อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

8 เซียน อาหารมงคลเสริมมงคลชีวิตรับเทศกาลกินเจ

<< < (2/3) > >>

sithiphong:
กินเจเยาวราชคึกจัด"ผัดหมี่ทองคำมงคล 8"



เทศกาลกินเจเริ่มแล้ว เยาวราชสุดคึก จัด "ผัดหมี่ทองคำมงคล 8" ต่างจังหวัดไม่แพ้คนล้น ราคาผักขึ้น
เริ่ม แล้วเทศกาลกินเจ โดยเมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 8 ต.ค. ที่ถนนเยาวราช ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่ากทม ได้มาเป็นประธานพิธีเปิดเทศกาลงานเจเยาวราช ประจำปี 2553 "รวมพลังสร้างสามัคคี พระมหาบารมีล้นแผ่นดิน" ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 8-16 ต.ค. โดยภายในงานจะมีขบวนแห่รถบุปผาชาติเจ้าแม่กวนอิม จากศาลเจ้าเล่าปุนเถ้ากง ส่วนไฮไลต์ของงานคือการปรุงเมนูมหามงคล "ผัดหมี่ทองคำมงคล 8" จากนั้นตักแจกจ่ายให้กับคนที่มาร่วมงาน อีกทั้งยังมีการแข่งขันศึกยุทธการกระทะเหล็กเจ จากเชฟ 8 ภัตตาคารชื่อดังในเยาวราช โดยภายในงานมีประชาชนมาจับจ่ายซื้อของกินกันจนมืดฟ้ามัวดิน เนื่องจาก 2 ฝั่งถนนมีร้านอาหารเจมาออกร้านกว่า 100 ร้าน

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า เทศกาลงานเจเยาวราชถือเป็นประเพณีประจำปีของชาวสัมพันธวงศ์ ที่ได้มีการจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาทุกปีเป็นประเพณีที่ดีงามที่จะได้ใช้ โอกาสในการทำบุญงดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยปีนี้ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยร่วมลงนามถวายพระพรและลงนามปฏิญาณตน ถือศีลกินเจตลอด 9 วัน 9 คืน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวอีกว่า สำหรับกิจกรรมภายในงานเทศกาลกินเจปีนี้ จะมีกิจกรรมหลักจัดขึ้นในแต่ละวันแตกต่างกันไป อาทิ การสวดมนต์ถวายกิวอ๋องอุกโจ้ว และขอพรจากพระเจ้าทั้ง 9 องค์, พิธีรัวกลองเพื่อปลุกฟื้นมังกรให้ปกปักรักษาองค์เจ้าแม่กวนอิม และประชาชนที่มาร่วมงาน การประกวดสุดยอดอาหารเจเพื่อสุขภาพ การออกแบบโต๊ะอาหารจากนักศึกษาชิงถ้วยรางวัลผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และการจำหน่ายอาหารเจเลิศรสจากผู้ประกอบการ การจำหน่ายอาหารเจเลิศรสตลอดแนวถนนเยาวราช พร้อมกับร่วมลุ้นโชคเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ฮอนด้า 2 คัน และตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ–ภูเก็ต จำนวน 2 ที่นั่ง และรับของรางวัลเป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัทผู้สนับสนุนการจัดงาน

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวต่อว่า โดยผู้ร่วมงานที่ซื้อสินค้าภายในงาน จะได้รับคูปองลุ้นโชค 1 ใบ ต่อการจับจ่ายสินค้าครบ 100 บาท โดยให้นำคูปองดังกล่าวหย่อนลงในกล่อง ที่ตั้งไว้บริเวณซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯเพื่อร่วมลุ้นรางวัล คาดว่างานเทศกาลกินเจเยาวราชในปีนี้ จะมีเม็ดเงินสะพัดวันละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท นอกจากนี้ในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังมีการจัดงานเทศกาลอาหารเจ ที่ตลาดสวนหลวง เขตปทุมวัน ซึ่งเป็นอีกย่านหนึ่งที่มีชาวไทยเชื้อสายจีน ได้มีการสืบสานประเพณีกินเจมาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน โดยประชาชนสามารถเลือกซื้ออาหารเจจากร้านอาหารดังในพื้นที่ได้จนถึงวันที่ 17 ต.ค.นี้
ด้านนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เดินทางไปเป็นประธานเปิดงาน "หนูด่วนชวนกินเจ" ครั้งที่ 4 ประจำปี 2553 บริเวณทางเดินเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งทางบีทีเอสได้จัดให้มีบริการอาหารเจให้กับประชาชนฟรี 1,000 คนต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค.ถึงวันที่ 10 ต.ค.นี้ระหว่าง เวลา 10.00 น.ถึง 16.00 น.

ส่วนบรรยากาศตามต่างจังหวัดก็คึกคักไม่น้อยกว่ากรุงเทพและบางจังหวัดจัดได้ ยิ่งใหญ่ อาทิ จ.เชียงใหม่ ตอนเช้ามีขบวนแห่เจ้าแม่กวนอิม มังกร สิงโต การแสดงต่อตัว และต่อตัวบนไม้สูง ท่ามกลางความตื่นเต้นของนักท่องเที่ยวทั้งชายไทยและต่างชาติ โดยจะจัดงาน 9 วัน 9 คืนถึงวันที่ 16 ต.ค. ที่ จ.กาฬสินธุ์ ที่บริเวณลำน้ำปาว อ.กมลาไสย ได้มีพิธีปล่อยกระทงเชิญเจ้าที่ บูชาพระแม่คงคา และส่งสิ่งไม่ดีไปกับสายน้ำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลกินเจของจังหวัด มีประชาชนทั้งในพื้นที่และใกล้เคียง ต่างมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก

ที่ จ.พิษณุโลก ชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นจำนวนมาก ได้แต่งชุดขาวมาร่วมกินอาหารเจกันที่โรงเจไซทีฮุกตึ้ง บนเขาสมอแคลง ต.วังทอง อ.วังทอง จากนั้นพากันไปไหว้ขอพรกับเทพเจ้า โดยทางจังหวัดจะจัดงานถึงวันที่ 16 ต.ค.เหมือนกับจังหวัดอื่น เช่นเดียวกับที่ จ.พระนครศรีอยุธยา สกลนคร นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ สุพรรณบุรี ตรัง นครปฐม ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปทุมธานี ได้จัดงานคึกคักเช่นกัน ขณะที่ จ.เพชรบูรณ์ ที่ริมแม่น้ำป่าสัก หน้าวัดไตรภูมิ นายกองเอกวิลาศ รุจิวัฒนพงษ์ ผวจ.เป็นประธานพิธีประเพณีอุ้มพระดำน้ำ โดยได้อัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาจากวัดไตรภูมิ ล่องไปตามลำน้ำป่าสักจนถึงบริเวณวังมะขามแฟบ หน้าวัดโบสถ์ชนะมาร โดยมีประชาชนมาร่วมงานเต็ม 2 ฝั่งริมน้ำ

สำหรับราคาพืชผักในปีนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทุกจังหวัดพืชผักมีราคาแพงขึ้น และอาหารเจสำเร็จรูปก็มีราคาสูงขึ้นเช่นเดียวกัน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ หันมากินเจกันเพื่อรักษาสุขภาพกันมากขึ้น.


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=354&contentID=96919

sithiphong:
เปิดตำนานกินเจ , ถือศีล กินเจ
http://www.chiangraifocus.com/knowledge.php?id=41

ตำนานเทศกาลกินเจ

เทศกาล เจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้ว ตามตำนานเล่าว่า เกิดมาในสมัยที่ชาวจีนถูกรุกรานโดยชนชาติแมนจู ซึ่งเข้าปกครองประเทศจีน และบังคับให้ชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน อาทิ การไว้ทรงผมเยี่ยงแมนจู คือ โกนศีรษะโล้นทางด้านหน้าและไว้ผมยาวทางด้านหลัง ซึ่งหลายคนคงจะชินตาในภาพยนตร์จีนที่นำมาฉายทางทีวี

ในสมัยนั้น มี คนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านชาวแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้ามาร่วมด้วย ชาวจีนกลุ่มนี้ นุ่งขาว ห่มขาวและไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็ง ให้กับกลุ่มของตนจนสามารถต้านทานชาวแมนจูได้ คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งแม้จะได้ต่อสู้อย่างอาจหาญ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานการรุกรานของชาวแมนจูได้

เมื่อถึง วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น


ความเชื่อถืออีกกระแสหนึ่งของตำนานการกินเจนั้น เชื่อกันว่าเป็นการสักการะพระพุทธเจ้าในอดีต 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ในพิธีกรรมนี้ สาธุชนจึงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยการตั้งปณิธานในการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อเป็นการสมาทานศีล 2 ประการ คือ

1. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน
2. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน
3. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน


สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่ พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของกการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจ จึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ

บรรยากาศเทศกาลกินเจของเมืองไทยในปัจจุบัน คนทั่วไปไม่เว้นแม้กระทั่งหนุ่มสาวยุคใหม่ต่างก็หันมากินเจกันมากขึ้นทั้ง นี้ อาจจะมาจากกระแสเรื่องห่วงใยสุขภาพมากกว่าความเชื่อโบราณ เพราะการงดเนื้อสัตว์ทุกชนิดและหันมาบริโภคแต่ผัก ผลไม้นั้นจะช่วยชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย หรือคนยุคนี้เรียกว่า "การล้างพิษ" ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น

ความหมายของ "เจ"

"เจ" ในภาษาจีนมีความหมายว่า "อุโบสถ" เป็นคำแปลทางพุทธสาสนา นิกายมหายาน

การกินเจนั้นแต่เดิมหมายความถึง "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของพระพุทธศาสนา เราจะเห็นตัวอย่างชาวพุทธรักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ด้วยการไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงไปแล้วเช่นเดียวกับพระภิกษุ แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย จึงนิยมเรียกการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกับการกินเจ จนถึงปัจจุบัน ผู้ที่รับประทานอาหารครบ 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ยังคงเรียกว่า "กินเจ"

ความหมายของการกินเจ จึง หมายถึงการรักษาศีล ปฏิบัติธรรมทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ใช่หมายความเพียงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น การปฏิบัติธรรมร่วมไปด้วยจึงจะครบเป็น "การถือศีล-กินเจ" อย่างแท้จริง

ความหมายของ "ธงเจ"

อักษร แดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" สีแดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตน "ถือศีล-กินเจ" ได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะ เวลา 9 วัน 9 คืน

การปฏิบัติตัวในช่วงเทศกาลกินเจ

เมื่อ ตั้งมั่นที่จะปฏิบัติศีลและกินเจ ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืนนี้แล้ว ก็ควรจะศึกษาข้อห้ามต่างๆ ที่บัญญัติไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัว โดยทั่วไปแล้วจะมีข้อปฏิบัติดังนี้

    * งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์
    * งด นม เนย หรือน้ำมันที่มาจากสัตว์
    * งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก
    * งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน
    * รักษาศีล 5
    * รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่
    * ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว


สำหรับคนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ "ถือศีล-กินเจ" แล้วยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ "อาหารเจ" นั้นบริสุทธิ์จริงๆ บางคนจะมีการคัดแยกภาชนะที่บรรจุอาหารหรือใช้ปรุงอาหาร แยกจากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด และในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวง ไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลาการกินเจ เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา

อาหารเจ
ปัจจุบัน มีการยอมรับกันโดยทั่วไปถึงคุณค่าของ "อาหารเจ" เนื่องจากการรับประทานพืชผักในปริมาณที่มากกว่าปกติ งดเว้นเนื้อสัตว์ ทำให้กระเพาะได้พักจากภารกิจการย่อยเนื้อสัตว์ที่ทำประจำอยู่ และได้รับวิตามินเข้าไปเสริมสร้าง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งได้โปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากโปรตีนที่เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นช่วงที่ร่างกายได้พักผ่อนจากการรับสารอาหารย่อยยากจาก แหล่งอาหารต่างๆ รวมทั้งยังได้รับพลังใจจากการที่ปฏิบัติตัวอยู่ในศีล ทำให้จิตใจอิ่มเอิบ เบาสบาย

หลายคนคิดว่า การรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เกิดโรคขาดอาหาร ทั้งที่สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคขาดอาหารนั้น มาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้ที่กินเนื้อสัตว์และกินเจ ซึ่งมีนิสัยการบริโภคที่ไม่คำนึงถึงคุณค่าของสารอาหารที่ได้รับ

คน ที่กินเจอย่างถูกหลักก็จะได้รับอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ การประกอบอาหารเจเพื่อรับประทานในช่วงนี้ จึงสามารถเลือกอาหารพวก ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว) โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์ เต้าหู้ แป้งหมี่กึง ทดแทน และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่างๆ

"เจ" กับมังสวิรัติ
อาหาร มังสวิรัติ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับอาหารเจ แต่หากเป็นมังสวิรัตินั้น สามารถนำผักทุกชนิดมาประกอบอาหารได้ แต่อาหารเจ ต้องงดเว้นผักฉุน 5 ประเภท (ดังที่กล่าวมาแล้ว) รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังคงต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการ ถือศีล-กินเจ ที่แท้จริง ในขณะที่มังสวิรัติ หมายรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น

การ กินเจ นอกจากจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลด้วยการละ เลิก เพื่อชีวิตแล้ว ในแง่ของสุขภาพร่างกายก็พลอยได้รับประโยชน์ร่วมด้วย เพราะถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายมีโอกาสพักผ่อน จากการย่อยอาหารประเภทที่ย่อยยากทั้งหลาย

กิน "เจ" ที่ภูเก็ต
"เจ" ที่ภูเก็ตมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก "เจเดือนเก้า" แต่ ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 เทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่วๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินเชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต ว่าเป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบและระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน

ความเชื่อเกี่ยวกับการกินเจที่ชาวภูเก็ตเล่าสืบต่อ กันมาว่า มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้ แล้วบังเอิญเกิดโรคระบาด คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้น ปรากฏว่าโรคระบาดก็หายไปสิ้น ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสจึงปฏิบัติตาม นับเนื่องจากนั้นมีผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ชาวกระทู้จึงอยากให้พิธี "กินเจ" ของตนสมบูรณ์แบบ ตามแบบพิธีในมณฑลกังไส จึงได้ส่งตัวแทนไปนำเอาควันธูปกลับมา โดยการตั้งมั่นที่แรงกล้า เพราะพิธีการนำควันธูปกลับมานั้น ต้องจุดธูปต่อกันมิให้มอดดับได้ ศาลเจ้ากระทู้จึงเป็นศูนย์กลางของเทศกาลการกินเจที่ภูเก็ตเรื่อยมา จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

9 วันแห่งพิธีกรรมของการกินเจที่ภูเก็ต
กลางคืนวันที่หนึ่ง จะมีพิธียกเสา "โกเด้ง" ขึ้นที่หน้าศาลเจ้า หรืออ๊าม เพื่อใช้เป็นที่แขวนตะเกียงทั้ง 9 ดวง และอัญเชิญดวงวิญญาณของยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ พระอิศวร และ กิวอ๋องไตเต หรือ ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้า มาประทับ เช้าวันรุ่งขึ้นมีการจุดธูปขนาดใหญ่ ตั้งเครื่องเซ่นและเผาไม้หอม เพื่อบูชาเจ้าประจำอ๊าม

หลังพิธีการกินเจ หรือชาวภูเก็ตเรียก "การกินผัก" ผ่าน ไป 3 วัน จะถือว่าตัวเองมีความสะอาดแล้ว หรือเรียกว่า "เช้ง" ในตอนค่ำมีพิธีการเชิญเจ้าเข้าทรงอีก 2 องค์ คือ "ลำเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนเกิด และ "ปักเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนตาย และทำพิธี "ปั้งกุ้น" หรือพิธีปล่อยพระ หรือการจัดทหารของเจ้าไปรักษาศาลเจ้าทั้ง 5 ทิศ เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และภูตผีมาทำลายพิธี ความสนุกสนานเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อการเชิญทหารเต็มไปด้วยร่างทรงของตัวละคร อาทิ เห้งเจีย บู๊สง เป็นต้น

ในวันที่เจ็ด เริ่มพิธี บูชาดาว เพื่อขอความเป็นสิริมงคล รักษาโรคภัยไข้เจ็บ

สองวันสุดท้าย เป็นความตื่นเต้นท้าทาย เมื่อมีการจัดขบวนพิธีแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยท้าทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้น ไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอด เส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด

วันที่เก้า จะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี "โก๊ยโห้ย" หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ ม้าทรง หรือเจ้าจะเดินผ่านกองไฟ ที่มีถ่ายร้อนแดงเป็นระยะทางกว่า 2 ฟุต และตามด้วยผู้ที่ถือศีลกินเจที่มีความมั่นใจว่าตัวเองสะอาดแล้ว ก็สามารถร่วมลุยไฟได้ด้วยเช่นกัน ในตอนกลางคืนจะมีพิธีปีนบันไดมีด สูงประมาณ 12 เมตร และจบลงที่ยามดึกของคืนวันที่ 9 จะมีการแห่พระไปส่งทะเลบริเวณสะพานหิน และนำเสาโกเต้งลงดับโคมไฟทั้ง 9 เป็นเสร็จพิธีกินเจที่ภูเก็ต

กินเจ ที่ภูเก็ต ออกไปในแนวสนุกสนาน ตื่นเต้น ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ แต่หลายคนที่ไปดูด้วยตาตนเอง ยังพกความตื่นตาตื่นใจ เป็นประสบการณ์มาถึงปัจจุบัน และเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมการกินเจอีกรูปแบบหนึ่ง

ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ

    * ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผักและผลไม้ เป็นพลังงานที่ไม่ทำร้ายร่างกาย

    * ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืชผักช่วยระบบการย่อยและระบบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิดจากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร

    * หากรับประทานเป็นประจำ จะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรง มีความต้านทานโรค มีความคล่องตัว รู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด

    * ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคสำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ และยังช่วยป้องกันโรคร้ายเหล่านี้

    * อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง ๕ ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพ อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
      อวัยวะเสริมทั้ง ๕ ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะ ปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี
      ผู้ที่กินเจ จะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่
      ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย อื่นๆ
      อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
      มลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศรวมถึงแหล่าอาหารและน้ำดื่ม

    * กัมมันตภาพรังสี จากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และ การทำสงคราม สารอาหารจากพืชพัก ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทนต่อการทำลายจากกัมมันตภาพรังสีได้
      ในทางการแพทย์ การกินเจ มีประโยชน์ในการรักษาโรคที่สามารถพิสูจน์และมองเห็นได้จัดเจนกว่า ประโยชน์ในทางศาสนาเป็นเรื่องที่ไม่ละเอียดเท่าเรื่องของศาสนาจึงสามารถมอง เห็นได้ง่ายกว่าเป็นธรรมดา แม้ว่าการปฎิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา

 

*** "เจ" ที่ภูเก็ตมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก "เจเดือนเก้า" แต่ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 เทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่วๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินเชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต ว่าเป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบและระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน **

ขอบคุณข้อมูล gotoknow.org

sithiphong:
เลือกพืชผัก กินต้านมะเร็งชนิดต่างๆ



คุย กับคนรักสุขภาพ ถามไถ่ถึงความเจ็บป่วยที่ไม่อยากเจอ ทุกคนก็ตอบว่า ไม่อยากเป็นมะเร็งกันทั้งนั้น แต่ถ้าจะพูดไม่อย่างเดียวคงไม่ช่วยอะไร ยิ่งถ้ากินไม่รู้จักเรื่องกินล่ะก็ เสี่ยงเป็นมะเร็งแน่

‘มุมสุขภาพ-กินดี’ สรรหาสูตรสุขภาพ รู้จักเลือกกินพืชผักเพื่อต้านมะเร็งร้ายที่อาจเกาะกินอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

เริ่มจาก ‘มะเร็งเต้านม’ ที่สามารถลดความเสี่ยงได้ถ้ากิน วอเตอร์เครส บร็อคโคลี่ และน้ำสกัดจากแครนเบอร์รี่ โดยเฉพาะบร็อคโคลี่ อุดมด้วยสารซัลโฟราเฟน ส่วนแครนเบอร์รี่ มีเปี่ยมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ชนิด EGCG ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ชาเขียว นอกจากเลือกกินพืชผักตามคำแนะนำแล้ว ยังต้องเลี่ยงอาหารหวาน ของอ้วน ๆ อาทิ อาหารขยะ และแอลกอฮอล์ คุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

ใครไม่อยากเป็น ‘มะเร็งปอด’ ต้องกินฟักทอง แอปเปิ้ล แครอท มันเทศ แอปริคอท มะเขือเทศ จมูกข้าวสาลี เพราะมีผลการวิจัยพบว่า อาหารเหล่านี้มีฟลาโวนอยด์ เบต้าแคโรทีน วิตามินอี ช่วยป้องกันมะเร็งปอด ยิ่งคนไหนมีปัญหาความดัน ยิ่งต้องกินมะเขือเทศให้มาก ขณะที่อาหารเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งปอด คือ อาหารเสริมที่มีเบต้าแคโรทีนล้วน ๆ และมากเกินไป

หลีกไกล ‘มะเร็งลำไส้’ ได้ด้วยข้าวโอ๊ต ธัญพืชขัดสีน้อย ถั่วและผลไม้ชนิดแห้ง ขนมปังโฮลวีต ข้าวกล้อง เพราะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายอุจจาระ ให้ลำไส้ได้กำจัดของเสียออกมาได้อย่างหมดจด และต้องเลี่ยงการกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์แปรรูป อย่าง แฮม เบคอน เนื้อปั้นก้อนหรือเบอร์เกอร์ เพราะขั้นตอนการผลิตมีการเติมสารประกอบไนเตรทหรือดินประสิว

ขณะที่ ‘มะเร็งกระเพาะอาหาร’ จะไม่มาเยือนหากกินหอมใหญ่ กระเทียม หอมแดง และใบกุยช่ายเป็นประจำ เพราะฉะนั้นซื้อหาพืชผักดังกล่าวมาติดครัวไว้ใช้เป็นวัตถุดิบปรุงอาหาร กินกันมะเร็งกระเพาะได้ชัวร์ แต่ก็ต้องหยุดกินเค็ม หรือกินเกลือมากกว่า 1.5 กรัม ต่ออาหาร 100 กรัม เลี่ยงมันฝรั่งทอดกรอบ ขนมปังขาว อาหารดองเค็ม

แค่รู้จักเลือกกินพืชผักและลดเลี่ยงอาหารให้โทษอย่างที่กล่าวไว้ เซลล์ในร่างกายไม่เปลี่ยนสภาพเป็นเซลล์มะเร็งร้ายแน่นอน.

takecareDD@gmail.com



Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > เลือกพืชผัก กินต้านมะเร็งชนิดต่างๆ







.

sithiphong:
4 ข้อควรระวัง ระหว่างกินเจ



เทศกาล ‘กินเจ’ ได้เริ่มขึ้นแล้ว วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ มีคำแนะนำสำหรับการกินเจให้ถูกวิธีมาเล่าสู่กันฟัง

- อย่าเลือกรับประทานแต่ผัก เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบ ควรเสริมด้วยธัญพืชหรือพืชตระกูลถั่ว เช่น เต้าหู้ เผือก มัน กลอย เมล็ดงา ลูกเดือย และลูกบัว ร่วมด้วย

- ไม่ควรบริโภคแป้งในรูปแบบต่าง ๆ มากเกินไป รวมถึงอาหารที่ผัดและทอด ทางที่ดีควรเลือกอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยการต้ม ย่าง อบ หรือยำ

- ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด จากการใช้ซีอิ๊วขาว เต้าเจี้ยว หรือเกลือแทนน้ำปลา เพราะอาจส่งผลต่อไตและเป็นความดันโลหิตสูง

- ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัด เพราะส่งผลต่ออวัยวะภายใน เช่น รสขมจัดส่งผลต่อหัวใจ เค็มจัดส่งผลต่อไต หวานจัดส่งผลต่อม้าม เปรี้ยวจัดส่งผลต่อตับ และเผ็ดจัดส่งผลต่อปอด

รู้อย่างนี้แล้วปรุงรสชาติอาหารในปริมาณพอเหมาะดีที่สุด






.



Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > 4 ข้อควรระวัง ระหว่างกินเจ
.

sithiphong:
ไขขาน “ตำนานกินเจ”

สืบสารจากจีนแผ่นดินใหญ่

 

 

กำเนิด จากจีนแต่ยิ่งใหญ่สุดในแดนสยามตัวเลขของคนกินเจในเทศกาลเจเพิ่มพูนขึ้นทุกปี ยกให้เป็นขนบประเพณีอันยิ่งใหญ่ของชาวไทยไปเสียแล้ว แม้วัฒนธรรมนี้จะมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ก็ตามที ยืนยันได้นาทีนี้ไม่มีเทศกาลกินเจที่ไหนในโลกที่ยิ่งใหญ่เท่าเมืองไทย เมื่อลองไปตามหารากแห่งการกินเจในแผ่นดินต้นกำเนิดผ่านคำบอกเล่าของนัก ประวัติศาสตร์จีน อย่าง อ.ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี ที่ปรึกษาและผู้ช่วยอธิการบดี ม.หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ถ่ายทอดให้ฟังว่า ความเชื่อในเทศกาลกินเจในเมืองจีนเป็นเรื่องคล้ายกับเป็นตำนานเสียมากกว่า ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์อ้างอิงว่าเริ่มต้นในยุคไหน มีทั้งหมด 2 ตำนาน

 

ตำนานแรกมีความเชื่อว่าในสมัยโบราณมีเทพหรือพระราชาที่ปกครองมนุษย์ เรียกกันว่าเป็น “ราชามนุษย์” และ พระองค์ท่านมีพระโอรส 9 องค์เกิดในวันเดียวกันคือ 9 ค่ำเดือน 9 ประเพณีกินเจ 9 วันในเดือน 9 ตามปฏิทินจีนก็คงเริ่มมาจากความเชื่อนี้

 

ส่วน ตำนานที่ 2 ระบุว่าในปี พ.ศ. 2187 อันเป็นปีแห่งการสิ้นราชวงศ์หมิง มีจักรพรรดิฉงเจิงเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายที่ประชาชนรักใคร่ เมื่อตอนที่จะแพ้สงครามครั้งที่ข้าศึกมาประชิดที่กรุงปักกิ่ง ฉงเจิงชิงผูกคอตาย ณ ด้านหลังภูเขาเหมยซังก่อนที่จะให้ข้าศึกจะมาประชิดตัว ต่อมาหลังจากสิ้นราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นกลุ่มแมนจูเข้ามาปกครอง กลุ่มแมนจูจะประกาศห้ามชาวจีนไหว้เจ้า และไหว้บรรพบุรุษหรือแม้ กระทั่งการทำบุญให้กับจักรพรรดิองค์ก่อน เมื่อถูกทางการห้ามชาวจีนที่ปฏิพัทธ์รักใคร่ในจักรพรรดิองค์ก่อน จึงกำหนดให้มีการ กินเจ แต่มีจุดประสงค์เพื่อที่จะทำบุญให้กับจักรพรรดิองค์ก่อน ขณะเดียวกันคนจีนที่อพยพไปอยู่ต่างถิ่นก็นำวัฒนธรรมนี้ตามติดตัวไปด้วย

 

สอด คล้องกับการศึกษาของรองศาสตราจารย์พรพรรณ จันทโร นานนท์ อาจารย์ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ ม.รามคำแหง กล่าวว่า ชาวจีนนำเรื่องนี้ไปเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์จีน จนมีเรื่องเล่าขานแตกต่างกัน ชาวจีนเชื่อว่าการที่ชนกลุ่มน้อยอย่างแมนจูมีอำนาจเหนือชาวฮั่น ในปลายสมัยราชวงศ์หมิง ถือเป็นความทุกข์โศกอันยิ่งใหญ่ จนมีคำพูดติดปากว่า “ฝั่นชิงฝูหมิง” คือล้มราชวงศ์ชิงฟื้นฟูราชวงศ์หมิง

 

เมื่อ ครั้งราชวงศ์ชิงยึดราชวงศ์หมิง ข้าราชการที่มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิงต่างหนีการจับกุม โดยตั้งกลุ่มศาสนาเป็นการบังหน้าตามหัวเมืองต่าง ๆ และบางกลุ่มย้ายมาทาง   เอเชีย อาคเนย์ กลุ่มเหล่านี้หวังฟื้นฟูราชวงศ์หมิง จึงจัดเทศกาลทางศาสนาตามที่ตนนับถือ โดยเลือกวันที่ 9 เดือน 9 เป็นวันทำพิธี ขณะเดียวกันในประเทศจีนเองก็มีเทศกาลวันที่ 9 เดือน 9 เรียกว่า “ฉงหยางเจี๋ย” แปลว่าวันที่เป็นหยางซ้อนกัน 2 วัน

 

อ.ประพฤทธิ์ เสริมต่อว่าพิธีกรรมในประเพณีกินเจมีการผสมผสานทั้งวิถีของพุทธและลัทธิเต๋า เข้าไว้ด้วยกัน ดังแสดงออกมาจากการสวดมนต์ในศาลเจ้าตลอดในช่วงเทศกาลกินเจของพระสงฆ์ในฝ่าย มหายาน ขณะที่ศาลเจ้าเป็นความเชื่อของลัทธิเต๋า ตลอดจนการแสดงอิทธิฤทธิ์เช่นการลุยไฟ แทงลิ้นในงานเทศกาลถือศีลกินผักใน จ.ภูเก็ตได้รับอิทธิพลจากลัทธิต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ซึ่งสามารถเข้ากันได้อย่างสนิทแนบแน่นกับหลักศาสนาแบบพุทธมหายาน อีกทั้งพระในนิกายพุทธมหายานยังต้องกินเจด้วย

 

แม้ ประเพณีกินเจจะเกิดขึ้นมาเกือบ 500 ปีที่ผ่านมา แต่กลับไม่ใช่ประเพณีหลักของชาวจีนแผ่นดินใหญ่เสียแล้วในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเพราะการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นคอมมิวนิสต์ของจีน ทำให้ประเพณีกินเจห่างหายไปด้วย

 

นัก ประวัติศาสตร์จีนจาก ม.หัวเฉียว กล่าวว่า ในสมัยที่จีน ปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ มองว่าเรื่องกินเจเป็นเรื่องงมงาย แม้แต่การไหว้เคารพบรรพบุรุษเป็นการกระทำอันต้องห้ามในสมัยนั้น ชาวบ้านต้องปิดประตูหน้าต่างเพื่อไหว้บรรพบุรุษ แต่หลังจากปี พ.ศ. 2522 ทุกอย่างเปลี่ยนไปแนวคิดของเติ้งเสี่ยวผิงพยายามจะเปิดประเทศให้กว้างขึ้น หันมาติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ มีการส่งเสริม ฟื้นฟูวัฒนธรรมเดิม แต่คนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ถูกหล่อหลอมกับวัฒนธรรมดั้งเดิม จึงไม่ค่อยใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับเทศกาลกินเจเท่าไรนัก

 

 ...เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่เทศกาลกินเจไม่เบ่งบานในแผ่นดินมังกร…

 

รอง ศาสตราจารย์พรพรรณ ระบุว่า เวลานี้ประเพณีกินเจที่จัดยิ่งใหญ่มีขึ้นที่ประเทศไทยเท่านั้น ประเทศสิงคโปร์ หรือมาเลเซียที่มีคนเชื้อสายจีนอยู่อย่างหนาแน่นไม่มีการกินเจ 9 วัน และจัดได้ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับเมืองไทยและถือว่าเป็นประเพณีหนึ่งที่ผสมผสาน ทางวัฒนธรรมอย่างดีเข้ากับคนไทยและคนไทยเชื้อสายจีนด้วยกัน อีกทั้งเป็นประเพณีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว เห็นได้ชัดใน จ.ภูเก็ตที่มีการจัดงานกินเจมีนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านมาร่วมงาน จำนวนมาก

 

กลายเป็นอีกหนึ่งเทศกาลกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างดี.



ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.thaihealth.or.th/node/11843

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version