ผู้เขียน หัวข้อ: สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 7 ปูรวโยคปริวรรต ว่าด้วยปุพพโยคกรรม  (อ่าน 3066 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด




พระสูตรสัทธรรมปุณฑรีกะ
วัดโพธิ์แมนคุณาราม
นายชะเอม แก้วคล้าย แปลจากต้นฉบับสันสกฤต
บทที่ 7
ปูรวโยคปริวรรต
ว่าด้วยปุพพโยคกรรม


         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องมีมาแล้ว ในอดีตกาล นานจนนับไม่ได้ กำหนดไม่ได้ ประมาณไม่ได้ คำนวณไม่ได้ วัดไม่ได้ ในกาลสมัยนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "มหาภิชญาชญานาภิภู" ได้อุบัติขึ้นในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดี เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีฝึกบุรุษที่ประเสริฐ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรม ในโลกธาตุที่ชื่อว่า "สมภพ" ในสมัย มหารูปกัลป์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงอุบัติขึ้นนานเท่าใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างชายคนหนึ่ง บดดินในโลกธาตุสามพันน้อยใหญ่ ให้เป็นผงปรมาณู ครั้นแล้ว ชายผู้นั้น ก็หยิบเอาปรมาณูหนึ่ง จากโลกธาตุนั้น แล้วเดินไปทางทิศตะวันออก ได้พันโลกธาตุ แล้วว่างปรมาณูหนึ่งนั้นไว้ ครั้นชายผู้นั้นหยิบเอาปรมาณูที่สอง แล้วเดินไปได้พันโลกธาตุถัดไป แล้ววางปรมาณูที่สองไว้  ชายผู้นั้นต้องไปวางดินทั้งหมดนั้นไว้ในทิศตะวันออก

       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอคิดว่า ข้อนั้นเป็นไฉน สามารถนับจุดจบ หรือที่สุดโลกธาตุนั้นได้หรือไม่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นไปไม่ได้ ข้าแต่พระสุคต เป็นไปไม่ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ว่านักคำนวณ หรือนักคณิตศาสตร์อาจรู้จุดจบของโลกธาตุทั้งหลาย ด้วยการคำนวณ โดยเขาจะเอาปรมาณูนั้นไปวางหรือไม่วางที่ใดก็ตาม  แต่เขาไม่อาจรู้ ที่สุดของเวลา หมื่นแสนโกฏิกัลป์เหล่านั้นได้ ด้วยวิธีการคำนวณว่า พระผู้มีพระภาค ตถาคต มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ปรินิพพานไปแล้ว เป็นเวลานานที่คิดประมาณมิได้อย่างนี้ เป็นทีกัลป์กาล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่เรายังจำพระตถาคตที่ประนิพพานนายแล้วได้ เหมือนกับปรินิพพานวันนี้หรือเมื่อวานนี้ ด้วยอำนาจตถาคตญาณทัศนะ นั่นเอง

        ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า

1      หลายโกฏิกัลป์ล่วงมาแล้ว เราระลึกถึง มหามุนีอภิชญาชญานาภิภู ผู้ประเสริฐในหมู่ชนทั้งหลาย ซึ่งได้เป็นพระชินเจ้า ผู้ประเสริฐที่สุดในสมัยนั้น

2      เหมือนอย่างชายผู้หนึ่ง บดดินในสามพันโลกธาตุให้เป็นผงปรมาณู ครั้นแล้วหยิบเอาปรมาณูหนึ่งจากโลกธาตุนั้น เดินไปประมาณพันเกษตรแล้ววางปรมาณูนั้นลง

3      ชายผู้นั้น วางผงปรมาณูที่สองและสาม วางปรมาณูนั้นทั้งหมด จนเหลือโลกธาตุว่างเปล่า ผงทั้งปวงก็หมดไป

4      ปรมาณูในโลกธาตุทั้งหลาย เป็นสิ่งที่นับไม่ได้ เราได้กระทำปรมาณูนั้นเป็นข้อเปรียบเทียบกับร้อยกัลป์ที่ผ่านไป

5      พระตถาคตนั้นปรินิพพานแล้วหลายโกฏิกัลป์จนนับไม่ได้ กัลป์ทั้งหลายสิ้นไปแล้วมากมาย ปรมาณูก็เปรียบไม่ได้

6      เราจำพระตถาคตที่ปรินิพพานแล้ว และสาวกทั้งหลาย โพธิสัตว์ทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นเวลาช้านานได้เหมือนวันนี้หรือเมื่อวานนี้ ด้วยตถาคตญาณแล

7       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้เช่นนี้ ของพระตถาคต ผู้มีญาณอันไม่สิ้นสุดนี้ เราได้รู้มาแล้ว หลายร้อยกัลป์ เป็นอเนกอนันต์ ด้วยความจำที่ไร้อาสวะ ที่ละเอียดสุขุม


        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นัยว่า พระชนมายุของพระมหาภิชญาชญานาภิภู อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีประมาณ 54 หมื่นแสนโกฏิกัลป์ ก็แลในตอนแรก พระผู้มีพระภาคตถาคต มหาภิชญาชญานาภิภู ยังไม่ได้ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ประทับที่โพธิมณฑล นั่นแล ปราบเสนามารทั้งปวงได้ชัยชนะ คิดว่า เราครั้นปราบชนะเสนามารได้แล้ว จักได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนี้ แต่พระองค์ก็มิได้รู้แจ้งเห็นจริงธรรมทั้งหลาย พระองค์ได้ประทับที่โพธิมณฑล ณ โคนโพธิพฤกษ์ เป็นเวลาหนึ่งกัลป์  แม้ประทับอยู่ตลอดกัลป์ที่สองก็ยังไม่ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ประทับอยู่ทีโพธิมณฑล ณ โคนต้นโพธิพฤกษ์ตลอดกัลป์ที่สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ ติดต่อกันไป เป็นคราวเดียวกัน โดยมิได้เสด็จลุกจากที่ประทับเลย พระองค์ได้ประทับด้วยจิตที่สงบนิ่ง พระวรกาย ไม่เคลื่อนไหว แต่ก็ยังมิได้รู้แจ้งเห็นจริง ธรรมทั้งหลาย

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่โพธิมณฑลนั้น เทวดาชั้นไตรตรึงศ์ ได้จัดสิงหาสน์ (บัลลังก์) สูงแสนโยชน์ถวาย พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ที่นั้นแล้ว ก็ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต่อมา ขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับนั่ง ณ โพธิมณฑลนั้น พรหมกายิกเทพบุตรทั้งหลาย ได้โปรยฝนดอกไม้ทิพย์ลงมา โดยรอบโพธิมณฑล และทำให้เกิดพายุ แผ่บริเวณไปทั่ว ประมาณร้อยโยชน์ในอากาศให้พัดดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งนั้นไป เทพบุตรเหล่านั้นโปรยดอกไม้ลงมาโดยมิขาดสาย ในขณะที่พระผู้มีพระภาค ประทับนั่งที่โพธิมณฑลนั้น และเกลี่ยฝนให้ปกคลุมพระผู้มีพระภาคนั้น ตลอดเวลาสิบกัลป์บริบูรณ์ เทพบุตรทั้งหลายโปรยฝนดอกไม้ลงมา ทำให้ปกคลุมพระผู้มีพระภาคนั้นในขณะที่พระผู้มีพระภาค กำลังจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน จาตุมหาราชกายิกเทพบุตรทั้งหลาย ได้ประโคมกลองทิพย์อย่างไม่ขาดสาย เพื่อสักการะพระผู้มีพระภาค ผู้ประทับที่โพธิมณฑล  เมื่อพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งอยู่นั้น  ตลอดสิบกัลป์ ตั้งแต่นั้น เทพบุตรทั้งหลายเหล่านั้น ได้ประโคมดนตรีทิพย์ทั้งหลายยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจวบจนพระผู้มีพระภาค เสด็จดับขันธประนิพพาน

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น เมื่อกาลเวลาล่วงไปสิบกัลป์ พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า"มหาภิชญาชญานาภิภู" ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และต่อมาโอรสทั้งสิบหกพระองค์ ซึ่งประสูติแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อครั้งยังเป็นพระกุมารอยู่นั้น ทรงทราบว่าพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว บรรดาโอรสทั้งหลาย โอรสองค์ใหญ่นามว่า "ชญาณกร" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พระราชกุมารทั้งสิบหกพระองค์ แต่ละพระองค์มีของเล่นนานาชนิด  อันวิจิตร น่าดู น่าพอใจมาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชกุมารเหล่านั้นทั้งสิบหกพระองค์ พากันละวางของเล่นนานาชนิด อันวิจิตร น่าดู น่าพอใจเหล่านั้น เมื่อทราบว่าพระผู้มีพระภาคตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระราชกุมารทั้งหลาย มีมารดา พี่เลี้ยง และนางนมทั้งหลายกรรแสงร่ำไห้ห้อมล้อมไปด้วยกัน มหาจักรพรรดิหมู่ใหญ่และประชาชนหลายหมื่นโกฏิ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ซึ่งประทับอยู่ที่โพธิมณฑล จนถึงสถานที่ประทับ ทั้งหมดเข้าไป เพื่อสักการะ เคารพ นบนอบ บูชา ยกย่อง เทิดทูนพระผู้มีพระภาค ครั้นเข้าไปแล้ว ได้กราบแทบพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้ากระทำประทักษิณพระผู้มีพระภาคสามครั้ง ประนมมือ กราบทูลพระผู้มีพระภาค ณ เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ด้วยคาถาที่เหมาะสมว่า

8       พระองค์ทรงเป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ดำเนินไปหลายกัลป์ไม่มีที่สิ้นสุด ความดำริอันประเสริฐ ที่จะให้สัตว์ทั้งหลายพ้นจากสังสารวัฏนี้ สมบูรณ์แล้ว

9       พระองค์ประทับนั่งบนอาสนะเดียวตลอดสิบกัลป์นั้น นับว่าเป็นสิ่งกระทำได้ยากในระหว่างนั้น พระองค์มิได้ทรงเคลื่อนไหวพระวรกาย พระหัตถ์และพระบาทตลอดจนอวัยวะอื่นๆ เลยแม้สักครั้งเดียว

10     แม้จิตพระองค์ ก็สงบ ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่สะเทือน ไม่วอกแวก พระองค์ไม่มีอาสวะ ตั้งอยู่ในความสงบนิ่งยิ่งนักแล

11     ขอแสดงความยินดีว่า พระองค์ทรงบรรลุอัครโพธิญาณ ด้วยความเกษมและสวัสดี ข้าแต่พระนเรนทรสิงหะ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ประสบความสำเร็จ เห็นปานนี้และได้รับความเจริญ

12     ประชาชนทั้งหลาย ที่ไม่มีผู้นำ เป็นทุกข์ มีนัยน์ตามืดมน ไร้ความสนุกสนานไม่รู้หนทางที่นำไปสู่ ที่สุดแห่งทุกข์ไม่มีความพยายามเพื่อถึงความหลุดพ้น

13     อันตรายมีมากขึ้น ร่างกายก็เสื่อมจากธรรม (ความดี) มาช้านาน ไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระชินเจ้าทั้งหลาย โลกทั้งปวงก็มืดมนอนธการ

14     ข้าแต่พระองค์ ผู้รู้แจ้งโลก วันนี้และที่นี่ พระองค์ได้บรรลุบทอันอุดม อันเป็นมงคลและเป็นอนาสวะแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลาย และชาวโลกทั้งปวง เป็นผู้ที่พระองค์ทรงอนุเคราะห์แล้ว ข้าแต่พระผู้เป็นนาถะ ข้าพระองค์ทั้งหลาย พากันมาเฝ้าก็เพื่อถึงพระองค์เป็นสรณะ

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลครั้งนั้น พระราชกุมารทั้งสิบหกองค์ ที่ยังเป็นพระกุมารผู้เยาว์วัยอยู่ สดุดีพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า อภิชญาชญานาภิภู นั้น ด้วยคาถาอันเหมาะสมเหล่านี้แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคนั้นว่า เพื่อยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระผู้มีพระภาค จงแสดงธรรม ขอพระสุคตจงแสดงธรรม เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ก็ในสมัยนั้น พระราชกุมารเหล่านั้นทรงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

15     ข้าแต่พระมหาฤษี ผู้เพียบพร้อมด้วยบุณยลักษณะร้อยประการ ทรงเป็นผู้นำ ที่ไม่มีผู้เสมอเหมือน ขอพระองค์จงแสดงธรรม ขอพระองค์ทรงประกาศญาณอันเลิศประเสริฐที่พระองค์ทรงได้แล้วแก่ชาวโลกพร้อมกับเทวดาด้วยเถิด

16     ขอพระองค์จงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายและสัตว์เหล่านี้ล่วงพ้น (ทุกข์) ขอพระองค์ทรงแสดงตถาคตญาณทั้งหลาย โดยประการที่พวกข้าพระองค์และสัตว์เหล่านี้จะได้บรรลุพระโพธิญาณด้วยเถิด

17     พระองค์ทรงทราบความประพฤติ ความรู้ อัธยาศัย และบุญที่สัตว์ทั้งหลายได้กระทำแล้วแต่ปางก่อน และพระองค์ทรงทราบอุปนิสัยของสัตว์แต่ละคน (ฉะนั้น)ขอพระองค์ทรงหมุนธรรมจักรที่เลิศประเสริฐด้วยเถิด


         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเวลานั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทิศทั้งสิบในห้าสิบหมื่นแสนโกฏิโลกธาตุได้ แต่ละทิศ ได้สั่นสะเทือนเป็นหกจังหวะ และสว่างไสวไปด้วยแสงเจิดจ้า ในโลกธาตุทั้งปวงเหล่านั้น โลกธาตุใดมีที่ว่าง และมีความมืดมิด แม้พระอาทิตย์และพระจันทร์ ที่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก มีความรุ่งโรจน์โชติช่วงมาก ไม่สามารถส่องแสงไปถึงด้วยสีและพลังของตน แต่ที่ว่างนั้นทั้งหมด ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วถึง สัตว์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในที่ว่างแห่งโลกธาตุนั้น ย่อมมองเห็นซึ่งกันและกันและจำกันได้ แม้สัตว์ผู้เจริญเหล่าอื่น ที่เกิดในที่นี้ และในโลกธาตุทั้งปวง ภพของเทพ วิมานแห่งเทพ ตลอดถึงพรหมโลก ก็สั่นสะเทือนเป็นหกจังหวะ สว่างไสวไปด้วยแสงอันเจิดจ้า เกินเทวานุภาพของเทพทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลในสมัยนั้น ในโลกธาตุเหล่านั้น ได้ปรากฏแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และมีแสงสว่างโชติช่วง ในเวลาเดียวกัน

        ก็แลในทิศบูรพา หรหมวิมานทั้งหลายในโลกธาตุห้าหมื่นแสนโกฏิเหล่านั้น ส่องแสงสว่างโชติช่วงสวยงาม เจิดจ้ายิ่งนัก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาพรหมในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิเหล่านั้น ได้มีความคิดว่า พรหมวิมานเหล่านี้ ไม่เคยส่องแสงโชติช่วงสวยงามเจิดจ้าอย่างนี้มาก่อน คงจะไม่มีอะไรเป็นบุพนิมิตแน่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น มหาพรหมในโลกธาตุห้าสิบหมื่นโกฏิทั้งหมด ได้ไปยังที่ประทับของกันและกันได้สนทนากัน

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จากนั้นมหาพรหมนามว่า สรวสัตตตวัตรตฤ ได้กล่าวคาถาทั้งหลายกับหมู่พรหมนั้นว่า

18     วันนี้ เรามีความหรรษาอย่างยิ่ง วิมานอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้สว่างโชติช่วงสวยงาม น่ายินดี อะไรเป็นเหตุในเรื่องเช่นนี้

19     ดีละ พวกเราจะค้นหา ก็แลวันนี้ คงมีเทพบุตรองค์ใดบังเกิดขึ้น ผู้มีอานุภาพปานนี้ ที่พวกเราเห็นอยู่ขณะนี้ ยังไม่เคยมีมาก่อน

20    หรืออาจเป็นเพราะว่า พระพุทธเจ้า ผู้เป็นจอมราชาแห่งนรชน ได้อุบัติขึ้น ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งในโลกนี้ นิมิตของพระองค์จึงโชติช่วงสวยงามไปทั้งสิบทิศ ในวันนี้

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หลังจากนั้น มหาพรหมทั้งหลายในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิเหล่านั้นทั้งหมด ขึ้นสู่พรหมวิมานทิพย์ของตน  แล้วถึอเอาภาชนะดอกไม้ทิพย์ ใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุ ท่องเที่ยวไปในทิศทั้งสี่  จนถึงทิศตะวันตก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาพรหมทั้งหลายในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิ ได้พบพระผู้มีพระภาคตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ประทับบนสิงหาสน์ โคนโพธิพฤกษ์ ณ โพธิมณฑลนั้นมีเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร พญานาค มนุษย์ อมนุษย์ นั่งแวดล้อมอยู่และมีโอรสราชกุมารทั้งสิบหกพระองค์ กำลังทูลขอให้ประกาศพระธรรมจักรอยู่ ณ ทิศตะวันตกนั้น ครั้นพบแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค จนถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วได้ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้า ที่แทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคนั้น กระทำประทักษิณพระผู้มีพระภาคหลายแสนครั้ง และได้บูชาพระผู้มีพระภาค ด้วยภาชนะดอกไม้นั้น ซึ่งใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุ และได้โปรยดอกไม้เหล่านั้นลงที่ต้นโพธิ์ด้วย เป็นระยะทางห่างออกไป ประมาณสิบโยชน์ ครั้นทำการบูชาแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ได้มอบวิมานพรหม แต่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงรับพรหมวิมานเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระสุคต จงใช้พรหมวิมานเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้นนั้น มหาพรหมทั้งหมาย ครั้งได้มอบวิมานพรหมของตน แด่พระผู้มีพระภาคแล้ว ได้สดุดีพระผู้มีพระภาค ณ เบื้องพระพักตร์ ด้วยคาถาอันเหมาะสมเหล่านี้ในเวลานั้นว่า

21    พระชินเจ้าผู้ประเสริฐ หาผู้เปรียบมิได้ ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์ต่อชาวโลก ได้อุบัติขึ้นแล้ว พระองค์อุบัติมาเพื่อเป็นที่พึ่ง เป็นศาสดา และเป็นครู เป็นผู้อนุเคราะห์ทั้งสิบทิศ ในวันนี้

22     ข้าพระองค์ทั้งหลาย มาจากโลกธาตุห้าหมื่นโกฏิ ไกลจากที่นี้ เพื่อนมัสการพระชินเจ้า ด้วยการถวายวิมานอันประเสริฐ

23     วิมาน อันวิจิตร สวยาม เหล่านี้ บังเกิดแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ด้วยบุพกรรมอันดีงาม ขอพระองค์ผู้เป็นโลกวิทู จงรับไว้ใช้สอยตามพระประสงค์ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด


        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้นมหาพรหมทั้งหลาย ได้สดุดีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ด้วยคาถาอันสมควร ณ ที่เบื้องพระพักตร์นั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงยังพระธรรมจักร ให้หมุนไป ขอพระสุคต จงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ในโลก ขอพระผู้มีพระภาค จงแสดงพระนิพพาน ขอพระผู้มีพระภาค จงยังสัตว์ให้ข้ามพ้น(ทุกข์) จงสงเคราะห์ชาวโลก ขอพระผู้มีพระภาคจงแสดงธรรม แก่ชาวโลก พรอมทั้งมาร พรหม และแก่ประชาชนพร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดามนุษย์และอสูรทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อเป็นการอนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย

        หลังจากนั้น พรหมทั้งหลาย ห้าสิบแหมื่นแสนโกฏิ ประชุมกันแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ด้วยคาถาอันไพเราะเหล่านี้เป็นเสียงเดียวกันว่า

24     ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงแสดงธรรม ข้าแต่พระสุคตผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่มนุษย์ ขอพระองค์จงแสดงธรรม จงแสดงพลังแห่งเมตตา และทรงให้สัตว์ทั้งหลายข้ามพ้นจากความทุกข์ด้วยเถิด


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 25, 2011, 10:14:09 am โดย ฐิตา »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

25     พระองค์ยังโลกให้สว่างไสว เป็นผู้ที่หาได้ยาก เหมือนต้นมะเดื่อที่มีดอก ข้าแต่พระมหาวีระ พระองค์ได้อุบัติขึ้นมาแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอนมัสการองค์พระตถาคต

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงรับคำกราบทูลของมหาพรหมทั้งหลาย ด้วยดุษณียภาพ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นัยว่า สมัยนั้นวิมานพรหมทั้งหลายในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิ ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ ได้ส่องแสงโชติช่วงสวยงามอย่างยิ่ง  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จากนั้น พรหมเหล่านั้นได้คิดว่า พรหมวิมานเหล่านี้ ส่องแสงโชติช่วงสวยงามยิ่งนัก สิ่งนี้จักเป็นบุพนิมิตแห่งอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จากนั้น มหาพรหมทั้งหมดในโลกธาตุห้าหมื่นแสงโกฏิ ได้ไปยังวิมานของกันและกันแล้วสนทนากัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น มหาพรหมหนึ่งนามว่า อธิมาตรการุณิก ได้พูดกะเหล่าพรหมนั้นเป็นคาถาว่า

26     ดูก่อนสหายทั้งหลาย เพราะบุพนิมิตแห่งอะไร เราจึงเห็นเหตุเช่นนี้ ในวันนี้ คือ วิมานทั้งปวงส่องแสงโชติช่วงเกินประมาณ

27    หรือว่า เทพบุตรผู้มีบุญได้มาที่นี่ ด้วยอานุภาพของเทวบุตรนั้น วิมานทั้งปวงจึงสวยงามยิ่งนัก

28     หรือว่าพระพุทธเจ้า ผู้เลิศยิ่งในหมู่มนุษย์ ได้อุบัติขึ้นในโลก ด้วยอานุภาพของพระองค์ วิมานทั้งหลายจึงสดใสดังที่เห็นในวันนี้

29     ขอให้พวกเราจงไปตรวจดู เรื่องนี้มิใช่เหตุเพียงเล็กน้อย บุพนิมิตนี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน

30     พวกเราควรไปตรวจดูสถานที่หลายโกฏิให้ทั่วทั้งสี่ทิศ พระพุทธเจ้าคงจะอุบัติขึ้นแล้วในโลกเป็นแน่ทีเดียว

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พรหมห้าหมื่นแสนโกฏิ ขึ้นสู่พรหมวิมานทิพย์ของตนแล้วถือเอาภาชนะดอกไม้ทิพย์ใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุ ท่องเที่ยวไปในทิศทั้งสี่ จนถึงทิศตะวันตกเฉียงใต้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็เช่นเดียวกัน มหาพรหมเหล่านั้น ได้พบพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ซึ่งประทับบนสิงหาสน์ โคนต้นโพธิ์ ณ โพธิมณฑลนั้น ซึ่งกำลังมีเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร พญานาค มนุษย์ อมนุษย์แวดล้อมอยู่ และมีพระโอรสราชกุมาร ทั้งสิบหกพระองค์ กำลังทูลขอให้ประกาศพระธรรมจักรอยู่ ครั้นพบแล้ว พรหมทั้งหลายก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อภิชญาชญานาภิภู จนถึงที่ประทับ

ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้า ที่แทบพระบาทของพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณพระผู้มีพระภาค หลายแสนครั้ง และได้บูชาพระองค์ด้วยดอกไม้ใหญ่ อันเท่าเขาพระสุเมรุนั้น และนำดอกไม้เหล่านั้นไปโปรยลง ที่ต้นโพธิ์เป็นระยะทางกว้างออกไป ประมาณสิบโยชน์ ครั้นทำการบูชาแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ได้ถวายวิมานพรหมเหล่านั้น แด่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงรับวิมานพรหมเหล่านี้ เพื่อเป็นการอนุเคราะห์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระสุคตทรงใช้วิมานพรหมเหล่นี้ เพื่ออนุเคราะห์ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ในเวลานั้น มหาพรหมทั้งหลาย หลังจากได้ถวายวิมานของตนแด่พระผู้มีพระภาคแล้ว ได้สดุดีพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาอันเหมาะสม ณ เบื้องพระพักตร์ว่า


31    ข้าแต่พระมหาฤาษี ผู้ไม่มีใครเทียบได้ ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ผู้มีพระสุรเสียงเยี่ยงนกการะเวก เป็นผู้นำของชาวโลก พร้อมทั้งเทวโลก เป็นผู้อนุเคราะห์ประโยชน์เกื้อกูลต่อชาวโลก ข้าพระองค์ขอนอบน้อมพระองค์

32    ข้าแต่พระผู้เป็นนาถะ เป็นระยะเวลายาวนาน จนถึงปัจจุบัน นับได้แปดพันกัลป์ที่ชีวโลกได้เว้นว่างจากพระพุทธเจ้า นับว่าน่าอัศจรรย์อะไรอย่างนี้ ที่พระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาในโลก

33    การเว้นว่างจากพระองค์ ผู้เป็นยอดแห่งมนุษย์ทั้งหลาย เป็นเวลาแปดพันกัลป์เต็มนั้น นรกได้เฟื่องฟู เทวดาทั้งหลายได้ทดถอยเสื่อมลง

34    บัดนี้ พระองค์เป็นดวงตา เป็นคติ เป็นที่พึ่ง เป็นผู้ต้านทาน เป็นบิดาและเป็นพวกพ้อง(ของข้าพระองค์ทั้งหลาย) ข้าแต่พระธรรมราชา พระองค์ผู้ทรงอนุเคราะห์ประโยชน์เกื้อกูล ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ นับเป็นบุญของข้าพระองค์ทั้งหลาย

        ภิกษุทั้งหลาย ครั้นมหาพรหมทั้งหลายเหล่านั้น ได้สดุดีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาภิชญาชญานาภิภู ด้วยคาถาอันสมควร ณ เบื้องพระพักตร์นั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค ทรงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระสุคตทรงยังธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงพระนิพพานในโลก ขอพระผู้มีพระภาคจงยังสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามพ้น (จากทุกข์) ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงสงเคราะห์ชาวโลก ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงแสดงธรรมแก่ชาวโลก พร้อมทั้งมาร พรหม และแก่ประชาชน พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา มนุษย์ และอสูรทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

       หลังจากนั้น พรหมทั้งหลายสิบหมื่นแสนโกฏิ ประชุมกันแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้นด้วยคาถาอันไพเราะสองคาถาเหล่านี้เป็นเสียงเดียวกันว่า

35    ข้าแต่พระมหามุนี ขอพระองค์จงทรงยังพระธรรมจักรอันประเสริฐให้หมุนไป จงทรงประกาศธรรมให้ทั่วทั้งสิบทิศ ขอพระองค์ทรงปลดเปลื้องสัตว์ทั้งหลาย ที่ถูกทุกข์เบียดเบียนแล้ว และขอพระองค์จงยังสัตว์ทั้งหลายให้เกิดความปราโมทย์หรรษาด้วยเถิด

36    สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความปรารถนา เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว จงเป็นผู้ตรัสรู้และพึงไปสู่ทิพยสถาน ขอให้สัตว์ทั้งปวงพึงละกาย อันน่าเกลียด และจงมีความสงบสุข

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้นพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น ได้ทรงรับคำกราบทูลของมหาพรหมทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยพระอาการดุษฎีภาพ

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นัยว่า เวลานั้นพรหมวิมานทั้งหลายในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิ ในทิศใต้ ได้ร้อน ส่องแสงสว่างโชติช่วง งดงามอย่างยิ่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่นั้นมหาพรหมทั้งหลายคิดว่า พรหมวิมานเหล่านี้ ได้ส่องสว่างโชติช่วงงดงามยิ่งนัก สิ่งนี้จักเป็นบุพนิมิตอะไรหนอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จากนั้นมหาพรหมทั้งหมดจากโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิได้ไปยังวิมานของกันและกันแล้วสนทนากัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น มหาพรหมองค์หนึ่งนามว่า "สุธรรม" ได้กล่าวกับหมู่พรหมนั้นด้วยสองคาถาว่า

37    ดูก่อนสหาย เมื่อไม่มีเหตุ ย่อมไม่มีผล วันนี้วิมานทั้งปวงสว่างโชติช่วง ย่อมแสดงนิมิตอะไรอย่างหนึ่งแน่ ขอให้เราไปตรวจเหตุนั้นกันเถิด

38    เวลาประมาณร้อยกัลป์มาแล้วในอดีต ไม่เคยมีนิมิตเช่นนี้ คงจะมีเทพบุตร หรือไม่ก็พระพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หลังจากนั้น มหาพรหมทั้งหลาย ในโลกธาตุห้าสิบหมื่นโกฏิเหล่านั้น ทั้งหมดขึ้นสู่พรหมวิมานทิพย์ของตน แล้วถือเอาดอกไม้ทิพย์เท่าเขาพระสุเมรุท่องเที่ยวไปในทิศทั้งสี่ จนถึงทิศเหนือ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่ทิศเหนือนั้นมหาพรหมทั้งหลายได้พบพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ซึ่งประทับอยู่บนอาสนะสิงห์ โคนต้นโพธิ ณ โพธิมณฑลนั้น (พระองค์) ซึ่งกำลังมีเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์อสูร ครุฑ พญานาค มนุษย์ อมนุษย์ แวดล้อมอยู่ และซึ่งมีพระโอรสราชกุมารสิบหกพระองค์ กำลังทูลขอให้ประกาศพระธรรมจักรอยู่

ครั้นเห็นแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค จนถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้าที่แทบพระบาทของพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น พระทำประทักษิณ พระผู้มีพระภาคหลายแสนครั้งและได้บูชาพระผู้มีพระภาคด้วยภาชนะดอกไม้นั้น ซึ่งใหญ่ประมาณเท่าเขาพระสุเมรุและเอาดอกไม้เหล่านั้นโปรยลงที่ต้นโพธิ์ด้วย เป็นระยะทางกว้างออกไปประมาณสิบโยชน์ ครั้นทำการบูชาแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ได้ถวายวิมานพรหมเหล่านั้น แต่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงรับวิมานพรหมเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระสุคตจงใช้วิมานพรหมเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น มหาพรหมเหล่านั้น ได้ถวายวิมานของตน แด่พระผู้มีพระภาค แล้วสดุดีพระผู้มีพระภาค ณ เบื้องพระพักตร์ ด้วยคาถาอันสมควรยิ่งเหล่านี้ว่า

39    การได้เฝ้าพระผู้เป็นผู้นำแห่งโลกเจ้า เป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่ง ขอต้อนรับพระองค์ผู้ปราศจากควาลุ่มหลง นานนักที่จะได้เฝ้าพระองค์ในโลก เป็นเวลาถึงร้อยกัลป์เต็ม พวกข้าพระองค์จึงได้เฝ้าพระองค์

40    ข้าแต่พระโลกนาถ ขอพระองค์ได้โปรดกระทำหมู่สัตว์ ผู้กระหายให้เอิบอิ่มด้วยเถิด ผู้ที่ไม่เคยเฝ้าพระองค์มาก่อน จะพบพระองค์ได้อย่างไร ข้าแต่พระผู้นำแห่งโลกการเฝ้าพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เหมือนกับต้นมะเดื่อออกดอก

41    ข้าแต่พระผู้นำโลก วิมานเหล่านี้ ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ส่องแสงสว่างโชติช่วง เพราะอานุภาพของพระองค์ ข้าแต่พระสมันตจักษุ (ผู้รู้เห็นโดยรอบ) ของพระองค์ทรงรับและใช้สอยวิมานเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 13, 2010, 09:06:34 am โดย ฐิตา »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้น มหาพรหมทั้งหลาย ได้สดุดีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ด้วยคาถาอันสมควร ณ เบื้องพระพักตร์นั้นแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงยังพระธรรมจักรให้หมุนไปในโลก ขอพระผู้มีพระภาคจงแสดงพระนิพพาน ของพระผู้มีพระภาค ได้โปรดยังสัตว์ให้ข้ามพ้น(จากทุกข์) ขอพระผู้มีพระภาค ได้โปรดสงเคราะห์ชาวโลก ขอพระผู้มีพระภาค จงแสดงธรรมแก่ชาวโลก พร้อมทั้งมาร พรหม และแก่ประชาชน พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา มนุษย์ และอสูร ทั้งหลายเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลกเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หลังจากนั้น พรหมทั้งหลายห้าสิบหมื่นแสนโกฏิ ประชุมกันแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ด้วยคาถาอันไพเราะ สองคาถาเป็นเสียงเดียวกันว่า

42    ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงเป็นผู้นำ ของพระองค์ได้โปรด แสดงธรรมยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระองค์ได้โปรดลั่นกลองธรรม และเป่าสังข์ธรรมให้ดังกึกก้องด้วยเถิด

43    ขอพระองค์ทรงยังฝน คือ พระสัทธรรมให้ตกลงในโลก และขอจงตรัสสุภาษิตที่มีสำเนียงอันไพเราะ ขอทรงแสดงธรรมที่ชาวโลกปรารถนา เพื่อปลดเปลื้องสัตว์ทั้งหลายหมื่นโกฏิ (จากทุกข์) ด้วยเถิด

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  นัยว่าพระผู้มีพระภาคนั้น ได้ทรงรับคำทูลของมหาพรหมทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยพระดุษฎีภาพ ฯลฯ เหตุการณ์อย่างนี้ได้เกิดขึ้นในทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศเบื้องล่าง

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นัยว่าครั้งนั้น พรหมวิมานทั้งหลาย ในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสงโกฏิ ในทิศเบื้องล่าง ได้เร่าร้อน  ส่องแสงสว่างโชติช่วงสวยงามอย่างยิ่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น พรหมทั้งหลายคิดว่าพรหมวิมานเหล่านี้ ได้ส่องแสงสว่างโชติช่วงสวยงามยิ่งนัก สิ่งนี้จักเป็นบุพนิมิตอะไรหนอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น มหาพรหมทั้งหมดในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิ ได้ไปยังวิมานของกันและกัน แล้วสนทนากัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น มหาพรหมองค์หนึ่ง นามว่า "ศิขี" ได้กล่าวกับพรหมหมู่ใหญ่นั้นด้วยคาถาว่า

44     ดูก่อนสหาย อะไรเป็นเหตุ วิมานของเราจึงมีสีแสงสุขสว่างไสวเช่นนี้ อะไรเป็นเหตุแห่งความเจริญนี้

45     ปรากฏการณ์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ใครไม่เคยเห็นและไม่ได้ยินมาก่อน อะไรเป็นเหตุ วันนี้ วิมานทั้งหลาย จึงมีแสงสดใส และงดงามยิ่งนัก

46     เห็นจะมีเทพบุตรผู้ประกอบกรรมอันงาม บังเกิดขึ้นในโลกนี้ ปรากฏการณ์นี้เป็นอานุภาพของเทพบุตรองค์นั้น หรือมิฉะนั้น ก็จะต้องมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หลังจากนั้น มหาพรหมทั้งหลายในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิเหล่านั้นทั้งหมด ขึ้นสู่วิมานทิพย์ของตน แล้วถือเอาดอกไม้ทิพย์ขนาดใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุท่องเที่ยวไปในทิศทั้งสี่ จนถึงทิศเบื้องล่าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทิศเบื้องล่างนั้น มหาพรหมเหล่านั้น ได้พบ พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ซึ่งประทับอยู่บนอาสนะสิงห์ โคนต้นโพธิ ณ โพธิมณฑลนั้น (พระองค์) กำลังมีเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร พญานาค มนุษย์ อมนุษย์ แวดล้อมอยู่ และมีพระโอรสราชกุมารสิบหกพระองค์ กำลังทูลขอให้ประกาศพระธรรมจักรอยู่

ครั้นพบแล้วพรหมเหล่านั้น ก็เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคจนถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้าที่แทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น กระทำประทักษิณ พระผู้มีพระภาคเจ้าหลายแสนครั้ง และได้บูชา พระผู้มีพระภาค ด้วยภาชนะดอกไม้นั้น อันใหญ่ประมาณเท่าเข้าพระสุเมรุ และเอาดอกไม้เหล่านั้นโปรยลงที่ต้นโพธิ์ด้วย เป็นระยะทางกว้างออกไปประมาณสิบโยชน์ ครั้นทำการบูชาแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ได้ถวายพรหมวิมานของตน ซึ่งเป็นวิมานทิพย์ แด่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงรับพรหมวิมานเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระสุคตโปรดใช้สอยพรหมวิมานเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น มหาพรหมเหล่านั้น ได้ถวายพรหมวิมานของตน แด่พระผู้มีพระภาคแล้ว ได้สดุดีพระผู้มีพระภาค ณ เบื้องพระพักตร์ ด้วยคาถาอันเหมาะสมเหล่านี้ว่า

47     ดีแท้ ที่ได้พบพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นที่พึ่งแห่งชาวโลก ผู้มีศักดิ์ในการปลดเปลื้องสัตว์ในไตรโลกให้หลุดพ้น

48     (พระพุทธเจ้าทั้งหลาย) ผู้มีสมันตจักษุ ผู้เป็นใหญ่แห่งโลก ทอดพระเนตรทิศทั้งสิบ พระองค์ทรงเปิดประตูแห่งอมตะแล้ว ทรงยั่งยืนทั้งหลาย จำนวนมากให้ถึงฝั่ง

49     หลายกัลป์ ที่นับไม่ได้ ที่ว่างเปล่า ได้ผ่านพ้นไปในอดีต ทิศทั้งสิบเต็มไปด้วยความมืด เพราะเว้นว่างจากพระชิเนนทระ(ผู้เป็นจอมแห่งพระชินเจ้า)

50     นรก อันน่าสะพรึงกลัว สัตว์ดุร้ายทั้งหลาย และพวกอสูรเจริญขึ้น สัตว์จำนวนหลายพันโกฏิ ไปเกิดในกำเนิดเปรต

51     เหล่าทวยเทพเสื่อมลง จุติแล้วไปสู่ทุคติ เพราะไม่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าคติของสัตว์ทั้งหลายจึงเลวร้าย

52     ความประพฤติ ความบริสุทธิ์ คติ ปัญญา ของสัตว์ทั้งปวง ก็เสื่อมลง ความสุขก็หมดสิ้นไป ผู้รู้จักความสุขก็ปลาสนาการไปสิ้น

53     สัตว์ทั้งหลายประพฤติอนาจาร ดำรงอยู่ในสัทธรรม ไม่ได้ผู้นำที่เป็นที่พึ่งของโลก ย่อมตกไปสู่ทุคติ

54     พระองค์ทรงประทานความโชติช่วงแก่โลก นับเป็นเวลานานยิ่งที่พระองค์เสด็จมาแล้ว พระองค์ผู้มีความอนุเคราะห์ ทรงอุบัติขึ้น (มาในโลก) เพื่อประโยชน์สุขของสัตว์ทั้งปวง

55     นับเป็นสิ่งประเสริฐ ที่พระองค์ได้บรรลุอนุตตรพุทธญาณ ด้วยความเกษมสำราญ สัตว์โลกพร้อมทั้งเทวดา และข้าพระองค์ทั้งหลาย มีความยินดีอย่างยิ่ง

56     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยอานุภาพของพระองค์ วิมานทั้งหลายจึงวิจิตรงดงามยิ่ง ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์ทั้งหลายขอถวาย (วิมานทั้งหลาย) ข้าแต่พระมหามุนี ขอพระองค์ทรงรับ (วิมาน ทั้งหลายเหล่านี้) ด้วยเถิด

57     ข้าแต่พระผู้นำที่วิเศษ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย  ขอพระองค์จงทรงใช้สอย (วิมานทั้งหลาย) ด้วยเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลาย และสัตว์ทั้งปวงจักได้บรรลุโพธิญาณอันประเสริฐด้วย


         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น มหาพรหมได้สดุดี พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ด้วยคาถาอันไพเราะ ณ เบื้องพระพักตร์นั้นแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระสุคตจงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงพระนิพพาน ขอพระผู้มีพระภาค ได้โปรดยังสัตว์ทั้งหลาย ให้ข้ามพ้น(จากทุกข์) ขอได้โปรดสงเคราะห์ชาวโลก ขอพระผู้มีพระภาคจงแสดงธรรมแก่ชาวโลก พร้อมทั้งมารและพรหม และแก่ประชาชน พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา มนุษย์ และอสูรทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หลังจากนั้น พรหมทั้งหลาย ห้าสิบหมื่นแสนโกฏิ ประชุมกันแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ด้วยสองคาถาอันไพเราะ เป็นเสียงเดียวกันว่า

58     ขอพระองค์จงยังจักรอันประเสริฐสูงสุดให้หมุนไป ของจงลั่นกลองอมตะ(ธรรม) ของพระองค์จงยังสัตว์ ทั้งหลาย ให้พ้นจากทุกข์หลายร้อยประการ และขอพระองค์แสดงทางแห่งพระนิพพานด้วยเถิด

59     ขอพระองค์จงแสดงธรรม ที่เหล่าข้าพระองค์ปรารถนา ขอพระองค์จงอนุเคราะห์ข้าพระองค์และชาวโลกทั้งปวง ขอพระองค์จงเปล่งพระสุระเสียงอันไพเราะอ่อนหวานที่ทรงเคยเปล่งมาแล้ว หลายพันโกฏิกัลป์ด้วยเถิด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 13, 2010, 09:58:30 am โดย ฐิตา »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ทรงทราบความปรารถนาของพรหมหนึ่งแสนโกฏิเหล่านั้น และของพระราชกุมาร ผู้เป็นโอรสสิบหกพระองค์ ได้ทรงแสดงธรรมจักร ในเวลานั้น อันเป็นไปสามรอบ และมีอาการสิบสอง (ปริวรรต 3 โดยอาการ 12)  ที่สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม และชนอื่นๆ ไม่เคยแสดงในโลกว่า นี้คือทุกข์ นี้คือแหตุเกิดทุกข์ นี้คือความดับทุกข์ นี้คือหนทางให้ถึงความดับทุกข์ ทั้งหมดนี้เป็นอริยสัจ และพระองค์ได้ทรงแสดง เรื่องปฏิจจสมุปบาท โดยพิสดารว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะหก อายตนะหกเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปทาน อุปทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ ชาติเป็นปัจจัยให้เกิดชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปยาส อย่างนี้ เป็นเหตุเกิดความทุกข์อันยิ่งใหญ่อย่างเดียว เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ อายตนะหกจึงดับ เพราะอายตนะหกดับผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปทานภพจึงดับ เพราะภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับชรามรณะโศกะปริเทวะทุกข์โทมนัสอุปายาสจึงดับ อย่างนี้ คือความดับกองทุกข์อันยิ่งใหญ่อย่างเดียว

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนี้พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ทรงแสดงพระธรรมจักรอยู่ เบื้องหน้าชาวโลก พร้อมทั้งเทวดา มารพรหม เบื้องหน้าประชาชน พร้อมทั้งสมณะ และพราหมณ์ทั้งหลาย เบื้องหน้าบริษัท พร้อมทั้งเทวดา มนุษย์และอสูรครั้งนั้น ขณะนั้น ครู่นั้น จิตของสัตว์จำนวนหกสิบหมื่นแสนโกฏิ ได้หลุดพ้นแล้วจากอุปทานและอาสวะ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ได้บรรลุวัชชาสาม อภิญญาหก วิโมกข์แปด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต่อมา พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หมาภิชญาชญานาภิภู ได้ทรงแสดงธรรมเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม และครั้งที่สี่

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลแสดงธรรม ของพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ครั้งนั้น จิตของสัตว์หมื่นแสนโกฏิ ซึ่งมีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ได้หลุดพ้นจากอุปทานและอาสวะทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลายหลังจากนั้นหมู่สาวก ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น จึงมีจำนวนมากมายเหลือจะคณานับ

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  สมัยนั้นแลราชกุมารสิบหกพระองค์เหล่านั้น ผู้ยังทรงพระเยาว์อยู่ ทรงมีศรัทธาสละการครองเรือน ทรงบรรพชาเป็นสามเณรทุกพระองค์ ทรงเป็นบัณฑิตแจ่มใส มีปัญญา ชาญฉลาด ทรงเจริญรอยพระยุคลบาท ของพระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ มีพระประสงค์จะบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล สามเณรสิบหกรูปนั้น ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  มหาภิชญาชญานาภิภู นั้นว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาค สาวกหลายหมื่นแสนโกฏิเหล่านี้ ของพระตถาคต เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก มีศักดิ์มาก เพราะอาศัยพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคข้าพระองค์ขอพระวโรกาส ฉะนั้น ขอพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดอนุเคราะห์แสดงธรรมปรารภอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลาย จักได้ดำเนินรอยตามพระตถาคต ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย ปรารถนาจะเห็นพระตถาคตญาณ พระผู้มีพระภาคท่านนั้น  จักเป็นพยานในเรื่องนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงทราบอัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลาย และอัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลาย และอัธยาศัยของข้าพระองค์ทั้งหลายด้วย

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยนั้นแล บริวารของจักรพรรดิราชพระองค์นั้นครึ่งหนึ่ง คือ จำนวนแปดสิบหมื่นแสนโกฏิ ได้เห็นพระราชกุมารผู้ทรงพระเยาว์ สละการครองเรือน ทรงบรรพชาเป็นสามเณร ก็ได้สละละการครองเรือนด้วย

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ทรงทราบอัธยาศัยของสามเณรทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว โดยกาลล่วงไปสองหมื่นกัลป์ จึงได้ตรัสพระสูตรที่มีชื่อว่า สัทธรรมปุณฑรีกะ อันเป็นธรรมบรรยาย ที่ไพศาลเป็นคำสอนพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นที่ยึดถือของพระพุทธเจ้าทั้งปวง ท่ามกลางบริษัทสี่เหล่านั้น

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลครั้งนั้น สามเณรราชกุมารทั้งสิบหกพระองค์ ได้ทรงศึกษารับทรงจำไว้ และกระทำการบรรยาย สุภาษิตของพระตถาคตพระองค์นั้น โดยเอื้อเฟื้อ

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาภิชญาชญานาภิภู ได้ทรงพยากรณ์สามเณรทั้งสิบหกรูปว่า จักบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็แลขณะที่ พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภูตรัสธรรมบรรยาย  สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อยู่นั้น สาวกทั้งหลายได้ถึงความหลุดพ้นแต่สามเณรสิบหกรูปและเหล่าสัตว์จำนวนหลายหมื่นแสนโกฏิ ยังมีความลังเลสงสัย

      ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต่อมาพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ทรงแสดงธรรมบรรยายชื่อ สัทธรรมปุณฑรีกสูตร

นี้ ตลอดแปดพันกัลป์ ติดต่อกัน แล้วเสด็จเข้าไปสู่พระวิหารเพื่อทรงเข้าสมาธิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตซึ่งเข้าสมาธิอยู่นั้น ได้ประทับอยู่ในพระวิหาร ตลอดแปดหมื่นสี่พันกัลป์นั้นแล

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต่อมาสามเณรสิบหกรูปเหล่านั้น ทรงทราบว่าพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาภิชญาชญานาภิภู ทรงเข้าสมาธิ จึงแยกกันประทับบนธรรมาสน์ สิงหาสน์  นมัสการพระผู้มีพระภาคตถาคต มหาภิชญาชญานาภิภู แล้วแสดงธรรมบรรยายชื่อ สัทธรรมปุณฑรีกสูตรโดยพิสดาร ท่ามกลางบริษัทสี่ตลอดแปดหมื่นสี่พันกัลป์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ณ ที่นั้น สามเณรแต่ละรูป ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ ได้ให้สัตว์มากมายหลายหมื่นแสนโกฏิ อันมีจำนวนเท่ากันเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา สำเร็จอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณให้สัตว์เหล่านั้นผ่องใส ร่าเริง บันเทิง หรรษา และข้าพ้น(ความทุกข์ยาก)

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต่อมาพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู พระองค์นั้น มีพระสติทรงรู้สึกพระองค์ ทรงออกจากสมาธิ เพื่อระยะเวลาล่วงไปสี่หมื่นกัลป์ ครั้นเสด็จลุกขึ้นแล้ว พระผู้มีพระภาคตถาคต มหาภิชญาชญานาภิภู เสด็จไปประทับนั่งบนธรรมมาสน์ที่จัดไว้เพื่อพระองค์

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พระผู้มีพระภาคตถาคต มหาภิชญาชญานาภิภู ครั้นประทับนั่งแล้ว ทรงมองดูบริษัททั้งปวงอยู่บนธรรมาสน์ แล้วตรัสกะภิกษุสงฆ์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สามเณรสิบหกรูปเหล่านี้ ผู้ถึงความอัศจรรย์ มีปัญญา เข้าพบพระพุทธเจ้าหลายหมื่นแสนโกฏิ เข้าใกล้พุทธธรรม รับเอาพุทธธรรม หยั่งลงสู่พุทธธรรมแล้ว และประกาศพุทธญาณ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยกย่องสามเณรสิบหกรูปเหล่านี้เนืองๆ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายชนเหล่าใด ยึดมั่นในสาวกญาณก็ตาม ปัจเจกพุทธญาณก็ตาม โพธิสัตวญาณก็ตาม จะไม่ปฏิเสธ จะไม่คัดค้านธรรมเทศนาของกุลบุตร (สามเณร)เหล่านั้น เขาทั้งหมดเหล่านั้นจักได้รับสัมมาสัมโพธิญาณโดยพลัน และจักบรรลุตถาคตญาณ

       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลกุลบุตร(สามเณร) สิบหกรูปเหล่านั้น ได้ประกาศธรรมบรรยายชื่อสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคบ่อยๆ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสามเณรสิบหกรูปเหล่านั้น เป็นโพธิสัตว์มหาสัตว์ แต่ละรูป ได้ส่งเสริมสัตว์หกสิบคูณด้วยหกสิบหมื่นแสนโกฏิ ซึ่งมีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา เพื่อให้เข้าถึงพระโพธิญาณ สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดได้บรรพชาในชาติเหล่านั้น พร้อมกับสามเณรเหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นตามเห็นฟังธรรม จากสามเณรเหล่านั้น สัตว์ เหล่านั้นได้บาพระพุทธเจ้าสี่หมื่นโกฏิพระองค์ บางพวกก็ยังบูชาอยู่ในขณะนี้

       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา(ตถาคต)ขอป่าวประกาศกะพวกเธอว่า พระราชกุมารผู้เยาว์วัยสิบหกองค์ ผู้เป็นสามเณรในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้กล่าวธรรมทั้งหมดนั้น เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และทั้งหมดนั้น ยังประทับอยู่ ดำรงชนม์อยู่ให้ชนชีพเป็นไปอยู่ ในบัดนี้ ในพุทธเกษตรต่างๆทั้งสิบทิศ ยังแสดงธรรมแก่สาวก และโพธิสัตว์หลายหมื่นแสนโกฏิ กล่าวคือ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในโลกธาตุชื่อ "อภิรติ" ในทิศตะวันออกมีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า"อักโษภยะ" และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "สิงหโฆษ" และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า "สิงหธวัช" อยู่

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทิศใต้ มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า "อากาศประดิษฐ์ตะ" และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า "นิตยปรินิวฤตะ" อยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทิศตะวันตกเฉียงใต้มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "อินทรธวัช" และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "พรหมธวัช"อยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทิศตะวันตก มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "อมิตายุ" และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า"สรวโลกธาตูปัทรโวทเวคปรัตยุตตีรณะ" อยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า "ตมาลปัตรจันทนคันธาภิชญะ" และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "เมฆสวรทีปะ" และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "เมฆสวรราช"อยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า"สรวโลกภยัจฉัมภิกตววิธิวังสนกระ" และเราตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "ศากยมุนี" ซึ่งเป็นองค์ที่สิบหก เป็นอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าในท่ามกลางสหโลกธาตุนี้ อยู่

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด ฟังธรรมของเพวกเรา ผู้เป็นสามเณรแล้วสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นมีจำนวนหมื่นแสนโกฏิ เท่ากับจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ที่พวกเราแต่ละพระองค์ ผู้เป็นพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น สนับสนุนเพื่อบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ตั้งอยู่แล้วในสาวกภูมิ ทุกวันนี้ มีอุปนิสัยแก่กล้าแล้ว ที่จะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ นี้คือ ลำดับแห่งการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณของพวกเธอ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า ตถาคตญาณนั้นเป็นสิ่งที่บรรลุได้ยากอย่างยิ่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้นคือพวกไหน ซึงมีจำนวนหลายหมื่นแสนโกฏิ จนประมาณไม่ได้ นับไม่ได้ เท่ากับจำนวนเมล็ดทราย ในแม่น้ำคงคา ที่เราผู้เป็นพระโพธิสัตว์ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นให้ฟังสัพพญญุตญาณแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสัตว์เหล่านั้นก็คือพวกเธอในกาลสมัยนั้นแล


        ก็แล เมื่อเราปรินิพพานแล้วในอนาคตกาล ชนเหล่าใดรักเป็นสาวก และจักฟังจริยาวัตรของพระโพธิสัตว์ แต่รู้ว่าตนเองเป็นพระโพธิสัตว์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เขาเหล่านั้นทั้งหมดเข้าใจในเรื่องปรินิพพาน จักปรินิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีก เราอยู่โลกอื่นโดยใช้นามอื่นชนทั้งหลายเกิดในที่นั้น แสวงหาตถาคตญาณอี และเขาเหล่านั้นก็จักได้ฟังคำสอนนั้นอีก พระนิพพานของตถาคตทั้งหลายมีอย่างนี้เอง พระนิพพานชนิดที่สองนอกเหนือไปจากนี้ ไม่มีอีกแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเข้าใจกุศโลบาย และวิธีการแสดงธรรมของพระตถาคต

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในสมัยใด ตถาคตพิจารณาเห็นกาลเวลา จะปรินิพพานของตนเอง และเห็นบริษัทเป็นผู้บริสุทธิ์ มีศรัทธาตั้งมั่น ถึงคติแห่งศูนยตาธรรม มีความเพียร มีสมาธิยิ่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น ตถาคต ทราบว่า "นี้คือกาลเวลา"แล้วเรียกประชุมโพธิสัตว์และสาวกทั้งหลาย แล้วประกาศให้ทราบคำสอนภายหลังว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในนี้ ยาน หรือปรินิพพานที่ไม่มีสอง จะป่วยกล่าวไปใยถึงยานหรือนิพพานที่สามเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี่คือกุศโลบายของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตถาคตทราบว่าสัตว์ทั้งหลายยังทำลายกิเลสไม่ได้ ฉะนั้น จึงบอกนิพานที่พวกเขาติดข้องอยู่ กับพวกเขาที่ยินดีสิ่งต่ำช้า ทั้งยังจมอยู่ในเปือกตมคือกามอีกด้วย

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลายที่นี้มีตัวอย่างดังนี้ ฝูงชนหมู่ใหญ่เดินทางไปยังป่าทึบ ที่น่ากลัวอันมีบริเวณถึง5โยชน์ เพื่อจะไปยังรัตนทวีป ในบรรดาชนหมู่ใหญ่นั้น คนหนึ่งเป็นคนนำทาง ซึ่งเป็นผู้มีบริเวณทั้งห้าโยชน์ เพื่อจะไปยังรัตนทวีป ในบรรดาชนหมู่ใหญ่นั้น คนหนึ่งเป็นคนนำทางซึ่งเป็นผู้มีความสามารถ เป็นบัณฑิตหลักแหลม มีปัญหา คุ้นเคยทางในป่าทึบ และเข้าให้ผู้ชนนั้นเดินเข้าป่าทึบนั้นไป ต่อมาฝูงชนใหญ่นั้นเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลียและหวาดกลัว จึงพูดว่าท่านผู้นำทางที่ประเสริฐ ท่านเป็นผู้นำทางของพวกเรา ขอให้ท่านทราบเถิดว่า  พวกเราเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย และหวาดกลัว อยากจะกลับป่าทึบนี้กว้างเหลือเกิน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายผู้นำทางนั้นเป็นผู้ฉลาด ทราบว่า ชนเหล่านั้นอยากจะกลับ จึงคิดอย่างนี้ว่าไม่ควรอย่างยิ่งที่คนซึ่งน่าสงสารเหล่านี้เดินทางไปไม่ถึงรัตนทวีปใหญ่นั้น เพื่ออนุเคราะห์เขาเหล่านั้น ผู้นำทางจึงทำอุบาย เขา (ผู้นำทาง) ได้เนรมิตเมืองขึ้นเมืองเหนึ่งด้วยฤทธิ์ เป็นเมืองที่กว้างใหญ่ หนึ่งร้อย สองร้อย สามร้อยโยชน์ กลางป่าทึบนั้น แล้วกล่าวกับชนเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายจงอย่างกลัวเลย จงอย่างกลับเลย ชนบทใหญ่มีอยู่ ท่านทั้งหลายจงพักผ่อนกันที่นี่ จงทำภาระแหละหน้าที่ทุกอย่างขอท่าน ณ ที่นี้เถิด พักผ่อนหลับนอนให้หายเหนื่อยก่อน เมื่อหายเหนื่อยแล้วจะได้เดินทางไปสู่รัตนทวีปต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 13, 2010, 11:54:00 am โดย ฐิตา »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หลังจากนั้น หมู่ชนเหล่านั้นประหลาดใจ อัศจรรย์ใจ คิดว่าเราออกจากป่าทึบน่ากลัวนั้นแล้ว ได้พักผ่อนอย่างสงบสบายที่นี่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่านั้นเข้าไปยังเมืองเนรมิต พวกเขาเข้าใจว่า มาถึงแล้ว ปลอดภัยแล้ว พากันคิดว่า เราได้พักผ่อนสดชื่นขึ้นแล้ว แต่ผู้นำทราบว่า พวกเขาหายเหนื่อยแล้ว จึงทำให้เมืองเนรมิตนั้นอันตรธานไป แล้วก็กล่าวกับชนเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ทุกท่านจงมา รัตนทวีปอยู่ใกล้นี้เอง ส่วนเมืองนี้ข้าพเจ้าเนรมิตขึ้น เพื่อให้พวกท่านได้พักผ่อนเท่านั้น

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ชนทั้งหลาย ผู้เดินป่า ได้พากันประหลาดใจ อัศจรรย์ใจว่า เราได้ออกจากป่าแล้ว เราได้ถึงสถานที่สงบแล้ว เราจักพักที่นี่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายชนเหล่านั้น ได้เข้าไปนครนิมิตนั้นด้วยสำคัญว่า พวกเขาได้มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ได้ปลอดภัยแล้ว และได้ถึงสถานที่สงบสุขแล้ว จากนั้น เมื่อผู้นำทางทราบว่า ชนทั้งหลายหายเหนื่อยแล้ว จึงทำให้นครนิมิตนั้นหายไป เมื่อทำให้หายไปแล้ว จึงกล่าวกับชนเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงมาเถิด เกาะมหารัตนทวีปนี้อยู่ไม่ไกลนัก นครนี้ เรานิรมิตขึ้น เพื่อให้ท่านได้พักผ่อนเท่านั้น

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทำนองเดียวกัน พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ชี้ทางแก่พวกเธอ และสัตว์ทั้งปวงทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แท้ที่จริง พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นว่า ป่าทึบคือกิเลสอันยิ่งใหญ่นี้ เป็นสิ่งที่ควรข้าม หลีกหนี และละทิ้งไม่ควรที่สรรพสัตว์ ผู้ได้ฟังพุทธญาณแล้ว จะกลับเสียโดยพลัน ไม่ก้าวต่อไปด้วยคิดว่า พุทธญาณ เป็นสิ่งยากจะบรรลุได้ ณ ที่นั้นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทราบว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีความอ่อนแอ จึงชี้แจงประกาศ ภูมิ (ฐานะ) ของพระนิพพานสองอย่างคือ สาวกภูมิ และปัจเจกภูมิ ด้วยกุศโลบาย (อุบายอันฉลาดยิ่ง) เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายได้พักผ่อน เหมือนผู้นำทางนั้น สร้างเมืองเนรมิต เมืองที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ เพื่อให้ชนทั้งหลายเหล่านั้นได้พักผ่อนกัน และแล้วได้บอกแก่ผู้พักผ่อนเหล่านั้นว่าว่า นี้เป็นเพียงเมืองเนรมิต ดังนี้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในสมัยใด สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น หยุดอยู่ รออยู่ ที่นั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ณ ที่นั้น พระตถาคตก็จะแสดงอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ ยังไม่ได้ทำภารกิจ และหน้าที่ให้แล้วเสร็จ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากลัวเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พุทธญาณอยู่ใกล้เธอแล้วจากนี้ไป พวกเธอจงมองดูพุทธญาณ และพิจารณาว่า นิพพานของเธอ ไม่ใช่นิพพานที่แท้จริง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นกุศโลบายของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่ประกาศยานเป็นสาม

        ครั้นนั้น เพื่ออธิบายความนั้นให้ละเอียดยิ่งขึ้น ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสพระถาคาเหล่านี้ว่า


60     พระอภิชญาชญานาภิภู พระผู้นำแห่งโลก ผู้ทรงเห็นอรรถอันยิ่ง ได้ประทับนั่งที่โพธิมณฑลติดต่อกันถึง10 กัลป์บริบูรณ์ แต่ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้

61    ครั้นพระชินเจ้า ผู้นำของนรชน ได้ตรัสรู้แล้ว เทวดา นาค อสูร และมารร้ายทั้งหลาย ได้โปรยฝนดอกไม้ลงมา เพื่อบูชาองค์พระชินเจ้านั้น

62     แลพวกเขาเหล่านั้น และเขาเหล่านั้นมีความขัดเคือง เรื่องที่พระพุทธชินเจ้า ได้ตรัสรู้อนุตตรธรรม ช้าไป

63    เป็นเวลา 10 กัลป์ล่วงไป พระผู้มีพระภาคอภิญาชญา(นาภิภู) จึงได้ตรัสรู้ในสมัยนั้น เทวดา มนุษย์ พญานาค และอสูรทั้งหลายต่างพากันดีใจ รื่นเริงหรรษา

64    ต่อมา พระโอรสราชกุมาร 16 พระองค์ผู้แกล้วกล้า และพรั่งพร้อมด้วยคุณธรรมของพระผู้นำแห่งนรชนพระองค์นั้น พร้อมกับหมู่สัตว์หลายพันโกฏิ ได้เสด็จมาทำการบูชาพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นจอมนรชน ที่เลิศยิ่งนั้น

65     พระโอรสราชกุมารเหล่านั้น ครั้นทรงกราบพระบาทพระผู้นำแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระนเรนทรสิงห์ ขอพระองค์ทรงประกาศธรรม ทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย และชาวโลก ได้สดชื่นด้วยพระสุรเสียงที่ไพเราะด้วยเถิด

66    ข้าแต่พระผู้นำที่ยิ่งใหญ่ พระองค์อุบัติขึ้นในโลกทั้งสิบทิศ เป็นเวลาช้านาน วิมานแห่งพรหมทั้งหลาย สั่นสะเทือนเป็นเหตุบ่งบอกนิมิตแก่สัตว์ทั้งหลาย

67ในทิศตะวันออก (พุทธ) เกษตรทั้งหลาย ห้าสิบพันโกฏิ ก็สั่นสะเทือน พรหมวิมานอันประเสริฐ ณ ที่นั้นๆมีรัศมีส่องแสงสว่างไสว

68    พรหมทั้งหลายเหล่านั้น เห็นบุพนิมิตเช่นนี้แล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้นำแห่งโลกได้โปรยปรายดอกไม้ลงมา บูชาพระองค์และได้ถวายพรหมวิมานทั้งปวงแก่พระองค์

69     พรหมเหล่านั้น ได้ทูลขอพระองค์ ด้วยคาถาและบทสวดทั้งหลาย เพื่อให้พระองค์ทรงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป แต่พระองค์ผู้เป็นจอมราชันทรงสงบนิ่ง (ด้วยทรงคิดว่า) นี้ยังไม่ใช่เวลาแสดงธรรมแห่งเรา

70     ในทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน และทิศอันมีในท่ามกลางทั้งหลาย มีพรหมหลายพันโกฏิแล

71     พรหมทั้งหลายได้โปรยปรายดอกไม้บูชาพระผู้ทรงเป็นผู้นำ (พระตถาคต) และกราบพระบาททั้งสองของพระผู้นำมอบถวายวิมานทั้งหลายทั้งปวง กล่าวสดุดีและขอร้องว่า

72     ข้าแต่พระผู้มีจักษุอันหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ทรงให้จักรเป็นไป(ขอจงทรงแสดงธรรม) พะองค์เป็นผู้ที่พบเห็นได้โดยยากเป็นเวลาหลายโกฏิกัลป์ ขอพระองค์ได้โปรดแสดงพลังแห่งพระเมตตาที่พระองค์ทรงเคยแสดงมาแล้วในกาลก่อนขอพระองค์ทรงเปิดประตูแห่งอมตะด้วยเถิด

73      พระผู้มีพระจักษุอันหาที่สุดมิได้ (ผู้เห็นการณ์โลก) ตถาคตเจ้า ครั้นสดับคำทูกลขอแล้ว ทรงประกาศธรรมหลายประการ พระองค์ได้ประกาศอริยสัจสี่โดยพิสดาร พระองค์ทรงแสดงว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยของกันและกัน

74     พระผู้มีพระจักษุ (ตถาคต) ทรงประกาศทุกข์ อันมีมรณะเป็นที่สุด เริ่มต้นจากอวิชชา (พระองค์ทรงประกาศว่า) อกุศลทั้งปวงเหล่านี้ เกิดจากชาติและ(ว่า) ท่านทั้งหลาย จงทราบอย่างนี้ว่า มฤตยู (ความตาย) เป็นสิ่งที่มีแก่มนุษย์(เป็นเป็นของมนุษย์)

75     แลต่อมาพระองค์ทรงประกาศพระธรรมหลายอย่างหลายประการ สัตว์ทั้งหลายประมาณ 80 โกฏิ ฟังแล้วตั้งอยู่ในภาวะแห่งสาวกโดยพลัน

76     วาระที่สอง เมื่อพระชินเจ้าประกาศธรรมจำนวนมาก สัตว์ทั้งหลายที่บริสุทธิ์มีจำนวนเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ก็ได้ตั้งอยู่ในสาวกภูมิ ในขณะนั้น

77     แต่นั้นหมู่สาวกของพระผู้นำแห่งโลกนั้น ในกาลครั้งนั้น ได้มีมากเหลือทีจะคณานับ ไม่มีใครสักผู้หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะนับได้ แม้จะนับไปตลอดหลายโกฏิกัลป์

78     เจ้าฟ้าชาย สิบหกพระองค์ อันเป็นพระราชโอรสขององค์พระชินเจ้าทุกพระองค์ซึ่งเป็นนักบวชดำรงภาวะเป็นสามเณร ได้กราบทูลกระพระชินเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้นำแห่งโลก ขอพระองค์ทรงประกาศพระธรรมอันเลิศเถิด

79     ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐสุดแห่งพระชินเจ้าทั้งหลาย เพื่อที่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้เป็นพระสัพพัญญู เช่นเดียวกับพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า ผู้ทรงเห็นแจ้งหมดจด เพื่อที่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จะเป็นอย่างที่พระองค์ได้ทรงเป็น

80     พระชินเจ้าครั้นทรงทราบพระประสงค์ของเจ้าฟ้าชายราชโอรสเหล่านั้นแล้วทรงประกาศธรรมอันสูงสุดด้วยการยกตัวอย่างอเนกประการ (หลายโกฏิยุต มิใช่หนึ่ง)

81     พระโลกนาถ เมื่อจะทรงแสดงและชี้แจงอภิญญาหลายพันวิธี ทรงแสดงหน้าที่อันแท้จริง อย่างที่พระโพธิสัตว์ผู้ฉลาดทั้งหลายปฏิบัติอยู่

82     พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไวปุลยสูตร ชื่อว่า สัทธรรมปุณฑรีกนั่นด้วยคาถามากมายหลายพันคาถา อันมีประมาณเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา

83     ก็แล พระชินเจ้าพระองค์นั้น ครั้นตรัสพระสูตรนี้แล้วก็เสด็จเข้าไปสู่วิมานพักผ่อน พระโลกนาถทรงนั่นเข้าสมาธิอยู่บนอาสนะเดี่ยวตลอด 84 กัลป์

84     สามเณรทั้งหลายเหล่านี้ทราบว่า พระผู้ทรงเป็นผู้นำประทับนั่งไม่เสด็จออกไปจึงได้แสดงพุทธธรรม ซึ่งปราศจากอาสวะ อันประเสริฐนี้จำนวนหลายโกฏิ

85     สามเณรทั้งหลายเหล่านั้น แต่ละรูป นั่งบนอาสนะที่ถูกจัดแยกไว้ รูปละที่ ได้แสดงพระสูตรนี้แก่หมู่สัตว์เหล่านั้นในศาสนาของพระสุคต ในกาลนั้น เช่น เดียวกันกับที่แสดงอยู่ในสมัยแห่งเราตถาคต

86     สามเณรเหล่านั้นได้แสดง(ญาณ) แก่สัตว์ทั้งหลายประมาณไม่ได้เหมือนจำนวนเมล็ดทรายในหกหมื่นคงคานที พระโอรสแต่ละองค์ของพระสุคตนั้น แนะนำสัตว์ทั้งหลายมิใช่น้อย

87     เมื่อพระชินเจ้าพระองค์นั้นปรินิพพานแล้ว สามเณรทั้งหลายเหล่านั้นได้ท่องเที่ยวไปเฝ้าพระพุทธเจ้าหลายโกฏิ และทำการบูชาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย พร้อมกับพระสาวกทั้งหลายในกาลนั้น

88     พระราชโอรสทั้ง 16 พระองค์ เหล่านั้น ของพระชินเจ้า ครั้นประพฤติธรรมอันไพบูลย์และสูงส่งและได้ตรัสรู้โพธิญาณในทิศต่างๆ ทั้งสิบทิศแล้ว ได้ทรงเป็นพระชินเจ้า ทรงประทับอยู่เป็นคู่ในทิศทั้งปวง (ทิศละสองพระองค์)

89     ในกาลครั้งนั้น ทุกคนผู้ซึ่งเคยเป็นสาวก (ของพระโอรส) ก็ได้เป็นสาวกของพระชินเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น และได้บรรลุโพธิญาณด้วยอุบายต่างๆโดยลำดับ

90     แม้เราตถาคตก็เป็นผู้หนึ่ง ในจำนวนนั้น แม้ตถาคตก็ได้สั่งสอนเธอทั้งปวง เพราะฉะนั้น ในบัดนี้ เธอทั้งหลายก็เป็นสาวกของเราตถาคต ณ ที่นี้ เราตถาคตจะนำเธอให้เข้าถึงโพธิญาณด้วยอุบายทั้งหลาย (ของเราตถาคต)

91    เหตุอันนี้ ได้มีแล้วในกาลครั้งกระนั้น นี้คือปัจจัยที่ให้เราตถาคตแสดงธรรมด้วยเหตุปัจจัยนี้แล เราตถาคตจะนำเธอทั้งหลายให้เข้าถึงพุทธญาณอันเลิศของเรา ภิกษุทั้งหลาย ณ ที่นี้ เธอทั้งหลาย จงอย่าได้กลัวเลย

92     เปรียบเหมือนป่าทึบน่ากลัว เวิ้งว้าง ไม่มีที่พักพิงและอาศัย อันเต็มไปด้วยสัตว์ป่ามากมาย และปราศจากน้ำ ป่านั้นพึงเป็นที่น่ากลัว สำหรับผู้คนทั้งหลายที่ขาดความชำนาญป่า

93     ก็แล คนจำนวนหลายพันมาถึงป่า และป่านั้นเป็นป่าที่เวิ้งว้าง มีบริเวณยาวตั้ง 500 โยชน์

94     คนซึ่งเป็นผู้นำทาง ผ่านป่าอันน่ากลัวนี้ไปนั้น เป็นคนมั่งคั่ง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นปราชญ์ เป็นผู้ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี และกล้าหาญ

95     แม้คนจำนวนหลายโกฏิเหล่านั้นมีความเหน็ดเหนื่อย จึงบอกแก่ผู้นำทางนั้น ในเวลานั้นว่า ท่านผู้เจริญ พวกเราเหนื่อยเหลือเกิน ไม่สามารถจะเดินทางต่อไปได้เราอยากจะกลับจากที่นี่

96     แต่ผู้นำทางนั้น เป็นผู้ฉลาด เป็นบัณฑิต จึงคิดหาอุบายที่จะพาไปต่อไปในขณะนั้น จึงคิดว่า น่าเสียดาย หากผู้เขลาเบาปัญญาทั้งปวง พาตนเองกลับไปเสียก็จะไม่ประสบรัตนะทั้งหลายเลย

97     ไฉนหนอ ข้าพเจ้า (ผู้นำทาง)พึงนิรมิตนครใหญ่นครหนึ่ง อันกอปรด้วยตึกรามบ้านช่องและวิหารหลายพันโกฏิ พร้อมทั้งสวนอันงดงามด้วยพลังแห่งฤทธิ์ของตนในวันนี้

98     ข้าพเจ้า (ผู้นำทาง) พึงนิรมิตบ่อน้ำ แม่น้ำ สวนและดอกไม้ทั้งหลาย(นคร)ที่มีป้อมปราการและประตูอันสวยงาม เต็มไปด้วยผู้คนทั้งบุรุษและสตรีทั้งหลาย

99     ข้าพเจ้า (ผู้นำทาง) ครั้นทำการนิรมิต พึงกล่าวกะเข้าทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายอย่างกลัวเลย ท่านทั้งหลาย จงรื่นเริงหรรษากันเถิด ท่านทั้งหลายถึงเมืองอันประเสริฐยิ่งแล้ว จงเข้าไปทำธุรกิจของท่านทั้งหลาย โดยเร็วเถิด

100   เพื่อให้คนเหล่านั้นได้พักผ่อน (คนนำทาง)จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายคงหายเหนื่อยแล้ว จงสนทนากันตามสบายใจเถิด เพราะได้ผ่านป่ามาแล้วโดยสิ้นเชิงดังนี้ ซึ่งความก็ทำให้ทุกคนหายเหนื่อยได้

101   (ผู้นำทาง)ครั้นทราบแล้วว่าเขาทั้งหลายพักผ่อนเพียงพอแล้ว ได้เรียกให้พวกเขามารวมกัน แล้วกล่าวอีกว่า "ท่านทั้งหลาย จงมาฟังคำของข้าพเจ้า นครนี้ ข้าพเจ้าสร้างขึ้นมาด้วยฤทธิ์

102   ข้าพเจ้า (ผู้นำทาง)ทราบว่า ท่านทั้งหลายเหน็ดเหนื่อยแล้ว เพื่อไม่ให้ท่านทั้งหลายพากันกลับไป จึงทำกุศโลบายอย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงเกิดความกล้าหาญเพื่อเดินทางต่อไปยังเกาะเถิด

103   ภิกษุทั้งหลาย ในทำนองเดียวกัน เราตถาคต ซึ่งเป็นผู้นำทาง นำสรรพสัตว์หลายพันโกฏิ เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายมีความทุกข์ยากและสัตว์ทั้งหลายไม่สามารถจะทำลายกองกิเลสได้

104   แต่นั้น เราตถาคตไตร่ตรองเรื่องนี้ (และทราบว่า) เธอทั้งหลายได้พักผ่อนแล้วมีความสงบแล้ว ความดับแห่งทุกข์ทั้งปวงย่อมมี (และกล่าวว่า) เธอทั้งหลายทำกิจที่พึงกระทำแล้ว พึงตั้งอยู่ในภูมิอรหันต์

105   เมื่อใดเธอทั้งหลายตั้งอยู่ในสภาวะนี้แล้ว (บรรลุอรหันต์) เราตถาคตทราบว่าเธอทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ เมื่อนั้นเราตถาคตก็จะเรียกให้เธอทั้งหลายมาประชุมกันแล้วอธิบายว่า ธรรมอันแท้จริงคืออะไร


106   เป็นอุบายอันฉลาดของพระผู้เป็นผู้นำทั้งหลาย แท้ที่จริงมีเพียงยานเดียวเท่านั้น ยานที่สองไม่มี แต่ท่านแสดงอีกสองยานไว้ก็เพื่อจะให้ได้พักผ่อนเท่านั้นเอง

107   ภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราตถาคตจึงกล่าว ณ บัดนี้ว่า เธอทั้งหลายจงก่อให้เกิดความกล้าหาญอันสูงส่งยอดเยี่ยมด้วยสัพพัญญุตญาณทั้งปวงที่ได้ก่อให้เกิดมีขึ้นแล้วนั้น เธอทั้งหลายก็จะบรรลุนิพพานที่ยังไม่บรรลุได้

108   ก็ในกาลที่เธอทั้งหลายจักสัมผัสกับสัพพัญญุตญาณ มีพละสิบ (ทศพละญาณ) ซึ่งเป็นธรรมของพระชินเจ้าทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จักเป็นพุทธะ ทรงไว้ซึ่งมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ และถึงซึ่งพระนิพพาน

109   เทศนาของพระผู้ทรงเป็นผู้นำทั้งหลาย (ตถาคตทั้งหลาย) เป็นเช่นนี้ พระตถาคตทั้งหลาย ตรัสพระนิพพาน เพื่อการพักผ่อน ก็แลครั้นพระตถาคตทราบว่า ทุกท่านได้พักผ่อนแล้วจึงสอน สัพพัญญุตญาณ อันเป็นธรรมให้ถึงพระนิพพาน(ความดับ)แก่ทุกท่านแล

บทที่ 7 ปูรวโยคปริวรรต ว่าด้วยปุพพโยคกรรม
ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ
มีเพียงเท่านี้

***********





http://www.mahayana.in.th/tmayana/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81/สัทธรรมปุณทรีกะบท7.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 13, 2010, 01:45:16 pm โดย ฐิตา »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
 
 
 
                         :13:    อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ คุณมดเอ็กซ์