แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

พระสูตรเว่ยหล่าง พุทธทาสภิกขุ แปล

<< < (13/21) > >>

ฐิตา:



มหาปรินิพพานอันสูงสุดนั้น

เป็นสิ่งที่เต็มเปี่ยม  ถาวร  สงบ  และรุ่งเรืองสว่างไสว

คนสามัญและคนเขลา  หลงเรียกนิพพานนั้นว่าความตาย

ฝ่ายพวกมิจฉาทิฏฐิก็ถือเอาตามชอบใจว่า นิพพานนั้น เป็นความขาดสูญ

พวกที่เป็นฝ่ายสาวกยาน  และปัจเจกพุทธยาน

เห็นพระนิพพานว่าเป็นสิ่งที่  "ไม่มีการกระทำ"

ทั้งหมดนี้  เป็นเพียงการคำนวนเอาด้วยสติปัญญาของคนสามัญ

และย่อมจะสร้างรากฐาน  แห่งมิจฉาทิฏฐิ  62 ประการขึ้นมา.

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงชื่อต่างๆ ที่คิดเดาเอาเอง ประดิษฐ์ขึ้นเอง

ในขณะที่เขาไม่รู้จะทำอย่างไรต่อสัจจธรรมอันสูงสุดนั้น

เฉพาะพวกที่มีใจสูงเหนือสิ่งทั้งหลายเท่านั้น

ที่อาจจะเข้าใจได้ถูกต้องว่า  นิพพานนั้นคืออะไรกันแน่.และวางตนไว้ 

ในลักษณะที่เข้าพัวพันด้วยก็ไม่ใช่ เฉยเมยก็มิใช่ทั้งสองอย่าง*50

*50 ข้อนี้ท่านดิปิเซ่ ให้อรรถธิบายไว้ว่า เมื่อคนสามัญหลงอยู่ในวังวนของการเวียนเกิด  เวียนตาย, พวกสาวกและพวกปัจเจกพุทธะ  แสดงทีท่าเกลียดชัง อาการอันนี้. ทำเช่นนี้ไม่ถูกทั้งสองพวก ผู้ดำเนินไปในมรรคปฏิปทา  ย่อมไม่ติดใจ  ในการเกิดเป็นสัตว์เพื่อเสวยอารมณ์  แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีการจงเกลียดจงชังอะไรแก่สิ่งนี้.  เพราะความถือว่ "ตัวตน" หรือว่า "สัตว์บุคคล" ย่อมไม่มีแก่ผู้นี้ และเพราะว่า ท่านผู้นี้เสียสละได้ทั้งท่าทีแห่งการอยากได้ 

และท่าทีแห่งการเฉยเมยต่อสิ่งทั้งปวง. วิมุติ จึงอยู่ในกำมือของท่านตลอดเวลา,  และท่านอยู่เป็นผาสุขได้ในทุกๆ สถานการณ์ที่แวดล้อม. ท่านอาจผ่านไปในกระแสของการเกิดตาย แต่กระแสนั้น ไม่อาจพัวพันท่าน และสำหรับท่าน ปัญหาเรื่องเกิดตายไม่เป็นปัญหาอะไรเลย.  คนชนิดนี้แหละที่ควรเรียกว่ามีใจสูงเหนือสิ่งทั้งปวง (ได้พบพระนิพพานแล้ว)  ดิปิงเซ่ ผุ้บรรยายจีน

ฐิตา:

Volcanic Lightning
ภูเขาไฟ Pinatubo ในประเทศฟิลิปปินส์ ระเบิด ในปี 1991

ท่านเหล่านั้น  ย่อมรู้ว่า ขันธ์ทั้งห้า

และสิ่งที่เรียกกันว่า  "ตัวตน"  อันเกิดขึ้นจากการประชุมพร้อมของขันธ์ทั้งห้านั้น

รวมทั้งวัตถุและรูปธรรมภายนอกทุกชนิด

และทั้งปรากฏการณ์ต่างๆ ของศัพท์และสำเนียง

ล้วนแต่ของเทียม  ดั่งเช่นความฝันและภาพมายา เสมอกันหมด

ท่านเหล่านั้นไม่เห็นว่ามีอะไรแตกต่างกัน  ระหว่างพระมุนีกับคนธรรมดา

หรือจะมีความคิดเดาเอาเอง ในเรื่องนิพพาน  ก็หาไม่.





ท่านเหล่านี้  ย่อมอยู่เหนือ "การรับ"  และ  "การปฏิเสธ"

และท่านเหล่านี้  ทำลายเครื่องกีดขวาง ทั้งที่เป็นอดีต  ปัจจุบัน และอนาคต

ท่านเหล่านี้ ย่อมใช้อวัยวะเครื่องทำความรู้สึก  ของท่านในเมื่อมีเรื่องต้องใช้

แต่ว่าความรู้สึกยึดถือใน  "การใช้" นั้น มิได้เกิดขึ้นเลย



ท่านเหล่านั้น อาจระบุเจาะจงสิ่งต่างๆ ได้ทุกชนิด.

แต่ว่าความรู้สึกยึดถือใน "การระบุเจาะจง" นั้น มิได้เกิดขึ้นเลย

ขณะที่ไฟประลัยกัลป์ล้างโลก ในที่สุดของกัลป์, เมื่อท้องมหาสมุทรแห้งไป

หรือขณะที่ลมมหาประลัยพัดทำลายโลก  จนภูเขาล้มชนกันระเกะระกะ

ศานติสุขอันแท้จริงและยั่งยืน ของ "ความหยุดได้โดยสมบูรณ์"

และความสุดสิ้นของความเปลี่ยนแปลง"แห่งนิพพาน, ย่อมยังคงอยู่ในสภาพเดิม

ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย.



นี่ฉันได้พยายามอธิบายแก่ท่าน ถึงสิ่งบางสิ่ง ที่เหลือที่จะพูดออกมาได้

เพื่อให้ท่านสามารถกำจัดความเห็นผิดของท่านเสีย.

แต่ถ้าท่านไม่ตีความแห่งคำพูดของฉันให้ตรง ตามความหมายแล้ว

ท่านอาจเรียนรู้ความหมายของนิพพาน  แต่เพียงกะจิริด นิดหนึ่งเท่านั้น 

       เมื่อได้ฟังโศลกนี้แล้ว  ภิกษุ ฉิต่าว  ได้มีความสว่างไสวในธรรมอย่างสูง เธอรับฟังคำสอน
ด้วยใจอันปราโมทย์ และลาจากไป

***********

ฐิตา:


ภิกษุ ฮังฉิ อาจารย์องค์หนึ่งในนิกายธยานนี้ เกิดที่อันเซ้งแห่งกัตเจา ในตระกูลหลิว.  เมื่อได้ยินข่าวเล่าลือว่า  คำสอนของพระสังฆปริณายก ได้ทำให้คนจำนวนมากมีความสว่างไสวในธรรม  ท่านจึงได้ตรงมายังตำบลโซกายทันที  เมื่อทำความเคารพแล้ว  ได้ตั้งคำถามขึ้นว่า  "ผู้ปฏิบัติควรส่งจิตของตนพุ่งไปยังสิ่งใด  อันจะทำให้การบรรลุธรรมของเขาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถวัดได้ด้วย  "เครื่องวัดคุณวิเศษ" ตามที่คนทั่วไปเขารู้กัน?"

        พระสังฆปริณายกถามว่า  ก็ท่านกำลังปฏิบัติอยู่อย่างไรเล่า?

        ภิกษุ ฮังฉิ ตอบว่า แม้ธรรมคืออริยสัจทั้งหลาย ที่พระพุทธเจ้าทุกๆองค์สอนไว้  ข้าพเจ้าก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเข้าไปแตะต้องด้วย

        พระสังฆปริณายกถามต่อไปว่า แล้วก็เดี๋ยวนี้ท่านอยู่ใน "ชั้นแห่งคุณวิเศษ" ชั้นไหนเล่า?

        ภิกษุ ฮังฉิ ย้อนว่า จะมี "ชั้นคุณวิเศษ" อะไรที่ไหนเล่า ในเมื่อข้าพเจ้าปฏิเสธไม่เข้าเกี่ยวข้องด้วย  แม้กับอริยสัจที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้สอนไว้?

        การตอบโต้อย่างทันควันของภิกษุฮังฉิ ได้ทำให้พระสังฆปริณายกเกิดความนับถือ
ถึงกับยกเธอขึ้นเป็นหัวหน้าคณะ.

        วันหนึ่ง พระสังฆปริณายกได้กล่าวแก่ท่านผู้นี้  ว่าท่านควรจะไปประกาศธรรม
ในท้องถิ่นของท่านเอง

 เพื่อว่าคำสอนจะไม่ลับหายสิ้นสุดไป  เพราะเหตุนั้น ภิกษุฮังฉิ ได้กลับไปภูเขาชิงอัน อันเป็นภูมิลำเนาของเท่าน.

 พระธรรม (แห่งนิกายนี้) ถูกมอบหมายทอดช่วงไปยังท่าน.

ท่านได้เผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง และเป็นการทำให้คำสอนแห่งครูอาจารย์ของท่านลงรากอย่างมั่นคง

เพราะเหตุนั้น  เมื่อท่านมรณภาพแล้ว เขาพากันยกสมัญญาให้แก่ท่านว่า

"ฮุงไซ่ ผู้เป็นอาจารย์แห่งนิกายธยาน"

**********

ฐิตา:

ภิกษุ เว่ยยาง  อาจารย์ในนิกายธยานอีกองค์หนึ่ง เกิดในตระกูลเต๋า ในกิมเจา เมื่อไปเยี่ยมท่านเว่ยออนแห่งภูเขาซุงซาน   ซึ่งเป็น "อาจารย์ประจำเมือง"  ได้ถูกท่านผู้นี้บังคับให้มายังตำบลโซกาย  เพื่อสนทนากับพระสังฆปริณายก

        ครั้นมาถึง และได้ทำความเคารพตามธรรมเนียมแล้ว ก็ถูกพระสังฆปริณายก ถามว่า มาจากไหน 
ตอบว่า  มาจากซุงซาน

        ถามว่า  สิ่งที่มานั้นเป็นอะไร มาได้อย่างไร         
 ตอบว่า  จะว่ามันเหมือนกับอะไร ก็เป็นการผิดทั้งนั้น

        ถามว่า  เป็นสิ่งที่ลุถึงได้ด้วยการฝึกฝนปฏิบัติตนหรือ     
 ตอบว่า  มิใช่เป็นการสุดวิสัยที่จะลุถึงได้ด้วยการฝึกฝนปฏิบัติตน  แต่ว่าเป็นการสุดวิสัยจริงๆ ที่จะทำสิ่งนี้ไห้เศร้าหมองมีมลทิน

        เมี่อได้ฟังดังนั้น  พระสังฆปริณายกได้เปล่งเสียงขึ้นดังๆว่า มันได้แก่สิ่งที่ไม่รู้จักเศร้าหมองนี้จริงๆ ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เอาพระทัยใส่ ถึงท่านก็ต้องเป็นอย่างเดียวกัน ถึงแม้ข้าพเจ้าก็ต้องเป็นอย่างเดียวกัน พระสังฆปริณายกชื่อ  ปรัชญาตาระ แห่งอินเดีย ได้ทำนายไว้ว่า ลูกม้า*51ตัวหนึ่งจะออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของท่าน และจะกระโจนเหยียบย่ำมหาชนไปทั่วโลก  ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องพยากรณ์ความข้อนี้เร็วเกินไป  เพราะว่าคำพยากรณ์นั้น ท่านหาดูได้ในใจของท่าน

        ภิกษุ เว่ยยาง  มีความเข้าใจปรุโปร่งในคำพูดของพระสังฆปริณายก ได้เข้าใจซึมทราบแจ่มแจ้งว่าพระสังฆปริณายกพูดหมายถึงอะไร  ตั้งแต่วันนั้นมา ได้เป็นศิษย์ติดสอยห้อยตามพระสังฆปริณายกอยู่เป็นเวลา 15 ปี มีความรู้ในทางพระพุทธศาสนาลึกซึ้งยิ่งขึ้นๆ ทุกๆวัน  ต่อมาได้ตั้งสำนักขึ้นที่เฮ็งชาน ทำการเผยแพร่คำสอนของพระสังฆปริณายกออกไปอย่างกว้างขวาง  เมื่อถึงมรณภาพแล้ว  ทางการแห่งราชสำนักของพระเจ้าจักรพรรดิ์

ได้ถวายสมัญญาแก่ท่านว่า "ไถ่ไหว่ ผู้เป็นอาจารย์แห่งนิกายธยาน"





**********


*51ข้อนี้หมายถึงศิษย์อันมีชื่อเสียงของภิกษุเว่ยยาง ที่ชื่อว่า "ม้า โซ่"
อันเป็นผู้ที่ได้แผ่คำสอนของนิกายธยานไปจนทั่วประเทศจีน ผู้คัดลอกจีนว่องมูล่ำ

ฐิตา:



อาจารย์นิกายธยาน  ชื่อ หยวนกว็อก แห่งวิงกา  เกิดในตระกูลไต๋  ในเว็นเจา  เมื่อยังหนุ่มได้ศึกษาในสูตรและศาสตร์เป็นอันมาก เป็นผู้แตกฉาน ในหลักสมถะ  และวิปัสสนาแห่งนิกายเท็นดาย  โดยที่ได้อ่านวิมลกีรตินิเทศสูตร  ท่านได้ทราบถึงข้อลี้ลับ  แห่งใจของท่านเองอย่างปรุโปร่ง

        มีภิกษุรูปหนึ่ง มีนามว่า อันแช็ก เป็นศิษย์ของพระสังฆปริณายกเผอิญได้ไปเยี่ยมนมัสการท่านอาจารย์ผู้นั้น เมื่อได้มีธรรมสากัจฉากันเป็นเวลานานแล้ว ภิกษุอันแช็กได้สังเกตเห็นว่า  ถ้อยคำของคู่สนทนานั้นลงกันได้ดีกับคำสอนต่างๆ ของพระสังฆปริณายก  จึงถามขึ้นว่า "ผมใคร่จะทราบนามอาจารย์ของท่าน ซึ่งได้สั่งสอนธรรมให้แก่ท่าน"

        หยวนกว็อกได้ตอบว่า  ผมมีอาจารย์มากมายที่สอนผม ในขณะที่ผมศึกษาสูตรและศาสตร์ต่างๆ แห่งสำนักไวปูลยะ, แต่หลังจากนั้นมาเป็นเพราะได้อ่านวิมลกีรตินิเทศสูตร  ผมจึงมองเห็นแจ่มแจ้งถึงความสำคัญของนิกายพุทธจิตตะ (คือนิกายธยาน)  แล้วในตอนนี้  ผมยังไม่มีอาจารย์คนใดที่จะพิสูจน์และยืนยันความรู้ของผม

        ภิกษุอันแช็กกล่าวขึ้นว่า ถ้าในยุคก่อนหน้าพระภิสมครรชิตศวร พระพุทธเจ้าองค์แรก ก็พอจะเป็นไปได้  ที่ใครๆจะรู้ธรรมได้โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับอาจารย์  แต่หลังจากนั้นมาแล้ว  ผู้ที่บรรลุธรรมโดยไม่อาศัยความช่วยเหลือและยืนยันของอาจารย์คนใดคนหนึ่งแล้ว (ดูเหมือนจะ) ใช้ไม่ได้เป็นธรรมดา

        หยวนกว็อกได้ถามว่า ถ้าดังนั้นท่านช่วยเป็นผู้พิสูจน์การรู้ธรรมของผมได้ไหมเล่า?

        ภิกษุอันแช็กตอบว่า  คำพูดของผมไม่มีน้ำหนัก  ที่ตำบลโซกาย มีพระสังฆปริณายกองค์ที่หก อยู่ที่นั่น  คนจำนวนมากมาหาท่านจากทิศต่างๆ ด้วยความประสงค์อย่างเดียวกัน คือเพื่อรับเอาธรรม ถ้าท่านใคร่จะไปที่นั่น ผมยินดีที่จะไปเป็นเพื่อน

        ในเวลาอันสมควร  ภิกษุทั้งสองก็ได้ไปถึงโซกาย  และพบปะกับพระสังฆปริณายก  สำหรับท่านหยวนกว็อกนั้น  เมื่อได้เดินเวียนรอบๆ พระสังฆปริณายกสามครั้งแล้ว ก็หยุดยืนถือไม้เท้านิ่งอยู่ (ปราศจากการแสดงความเคารพแต่อย่างใด)

        พระสังฆปริณายกเห็นเช่นนั้น  จึงกล่าวขึ้นว่า  ก็ภิกษุย่อมเป็นที่เกาะอาศัยของศีลสิกขาบทสามพันข้อ  และสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ อีกแปดพันข้อ  ผมสงสัยเหลือเกินว่าท่านมาจากสำนักไหน และมีอะไรที่ทำให้ท่านถือตัวถึงเพียงนี้

        ท่านหยวนกว็อกได้ตอบว่า  ปัญหาเกี่ยวกับการเวียนเกิดไม่รู้สิ้นสุด เป็นปัญหาด่วนจี๋ และความตายอาจจู่มาถึงขณะจิตใดก็ได้ (ผมจึงไม่มีเวลามากพอที่จะเสียไปในการทำพิธีรีตองเช่นนั้น)

        พระสังฆปริณายกถามไปว่า  แล้วทำไมท่านไม่ทำความแจ่มแจ้งในหลักธรรมเรื่อง  "ความไม่เกิด" และแก้ไขความยุ่งยากแห่งความไม่เที่ยงแท้ของชีวิตให้หมดไปด้วยธรรมนั้นเล่า?

        ท่านหยวนกว็อกเสนอว่า  การเห็นแจ้งจิตเดิมแท้เป็นการทำตนให้เป็นอิสระจากการเวียนเกิด จัดการกับปัญหาข้อนี้ให้ลุล่วงไปเพียงข้อเดียว ปัญหาเรื่องความไม่เที่ยง ก็จะไม่มีเหลืออีกต่อไป

        พระสังฆณายกได้ตอบรับว่า ถูกแล้ว ถูกแล้ว



        ในตอนนี้ หยวนกว็อกได้ยอมทำความเคารพอย่างเต็มที่ตามธรรมเนียม  ไม่กี่อึดใจก็กล่าวคำอำลาพระสังฆปริณายก

        พะรสังฆปริณายกถามว่า  ท่านกำลังจะกลับเร็วเกินไปเสียแล้ว ใช่ไหมล่ะ?

        หยวนกว็อกย้อนว่า  "ความเร็ว" จะมีได้อย่างไรกัน  ในเมื่อความเคลื่อนไหวเอง ก็มิได้มีเสียแล้ว

        ย้อนกลับไปว่า ใครเล่า ที่จะรู้ว่าการเคลื่อนไหวก็มิได้มี?

        สวนมาว่า  ท่านขอรับ กระผมหวังว่าท่านจะไม่ชี้ระบุตัวตนอะไรที่ไหน

        พระสังฆปริณายกได้กล่าวสรรเสริญท่านหยวนกว็อกว่า  สามารถมีความเข้าใจในเรื่อง "ความไม่เกิด" (คือพระนิพพาน) ได้อย่างกว้างขวางปรุโปร่ง  แต่ท่านหยวนกว็อกได้ตั้งข้อสังเกตขึ้นมาอีกว่า ก็ใน "ความไม่เกิด" นั้น มี "ความเข้าใจ" อยู่ด้วยหรือ?

        พระสังฆปริณายกย้อนตอบไปว่า ไม่มี "ความเข้าใจ"แล้ว ใครเล่าที่สามารถชี้ระบุตัวตน?

        ท่านหยวนกว็อกตอบว่า สิ่งที่ชี้ระบุตัวตนนั้น หาใช่ "ความเข้าใจ" ไม่

        พระสังฆปริณายกร้องขึ้นว่า สาธุ แล้วได้ขอร้องให้ท่านหยวนกว็องยับยั้งการกลับไว้ก่อน  และค้างคืนด้วยกันสักคืนหนึ่ง เพราะเหตุนี้เอง ท่านหยวนกว็อก.จึงเป็นผู้ที่พวกเพื่อนๆ ในสมัยเดียวกันขนานนามว่า "ผู้รู้ ซึ่งเคยค้างคืนกับพระสังฆปริณายก"

        ต่อมาภายหลัง ท่านหยวนกว็อกได้ประพันธ์วรรณกรรมอันมีชื่อเสียงเรื่อง "บทขับเกี่ยวกับการบรรลุทางฝ่ายใจ"  ซึ่งแพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง เมื่อมรณภาพแล้ว ท่านได้รับสมัญญาว่า  "ปรมาจารย์ วู่เช็ง (ซึ่งแปลว่าผู้อยู่เหนือสิ่งต่างๆ ในโลก) พวกเพื่อนๆสมัยเดียวกันกับท่าน พากันเรียกท่านอีกว่า  ธยานาจารย์ ชุนกว็อก (ซึ่งแปลว่า ท่านที่รู้จริงๆ)


************

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version