แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น
พระสูตรเว่ยหล่าง พุทธทาสภิกขุ แปล
ฐิตา:
ภิกษุ จิหว่าง เป็นนักศึกษาผู้หนึ่งในนิกายธยาน หลังจากได้สอบถามพระสังฆปริณายกองค์ที่ห้า (เกี่ยวกับการก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของตน) แล้วก็เข้าใจเอาเองว่าตนได้บรรลุสมาธิ ดังนั้น ท่านผู้นี้จึงเก็บตัวอยู่ในวิหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง เป็นเวลาถึงยี่สิบปี และเฝ้าแต่นั่งขัดสมาธิอยู่ตลอดเวลา
มีศิษย์ของพระสังฆปริณายกองค์ที่หกผู้หนึ่งชื่อ ภิกษุอันแช็ก จาริกไปทางฝั่งเหนือของแม่น้ำฮวงโห ได้ยินเรื่องราวของท่านผู้นี้ จึงเข้าไปเยี่ยมถึงที่วัดนั้น
ภิกษุอันแช็กได้ถามว่า "ท่านทำอะไรอยู่ที่นี่"
ภิกษุจิหว่างได้ตอบว่า "ข้าพเจ้ากำลังเข้าสมาธิอยู่"
ภิกษุอันแช็กกล่าวขึ้นว่า "ท่านว่าท่านกำลังเข้าสมาธิอยู่อย่างนั้นหรือ? ข้าพเจ้าอยากทราบว่า ท่านทำสมาธิอยู่ด้วยความรู้สึก หรือว่าปราศจากความรู้สึก เพราะว่าถ้าท่านทำสมาธิอยู่ โดยไม่มีความรู้สึก มันก็หมายความว่าสิ่งที่ไม่มีชีวิตทั้งปวง เช่น เครื่องกระเบื้อง, ก้อนหิน, ต้นไม้, และผักหญ้าทั้งหลาย ก็ลุถึงสมาธิได้เหมือนกัน. หรือไม่อย่างนั้น ถ้าท่านทำสมาธิอยู่โดยมีความรู้สึก, แล้วตัวสัตว์ที่มีชีวิตหรือมนุษย์ก็ตาม ทั้งหมดนั้น ก็จะพลอยเป็นผู้อยู่ในสมาธิไปด้วยทั้งสิ้น."
ภิกษุจิหว่างได้กล่าวขึ้นว่า "เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในสมาธินั้น ข้าพเจ้าไม่รู้สึกเลยว่า
มีความรู้สึกหรือไม่มีความรู้สึก"
ภิกษุอันแช็กจึงพูดว่า "ถ้าเอาอย่างที่ท่านว่า มันต้องเป็นความสงบตลอดกาล,
ซึ่งในภาวะเช่นนั้นไม่มีทั้งการเข้าอยู่และการออกมา.อาการที่ท่านยังเข้าๆ ออกๆ ได้อยู่นั้น
ยังไม่ใช่สมาธิชั้นเยี่ยม"
ภิกษุจิหว่างรู้สึกงง หลังจากที่นิ่งอึ้งไปขณะหนึ่ง, แล้วท่านจึงได้ถามขึ้นว่า
"ข้าพเจ้าขอทราบว่าใครเป็นอาจารย์ของท่าน"
ภิกษุอันแช็กตอบว่า "อาจารย์ของข้าพเจ้า คือพระสังฆปริณายกองค์ที่หกแห่งโซกาย"
ภิกษุจิหว่างถามต่อไปว่า "อาจารย์ของท่าน ได้กล่าวสรูปความในเรื่องธยาน และ สมาธิ ไว้อย่างไรเล่า"
ภิกษุอันแช็กกล่าวตอบว่า "คำสอนของอาจารย์มีว่า ธรรมกายเป็นสิ่งที่เต็มเปี่ยมและสงบ.
ตัวแท้และการทำหน้าที่ของธรรมกาย ย่อมอยู่ในภาวะแห่ง "ความคงที่เสมอ"
ขันธ์ทั้งห้า เป็นของว่างโดยแท้จริง และอายตนะภายนอกทั้งหก เป็นของไม่มีอยู่
ในสมาธิไม่มีทั้งการเข้า และไม่มีทั้งการออก ไม่มีทั้งความเงียบ และไม่มีทั้งความวุ่นวาย.
ธรรมชาติของธยานไม่ใช่เป็นความเข้าอยู่ ดังนั้น
ฐิตา:
เราควรจะขึ้นไปให้เหนือภาวะแห่ง "การเข้าอยู่ในความสงบแห่งธยาน"
ธรรมชาติของธยานนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใครจะสร้างขึ้นได้,
ดังนั้น เราควรจะขึ้นไปให้เหนือความคิดแห่ง "การสร้างภาวะของธยาน"
ภาวะของจิตนั้นเอาจเปรียบได้กับอวกาศ, แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่มีขอบเขตจำกัด,
ดังนั้น จิตจึงมีอยู่โดยปราศจากการจำกัดเขตของอวกาศ.
เมื่อได้ฟังดังนั้น ภิกษุจิหว่างจึงออกเดินทางไปยังโซกาย เพื่อไต่ถามพระสังฆปริณายก
เมื่อสังฆปริณายกถามว่า มาแต่ไหนแล้ว, ภิกษุจิหว่าง ก็ได้เล่าเรื่องราวที่ตนได้สนทนากับภิกษุอันแช็ก
ให้พระสังฆปริณายกฟังโดยละเอียด
พระสังฆปริณายกได้กล่าวว่า ข้อความที่อันแช็กพูดนั้น ถูกต้องทีเดียว.
จงทำใจของท่าน ให้อยู่ในสภาพเหมือนกับความว่างอันหาขอบเขตไม่ได้,
แต่อย่าให้มันเข้าไปติดในทิฏฐิว่า "ดับสูญ" จงให้ใจทำหน้าที่ของมันอย่างอิสระ.
ไม่ว่าท่านจะกำลังทำงานหรือหยุดพัก จงอย่างให้ใจของท่านเกาะเกี่ยวในสิ่งใด.
จงอย่าไปรู้สึกว่า มีความแตกต่างระหว่างอริยบุคคล กับบุคคลธรรมดา
อย่าไปคิดว่ามีความแตกต่างระหว่าตัวผู้กระทำ กับสิ่งที่ถูกกระทำ.
จงปล่อยจิตเดิมแท้และสิ่งทั้งปวง ไว้ในสภาพแห่ง "ความเป็นเช่นนั้น"*52
แล้วท่านก็จะอยู่ในสมาธิตลอดเวลา
เมื่อได้ฟังดังนั้น จิหว่างก็มีความสว่างไสวในใจถึงที่สุด ความคิดที่ว่าตนได้บรรลุสมาธิมาแล้วตั้งยี่สิบปีแล้วนั้น
บัดนี้ ได้สูญสิ้นไป. ในคืนวันนั้นเองพวกชาวบ้านโฮเป่ย (ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำเหลือง)
ได้ยินเสียงอัศจรรย์ในท้องฟ้า ซึ่งแสดงว่าท่านอาจารย์จิหว่างแห่งนิกายธยาน ได้รู้ธรรมในวันนั้น
ต่อมาอีกไม่นาน ภิกษุจิหว่างได้อำลาพระสังฆปริณายกกลับไปโฮเป่ย อันเป็นที่
ซึ่งท่านได้สั่งสอนมหาชนหญิงชาย เป็นจำนวนมากทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์สืบมา
*52 "ความเป็นเช่นนั้น" หรือ "ตถตา" นั้น คือความที่ถ้าเป็นสังขาร ก็ปรุงแต่งหรือเกิดดับกันไป
ถ้าเป็นวิสังขาร ก็ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีการเกิดดับ ผู้แปลไทย พุทธทาส
ฐิตา:
ครั้งหนึ่ง มี ภิกษุองค์หนึ่ง ถามพระสังฆปริณายกว่า
บุคคลประเภทไหนที่สามารถรับเอาใจความสำคัญของคำสอน แห่งว่องมุ่ย
คือ พระสังฆปริณายกที่ห้าได้
พระสังฆปริณายกได้ตอบว่า "ผู้ที่สามารถเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า
นั่นแหละ คือผู้ที่จะสามารถรับเอาได้
ภิกษุนั้นถามอีกว่า "ก็ใต้เท้าเล่า ได้รับแล้วหรือเปล่า?"
ท่านได้ตอบว่า "ฉันไม่รู้ (สึกว่ามี) ธรรมะของพระพุทธเจ้าเลย"
**********
ฐิตา:
วันหนึ่ง พระสังฆปริณายกต้องการจะซักจีวร ที่ได้รับมอบเป็นมรดกตกทอดมานั้น แต่ท่านไม่สามารถหาลำธารที่เหมาะๆ ได้ในที่นั้น ดังนั้น ท่านจึงได้เดินไปยังที่แห่งหนึ่ง ทางหลังวัดประมาณห้าไมล์, ที่นั่น ท่านได้สังเกตเห็นว่า ผักหญ้า และต้นไม้งอกงามหนาแน่น และสิ่งแวดล้อมได้ทำให้เกิดความรู้สึกว่า เป็นที่อันเหมาะสม. ท่านได้สั่นไม้เท้าประจำตัวของท่าน (ซึ่งทำให้เกิดเสียงดัง กริ่ง กริ่ง เพราะมีลูกพรวนจำนวนหนึ่งผูกอยู่ที่ด้ามไม้เท้านั้น) แล้วปักมันลงที่แผ่นดิน. ทันใดนั้น ก็มีน้ำพุ่งขึ้นมา ไม่นานก็กลายเป็นสระน้ำ
ขณะที่ท่านคุกเข่าลงบนก้อนหิน เพื่อจะซักจีวร, ในทันใดนั้น ภิกษุรูปหนึ่งมาปรากฏขึ้นตรงหน้าของท่าน และทำความเคารพท่าน.
ภิกษุองค์นั้นได้กล่าวว่า "กระผมชื่อ ฟองปิน เป็นชาวเสฉวน เมื่อครั้งกระผมอยู่ที่ประเทศอินเดียตอนใต้, กระผมได้พบ พระสังฆปริณายกโพธิธรรม, ท่านได้แนะนำให้กระผมกลับมายังประเทศจีน. ท่านได้บอกแก่กระผมว่า "ธรรมหฤทัยอันถูกต้อง พร้อมทั้งจีวรบาตร (อันเป็นเครื่องหมายแห่งนิกายธยาน) อันเราได้รับมอบต่อๆลงมาจากพระมหากัสสปะเถระนั้น บัดนี้ ได้ตกทอดไปถึงพระสังฆปริณายกองค์ที่หก ซึ่งบัดนี้อยู่ที่ตำบลโซกาย แห่งชิวเจา. ท่านจงไปที่นั่นเพื่อจะได้ดูสิ่งเหล่านั้น และได้ถวายความเคารพแก่พระสังฆปริณายกองค์นั้น" กระผมเดินทางเป็นเวลานานจนมาถึงที่นี่ ขอให้กระผมได้เห็นจีวรและบาตรที่ใต้เท้าได้รับมอบเป็นทอดๆ ลงมานั้นเถิด?"
เมื่อได้ให้ดูเจดีย์วัตถุทั้งสองอย่างนั้นแล้ว พระสังฆปริณายกได้ถามภิกษุฟองปินว่า เขามีความเชี่ยวชาญในงานชนิดไหนบ้าง. ภิกษุฟองปินได้ตอบว่า "กระผมถนัดมือในทางงานแกะสลัก ขอรับ" พระสังฆปริณายก ได้ระบุความต้องการของท่านออกไปว่า "ถ้าอย่างนั้น จงทำอะไรให้ฉันดูสักอย่างหนึ่ง"
ภิกษุฟองปินรู้สึกหัวหมุนในขณะนั้น แต่ต่อมา 2-3 วัน ท่านก็สามารถและสลักรูปพระสังฆปริณายกอย่างประณีต เหมือนกับมีชีวิตอยู่จริงๆ ขึ้นได้สำเร็จรูปหนึ่ง สูงประมาณเจ็ดนิ้ว เป็นงานชิ้นเอกชิ้นหนึ่งของการแกะสลัก
เมื่อได้เห็นรูปสลักรูปนั้น พระสังฆปริณายกได้หัวเราะ และกล่าวแก่ฟองปินว่า "เธอมีความรู้เชี่ยวชาญในด้านหนึ่งของวิชาการแกะสลักจริงๆ แต่ดูเหมือนว่า เธอไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวอันลึกซึ้งของพระพุทธเจ้าเสียเลย" แล้วพระสังฆปริณายกได้เอื้อมมือไปลูบศีรษะของภิกษุฟองปิน (เป็นวิธีให้พรตามแบบของพุทธบริษัท) และได้ประกาศขึ้นว่า "เธอจงเป็นเนื้อนาบุญของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย ตลอดกาลนานเป็นนิจเถิด"
นอกไปจากนั้น พระสังฆปริณายกได้ตอบแทนงานชิ้นของภิกษุฟองปินนั้น ด้วยการมอบจีวรผืนหนึ่งเป็นรางวัล ซึ่งภิกษุฟองปินได้ตัดแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งได้ตบแต่งรูปสลักนั้น, ส่วนหนึ่งสำหรับใช้เอง และอีกส่วนหนึ่งท่านได้ห่อมันด้วยใบลาน แล้วฝังลงในดิน. ขณะที่ทำการฝังลงไป ท่านได้ประกาศคำอธิษฐานออกมาว่า เมื่อใดผ้านี้ถูกขุดขึ้น เมื่อนั้นขอให้ท่านได้เกิดใหม่ มาเป็นเจ้าอาวาสวัดนั้น และให้ได้รับภาระซ่อมแซมพระเจดีย์และโบสถ์วิหารทั้งปวง
****************
ฐิตา:
ภิกษุรูปหนึ่งนำโศลกซึ่งแต่งขึ้น โดยธยานาจารย์รูปหนึ่ง ชื่อ ออหลุน
มาท่องบ่นอยู่ว่า:-
ออหลุน มีวิธีและเครื่องมือ
ที่จะกั้นจิตเสียจาก ความนึกคิดทั้งปวง
เมื่ออารมณ์ต่างๆ มิได้กลุ้มรุมจิต
ต้นโพธิ(เครื่องหมายแห่งปัญญา) ก็จะงอกงามอย่างเป็นล่ำสัน
พระสังฆปริณายก ได้ยินโศลกนี้ จึงพูดว่า "โศลกนี้ ย่อมแสดงว่า
ผู้แต่งยังไม่เห็นจิตเดิมแท้อย่างเต็มที่
ถ้าใครรับเอาข้อความนี้มาถือปฏิบัติ ก็จะไม่ได้รับความหลุดพ้น
แต่จักกลับผูกรัดตัวเองแน่นหนายิ่งขึ้น"
แล้วพระสังฆปริณายก ได้บอกโศลกบทหนึ่งให้แก่ภิกษุรูปนั้นไว้ท่องบ่น
ว่าดังนี้:-
เว่ยหล่าง ไม่มีวิธี และเครื่องมือ
ที่จะกั้นจิตเสียจากความนึกคิดทั้งปวง
อารมณ์ต่างๆย่อมกลุ้มรุมจิตของข้าพเจ้าอยู่เสมอ
และข้าพเจ้าสงสัยว่าต้นโพธิจะงอกงามได้อย่างไรกัน
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version