แสงธรรมนำใจ > ดอกบัวโพธิสัตว์

มิลินทปัญหา

<< < (37/78) > >>

ฐิตา:


   อุปมาด้วยท้องฟ้า

   " อีกประการหนึ่ง ท้องฟ้าอันปกคลุมด้วยก้อนเมฆ หนักด้วยก้อนเมฆ มีลมพัดแรงเกินไป ก็มีเสียงดังกึกก้องฉันใด แผ่นดินใหญ่ เมื่อไม่อาจทรงของหนัก คือความไพบูลย์แห่งกำลังทานของพระเวสสันดรจึงไหวฉันนั้น เพราะว่าพระหฤทัยของพระเวสสันดรนั้น ไม่ได้เป็นไปด้วยอำนาจราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส ความโกรธ ความริษยา อย่างใดเลย เป็นไปมากด้วยอำนาจแห่งทานอย่างเดียวเท่านั้น คือพระเวสสันดรคิดอยู่ว่า พวกยาจกที่ยังไม่มาก็ขอให้มา ที่มาแล้วก็ขอให้ได้ตามประสงค์ ได้แล้วขอให้มาอีก "

ฐิตา:


คุณธรรมของพระเวสสันดร

" พระเวสสันดรนั้น มีพระหฤทัยมั่นอยู่ในธรรม ๑๐ ประการ คือ ความฝึกใจ ๑ ความสำรวม ๑ ความอดทน ๑ ความระวัง ๑ ความแน่นอน ๑ ความไม่โกรธ ๑ ความไม่เบียดเบียน ๑ ความจริง ๑ ความสะอาดใจ ๑ ความเมตตา ๑ พระเวสสันดรนั้น ได้ละการแสวงหากามารมณ์เสียแล้ว ระงับการแสวงหาภพเสียแล้ว มุ่งแต่การแสวงหาพรหมจรรย์เท่านั้น พระเวสสันดรนั้น สละการรักษาตัวเสียแล้ว มุ่งแต่รักษาผู้อื่นทุกเวลาว่า ทำอย่างไรหนอ สัตว์บุคคลทั้งสิ้นจึงจะพร้อมเพรียงกันจึงจักไม่มีโรค จึงจักมีทรัพย์ จึงจักมีอายุยืน พระเวสสันดรนั้น ไม่ได้ทรงให้ทานเพราะปรารถนาภพ หรือทรัพย์ หรือการตอบแทน การสรรเสริญ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ยศ บุตร ชีวิต แต่อย่างใดเลย พระองค์ทรงมุ่งแต่ " พระสัพพัญญุตญาณ " เท่านั้น ข้อนี้สมกับที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า "

เมื่อเราให้ทานบุตรธิดา คือ ชาลี กัณหา และเทวี คือพระนางมัทรี เราไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย เรามุ่งต่อพระโพธิญาณอย่างเดียวเท่านั้น " ดังนี้ พระเวสสันดรนั้น ชนะคนโกรธด้วย ความไม่โกรธ ชนะคนไม่ดีด้วยความดี ชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ ชนะคนเหลาะแหละด้วยความจริง ชนะอกุศลทั้งปวงด้วยกุศล "

ฐิตา:


   เหตุอัศจรรย์เพราะมหาทาน

   " เมื่อพระเวสสันดรให้ทานอยู่อย่างนั้นลมใหญ่ภายใต้ก็ไหว เมื่อลมใหญ่ภายใต้ไหวน้ำที่อยู่บนลมก็ไหว เมื่อน้ำไหว หินที่อยู่บนน้ำก็ไหว เมื่อหินที่อยู่บนน้ำไหว แผ่นดินใหญ่นี้ก็ไหว ครั้งนั้น พวกอสูร ครุฑ นาค ยักษ์ทั้งหลาย ที่มีฤทธิ์มีเดชน้อย ก็สะดุ้งตกใจกลัวว่า แผ่นดินไหวใหญ่เพราะอะไร ไม่ทราบว่าเป็นเพราะการให้ทานของพระเวสสันดร ต่อเมื่อได้ยินเสียงป่าวร้องสาธุการของเทพยดาทั้งหลายจึงรู้ เป็นอันว่า แผ่นดินใหญ่นี้ตั้งอยู่บนหิน หินตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม เมื่อลมข้างล่างไหว ก็ไหวเป็นลำดับขึ้นมาจนถึงแผ่นดินใหญ่ ดังนี้ "





ฐิตา:


   อุปมาเหมือนแก้วต่าง ๆ

" ขอถวายพระพร แก้วต่าง ๆ ย่อมมีอยู่ที่พื้นดินเป็นอันมาก คือ แก้วอินทนิล แก้วมหานิล แก้วโชติรส แก้วไพฑูรย์ แก้วอุมมารบุปผา แก้วมโนห์รา แก้วสุริยกันต์ แก้วจันทกันต์ แก้ววิเชียร แก้วกโชปักมกะ แก้วบุษราคัม แก้วแดง แก้วลาย แก้วมณีของพระเจ้าจักรพรรดิย่อมแผ่รัศมีไปข้างละ ๑ โยชน์โดยรอบฉันใดทานที่มีอยู่ทั้งสิ้น มี อสทิสทาน เป็นอย่างเยี่ยม ก็สู้มหาทานของพระเวสสันดรไม่ได้ฉันนั้น เมื่อพระเวสสันดรทรงบำเพ็ญมหาทานอยู่ แผ่นดินใหญ่ได้ไหวถึง ๗ ครั้ง ขอมหาบพิตรจงทรงพระสวนาการฟังให้เข้าพระทัยในกาลบัดนี้ "

" ข้าแต่พระนาคเสน ปัญหาที่ลี้ลับลึกซึ้ง พระผู้เป็นเจ้าก็ได้คลี่คลายขยายออกแล้ว ได้ทำให้ตื้นแล้ว ได้ทำลายข้อที่ฟั่นเฝือได้สิ้นแล้ว "

ฐิตา:


ปัญหาที่ ๕ สีวิราชชาดก

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คำที่ว่า คนตาบอดมีจักษุประสาทพิการแล้ว ย่อมไม่มีโอกาสที่จะกลับเห็นได้อย่างเดิมอีกนั้น มีกล่าวไว้ในพระสูตรบ้างหรือไม่
ขอถวายพระพรมหาบพิตร มี

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าเช่นนั้น เรื่อง สีวิราชชาดก ที่ว่า พระเจ้าสีวิราชทรงควักพระเนตรทั้ง ๒ ให้เป็นทาน มีพระจักษุประสาทพิการแล้ว ต่อมาทรงได้พระจักษุประสาทคืนดี ทอดพระเนตรเห็นได้อย่างเดิมนั้น จะมิไม่จริงหรือ
ขอถวายพระพรมหาบพิตร จริง

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า จะให้ลงความเชื่อคำไหนได้เล่า
ขอถวายพระพร คำต้นนั้น ท่านกล่าวตามปรกติวิสัยของนัยน์ตา ซึ่งเมื่อพิการแล้ว ย่อมคืนดีอย่างเดิมไม่ได้ ส่วนที่ท่านกล่าวไว้ในชาดกซึ่งผิดจากคำเบื้องต้นไปนั้น ก็เพราะท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งอานุภาพของสัตยาธิษฐาน คือความตั้งใจไว้มั่นในความจริงอย่างใดอย่างหนึ่ง

ขอถวายพระพร พระองค์เคยทอดพระเนตรเห็น หรือเคยได้ทรงสดับบ้างหรือไม่ ว่าผู้ที่กระทำสัตยาธิษฐานแล้ว อาจทำให้ฝนตกหรือไฟดับ หรือกำจัดกำลังแห่งยาพิษเสียก็ได้
ข้าแต่พระนาคเสน เคยได้เห็น ได้ยินอยู่บ้าง

มหาบพิตรนั่นพระองค์ทรงเข้าพระหฤทัยว่าเป็นได้ด้วยอะไร
ข้าพเจ้าเข้าใจว่า เป็นด้วยอานุภาพแห่งสัตยาธิษฐาน

ขอถวายพระพรมหาบพิตร นั่นแลฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักษุประสาทของพระเจ้าสีวิราชย่อมกลับคืนดีได้อย่างเดิม ก็ด้วยอานุภาพแห่งสัตยาธิษฐาน คือการที่ทรงตั้งพระหฤทัยมั่นอยู่ในความจริงอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง

ขอถวายพระพรมหาบพิตร อาตมภาพจะเล่าเรื่องของพระเจ้าอโศกถวาย คือครั้งหนึ่ง พระเจ้าอโศกเสด็จไปประพาสริมแม่น้ำคงคา ครั้นแล้วมีพระราชดำรัสถามเหล่าอำมาตย์ว่า ผู้ที่สามารถทำให้น้ำในแม่น้ำคงคานี้ไหลกลับทวนกระแสไปได้เห็นจะไม่มี

ก็ขณะนั้น มีหญิงเพศยาคน ๑ ชื่อ นางพินทุมดี อยู่ ณ ริมฝั่งน้ำนั้น เมื่อได้ยินพระราชดำรัสดังนั้น จึงกระทำสัตยาธิษฐาน ขอให้น้ำไหลกลับทวนกระแส เพื่อถวายทอดพระเนตร น้ำในแม่น้ำคงคาก็ไหลกลับทวนกระแสตามความประสงค์

พระเจ้าอโศกทรงพิศวงในพระราชหฤทัย จึงตรัสถามว่า เหตุอะไรจึงเป็นเช่นนี้ อำมาตย์จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่านางพินทุมดีกระทำสัจจกิริยา ขอให้น้ำไหลกลับ จึงเสด็จพระราชดำเนินไปตรัสถามนางพินทุมดีว่า อะไรเป็นกำลังในสัจจกิริยาของเจ้า

ขอเดชะ หม่อมฉันมีความจริงใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ การบำเรอบุรุษ กระหม่อมฉันกระทำเสมอหน้ากันหมด จะเป็นใคร มีฐานะอย่างไรก็ตาม เมื่อให้ทรัพย์แก่กระหม่อมฉันแล้ว ย่อมได้รับการบำเรอเป็นอย่างเดียวกันทั้งสิ้น กระหม่อมฉันอ้างความจริงใจนี้ กระทำสัตยาธิษฐาน ขอถวายพระพร

เรื่องนี้พระองค์ทรงเชื่อหรือไม่
ข้าแต่พระนาคเสน พอเชื่อได้ เพราะมีเหตุมีผลพอที่จะคิดเห็นได้

ขอถวายพระพร นี่ชี้ให้เห็นว่า การกระทำสัตยาธิษฐาน คือกิริยาที่กล่าวอ้างถึงความจริงอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้เป็นความจริงในสิ่งลามก ก็ให้เกิดผลได้สมประสงค์ ก็เมื่อความจริงมีอยู่เช่นนี้ จึงจะไม่ได้ควักพระเนตรกลับคืนดีอย่างเดิม ในเมื่อทรงกระทำสัตยาธิษฐาน อ้างถึงความจริงนั้น ๆ ได้เล่า

พระนาคเสนพระองค์กล่าวนี้ชอบแล้ว

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version