้ขึ้นนั่งบนอาสนะอันสูงแล้วได้ซักถามปัญหาที่เป็นปมยุ่งต่างๆ ในพระสูตรที่สำคัญๆ หลายพระสูตร

        เมื่อได้เห็นว่า  คำตอบของอาตมาชัดเจนแจ่มแจ้งและมั่งคง  และเห็นว่าเป็นคำตอบที่มีอะไรสูงยิ่งไปกว่าความรู้ ที่จะหาได้จากตำราแล้ว  ภิกษุเยน
ชุงได้กล่าวแก่อาตมาว่า  "น้องชาย  ท่านต้องเป็นบุคคลพิเศษเหนือธรรมดาเป็นแน่ เราได้ฟังข่าวมานานแล้วว่า  บุคคลผู้ได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์ และธรรมะจากพระสังฆปรินายกองค์ที่ห้านั้น  บัดนี้ได้เดินทางลงมาทางทิศใต้แล้ว  ท่านต้องเป็นบุคคลผู้นั้น เสียแน่แล้ว"

        อาตมา  ได้แสดงกิริยายอมรับโดยอ่อนน้อม  ทันใดนั้น  ภิกษุเยนชุงได้ทำความเคารพ  และขอให้อาตมานำผ้าและบาตร ซึ่งได้รับมอบ  ออกมาให้ที่ประชุมดูด้วย  แล้วได้ถามอาตมาสืบไปว่า  เมื่อสังฆปริณายกองค์ที่ห้ามอบธรรมอันเร้นลับสำหรับสังฆปริณายก  ให้แก่อาตมานั้น  อาตมาได้รับคำสั่งสอนอะไร อย่างใดบ้าง


*3 หลักสำคัญที่สุดในคำสอนของนิกายธยานนั้น คือ "การมองด้านใน" หรือ "การเฝ้าดูแต่ภายใน" หมายถึงการหมุนให้ "แสง"ของตัวเอง  ฉายกลับเข้าภายในถ้าจะเปรียบ  เราควรจะเปรียบกับตะเกียง  คือเราทราบดีว่าแสงของตะเกียงนั้น  เมื่อมีโป๊ะครอบอยู่โดยรอบ  ก็ย่อมกระท้อนกลับเข้าภายใน  พร้อมทั้งรัศมีทั้งหมดไปรวมจุดศูนย์กลางอยู่ที่ดวงไฟผิดกับตะเกียงที่ไม่มีโป๊ะครอบ  แสงก็จะพร่าจางหายไปในภายนอก  เมื่อเราคอยแต่จะวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น  ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามักเคยทำกันจนเคยตัว  ก็เป็นการยากที่จะหมุนความคิดนึกให้มาสนใจแต่ตัวเองโดยเฉพาะ  เพราะเหตุนั้น  จึงเป็นการยากที่จะทราบเรื่องต่างๆ ของตัวเอง  โดยลักษณะตรงกันข้าม  พวกนิกายธยานหมุนความสนใจส่องกลับเข้าภายในทั้งหมด  และส่องระดมลงไปที่  "ธรรมชาติแท้"  ของตัวเองซึ่งเรียกกันในระหว่างชนชาวจีนว่า  "หน้าตาดั้งเดิม" ของตัวเอง

เพื่อมิให้ผู้อ่านผ่านพ้นความสำคัญตอนนี้ไปเสีย  จึงควรบันทึกข้อความนี้ไว้เป็นเครื่องสะกิดใจว่า  ในประเทศจีนแห่งเดียวเท่านั้น  พุทธบริษัทจำนวนพันๆ ได้บรรลุธรรมถึงขั้นสูงโดยการปฏิบัติตามคำสอนอันฉลาด (ในการลัดทางตรง) ของพระสังฆปริณายกองค์ที่หกนี้ (ดิปิงเซ่ ผู้แปลเดิม)

ฐิตา:



อาตมาตอบว่า  "นอกจากการคุ้ยเขี่ยด้วยเรื่องการเห็นแจ้งชัดใน  จิตเดิมแท้  แล้ว ท่านไม่ได้ให้คำสอนอะไรอีกเลย  ท่านไม่ได้เอ่ยถึงแม้แต่เรื่องธยานและวิมุต"  ภิกษุเย็นชุงสงสัย  จึงถามอาตมาว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  อาตมาตอบว่า เพราะว่ามันจะทำให้เกิดความหมายว่า มีหนทางขึ้นถึงสองทาง ก็ทางในพุทธธรรมนี้  จะมีถึงสองทางไม่ได้  มันมีแต่ทางเดียวเท่านั้น

        ภิกษุเยนชุง  ถามอาตมาต่อไปว่า  ที่ว่ามีแต่ทางเดียวนั้นคืออะไร  อาตมาตอบว่า  "ก็มหาปรินิรวาณสูตรซึ่งท่านนำออกเทศนาอยู่นั่นเอง  ย่อมชี้ให้เห็นอยู่แล้วว่า ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ(ซึ่งมีอยู่ในคนทุกคน) นั่นแหละคือทางทางเดียว  ยกตัวอย่างตอนหนึ่งในพระสูตรนั้นมีว่า พระเจ้าโกโกวตั่ก ซึ่งเป็นโพธิสัตว์องค์หนึ่ง  ได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า บุคคลที่ล่วงปาราชิกสี่อย่างก็ดี  หรือทำอนันตริยกรรมห้าอย่างก็ดี  และพวกอิจฉันติกะ (คือมิจฉาทิฏฐินอกศาสนา) ก็ดี ฯลฯ คนเหล่านี้  จะได้ชื่อว่าถอนรากเหง้าแห่งความดี  และทำลาย  ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ ของตนเองเสียแล้ว  โดยสิ้นเชิงหรือหาไม่?  พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบว่า รากเหง้าของความดีนั้น  มีอยู่สองชนิดคือ ชนิดที่ถาวรตลอดอนันตกาล กับไม่ถาวร(Eternal, and Non-eternal) เพราะเหตุที่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้น จะเป็นของถาวรตลอดอนันตการก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ถาวรก็ไม่ใช่  เพราะฉะนั้น  รากเหง้าแห่งความดีของเขา  จึงไม่ถูกถอนขึ้นโดยสิ้นเชิง"  ในบัดนี้ก็เป็นที่ปรากฏแล้วว่า  พุทธธรรมมิได้มีทางสองทาง  ที่ว่าทางฝ่ายดีก็มี  ทางฝ่ายชั่วก็มี  นั้นจริงอยู่   แต่เพราะเหตุที่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้น  เป็นของไม่ดีไม่ชั่ว  เพราะฉะนั้น พุทธธรรมจึงเป็นที่ปรากฏว่าไม่มีทางถึงสองทาง  ตามความคิดของคนธรรมดาทั่วไปนั้นเข้าใจว่า ส่วนย่อยๆของขันธ์และธาตุทั้งหลายนั้น  เป็นของที่แบ่งแยกออกได้เป็นสองอย่าง  แต่ผู้ที่ได้บรรลุธรรมแล้ว ย่อมเข้าใจว่า  สิ่งเหล่านั้นตามธรรมชาติไม่ได้เป็นของคู่เลย พุทธภาวะหรือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธนั้นไม่ใช่เป็นของคู่"

        ภิกษุเยนชุง  พอใจในคำตอบของอาตมาเป็นอย่างสูง ได้ประนมมือทั้งสองขึ้นเป็นการแสดงความเคารพแล้ว  ท่านได้กล่าวแก่อาตมาว่า  "คำอธิบายความในพระสูตรที่ข้าพเจ้าเองอธิบายไปแล้วนั้น  ไร้มูลค่า เช่นเดียวกับกองขยะมูลฝอยอันระเกะระกะไปหมด  ส่วนคำอธิบายของท่านนั้น  เต็มไปด้วยคุณค่าเปรียบเหมือนทองคำเนื้อบริสุทธิ์" ครั้นแล้วท่านได้ช่วยจัดการให้อาตมาได้รับการ ประกอบพิธีปลงผม และรับการบรรพชาอุปสมบท  เป็นภิกษุในพุทธศาสนา และได้ขอร้องให้อาตมา รับท่านไว้ในฐานะเป็นศิษย์คนหนึ่งด้วย

        จำเดิมแต่นั้นมา  อาตมาก็ได้ทำการเผยแพร่คำสอนแห่งสำนักตุงซั่น (คือ สำนักแห่งพระสังฆปริณายกองค์ที่สี่และองค์ที่ห้า ซึ่งอยู่ในวัดตุงซั่น) ตลอดมาภายใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์(*4)

          นับตั้งแต่อาตมาได้รับมอบพระธรรมมาจากสำนักตุงซั่นแล้ว  อาตมาต้องตกระกำลำบากหลายครั้งหลายหน  ชีวิตปริ่มจะออกจากร่างอยู่บ่อยๆ  วันนี้อาตมาได้มีเกียรติมาพบกับท่านทั้งหลาย  ในที่ประชุมนี้  ทั้งนี้ อาตมาต้องถือว่าเป็นเพราะเราได้เคยติดต่อสัมพันธ์กันมาเป็นอย่างดีแล้วแต่ในกัลป์ก่อนๆ รวมทั้งอานิสงส์แห่งบุญกุศล  ที่เราได้สะสมกันไว้  ในการถวายไทยธรรมร่วมกันมาแต่พระพุทธเจ้าหลายพระองค์ในชาติก่อนๆของเรานั่นเอง  มิฉะนั้นแล้วไฉนเราจะมีโอกาสได้ยินได้ฟังคำสอนแห่ง  "สำนักบรรลุฉับพลัน" อันเป็นรากฐานที่ทำให้เราเข้าใจพระธรรมได้แจ่มแจ้ง ในอนาคตนั้นเล่า

        คำสอนอันนี้  เป็นคำสอนที่  "ได้มอบสืบทอดต่อๆ กันลงมาจากพระสังฆปริณายกองค์ก่อนๆ หาใช่เป็นคำสอนที่อาตมาประดิษฐ์คิดขึ้นด้วยตนเองไม่  ผู้ที่ปรารถนาจะสดับพระธรรมนั้น  ในขั้นแรกควรจะชำระใจของตนให้บริสุทธิ์เสียก่อน ครั้นได้ฟังแล้ว ก็ควรจะชะล้างความสงสัยของตน  ให้เกลี้ยงเกลาไปเฉพาะตนๆ โดยทำนองที่พระมุนีทั้งหลายในกาลก่อนได้เคยกระทำกันมา จงทุกคนเถิด"

        ครั้นจบพระธรรมเทศนา  ผู้ฟังพากันปลาบปลื้มด้วยปิติ  ทำความเคารพแล้วลาไป




   จากประวัติการรับมอบธรรมะของพระสังฆปริณายกเว่ยหล่าง จะพบว่ามีสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นข้อบ่งชึ้ว่า พระสังฆปริณายกเว่ยหล่างท่านเกิดมาพร้อมด้วยการบรรลุธรรมแล้ว ท่านเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ในการอบรมสั่งสอน ช่วยเหลือสรรพสัตว์ การรู้ซึ้ง เข้าใจ ในธรรมะชั้นสูงสุด จนเขียนโศลกว่า "ไม่มีต้นโพธิ์  ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใส สะอาด   เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว  ฝุ่นจะลงจับอะไร?" แม้แต่นักปราชญ์ราชบัณฑิต ก็ยังไม่สามารถที่เข้าใจได้ ชินเชา ศิษย์พี่ แม้ฝึกฝนปฏิบัติมามากกว่าสิบปี ก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ท่านซึ่งไม่รู้หนังสือไม่เคยได้รู้ได้เห็น เพียงได้ฟังโศลกของศิษย์ผู้พี่เท่านั้นก็รู้แจ้งแทงตลอดแล้ว อีกทั้งคำตอบโต้กับพระสังฆปริณายกองค์ที่ห้า ว่าตนแม้จะแตกต่างกับท่านก็เพียงความเป็นคนหนือกับคนใต้ คนป่ากับสังฆปริณายกผู้รู้ธรรมแล้วเท่านั้น แต่ธรรมชาติของการรู้ธรรมมิใช่จะต่างกัน

   จึงมิต้องสงสัยว่า ท่านเป็นผู้บรรลุพุทธภาวะแล้วกลับมาเกิดใหม่เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ จากการที่ท่านเข้าพบและรับมอบธรรมะจากพระสังฆปริณายกองค์ที่ห้า จะเห็นว่าสิ่งที่ได้รับ เป็นเพียง ธรรมะเพื่อยืนยันในสิ่งที่ท่านได้รู้แล้ว หรืออาจเสริมเติมบางสิ่งที่เลือนหายไปบ้างจากการเดินทางข้ามชาติข้ามภพเท่านั้น พระสังฆปริณายกเว่ยหล่าง ก็ไม่ต่างจาก พระสังฆปริณายกองค์ที่ 1 ของจีน คือท่านโพธิธรรม หรือตั๊กม้อ ซึ่งท่านก็คือ ผู้กลับชาติมาเกิดของพระโพธิสัตว์วัชรปาณีนั่นเอง ท่านถือกำเนิดเป็นองค์ชายแห่งอาณาปัลลวะ และต่อมาจึงเป็นโพธิธรรม นำพระพุทธศาสนานิกายเซ็นหรือธยานเข้าสู่ประเทศจีน ในราวพุทธศตวรรษที่ 10 หลักการปฏิบัติเพื่อการบรรลุของเซ็นจัดได้เป็นสองสายคือสายสูงถ่ายทอดธรรมด้วยจิตถึงจิต ไม่ยึดถือพระสูตรหรือพระคัมภีร์ใด เพียงรู้แจ้ง เห็นแจ้งใน ศูนยตา  ก็บรรลุ แต่ก็ไม่หนีไปจากปรัชญาแห่งนิกาย โยคาจารย์และวิชญาวาท เพื่อบรรลุศูนยตา แห่งปรัชญาแห่งมัธยมิก อีกสายหนึ่งคือสายสามัญ เน้นการฝึกฝนวิปัสสนา โดยเน้นหนักที่จิต ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งประกอบอื่นใด อีกทั้งไม่มีตัวช่วย ผู้ต้องการบรรลุต้องช่วยตนเอง โดยการตีปริศนาศูนยตา ให้แตก เมื่อนั้นก็จะได้บรรลุมรรคผลดังต้องการ


*4 คำว่าต้นโพธิ์ในที่นี้ เข้าใจว่าหมายถึงบารมีของพระพุทธเจ้า  หรือมิฉะนั้นก็หมายถึงพุทธภาวะหรือธรรมชาติแห่งพุทธะ  ซึ่งถือเป็นของสำคัญเพียงอย่างเดียวในนิกายนี้ (พุทธทาส ผู้แปลไทย)

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version