ผู้เขียน หัวข้อ: โรคบ้างาน ภัยเงียบ! ของคนวัยทำงาน  (อ่าน 1204 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Plusz

  • กล่องแก้วแจ้วเจรจา
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 1555
  • พลังกัลยาณมิตร 376
  • Love yourself cuz no one will
    • extionary
    • Plusz009
    • ดูรายละเอียด

ท่ามกลางการแข่งขันของสังคมไทยในยุคปัจจุบันทำให้คนเราต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อให้มีรายได้ที่พอเพียงสำหรับการเลี้ยงดูครอบครัว โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัวหรือสร้างครอบครัวใหม่บางคนถึงกบต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว เพราะมีความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น บ้าน รถ ฯลฯ และจากการทำงานที่หนักขึ้นอาจกำลังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพกายและใจได้โดยไม่ รู้ตัวจนส่งผลให้บุคคลนั้นมีอาการของ "โรคบ้างาน"
โรคออฟฟิศซินโดรม หรือ โรคบ้างาน ปัจจุบันโรคนี้จะพบมากขึ้นในคนไทยซึ่งแต่เดิมที่จะพบแค่ในผู้ชายญี่ปุ่เท่า นั้นซึ่งเรียกว่าโรค Workaholic หรือโรคติดงาน
คนที่ชอบทำงานหนัก หากได้ยินชื่อโรคนี้อาจจะตื่นตระหนกได้ แต่ความจริงแล้วโรคออฟฟิศซินโดรมหรือบ้างานนี้ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงและน่ากลัวอย่างที่คิด เป็นแค่เพียงภาวะทางจิตอย่างหนึ่งเท่านั้นแต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลอาจจะก่อให้เกิดโรคทางร่างกายตามมา
นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โรคออฟฟิศซินโดรมหรือโรคบ้างาน เดิมทีจะพบมากในผู้ชายญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ทุกวันนี้พบในสังคมไทยแล้วและจากการสำรวจประชากรวัยแรงงานหรือวัยทำงานของประเทศไทยพบว่ามีจำนวนถึงร้อยละ 67 ของจำนวนประชากรทั่วประเทศซึ่งจะส่งผลให้โรคนี้มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น และอาจกลายเป็นภัยที่คุกคามสุขภาพได้ หากใช้ชีวิตในวัยทำงานอย่างไม่ระมัดระวัง ซึ่งโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้สามารถพบได้ทั้งชายและหญิง เพราะทุกวันนี้ผู้หญิงไทยออกไปทำงานนอกบ้านกันมากขึ้น เนื่องมาจากสังคมไทยมีการแข่งขันกันสูง การให้ฝ่ายชายไปทำงานนอกบ้านฝ่ายเดียวอาจจะไม่พอรายจ่ายภายในครอบครัว โรคบ้างานจะพบได้มากโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีบุคลิกเป็นคนสมบูรณ์แบบ เจ้าระเบียบ ชอบแข่งขัน มีความทะเยอทะยาน เอาจริงเอาจังในทางจิตวิทยาเกิดจากพฤติกรรมของคนที่ชอบทำงานเยอะและมีความสุขจากการทำงานซึ่งจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของการเสพติดงาน มีจิตใจคิดวนเวียนอยู่กับการทำงาน
"อาการเริ่มต้นที่สังเกตได้จากโรคนี้ได้แก่ ปวดหัว ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดท้ายทอย สายตาพร่ามัว ปวดกล้ามเนื้อตา ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายจนกลายเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ กระเพาะอาหาร และโรคร้ายแรงอื่นได้ และถ้าสังเกตภาวะอารมณ์ของผู้ที่มีอาการของโรคบ้างานจะกลายเป็นคนที่มองอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด เกี้ยวกราดกับเพื่อนร่วมงาน การพูดคุยไม่เหมือนเดิมจะให้ความสนใจแต่เฉพาะในเรื่องของการทำงานจนกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว
ส่วนสัญญาณเตือนของโรคบ้างานสามารถสังเกตตัวเองและคนใกล้ชิดว่าทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า และคอยสังเกตซึ่งกันและกันอยู่เสมอ เช่น การสังเกตการสื่อสารซึ่งกันและกัน การแสดงออกทางการพูดจา ว่ามีอาการชักสีหน้า อารมณ์ฉุนเฉียวเข้าหากันหรือเปล่าเหล่านี้ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนของโรคบ้างานได้"
"เมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในครอบครัวจากการทำงานซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสัญญาณเตือนภัยแล้วในเบื้องต้นต้องตระหนักรู้ด้วยว่าอาจจะต้องมีการปรับเป้าหมายในชีวิตใหม่ วางแผนในชีวิตใหม่ ชะลอความต้องการความอยากได้ไว้ก่อนและที่สำคัญที่สุดก็คือการตระหนักรู้ร่วมกันภายในครอบครัว เพื่อนำไปสู่แนวทางแก้ไขที่ดีสุด"
โรคออฟฟิศซินโดรมหรือโรคบ้างาน สามารถการป้องกันและรักษาได้ด้วยตนเองหากไม่มีการดูแลรักษาอาจจะนำไปสู่การเป็นโรคอื่นที่ร้ายแรงได้....
นพ.วชิระ ยังกล่าวอีกว่า โรคออฟฟิศซินโดรมหรือโรคบ้างานไม่ได้เป็นโรคที่น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ต้องดูแลรักษาหากไม่ตระหนักรู้ดูแลรักษาแล้วจะก่อให้เกิดโรคทางร่างกายตามมา อาทิ เช่น เบาหวาน ความดัน เก๊าท์ ไตวาย อัมพาต ถุงลมโป่งพอง ซึ่งโรคเหล่านี้เกิดจากพฤติกรรมการกินไม่มีเวลาออกกำลังกายเพราะมีภาระหน้าที่ต้องทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะมีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศทั้งหญิงและชาย โดยอาจเกิดขึ้นจากความเจ็บปวดของเส้นประสาท ทำให้ลดความรู้สึกลง หรือระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกด้วย
แนวทางการป้องกันรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมสามารถนี้ทำได้เพียงแค่ "ปรับพฤติกรรมการทำงานเสียใหม่ โดยมีสัดส่วนเวลาการทำงานกับเวลาพักผ่อนให้สมดุลกัน ในเวลาทำงานควรมีการผ่อนคลายพักหาวิธีการผ่อนคลายเช่นหลับตา หายใจลึกสักพัก ระหว่างเวลาทำงาน 1 ชั่วโมง เราควรใช้สมอง 45 นาทีแล้วพัก 10-15 นาที ควรทำอย่างนี้ทุกชั่วโมง การปรับเวลาเหล่านี้ควรเป็นไปตามสัดส่วนที่ธรรมชาติร่างกายต้องการโดยไม่จำเป็นต้องไปปรึกษากับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก็ได้ แต่ถ้ารู้สึกว่าหนักไม่ไหวแล้วจริงก็สามารถโทรขอคำปรึกษาได้ที่ สายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือปรึกษาคลินิกคลายเครียดที่มีอยู่ในหน่วยงานในสังกัดกรมสุขภาพจิตได้ แต่ในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่พบรายงานว่ามีคนทำงานที่เป็นโรคบ้างานถึงขั้นเบรกแตก ควบคุมตัวเองไม่ได้ส่วนใหญ่จะรู้ตัวก่อน" นพ.วชิระ กล่าว
โรคออฟฟิศซินโดรมหรือโรคบ้างานเป็นภาวะทางจิตสามารถป้องกันรักษาโดยลดความเครียดจากการทำงานที่หนักเกินพอดีหากรู้ถึงสาเหตุของโรคที่เกิดจากการทำงาน และปรับปรุงให้เหมาะสม ปัญหาที่เกิดจากการทำงานก็ลดน้อยลงหรือพยายามมองชีวิตว่าไม่มีแต่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว ควรจัดเวลาในแต่ละวันให้มีกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง ให้ความสำคัญในเรื่องครอบครัวและเรื่องทำงานให้ควบคู่และสมดุลกัน และที่สำคัญคือต้องรู้ตัวเองและรู้ถึงสาเหตุของโรคที่เกิดจากการทำงานและ ปรับปรุงให้เหมาะสม ปัญหาที่เกิดจากการทำงานก็ลดน้อยลงซึ่งจะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคออฟฟิศซินโดรมหรือโรคบ้างานได้อย่างแน่นอน
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Getty Images
มีความสุข
ทุกครั้งที่เป็นตัวของตัวเอง

===== ได้เวลาวิ่ง วิ่งนะวิ่งนะแฮมทาโร่ =====                                       ===== ได้เวลาวิ่ง กลิ้งนะกลิ้งนะแฮมทาโร่ =====