แสงธรรมนำใจ > ดอกบัวโพธิสัตว์
มิลินทปัญหา
ฐิตา:
พระเทวทัตกลิ้งก้อนศิลา
" การที่พระบาทของพระพุทธเจ้าถูกสะเก็ดศิลาแล้ว ทำให้เกิดเวทนานั้น ไม่ใช่มีลม หรือดี เสมหะ หรือสิ่งทั้ง ๓ นี้ เป็นสมุฏฐานเลย ไม่ใช่เกิดด้วยการเปลี่ยนฤดู หรือด้วยการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ เกิดด้วยการกระทำของผู้อื่นต่างหาก คือพระเทวทัต ผู้ผูกอาฆาตต่อพระตถาคตเจ้ามาหลายแสนชาติแล้ว ได้กลิ้งก้อนศิลาใหญ่ลงไปจากยอดภูเขา ด้วยคิดจักให้ตกถูกพระพุทธองค์ แต่ก้อนศิลาที่กลิ้งลงมานั้น ได้มากระทบก้อนศิลาใหญ่อีก ๒ ก้อน ก้อนศิลานั้นได้แตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ กระจายไป มีสะเก็ดเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งได้กระเด็นไปถูกพระบาทของพระพุทธเจ้าทำให้พระโลหิตห้อขึ้น จะว่าเวทนานั้นเกิดด้วยผลแห่งกรรม หรือด้วยการกระทำของพระองค์ไม่ได้ทั้งนั้น เกิดด้วยการกระทำของผู้อื่นต่างหาก "
ยกอุปมาขึ้นเปรียบเทียบ
" พืชย่อมงอกงามไม่ดี ย่อมเป็นเพราะที่ดินไม่ดี หรือเพราะพืชไม่ดีฉันใด เวทนานั้นก็เกิดแก่พระพุทธเจ้า เพราะผลแห่งกรรม หรือเพราะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ฉันนั้น นอกนั้นย่อมไม่มี
โภชนะที่กินเข้าไปแล้วย่อยไม่ดี ย่อมเป็นเพราะท้องไม่ดี หรือเพราะโภชนะนั้นไม่ดีฉันใด เวทนาของพระพุทธเจ้านั้น ก็เกิดด้วยผลแห่งกรรม หรือเกิดด้วยการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งฉันนั้น
ก็แต่ว่า เวทนาอันเกิดด้วยผลแห่งกรรม และเกิดด้วยการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้า มีด้วยเหตุ ๑ อย่างนอกจาก ๒ อย่างนี้ ต่างหาก
ฐิตา:
ใครไม่อาจปลงพระชนม์ของพระพุทธเจ้าได้
แต่ว่าเวทนาทั้งที่น่าต้องการ และไม่น่าต้องการ ดีและไม่ดี ย่อมมีในพระวรกายอันประกอบด้วยธาตุ ๔ ของพระพุทธเจ้าได้
เป็นของธรรมดาก้อนดินที่บุคคลขว้างขึ้นไปในอากาศ ย่อมตกลงมาที่พื้นดิน ก้อนดินเหล่านั้นได้ตกลงมาที่พื้นดิน ด้วยกรรมที่ได้ทำไว้ในปางก่อนหรือ...มหาบพิตร? "
" หามิได้ พระผู้เป็นเจ้า ก้อนดินเหล่านั้นไม่ได้ตกลงมาที่พื้นดินด้วยกรรมอะไร"
" ขอถวายพระพร ควรเห็นว่าพระวรกายของพระตถาคตเจ้า ก็เปรียบเหมือนกับพื้นดินฉะนั้น การที่สะเก็ดศิลาถูกพระบาทของพระตถาคตเจ้านั้น ไม่ใช่เป็นเพราะบุพพกรรม
อาตมภาพขอถามมหาบพิตรว่า การที่แผ่นดินใหญ่นี้ ถูกมนุษย์ทั้งหลายทำลายและขุดนั้น เป็นด้วยบุพพกรรมหรือ ? "
" ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "
" ข้อที่สะเก็ดศิลาถูกพระบาทของพระพุทธเจ้า ทำให้พระโลหิตห้อนั้น ก็ไม่ใช่เพราะบุพพกรรมฉันนั้น ถึงพระโรคลงแดงก็ไม่ได้เกิดด้วยบุพพกรรม เกิดด้วย ลม ดี เสมหะ ๓ อย่าง กำเริบต่างหาก
ทุกขเวทนาทางพระกายของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดด้วยบุพพกรรมเลย เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ ต่างหาก
ข้อนี้ สมกับที่สมเด็จพระมหามุนีได้ตรัสไว้ใน " โมลิยสีวกเวยยากรณะ" ในสังยุตตนิกายว่า
" ดูก่อนสีวกะ เวทนาบางอย่างเกิดขึ้นเพราะมี " ดี " เป็นสมุฏฐาน บางอย่างมี " ลม " เป็นสมุฏฐาน บางอย่างมี " สิ่งทั้ง ๓ " นั้นเป็นสมุฏฐาน บางอย่างเกิดขึ้นเพราะเปลี่ยนฤดู บางอย่างเกิดขึ้นเพราะบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ บางอย่างเกิดขึ้นเพราะการกระทำของผู้อื่น บางอย่างเกิดขึ้นเพราะผลของกรรม
สมณพราหมณ์เหล่าใดเห็นว่า สุข ทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไม่สุขทั้งสิ้น เกิดขึ้นเพราะบุพพกรรมทั้งนั้น สมณพราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่าแล่นเลยความจริงไป ความคิดความเห็นของสมณพราหมณ์เหล่านั้นผิดไป "
เพราะฉะนั้นแหละ มหาบพิตร อาตมาจึงว่า เวทนาทั้งสิ้นไม่ใช่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน ไม่ใช่เกิดเพราะกรรมทั้งนั้น เป็นอันว่า พระตถาคตเจ้าได้เผาอกุศลกรรมสิ้นแล้ว จึงได้ถึงพระสัพพัญญุตญาณ ขอให้มหาบพิตรทรงจำไว้อย่างนี้เถิด ขอถวายพระพร "
" ดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า โยมขอรับจำไว้อย่างนี้ "
ฐิตา:
ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องสิ่งที่ควรทำยิ่งของพระพุทธเจ้า
สมเด็จพระราชาธิบดินทร์มิลินทราชพระบาทท้าวเธอตรัสถามปัญหาข้อต่อไปอีกว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า สิ่งที่ควรทำทั้งสิ้น สมเด็จพระมหามุนินทร์ทรงทำสำเร็จแล้วที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ ไม่มีสิ่งที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปอีก ไม่มีการสะสมสิ่งที่ทำแล้ว ดังนี้ แต่มีปรากฏอยู่ว่า พระตถาคตเจ้าได้ทรงประทับอยู่ในที่สงัดถึง ๓ เดือน
ถ้าพระตถาคตเจ้าได้ทำสิ่งที่ควรทำหมดแล้ว คำที่ว่า พระตถาคตเจ้าทรงเจ้าอยู่ในที่สงัดอยู่ถึง ๓ เดือนนั้นก็ผิดไป
ถ้าถือว่าการที่พระตถาคตเจ้าเข้าอยู่ในที่สงัดตลอด ๓ เดือนนั้นถูก คำที่ว่า พระตถาคตเจ้าได้ทำสิ่งที่ควรทำหมดแล้วนั้นก็ผิดไป
ข้าแต่พระนาคเสน การอยู่ในที่สงัด คือการเข้าฌานสมบัติ ย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ได้ทำสิ่งที่ควรทำเสร็จแล้ว เหมือนกับความจำเป็นที่จะต้องทำด้วยยา ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีโรค ความจำเป็นด้วยโภชนาหาร ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่หิวฉะนั้น ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้วขอได้โปรดแก้ไขด้วยเถิด "
พระนาคเสนเถระวิสัชนาว่า
" ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรได้ทำสิ่งที่ควรทำเสร็จแล้ว ที่ภายใต้โพธิพฤกษ์ไม่มีสิ่งที่ควรทำอีก ไม่มีการสะสมสิ่งที่ควรทำไว้แล้วนั้นก็จริง คำที่ว่า พระตถาคตเจ้าได้ทรงเข้าฌานสมาบัติอยู่ตลอด ๓ เดือนนั้นก็จริง คือเมื่อพระตถาคตเจ้าทั้งหลายทรงเจ้าฌาน อันมีคุณมาก มีคุณเป็นเอนก แล้วจึงสำเร็จพระสัพพัญญุตญาณ เมื่อทรงระลึกถึงคุณที่ฌานเหล่านั้น ได้กระทำไว้แล้ว จึงทรงเข้าฌานอีก เหมือนกับผู้ได้รับพรจากพระราชา คือได้ลาภยศจากพระราชาแล้ว เมื่อระลึกถึงพระคุณของพระราชา ก็ไปเฝ้าพระราชาอยู่เนือง ๆ หรือเหมือนกับบุรุษผู้เจ็บไข้ได้หายเจ็บไข้เพราะหมอคนใด เมื่อระลึกถึงคุณของหมอคนนั้น ก็ไปหาหมอเนือง ๆ ไปเพิ่มทรัพย์ให้หมอคนนั้นอีกเนือง ๆ ฉะนั้น "
ฐิตา:
การเข้าฌานมีคุณ ๒๘
" ขอถวายพระพร การเข้าฌานมีคุณ ๒๘ เมื่อสมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงระลึกถึงคุณ ๒๘ นั้น ก็ทรงเข้าฌาน คุณแห่งการเข้าฌาน ๒๘ นั้น คือ
๑. รักษาตัว
๒. ทำให้อายุเจริญ
๓. ให้เกิดกำลัง
๔. ปิดเสียซึ่งโทษ
๕. กำจัดเสียซึ่งสิ่งที่ไม่ใช่ยศ
๖. ทำให้เกิดยศ
๗. กำจัดเสียซึ่งความไม่ยินดีในธรรม
๘. ทำให้เกิดความยินดีในธรรม
๙. กำจัดเสียซึ่งภัย
๑๐. กระทำให้เกิดความกล้าหาญ
๑๑. กำจัดเสียซึ่งความเกียจคร้าน
๑๒. ทำให้เกิดความเพียร
๑๓. กำจัดเสียซึ่งราคะ
๑๔. ระงับเสียซึ่งโทสะ
๑๕. กำจัดเสียซึ่งโมหะ
๑๖. กำจัดเสียซึ่งมานะ
๑๗. ทิ้งเสียซึ่งวิตก
๑๘. ทำจิตให้มีอารมณ์เป็นหนึ่ง
๑๙. ทำให้จิตรักในที่สงัด
๒๐. ทำให้เกิดร่าเริง
๒๑. ทำให้เกิดปีติ
๒๒. ทำให้เป็นที่เคารพ
๒๓. ทำให้เกิดลาภ
๒๔. ทำให้เป็นที่รักแก่ผู้อื่น
๒๕. รักษาไว้ซึ่งความอดทน
๒๖. กำจัดเสียซึ่งอาสวะแห่งสังขารทั้งหลาย
๒๗. เพิกถอนเสียซึ่งการเกิดในภพต่อไป
๒๘. ให้ถึงซึ่งสามัญผลทั้งปวง
ดูก่อนมหาราชะ การเข้าฌานย่อมมีคุณ ๒๘ ประการดังนี้ สมเด็จพระชินสีห์ทั้งหลายจึงทรงเจ้าฌาน อีกประการหนึ่งเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายทรงต้องการเสวยสุขอันสงบ ก็ทรงเข้าฌาน
อนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายย่อมทรงเข้าฌานโดยเหตุ ๔ คือ เพื่อความอยู่เป็นสุข ๑ เพื่อความไม่มีโทษมีแต่มากด้วยคุณ ๑ เพื่อความเจริญแห่งพระอริยะอย่างไม่เหลือ ๑ เป็นของที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงสรรเสริญว่าประเสริฐ ๑ สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงเจ้าฌานด้วยเหตุเหล่านี้ ไม่ใช่ทรงเข้าฌานด้วยเหตุที่ยังมีสิ่งที่ควรทำอยู่ หรือด้วยเหตุเพื่อจะสะสมสิ่งที่ควรทำแล้ว ทรงเข้าด้วยทรงเล็งเห็นคุณวิเศษโดยแท้ขอถวายพระพร "
" พระผู้เป็นเจ้าโปรดนี้ โยมไม่มีข้อสงสัย โยมจะรับไว้ซึ่งถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยประการดังนี้ "
ฐิตา:
ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องกำลังอิทธิบาท
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
"ดูก่อนอานนท์อิทธิบาททั้ง ๔ เป็นของที่พระตถาคตเจ้าได้อบรมแล้ว กระทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นยานพาหนะแล้ว ทำให้เป็นที่ตั้งแล้ว ตั้งไว้เนือง ๆ แล้ว สะสมไว้มั่นแล้ว ปรารภไว้ดีแล้ว เมื่อพระตถาคตเจ้าจำนงจะดำรงอยู่ตลอดกัป หรือเกินกัปกัปก็ได้ "
แล้วตรัสอีกว่า
" เมื่อล่วง ๓ เดือนจากนี้ไป พระตถาคตเจ้าจักปรินิพพาน "
ดังนี้ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระตถาคตเจ้าทรงเจริญอิทธิบาท ๔ จนสามารถให้อยู่ได้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัปนั้นเป็นของจริง การกำหนดเดือนนั้นก็ผิดไป
ถ้าการกำหนดเดือนนั้นถูก คำว่า จะดำรงอยู่ได้ตลอดกัปหรือเกินกว่านั้นก็ผิดไป
คำของพระตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ผิดเป็นคำจริงทั้งนั้น ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ เป็นปัญหาลึกละเอียด รู้ได้ยาก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงทำลายเสียซึ่งข่าย คือความเห็นเถิด "
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่ว่าพระตถาคตเจ้าทรงเจริญอิทธิบาท อาจให้ทรงอยู่ได้ตลอดกัปหรือเกินกว่านั้นก็เป็นของจริง การกำหนดเดือนนั้นก็เป็นของจริง เพราะกัปที่ตรัสไว้นั้น หมายถึงอายุกัป
ไม่ใช่ว่าเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงแสดงกำลังของพระองค์ จึงได้ทรงตรัสไว้อย่างนั้น แต่เมื่อจะทรงแสดงกำลังแห่งอิทธิบาท จึงได้ตรัสไว้อย่างนั้นต่างหาก ขอถวายพระพร
เมื่อพระราชาจะทรงแสดงกำลังรวดเร็วแห่งม้าอาชาไนย ก็ได้ตรัสขึ้นในท่ามกลางมหาชนว่า ม้าตัวประเสริฐนี้อาจวิ่งไปรอบโลก แล้วกลับมาถึงที่นี้ได้ในขณะเดียว ดังนี้ ไม่ใช่ว่าตรัสอย่างนี้ เพื่อจะทรงแสดงความรวดเร็วของพระองค์ ทรงประสงค์เพื่อจะทรงแสดงความรวดเร็วของม้าอาชาไนยต่างหาก
ข้อที่พระตถาคตเจ้าตรัสอย่างนั้นก็เพื่อจะทรงแสดงกำลังอิทธิบาทเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อจะทรงแสดงกำลังของพระองค์เลย พระตถาคตเจ้าไม่ต้องการความมีความเป็นทั้งปวงแล้ว ทรงติเตียนภพ คือ ความมีความเป็นทั้งสิ้น ข้อนี้สมกับพระพุทธฎีกาขององค์สมเด็จพระมหามุนีทรงตรัสไว้ว่า
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันว่าคูถถึงมีเล็กน้อย ก็มีกลิ่นเหม็นฉันใด ภพถึงมีเพียงเล็กน้อย ชั่วดีดนิ้วมือเดียว เราตถาคตก็ไม่สรรเสริญ "
มหาบพิตรทรงเข้าพระทัยว่า พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยในภพทั้งปวง เพราะอาศัยอิทธิฤทธิ์หรือไม่ ? "
" หามิได้ พระผู้เป็นเจ้า "
" ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันว่า เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาจะทรงแสดงกำลังอิทธิบาท จึงได้ทรงบันลือพระพุทธสีหนาทไว้อย่างนั้น ขอถวายพระพร "
" ถูกแล้ว พระนาคเสน โยมยินดีรับคำที่พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนามานี้ "
จบวรรคที่ ๑
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version