อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล

พระเถรีสมัยพุทธกาล

<< < (11/12) > >>

ฐิตา:


ภิกษุณีทั้งหลาย นอกจากพระมหาปชาบดีเถรีนั้นได้พากันเหาะขึ้นสู่นภากาศเป็น ผู้ประกอบด้วยมหิทธิฤทธิ์รุ่งโรจน์เหมือนดวงดาวทั้งหลาย อันโคจรเป็นกลุ่มกันไป ครั้งนั้นภิกษุณีเหล่านั้นได้แสดงฤทธิ์มิใช่น้อยเหมือนนายช่างทองผู้ชำนาญการทำทองแสดงเครื่องประดับหลากชนิด ฉะนั้น

ในครั้งนั้น ภิกษุณีเหล่านั้นแสดงปาฏิหาริย์ได้วิจิตรหลายอย่าง ทำพระมุนีผู้เป็นพระศาสดา ผู้ประเสริฐ พร้อมทั้งบริษัทให้ชอบใจแล้ว ได้พากันลงจากนภากาศถวายบังคมพระศาสดาพระผู้เป็นฤาษีพระองค์ที่ ๗ อันพระศาสดาผู้เป็นยอดของนรชน ทรงอนุญาตแล้วจึงได้นั่ง ณ สถานที่อันสมควรแล้วได้กราบทูลว่า

“ข้าแต่พระมหาวีระ โอหนอ...พระโคตมีเถรี เป็นผู้อนุเคราะห์ข้าพระองค์ทุกๆ คน พวกข้าพระองค์อันบุญบารมีของพระองค์อบรมแล้ว จึงพากันบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผากิเลสได้แล้ว ถอนภพทั้งปวงได้แล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกเหมือนช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่ข้าพระองค์ทั้งหลายมาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เป็นการมาดีแล้วหนอ

วิชชาสาม พวกข้าพระองค์บรรลุมาแล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้า พวกข้าพระองค์ก็ได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ทั้งหลายทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าอันข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำเสร็จแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความชำนาญในฤทธิ์และทิพโสตธาตุ”

“ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพระองค์ทั้งหลายชำนาญเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณชำระทิพยจักษุได้แล้ว สิ้นอาสวะหมดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีญาณในอรรถธรรมนิรุตติและปฏิภาณ ญาณนั้นเกิดที่สำนักของพระองค์ ข้าแต่พระมหามุนี

ฐิตา:


ข้าแต่พระมหามุนีผู้ทรงเป็นผู้นำ พระองค์เป็นผู้อันข้าพระองค์ทั้งหลายผู้มีเมตตาจิต บำรุงแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ทั้งหมดนิพพานเถิด”

พระชินพุทธเจ้าตรัสว่า “เธอทั้งหลายเมื่อพูดอย่างนี้ว่า จักนิพพาน ตถาคตจักไปว่าอะไร ก็บัดนี้เธอทั้งหลายจงสำคัญกาลเวลาของเธอเอาเองเถิด”

ครั้งนั้นภิกษุณีเหล่านั้นมีพระปชาบดีโคตมีเถรีเป็นต้น ถวายบังคมพระชินพุทธเจ้า แล้วได้พากันลุกจากที่นั่งนั้นมา พระธีรเจ้าผู้นำเลิศของโลกพร้อมด้วยหมู่ชนเป็นอันมาก ได้เสด็จไปส่งพระมาตุจฉาจนถึงซุ้มประตู

ครั้งนั้นพระปชาบดีโคตมีเถรีพร้อมด้วยภิกษุณีทั้งหมด ได้พากันหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระศาสดา ผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของโลกกราบทูลว่า

“นี้เป็นการถวายบังคมพระยุคลบาทครั้งสุดท้ายของหม่อมฉัน การได้เห็นพระองค์ผู้เป็นนาถะของโลกครั้งนี้ ก็เป็นครั้งสุดท้าย หม่อมฉันจักไม่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ซึ่งมีอาการดุจอมตะอีก ข้าแต่พระมหาวีระผู้เลิศของโลก การถวายบังคมของหม่อมฉันไม่สัมผัสพระยุคลบาทของพระองค์ ซึ่งละเอียดอ่อนดี วันนี้หม่อมฉันจะนิพพาน”

พระศาสดาตรัสว่า “ประโยชน์อะไรของเธอ ด้วยรูปนี้ในปัจจุบัน รูปนี้ล้วนปัจจัยปรุงแต่ง ไม่น่ายินดีเป็นของต่ำทราม”

พระมหาปชาบดีเถรีพร้อมด้วยภิกษุณีเหล่านั้นไปสำนักของภิกษุณีของตนแล้ว นั่งพับเพียบบนอาสนะอันประเสริฐ

ครั้งนั้น อุบาสิกาทั้งหลายในพระนครนั้นผู้มีความเคารพรักในพุทธศาสนา ได้สดับประพฤติเหตุของพระเถรี ก็พากันเข้าไปหา นมัสการแทบบาทมูลร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร เต็มกลั้นด้วยความโศกเศร้า ก็ล้มลงที่พื้นพสุธาดุจเถาวัลย์รากขาดฉะนั้น พากันรำพันว่า

“ข้าแต่พระแม่เจ้าผู้เป็นนาถะให้ที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย พระแม่เจ้าอย่าละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายไปสู่นิพพานเลย ข้าพเจ้าทุกคนขอซบเกล้าอ้อนวอน”

พระมหาปชาบดีเถรีลูบศีรษะของอุบาสิกา ผู้มีศรัทธา มีปัญญาซึ่งเป็นหัวหน้าของอุบาสิกาเหล่านั้นกล่าวดังนี้ว่า

“ลูกเอ๋ย ความโศกสลด ซึ่งตกอยู่ในบ่วงแห่งมารไม่ควรเลย สังขารทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง การพลัดพรากกันเป็นที่สุด หวั่นไหวไปมา”

ต่อแต่นั้นพระเถรีก็สละอุบาสิกาเหล่านั้น เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตตถฌาน แล้วเข้ากาสานัญจายตนฌาน วิญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน และเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ตามลำดับแล้ว พระปชาบดีโคตมีเถรีก็เข้าฌานทั้งหลายโดยปฏิโลมแล้ว ก็เข้าปฐมฌานไปตราบเท่าถึงจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานนั้นแล้วก็ดับ เหมือนเปลวประทีปที่ปราศจากเชื้อแล้วดับไปฉะนั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ สายฟ้าก็ตกลงจากนภากาศ กลองทิพย์ก้บันลือลั่นขึ้นเอง ทวยเทพพากันคร่ำครวญและฝนดอกไม้ก็ตกจากอากาศลงยังพื้นแผ่นดิน แม้ขุนเขาเมรุราชก็กัมปนาทหวั่นไหวเหมือนนักฟ้อนรำในท่ามกลางเวทีฟ้อนรำ

ฐิตา:


ฉะนั้น สาครก็ปั่นป่วนตีฟองคะนองเพราะความโศก ทวยเทพ นาค อสูร และพรหมต่างก็พากันสลดใจ กล่าวขึ้นในทันใดนั้นเองว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เหมือนอย่างพระนางปชาบดีโคตมีเถรี ถึงความย่อยยับไปแล้ว และพระเถรีทั้งหลายผู้ทำตามคำสอนของพระศาสดา ซึ่งแวดล้อมพระนางปชาบดีโคตมีเถรีนี้ก็พากันนิพพาน เหมือนเปลวประทีปหมดเชื้อฉะนั้น

โอ้..ความพบกัน ก็มีความพลัดพรากจากกันเป็นที่สุด..!
โอ้..สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งล้วนแต่ไม่เที่ยง..!
โอ้..ชีวิตมีความหายสูญเป็นที่สุด..!
ความพิไรรำพัน ได้มีแล้วด้วยประการฉะนั้น

ลำดับนั้นเทวดาและพรหม ต่างก็ทำความประพฤติตามโลกธรรมตามสมควรแก่กาลแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้เป็นยอดฤาษี พระองค์ที่ ๗

ครั้งนั้น พระศาสดาได้ตรัสเรียกท่านพระอานนท์ผู้พหูสูตมาสั่งว่า “อานนท์ เธอจงไปประกาศให้ภิกษุทั้งหลาย ทราบถึงการนิพพานของพระมารดา” เวลานั้นท่านพระอานนท์ผู้ร่าเริง ก็ไร้ความร่าเริง มีดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาได้กล่าวด้วยเสียงร้องไห้ว่า

“ขอภิกษุทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคต ซึ่งอยู่ในทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก และ ทิศเหนือ จงมาประชุมกัน ภิกษุณีผู้ทำพระสรีระสุดท้ายของพระมุนีให้เติบโตด้วยน้ำนม มีนามว่า พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีนิพพานถึงความสงบเหมือนดวงดาวทั้งหลาย เหมือนดวงอาทิตย์อุทัยฉะนั้น พระเถรีตั้งบัญญัติทำให้รู้กันทั่วไปว่า เป็นพระพุทธมารดา นิพพานแล้วในที่ใด ถึงคนมี ๕ ตาก็แลไม่เห็น ในที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเป็นผู้นำ ทรงเห็นได้ ขอพระโอรสของพระสุคตผู้มีความเชื่อในพระสุคต หรือเป็นศิษย์ของพระมหามุนี จงทำสักการะแด่พระพุทธมารดาเถิด

ภิกษุทั้งหลายถึงอยู่ไกล ได้ฟังคำประกาศนั้นแล้วก็รีบมา บางพวกมาด้วยพุทธานุภาพ บางพวกที่ฉลาดในฤทธิ์ก็มาด้วยฤทธิ์ ต่างช่วยกันยกเอาเตียงที่พระโคตมีเถรีหลับขึ้นไว้ในเรือนยอด (เมรุ) อันประเสริฐ น่ารื่นรมย์ ทำด้วยทองล้วนๆ งดงาม ท้าวโลกบาลทั้งสี่เอาบ่าเข้ารองรับเรือนยอด ทวยเทพที่เหลือมีท้าวสักกะเป็นต้นเข้าช่วยรับเรือนยอด ก็เรือนยอดทั้งหมดมี ๕๐๐ หลัง

แท้จริงวิษณุกรรมเทพบุตรเนรมิตมีสีเหมือนดวงอาทิตย์ในสุรทกาล ทวยเทพทั้งหลายได้แบกภิกษุณีทุกๆ รูปที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว นำเอาออกไปตามลำดับ พื้นนภากาศถูกเอาเพดานบังไว้ทั่วดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์พร้อมทั้งดวงดาวซึ่งสำเร็จด้วยทอง ได้ถูกยกขึ้นไว้เป็นอันมาก จิตกาธารทั้งหลายมีดอกไม้เป็นเครื่องปกคลุม ดอกบัวที่เกิดขึ้นในอากาศเอาปลายลงดอกไม้ผุดขึ้นจากแผ่นดิน ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ คนมองดูเห็นได้ และดาวทั้งหลายส่องแสงระยิบระยับ


ฐิตา:



อนึ่ง ดวงอาทิตย์ถึงจะโคจรไปในเวลาเที่ยง ก็ไม่ทำใครๆ ให้ร้อนเหมือนดวงอาทิตย์ ทวยเทพทั้งหลายพากันบูชาด้วยของทิพย์คือของหอมและดอกไม้ที่หอมตระหลบและการฟ้อนรำขับร้องดีดสีตีเป่า พวกนาคอสูรและพรหม ต่างก็พากันบูชาพระพุทธมารดาผู้นิพพานแล้ว กำลังถูกเขานำไปตามสติกำลัง ภิกษุณีทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคตซึ่งนิพพานแล้วทั้งหมดเชิญไปข้างหน้า พระปชาบดีโคตมีเถรีพุทธมารดา ผู้อันเทวดาและมนุษย์สักการะเชิญเอาไปข้างหลัง เทวดา มนุษย์ พร้อมด้วยนาค อสูรและพรหมไปข้างหน้า ข้างหลังพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกเสด็จไปเพื่อบูชาพระมารดา

การปรินิพพานของพระพุทธเจ้าหาได้เป็นเช่นนี้ไม่ การปรินิพพานของพระปชาบดีโคตมีเถรี อัศจรรย์ยิ่งนัก ในเวลาพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไม่มีพระพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลาย มีพระสารีบุตรเป็นต้น เหมือนในเวลาพระปชาบดีโคตมีเถรีนิพพาน ซึ่งมีพระพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้น ชนทั้งหลายช่วยกันทำจิตกาธารซึ่งสำเร็จด้วยของหอมล้วนและเกลื่อนไปด้วยจุรณแห่งเครื่องหอม แล้วเผาภิกษุณีเหล่านั้นบนจิตกาธารนั้น ส่วนแห่งสรีระนอกนั้นถูกไฟไหม้สิ้นเหลือแต่อัฐิ

ในเวลานั้นท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่าจาอันให้เกิดความสังเวชว่า
“พระปชาบดีโคตมีเถรีเข้านิพพานแล้ว พระสรีระของพระเถรีก็ถูกเผาแล้ว การนิพพานของพระพุทธเจ้าน่าสังเกต อีกไม่นานก็คงจักมี”

ต่อจากนั้นท่านพระอานนท์อันพระพุทธเจ้าทรงตักเตือนท่าน ได้น้อมพระธาตุของพระปชาบดีโคตมีเถรีซึ่งอยู่ในบาตรของพระเถรีเข้ามาถวายแด่พระโลกนาถ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประคองพระธาตุเหล่านั้นด้วยฝ่าพระหัตถ์แล้วตรัสว่า

                   

“เพราะสังขารเป็นสภาพไม่เที่ยง โคตมีผู้เป็นใหญ่กว่าหมู่ภิกษุณียังต้องนิพพาน เหมือนลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่มีแก่นยืนต้นอยู่ ถึงจะใหญ่โตก็ต้องผุพังไปฉะนั้น ดูเอาเถิดอานนท์ พระพุทธมารดาแม้นิพพานแล้วเหลือแต่เพียงสรีระ ก็ไม่มีความเศร้าโศกปริเทวนาการ”

ท่านพระอานนท์ทูลว่า “น่าอัศจรรย์จริงหนอ พระมารดาของข้าพระองค์ แม้นิพพานแล้วเหลือแต่เพียงสรีระ ก็ไม่มีความเศร้าโศกปริเทวนาการ”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “โคตมีข้ามสาครคือสงสารไปแล้ว ละเว้นเหตุอันทำให้เดือดร้อนได้แล้ว เป็นผู้เยือกเย็นดับสนิทแล้ว อันผู้อื่นไม่ควรเศร้าโศกถึง โคตมีเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก และมีปัญญากว้างขวาง ทั้งเป็นผู้รู้ราตรีนานกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทรงจำไว้อย่างนี้เถิด โคตมีเป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์ ทิพพโสตธาตุ และมีความชำนาญในเจโตปริยญาณ รู้ทั่วถึงปุพเพนิวาสสานุสสติญาณ ชำระทิพยจักษุให้หมดจด สิ้นอาสวะหมดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ญาณในอรรถะธรรมะ นิรุตติและปฏิภาณบริสุทธิ์

เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรจะเศร้าโศกถึงโคตมีนั้น คติของไฟที่ลุกโพลง ถูกแผ่นเหล็กทับแล้วดับไปโดยลำดับ ใครๆ ก็รู้ไม่ได้ฉันใด คติของท่านที่หลุดพ้นจากกิเลสโดยชอบแล้ว ข้ามพ้นโอฆะ คือพันธะทางกาม บรรลุอจลบท บทที่ไม่หวั่นไหวแล้ว ก็ไม่มีใครจะรู้ได้ฉันนั้น เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นที่พึ่ง มีสติปัฏฐานเป็นทางดำเนินเถิด เธอทั้งหลายอบรมโพชฌงค์ ๗ ประการแล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้”



ขอบพระคุณที่มาส่วนนี้จาก : คุณ winmaxlove
Credit by : http://www.sookjai.com/index.php?topic=1574.0
Pics by : Google
ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุค่ะ

ฐิตา:


ตอน สมเด็จพระพิมพารำพัน
สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี
จาก หนังสือ วิมุตติรัตนมาลี
รจนาโดย พระพรหมโมลี วัดยานนาวา กทม.
กาลครั้งนั้น ฝ่ายเจ้าสุมิตตากุมารีสาวโศภาแห่งปัจจันตคามคู่สร้างบารมีแห่งองค์สมเด็จพระชินวร แต่ครั้งศาสนาพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งกลับชาติมาเกิดเป็นเจ้าหญิงพิมพาราชเทวี ชนนีแห่งพระราหุลขัตติยราชกุมาร เมื่อได้เสาวนาการเสียงโกลาหลสำเนียงนฤโฆษสนั่นถึงพระโสตดั่งนั้น พระนางเจ้าจึงมีเสาวนีย์ตรัสถาม นางกำนัลนิกรเปสกาว่า

"ดูกรเจ้าทั้งหลาย อันว่าเสียงโกลาหลวุ่นวายนั้น เกิดขึ้นด้วย เหตุปรากฏมีเป็นไฉน?"

นางกำนัลทั้งหลาย ออกไปสืบได้ความมาแล้วจึงทูลว่า

"ข้าแต่พระแม่เจ้า กาลบัดนี้ พระราชสวามีของพระแม่เจ้าเสด็จมาถึงกรุงกบิลพัสดุ์ด้วยเพศสมณะครองผ้ากาสาวพัสตร์ พระหัตถ์ทรงซึ่งบาตรบทจรลีลาศเที่ยวภิกขาจาร ชนทั้งหลายซึ่งเป็นชาวเมืองได้ทอดทัศนาการเห็นแปลกประหลาด จึงเกิดเอิกเกริกโกลาหลขึ้น เหตุเป็นดั่งนี้แล พระแม่เจ้า"

เมื่อเจ้าพิมพาราชเทวีได้สดับเหตุดั่งนี้ ความที่ไม่เคยคิดฝันและไม่เคยฟังมาแต่กาลก่อน ก็ให้เร่าร้อนรันทดพระหฤทัยโทมนัสตรัสว่า

"พระลูกเจ้าสถิตในพระนครนี้ จะเสด็จไปในสถานที่ใด ก็เคยทรงกุญชรชาติพาชีสีวิกากาญจน์ยานราชรถ อันปรากฏด้วยดิเรกราชานุภาพมหึมา ก็บัดนี้ มาปลงพระโลมามัสสุและเกศา ทรงนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด พระหัตถ์ทรงซึ่งบาตรเสื่อมสูญพระยศศักดาเดชดุจเพศคนจัณฑาล เที่ยวภิกขาจารทรมานพระองค์ ไม่มีพระภูษาทรงแลอาภรณ์หรือไฉน พระสิริวิลาสจะแปลกประหลาดเป็นประการใดในคราวนี้ น่าสงสารนัก

อนึ่ง ชะรอยพิมพานี้จะเป็นหญิงกาลกิณีอาภัพอัปลักษณ์ทุรพลไม่มีกุศลแต่กาลก่อนหรือไฉน จึงเผอิญบันดาลให้พระลูกเจ้าบำราศร้างห่างเสน่หา ทั้งนี้น่าจะเป็นด้วยอกุศลกรรมกระทำไว้แต่ปุเรชาติ พระภัสดาจึงเสด็จนิราศจากไปด้วยหมดอาลัยไยดี แต่พิมพานี้ครองชีวิตกินแต่อัสสุชลธารามาก็ช้านาน ช่างกระไร พระลูกเจ้าไม่มีพระหฤทัยโปรดปรานกรุณาบ้าง มาตัดขาดเด็ดเดี่ยวบำราศร้างอย่างประหนึ่งว่าเป็นอื่นไป อนิจจา! น่าอนาถใจถึงไม่มีพระอาลัยไยดีในพิมพา ก็น่าที่จะทรงจินตนาการมาถึงเจ้าราหุลราชกุมารหน่อน้อยบ้างก็มิได้มี"

ตรัสพลางเจ้าพิมพาราชเทวี ก็ทรงพระโศกีกำสรดพิลาปพระพักตราอาบไปด้วยนัยนามพุธารา พระหัตถ์มุ่นพระเกศาพลางเสด็จอุฏฐาการโดยด่วน ชวนพระราหุลราชโอรสบทจรสู่สีหบัญชรปราสาท ด้วยพระทัยปรารถนาจะทอดทัศนาพระภัสดา ซึ่งมีข่าวว่าได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ จึงเผยพระแกลเล็งแลดูพระสัพพัญญู ก็ได้ทัศนาเห็นองค์สมเด็จพระบรมครูภควันต์ ซึ่งในขณะนั้นพระองค์กำลังทรงรุ่งเรืองไปด้วยถ่องแถวพระฉัพพิธพรรณรังสี ครบบริบูรณ์ด้วยพระทวัตติงสมหาปุริสลักขณะและพระอสีตยานุพยัญชนะวิจิตรตั้งแต่พระอุณหิสลงมาจนตราบเท่าถึงพื้นฝ่าพระยุคลบาท ไพโรจน์ด้วยพระสิริวิลาสหาที่จะเปรียบมิได้ จึงยกพระหัตถ์ชี้ให้เจ้าราหุลได้ทอดทัศนา แล้วก็มีพระเสาวนีย์พรรณนาพระบวรรูปแห่งพระภัสดา โดยใจ ความว่า

"ดูกรพ่อราหุลลูกรัก พระมหาสมณะผู้มีศักดิ์ใหญ่ ซึ่งกำลังเสด็จเที่ยวโคจรบิณฑบาตไปด้วยพระพุทธลีลาอันงามนี้ พระองค์ทรงมีเส้นพระเกศาละเอียดอ่อน และวนเวียนเป็นทักษิณาวัฏ มีสีดำสนิททุกเส้น และทรงมีพื้นพระนลาฏงามยิ่ง ดุจสุริยมณฑลอันปราศจาก มลทิน นอกจากนั้น พระองค์ท่านยังทรงมีพระนาสิกสัณฐานยาวและสูงดุจขอแก้ววิเชียร รุ่งเรืองไปด้วยข่ายพระรัศมีมีพรรณโอภาส เป็นนรสีหราชบุรุษมนุษย์ประเสริฐศุภมงคล พื้นพระยุคลบาทมีพรรณแดง ประดับด้วยพระลายลักษณะวงกงจักรและรอบรูปอัฏฐุตตรสตมหามงคล ๑๐๘ ประการเป็นบริวาร

ดูกรพ่อราหุลกุมาร พระนรสีหบุรุษผู้เป็นมหาสมณะทรงศักดาใหญ่นี้ มิใช่ผู้อื่นไกลใครที่ไหน โดยที่แท้พระองค์คือพระราชบิดาของเจ้า อนึ่งเล่า พระองค์ก็ทรงเป็นศักยราชกุมารผู้ประเสริฐสุขุมาลชาติ มีพระสรีรกายวิจิตรงามวิลาสบริบูรณ์ เสด็จมาเพื่อจะกระทำกิจให้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกทั้งปวง อนึ่ง พระองค์มีพรรณพระพักตร์ผ่องเพียงศศิธรมณฑล อันบริบูรณ์ในวันปุณณมี ทรงเป็นที่รักเลื่อมใสแห่งเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อทรงพระดำเนินไปก็งดงามประดุจลีลาแห่งพญาไกรสรสีหราชมฤคินทร์ ควรจะบังเกิดโสมนัสแก่ผู้ที่ได้ทัศนาการ ทั้งพระสุรเสียงของพระองค์ก็เสนาะสนิทวิจิตรคัมภีรภาพนฤโฆษ พระชิวหาแลพระโอษฐ์ก็มีพรรณแดงเข้มวิสุทธิโสภณ พระทนต์ก็ขาวสีสะอาดพิลาสดังสีสังข์ พระองค์ทรงบังเกิดในขัตติยอัครตระกูลอดุลยชาติ สมควรที่นรเทพยดาจักอภิวาทพระบวรบาทยุคล ทั้งพระกมลก็กอบด้วยศีลสมาธิปัญญาคุณอันอุดม ลำพระศอนั้นเล่าก็กลมดุจกลึงกล่อม พร้อมทั้งพระหนุก็งดงามดุจคางแห่งสีหราช พระสรีรกายก็ไพบูลย์พิลาสประดุจดังกายท่อนหน้าแห่งพญาราชสีห์ ทั้งพระฉวีวรรณก็งามไพโรจน์วิลาสประดุจสีแห่งสุวรรโณภาส พระองค์เสด็จยุรยาตรไปในท่ามกลางพระอริยสงฆ์สาวก ครุวนาดุจดวงจันทร์อันแวดล้อมด้วยคณะดารากำลังลีลาไปในอัมพรประเทศ พระนรสีหบุรุษองค์นี้หรือคือองค์พระปิตุเรศของเจ้านะ พ่อราหุล ขอพ่อจงรู้จักและจดจำไว้ให้จงดีเถิด"

สมเด็จพระพิมพาราชเทวี มีพระเสาวนีย์สดุดีสมเด็จพระบรมศาสดาให้เจ้าราหุลขัตติยกุมารน้อยได้สดับดั่งนี้แล้ว ก็เสด็จไปสู่พระตำหนักแห่งพระเจ้าสิริสุทโธทนะพระพุทธชนก ยกพระกรอัญชุลีแล้วกราบทูลความว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นสมมติเทวราชทรงพระคุณอันประเสริฐ บัดนี้ พระราชบุตรแห่งพระองค์มาเสด็จโคจรบิณฑบาตโดยวิถีในพระนครนี้ ด้วยพระพุทธลีลาศอันงามดุจเทพยดา ปวงประชาต่างพากันชื่นชมโสมนัสยินดีอยู่ทุกถ้วนหน้าแล้ว พระองค์จักไม่เสด็จไปทอด พระเนตรพระลูกเจ้านั้นบ้างหรือไฉน"

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version