ผู้เขียน หัวข้อ: ปาฏิหาริย์พระโพธิสัตว์  (อ่าน 4766 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
ปาฏิหาริย์พระโพธิสัตว์
« เมื่อ: สิงหาคม 07, 2011, 08:35:19 am »


ปาฏิหาริย์พระโพธิสัตว์
ทูเรนิทาน
อดีตกาลย้อนหลังไป ๔ อสงไขยกับเศษแสนกัป

   ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดเป็นบุตรพราหมณ์มหาศาลใน อมรวดีนคร นามว่า สุเมธ เมื่อบิดามารดาล่วงลับไปแล้วสุเมธพราหมณ์พิจารณาว่าทรัพย์มรดกมากมายที่บิดามาร­ดาปู่ย่าตาทวดสร้างไว้ เมื่อท่านเหล่านั้นไปสู่ปรโลกแล้ว ทรัพย์แม้เพียงกหาปณะเดียวก็นำติดตัวไปไม่ได้ พิจารณาแล้วเกิดความเบื่อหน่ายชีวิตทางโลก นำทรัพย์สมบัติทั้งหมดหลายร้อยโกฏิบริจาคทาน แล้วออกบวชเป็นดาบสบำเพ็ญพรตอยู่ตามโคนไม้ในป่าจนสำเร็จฌานสมาบัติ มีฤทธิ์อภิญญาเหาะเหินเดินอากาศได้

   วันหนึ่งสุเมธดาบสเหาะเข้าไปในนคร มองเห็นมหาชนกำลังช่วยกันแผ้วถางทางและตกแต่งหนทางอยู่ ลงมาถามรู้ว่ามหาชนกำลังเตรียมทางรับเสด็จพระทีปังกรพุทธเจ้า สุเมธดาบสพอได้ยินว่าพระพุทธเจ้าอุบัติแล้วในโลกก็เกิดปีติ ใช้แรงกายช่วยชาวบ้านปรับแต่งหนทางช่วงหนึ่งซึ่งเป็นหลุมบ่อ ขนดินทรายมาเกลี่ยปิดหลุมโคลนตม แต่งานยังไม่ทันสำเร็จเหลือหลุมที่เป็นโคลนตมอยู่หน่อยหนึ่ง พระทีปังกรพุทธเจ้าก็เสด็จมาถึงพร้อมพระสาวกขีณาสพสี่แสน สุเมธดาบสจึงนอนทอดกายปิดหลุมบ่อและโคลนตมใช้ร่างเป็นสะพาน ประสงค์จะให้พระพุทธองค์เสด็จดำเนินไปบนแผ่นหลังไม่ให้โคลนตมเปื้อนพระบาท และตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าว่า

เราตรัสรู้แล้ว   จักให้ผู้อื่นรู้ด้วย
เราพ้นแล้ว   จักให้ผู้อื่นพ้นด้วย
เราข้ามได้แล้ว   จักให้ผู้อื่นข้ามได้ด้วย

   พระทีปังกรพุทธเจ้าทอดพระเนตรดู รู้ว่าดาบสนี้เป็นพระโพธิสัตว์หน่อเนื้อพุทธางกูร จึงตรัสพยากรณ์เป็นลัทยาเทศแก่สุเมธดาบสว่า

   "ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้
   ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ
   ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยกับเศษแสนกัปนับแต่นี้ เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่า โคตมะ
   ในอัตภาพนั้นของเขา จักมีนครนามว่า กบิลพัสดุ์ เป็นที่อยู่อาศัย
   พระมารดานามว่ามายา พระบิดานามว่าสุทโธทนะ
   พระอุปติสสะเป็นอัครสาวก พระโกลิตะเป็นอัครสาวกที่สอง
   พระเขมาเป็นอัครสาวิกา พระอุบลวรรณาเป็นอัครสาวิกาที่สอง
   พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก
   เขามีญาณแก่กล้าแล้วออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรอย่างใหญ่
   รับข้าวปายาสที่โคนต้นไทร เสวยที่ฝั่งเเม่น้ำเนรัญชรา
   ขึ้นสู่โพธิมณฑล และจักตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
"

   มนุษย์และเทวดาได้ฟังพุทธพยากรณ์ ต่างเปล่งวาจาสาธุการดังสนั่นไปทั่วทั้งไตรภูมิ จนแม้ผืนปฐพีก็สั่นไหว คนบางพวกตั้งจิตอธิษฐานด้วยว่าหากแม้นพวกเขาไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในศาสนาของพร­ะพุทธเจ้าองค์ใด ก็ขอให้ได้บรรลุธรรมในสมัยที่ท่านดาบสตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าด้วยเถิด
   หลังจากรับพุทธพยากรณ์แล้ว พระโพธิสัตว์ก็ได้บำเพ็ญปรมัตถบารมีต่อมาอีกนานแสนนานถึง ๔ อสงไขยกับเศษแสนกัป พานพบพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ มาอีก ๒๔ พระองค์ ในชาติสุดท้ายที่เกิดเป็นมนุษย์ ทรงเกิดเป็นพระเวสสันดร ได้บริจาคสัตตสตกมหาทานประกอบด้วย ช้าง ม้า รถ สตรี โคนม ทาสา ทาสี อย่างละ ๗๐๐ และยังได้สละโอรส ธิดา และพระชายา เป็นทานอีกด้วย
   เมื่อละจากอัตภาพมนุษย์ในครั้งนั้นแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ไปอุบัติเป็นเสตุเกตุเทพบุตรอยู่ในดุสิตสวรรค์ ทรงเป็นท้าวสันดุสิตผู้เป็นใหญ่ รอวันมาประสูติเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไป

โกลาหลทั้ง ๓
   โลกและจักรวาลนี้ มีความแตกตื่นโกลาหลของมนุษย์และเทวดาครั้งใหญ่อยู่ ๓ อย่าง คือ
โกลาหลเรื่องกัป
โกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้า
และโกลาหลเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ

   ก่อนถึงเวลาสิ้นกัปแสนปี พวกเทวดาโลกพยุหะรู้ว่ากัปจะสิ้นแล้ว ไฟประลัยกัปจะเผาโลกแล้ว น้ำประลัยกัปจะท่วมโลกแล้ว หรือลมประลัยกัปจะทำลายโลกแล้ว เทวดาเหล่านั้นจะตกใจ เสียใจ นุ่งผ้าแดง เดินสยายผม ร้องไห้ เที่ยวประกาศให้รู้ทั้งในโลกมนุษย์และในเทวโลกว่ากัปจะสิ้นแล้ว พวกเราจะฉิบหายกันหมดแล้ว เทวดาและมนุษย์พอรู้ข่าวก็พากันแตกตื่นตกใจไปทั้งสิ้น เกิดความโกลาหลวุ่นวาย เรียกว่า กัปโกลาหล

   ก่อนเวลาที่จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติพันปี พวกเทวดาโลกบาลรู้ว่าพระพุทธ เจ้าจะอุบัติแล้ว จึงนำข่าวอันเป็นมงคลไปเที่ยวป่าวร้อง เทวดาและพรหมจากหมื่นจักรวาลจะตื่นเต้นดีใจ มาชุมนุมกันเนืองแน่นอยู่ในจักรวาลเดียว เพื่อถามว่าพระโพธิสัตว์องค์ไหนจะตรัสรู้ ความโกลาหลวุ่นวายเพราะความดีใจครั้งนี้ เรียกว่า พุทธโกลาหล

   และก่อนที่จะมีพระเจ้าจักรพรรดิมาอุบัติในโลกร้อยปี พวกเทวดาโลกบาลรู้ว่าพระเจ้าจักรพรรดิจะมาอุบัติแล้ว จึงนำข่าวมงคลนี้ไปป่าวประกาศให้รู้กัน ก็เกิดเป็นโกลาหลใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า จักรพรรดิโกลาหล

   [ ในอรรถกถานาลกสูตร อรรถกถาจารย์กล่าวถึงโกลาหลว่ามี ๕ อย่าง อีก ๒ อย่างที่เพิ่มขึ้นมา คือ มงคลโกลาหล เป็นโกลาหลก่อนพระพุทธเจ้าแสดงมงคลสูตร ๑๒ ปี และโมเนยยโกลาหล เป็นโกลาหลก่อนพระพุทธเจ้าแสดงโมเนยยปฏิปทา ๗ ปี ]

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ปาฏิหาริย์พระโพธิสัตว์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 07, 2011, 09:46:49 am »


อาราธนาพระโพธิสัตว์

   พระโพธิสัตว์เสวยทิพยสมบัติเป็นท้าวสันดุสิตอยู่ในดุสิตสวรรค์ จนพุทธกาลใกล้เข้ามา เทวดาโลกบาลจึงป่าวประกาศว่านับแต่นี้ล่วงไปพันปี พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาอุบัติในชมพูทวีป ผู้ใดประสงค์จะได้พบเห็นพระองค์ก็จงทำกุศลกรรมให้ถึงพร้อม ให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนากันเถิด เทวดาทั่วหมื่นจักรวาลพอได้ยินประกาศดังนั้นจึงมาชุมนุมกันถามไถ่ว่าพระโพธิสัต­ว์พระองค์ใดจะมาตรัสรู้ จนเกิดพุทธโกลาหลไปทั้งสวรรค์

   หลังจากประชุมกันแล้ว ท่านท้าวมหาพรหม ท้าวปรนิมมิตวสวัตดี ท้าวนิมมานรดี ท้าวสันดุสิต ท้าวสุยามะ ท้าวสักกเทวราช และท้าวมหาราชทั้งสี่ จากหมื่นจักรวาล จึงพากันไปเฝ้าพระโพธิสัตว์ในดุสิตสวรรค์ กราบบังคมทูลว่าพระองค์บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ มิใช่เพื่อจักรพรรดิสมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือพรหมสมบัติ แต่เป็นไปเพื่อความเป็นพุทธะ บัดนี้กาลนั้นมาถึงพระองค์แล้ว ขอเชิญพระองค์เสด็จไปอุบัติเพื่อพระโพธิญาณเถิด


   พระโพธิสัตว์สดับคำอาราธนาจากเหล่าทวยเทพแล้ว ก็ทรงพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะ คือ กาล ทวีป ประเทศ ตระกูล และมารดา ว่าพระองค์ควรไปเกิดที่ไหนหนอ

   พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณากาลอันสมควรเป็นลำดับแรกว่า กาลใดที่มนุษย์มีอายุขัยยืนยาวเกินแสนปี กาลนั้นมนุษย์มีแต่ความสุขสบาย ไม่ค่อยได้เห็นความเกิด ความแก่ และความตาย เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มนุษย์จะไม่เข้าใจ การบรรลุธรรมจึงเป็นไปได้ยาก ส่วนกาลใดที่มนุษย์มีอายุขัยน้อยกว่าร้อยปี กาลนั้นมนุษย์ส่วนใหญ่เป็นผู้มีกิเลสหนา ชีวิตประสบแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน จิตใจหาความสงบไม่ได้ ปฏิบัติธรรมไม่ได้ผล มนุษย์ทั้งสองกาลนี้สั่งสอนไม่ได้ กาลที่มนุษย์สามารถเข้าใจไตรลักษณ์ได้ คือ ช่วงที่มีอายุขัยระหว่างแสนปีลงมาจนถึงร้อยปี และกาลปัจจุบันนี้มนุษย์มีอายุขัยร้อยปีเศษ สามารถสั่งสอนได้ จึงเป็นกาลอันสมควรที่พระองค์จะไปอุบัติและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

   พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาทวีป ทรงเห็นว่ามนุษย์ใน ๓ ทวีป คือ อุตตรกุรุทวีป บุพพวิเทหทวีป และอปรโคยานทวีป เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยความสุขสบาย การจะสั่งสอนให้ปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์นั้นคงยาก เพราะไม่รู้จักความทุกข์ ส่วนมนุษย์ในชมพูทวีปมีความทุกข์มากจึงสามารถสั่งสอนธรรมได้ อีกทั้งเป็นผู้มีใจเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว เมื่อฟังธรรมแล้วก็พร้อมจะปฏิบัติสมณธรรมด้วยความพากเพียร พระโพธิสัตว์จึงทรงเลือกที่จะอุบัติในชมพูทวีป ตามพุทธประเพณีที่พระพุทธเจ้าในอดีตทุกพระองค์ก็ทรงอุบัติในทวีปนี้

   พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาประเทศ พระพุทธเจ้าในอดีตทุกพระองค์อุบัติในมัชฌิมประเทศ พระโพธิสัตว์จึงทรงเลือกสักกชนบทเป็นสถานที่เกิด

   พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาตระกูลต่อไปว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์อุบัติในตระกูลสูง คือ กษัตริย์หรือพราหมณ์ เวลานี้โลกยกย่องตระกูลกษัตริย์มากกว่าตระกูลพราหมณ์ พระโพธิสัตว์จึงทรงเลือกศากยะราชตระกูลของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์

   พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณามารดาว่า ผู้จะเป็นพุทธมารดานั้นต้องเคยตั้งความปรารถนาขอเป็นพุทธมารดามาก่อน และบำเพ็ญบารมีมาครบแสนกัปบริบูรณ์แล้ว พิจารณาแล้วจึงทรงเลือกพระนางสิริมหามายา อัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพุทธมารดา

   ครั้นทรงพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะแล้ว พระโพธิสัตว์จึงทรงรับอาราธนาของเหล่าทวยเทพ จุติจากสรวงสวรรค์ ไปปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา


พระโพธิสัตว์จุติ

   ในครั้งนั้น กรุงกบิลพัสดุ์มีงานนักขัตฤกษ์เดือน ๘ พระนางสิริมหามายาทรงเข้าร่วมงานนักขัตฤกษ์ด้วย จนถึงวันเพ็ญบุรณมี พระนางตื่นบรรทมแต่เช้าตรู่ สรงสนานน้ำหอม บริจาคพระราชทรัพย์สี่แสนเป็นทาน แล้วสมาทานอุโบสถศีล

   ราตรีนั้น เมื่อพระนางสิริมหามายาเสด็จเข้าที่บรรทม ทรงมีพระสุบินนิมิตว่า ท้าวมหาราชทั้งสี่มายกพระแท่นบรรทมพาพระนางเหาะไปยังป่าหิมพานต์ มีพระเทวีของท้าวมหาราชทั้งสี่มาช่วยสรงสนานชำระล้างมลทินมนุษย์ในสระอโนดาต ให้ทรงผ้าทิพย์ ลูบไล้ของหอม แล้วพาไปประทับบรรทมในวิมานทอง ลำดับต่อมา มีช้างสีขาวจากภูเขาทอง มาเดินประทักษิณพระที่ไสยาสน์ของพระนาง ๓ ครั้ง แล้วเคลื่อนเข้าสู่พระครรภ์

   วันรุ่งขึ้น พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้หาพราหมณ์ ๖๔ คน มาทำนายพระสุบินนิมิต พราหมณ์โหราจารย์กราบทูลว่า พระเทวีทรงพระครรภ์แล้ว เป็นพระครรภ์มหาบุรุษ ถ้าพระโอรสนี้ครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ถ้าเสด็จออกบรรพชาจักได้เป็นพระพุทธเจ้า


บุรพนิมิต ๓๒ ประการ

   ในขณะที่พระโพธิสัตว์ทรงปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดานั้น บุรพนิมิต ๓๒ ประการ ก็ปรากฏขึ้นทั่วทั้งหมื่นจักรวาล คือ

   ๑. มีแสงสว่างแผ่ซ่านทั่วทั้งหมื่นจักรวาล
   ๒. คนตาบอดมองเห็นได้
   ๓. คนหูหนวกกลับได้ยิน
   ๔. คนใบ้กลับพูดได้
   ๕. คนค่อมกลับหายค่อม

   ๖. คนง่อยเดินได้
   ๗. เครื่องจองจำหลุดออกเอง
   ๘. ไฟนรกกลับดับ
   ๙. ความหิวกระหายของเปรตวิสัยกลับระงับ
   ๑๐. สัตว์ดิรัจฉานกลับไม่กลัว

   ๑๑. โรคทั้งหลายกลับสงบ
   ๑๒. สรรพสัตว์ทั้งหลายพูดจาน่ารัก
   ๑๓. ม้าต่างหัวเราะ
   ๑๔. ช้างต่างร้อง
   ๑๕. เครื่องดนตรีดังกังวาน

   ๑๖. เครื่องประดับเปล่งเสียงได้โดยไม่กระทบกัน
   ๑๗. ทั่วทุกทิศแจ่มใส
   ๑๘. มีสายลมอ่อนเย็น
   ๑๙. มีเมฆฝนตกลงมา
   ๒๐. มีน้ำพุจากแผ่นดิน

   ๒๑. นกหยุดบิน
   ๒๒. แม่น้ำหยุดไหล
   ๒๓. น้ำทะเลมีรสหวาน
   ๒๔. พื้นน้ำดารดาษด้วยปทุม ๕ สี
   ๒๕. ดอกไม้ทุกชนิดเบ่งบาน

   ๒๖. ดอกปทุมชนิดลำต้นก็บานที่ลำต้น
   ๒๗. ดอกปทุมชนิดกิ่งก็บานที่กิ่ง
   ๒๘. ดอกปทุมชนิดเครือเถาก็บานที่เครือเถา
   ๒๙. ดอกปทุมชนิดก้านก็ชำแรกพื้นศิลาทึบเป็นดอกบัวซ้อนๆ กันออกมา
   ๓๐. ดอกปทุมชนิดห้อยในอากาศก็บังเกิดขึ้น

   ๓๑. ฝนดอกไม้ตกลงมารอบด้าน
   ๓๒. มีเสียงดนตรีทิพย์บรรเลงในอากาศ

                   

   บุรพนิมิต ๓๒ ประการนี้ ย่อมเกิดเป็นปกติ ๔ ครั้ง คือ เมื่อพระโพธิสัตว์ปฏิสนธิ เมื่อประสูติ เมื่อตรัสรู้ และเมื่อแสดงปฐมเทศนา

   ในขณะที่พระโพธิสัตว์ปฏิสนธินั้น หมื่นโลกธาตุก็สะเทือนเลื่อนลั่น สั่นไหวประหนึ่งพัดวาลวิชนีที่กำลังโบก มีกลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้ บุรพนิมิตปรากฏขึ้นพร้อมกันในหมื่นจักรวาล

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ปาฏิหาริย์พระโพธิสัตว์
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 07, 2011, 10:48:26 am »


ประสูติ

   พระโพธิสัตว์เจริญอยู่ในพระครรภ์พระมารดา โดยประทับนั่งขัดสมาธิ พระนางสิริมหามายาสามารถทอดพระเนตรเห็นได้ ประหนึ่งว่าพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในห้องแก้ว ครั้นทรงพระครรภ์ได้ ๑๐ เดือน พระเจ้าสุทโธทนะก็ทรงแต่งขบวนส่งเสด็จพระเทวีกลับไปประสูติที่นครเทวทหะ ตามประเพณีราชตระกูล

   ครั้นเสด็จถึงลุมพินีวัน อันเป็นป่าระหว่างนครกบิลพัสดุ์กับเทวทหะ พระนางสิริมหามายาเสด็จพักประทับที่โคนต้นสาละ เมื่อประทับยืนเพื่อผ่อนคลายพระอิริยาบถ กิ่งสาละก็โน้มลงมาให้พระนางทรงจับ

   ขณะที่ประทับยืนเหนี่ยวกิ่งสาละอยู่นั้น พระนางสิริมหามายาเทวีก็ประสูติพระโอรสผู้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากรอยเปื้อนและมลทิน ดุจดังแก้วมณีที่วางบนผ้ากาสิกพัสตร์ เสด็จพุทธดำเนินจากพระครรภ์ประหนึ่งพระธรรมกถึกเสด็จลงจากธรรมาสน์ ดุจบุรุษลงจากบันได มีท้าวมหาพรหม ๔ องค์นำตาข่ายทองมารองรับ แล้ววางพระโอรสลงต่อหน้าพระนางสิริมหามายาทูลว่า พระเทวีจงดีพระทัยเถิด พระราชบุตรผู้มีศักดาใหญ่ของพระองค์อุบัติขึ้นแล้ว

   ลำดับนั้น สายธารสองสายก็พลุ่งออกมาจากอากาศ สายหนึ่งเป็นธารน้ำอุ่น อีกสายหนึ่งเป็นธารน้ำเย็น สรงพระสรีระของพระโพธิสัตว์และพระมารดาให้อบอุ่นสบาย ต่อจากนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้รับพระโพธิสัตว์จากหัตถ์ท้าวมหาพรหมด้วยเครื่องปูลาดหนังเสือดาวอันอ่อนนุ่ม แล้วส่งต่อให้พวกมนุษย์ที่รองรับพระกุมารด้วยพระยี่ภู่ผ้าทุกูลพัสตร์


ประกาศอาสภิวาจา

   พระโพธิสัตว์ประทับยืนบนแผ่นดิน ทอดพระเนตรตรวจดูทั้ง ๑๐ ทิศ คือ ทิศใหญ่ทั้งสี่ ทิศเล็กทั้งสี่ ทิศเบื้องบน และทิศเบื้องล่าง แลตลอดไปทั้งหมื่นจักรวาล ไม่แลเห็นผู้ใดที่จะเสมอเหมือนพระองค์อีก จึงเสด็จดำเนินไปทางทิศอุดร มีท้าวมหาพรหมตามกั้นเศวตฉัตร ท้าวสุยามเทพบุตรถือพัดวาลวิชนี เทวดาเหล่าอื่นถือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามเสด็จ

       
  พระโพธิสัตว์หยุดประทับยืนที่พระบาทที่ ๗ ทรงบันลือสีหนาทเป็นอาสภิวาจาว่า

อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏโฐ เสฏโฐหมสฺมิ
อยมนฺติมา เม ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว.

เราเป็นหนึ่ง เราเป็นยอด เราเป็นเลิศประเสริฐสุดในโลกนี้
การเกิดครั้งนี้ของเราเป็นการเกิดครั้งสุดท้าย
ภพใหม่ต่อไปอีกไม่มีสำหรับเรา


   บัดนั้น บุรพนิมิต ๓๒ ประการ ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

   และในขณะนั้นเอง สหชาติของพระโพธิสัตว์ ๗ ประการ ก็พลันอุบัติขึ้นพร้อมกัน คือ
   ๑. พระนางพิมพา คู่พระบารมี
   ๒. พระอานนท์ พระอุปัฏฐาก
   ๓. นายฉันนะ ผู้นำเสด็จบรรพชา

   ๔. กาฬุทายีอำมาตย์ พระสหายสนิท
   ๕. ม้ากัณฐกะ ม้าเสด็จบรรพชา
   ๖. ต้นมหาโพธิ์ ต้นไม้ตรัสรู้
   ๗. ขุมทรัพย์ทั้งสี่

   ครั้นประสูติพระราชโอรสแล้ว พระนางสิริมหามายาจึงเลิกขบวน เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์

ที่มา : - อรรถกถาขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ทูเรนิทานและอวิทูเรนิทาน
- มหาปทานสูตร
miracle of love : http://agaligohome.com/index.php?topic=1697.0
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ