แสงธรรมนำใจ > ดอกบัวโพธิสัตว์

มิลินทปัญหา

<< < (45/78) > >>

ฐิตา:


ปัญหาที่ ๘ ถามถึงเรื่องความไม่แตกกัน แห่งบริษัทของพระพุทธเจ้า

" ข้าแต่พระนาคเสนพระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า สมเด็จพระบรมศาสดามีบริษัทไม่แตก แต่กล่าวอีกว่า พระเทวทัตทำให้ภิกษุ ๕๐๐ แตกออกจากพระพุทธเจ้าได้ด้วยการกระทำเพียงครั้งเดียว

ถ้าพระตถาคตเจ้ามีบริษัทไม่แตกจริง ข้อที่ว่า พระเทวทัตทำให้ภิกษุ ๕๐๐ นั้นแตก ก็ผิดไป
ถ้าคำว่า พระเทวทัตทำลายภิกษุ ๕๐๐ ให้แตก นั้นถูก ข้อว่า พระตถาคตเจ้ามีบริษัทไม่แตก นั้นก็ผิดไป
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิยุ่งยากมาก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงกำลังญาณเถิด "

พระนาคเสนถวายพระพรว่า
" มหาบพิตรพระราชสมภาร สมเด็จพระพิชิตมารเป็นผู้มีบริษัทไม่แตกจริง พระเทวทัตก็ทำให้ภิกษุ ๕๐๐ แตกไปจริง เพราะเมื่อเหตุให้แตกมีอยู่ ความต้องแตกระหว่างมารดากับบุตร บุตรกับมารดา บิดากับบุตร บุตรกับบิดา พี่ชายกับพี่หญิง พี่หญิงกับพี่ชาย สหายกับสหาย ก็ยังต้องแตกกัน ถึงเรือที่ขนานด้วยไม้ต่าง ๆ ก็ยังแตกด้วยถูกลูกคลื่นซัด ต้นไม้ที่มีรสหวาน เมื่อปะปนกับสิ่งที่มีรสขม ก็ยังมีรสแปรไป ทองคำหรือเงินปนทองแดงก็ยังเปลี่ยนสีไปได้ ก็แต่ว่าความแตกอย่างนั้น ไม่ใช่ความประสงค์ของผู้รู้ทั้งหลาย ไม่ใช่พระพุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่ใช่ความพอใจของบัณฑิตทั้งหลายว่า พระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีบริษัทแตก ( หมายความว่า ผู้รู้ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลาย บัณฑิตทั้งหลาย ไม่ลงความเห็นว่า พระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีบริษัทแตก )

ข้อที่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้มีบริษัทไม่แตกนั้นมีอยู่ คือพระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีบริษัทไม่แตกด้วยกระทำ หรือด้วยการถือเอา หรือด้วยการกล่าวถ้อยคำอันไม่เห็นเป็นที่รัก หรือด้วยการไม่ช่วยเหลือ หรือด้วยการวางตนไม่สมควรของพระพุทธเจ้าเอง ขอถวายพระพร

ความข้อนี้มีปรากฏอยู่ในพระพุทธพจน์อันมีองค์ ๙ หรือไม่ว่าบริษัทของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้แตกไป ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงกระทำไว้ ในเวลายังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ? "

พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสยอมรับว่า
" ไม่มีเลยพระผู้เป็นเจ้า โยมไม่เคยได้ฟังเลยว่า บริษัทของพระตถาคตเจ้าได้แตกไปด้วยกรรมที่พระองค์กระทำไว้ ในเมื่อพระองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ โยมจึงขอรับว่าพระผู้เป็นเจ้าแก้ไขข้อนี้ถูกต้องดีแล้ว "

ฐิตา:


ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องการทำบาปของผู้ไม่รู้

สมเด็จพระบรมกษัตริย์แห่งสาคลนครจอมบพิตรอดิศร ตรัสถามอรรถปัญหาอีกว่า

" ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า ผู้ไม่รู้ทำปาณาติบาต ย่อมได้บาปมากกว่าผู้รู้ แต่กล่าวไว้ในพระวินัยบัญญัติว่า ภิกษุผู้ไม่รู้ไม่ต้องอาบัติ ดังนี้

ถ้าผู้ไม่รู้ทำปาณาติบาต ได้บาปมากกว่าคำว่า " ภิกษุผู้ไม่รู้ไม่ต้องอาบัติ" ก็ผิดไป
ถ้าคำว่า " ภิกษุผู้ไม่รู้ไม่ต้องอาบัติ " นั้นถูก คำว่า " ผู้ไม่รู้ทำปาณาติบาตได้บาปมากกว่า " ก็ผิดไป
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ ข้ามไปได้ยากนะ พระคุณเจ้าข้า "

พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาว่า
" ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรเจ้าได้ตรัสไว้จริงว่า ผู้ไม่รู้ทำปาณาติบาต ย่อมได้บาปมากกว่า และที่ทรงบัญญัติไว้ก็จริงว่า ภิกษุผู้ไม่รู้ไม่ต้องอาบัติ แต่ความหมายในข้อนี้มีอยู่ต่างหาก คืออย่างไร...คืออาบัติแยกเป็นหลายอย่างเช่น เป็น สัญญาวิโมกข์ คือพ้นเพราะรู้ เพราะเข้าใจก็มีและที่เป็น นสัญญาวิโมกข์ คือไม่พ้นเพราะรู้ เพราะเข้าใจก็มี ข้อที่ว่า ภิกษุผู้ไม่รู้ไม่ต้องอาบัตินั้น หมายอาบัติที่เป็น สัญญาวิโมกข์ ขอถวายพระพร "

" ถูกดีแล้ว พระนาคเสน "

ฐิตา:


ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องความไม่ทรงห่วงพระภิกษุสงฆ์

" ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาจารย์ มีพระพุทธฎีกาโปรดประทานไว้ว่า
" ดูก่อนอานนท์ พระตถาคตเจ้าย่อมไม่คิดว่า เราปกครองภิกษุสงฆ์ หรือภิกษุสงฆ์มุ่งเฉพาะเรา " ดังนี้

แต่เมื่อจะทรงแสดงสภาวคุณของ พระเมตไตรยโพธิสัตว์เจ้า ก็ได้ตรัสไว้ว่า
" พระศรีอาริยเมตไตรยนั้น จักบริหารภิกษุสงฆ์ไม่ใช่พันเดียว เหมือนเราบริหารพระภิกษุสงฆ์ไม่ใช่ร้อยเดียวอยู่ในบัดนี้" ดังนี้

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระตถาคตเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ว่า " เราไม่ได้คิดว่าเราบริหารพระภิกษุสงฆ์ หรือว่าพระภิกษุสงฆ์มุ่งเฉพาะต่อเรา" นั้นถูก คำที่ว่า " พระเมตไตรยโพธิสัตว์เจ้า จะบริหารพระภิกษุสงฆ์ไม่ใช่พันเดียว เหมือนเราบริหารภิกษุสงฆ์ไม่ใช่ร้อยเดียวอยู่ในบัดนี้" ก็ผิดไป

ถ้าคำนี้ถูก คำที่ว่า " พระพุทธเจ้าไม่ได้คิดว่า เราบริหารภิกษุสงฆ์" ก็ผิดไป
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดวิสัชนาให้สิ้นสงสัยด้วยเถิด"

พระนาคเสนถวายพระพรว่า
" ข้อความทั้งสองข้อนั้น จริงทั้งนั้น ถูกทั้งนั้น แต่ว่าในปัญหาข้อนี้ ข้อหนึ่งเป็นคำมีเศษ อีกข้อหนึ่งเป็นคำไม่มีเศษไม่มีเหลือ ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าไม่ใช่ผู้ติดตามบริษัท ส่วนบริษัทก็ไม่ได้ติดตามพระตถาคตเจ้า คำว่า "เรา...ของเรา" เป็นคำสมมุติ ไม่ใช่คำปรมัตถ์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ได้ปราศจากความรัก ความใยดีเสียแล้ว การถือว่าเป็น " ของเรา " ย่อมไม่มีแก่พระองค์ แต่มีการอาศัยเนื่องถึงเท่านั้น"

ต่อที่ # ๒๔๐  http://agaligohome.com/index.php?topic=205.240

ฐิตา:

อุปมาอุปมัย

" แผ่นดินย่อมเป็นที่อาศัยของสัตว์ทั้งหลายที่อยู่บนภาคพื้น แต่แผ่นดินไม่ได้มีความเยื่อใยว่า สัตว์เหล่านี้เป็นของเราฉันใด

สมเด็จพระจอมไตร ก็เป็นที่พึ่งที่อาศัยของสัตว์ทั้งปวง แต่ไม่ทรงห่วงใยว่า เป็นของเราฉันนั้น

อีกอย่างหนึ่ง เมฆใหญ่ที่ตกลงมาย่อมให้ความเจริญแก่ต้นหญ้า ต้นไม้ สัตว์เลี้ยงและมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมเลี้ยงรักษาสัตว์ทั้งปวงไว้ สัตว์ทั้งปวงก็มีชีวิตอยู่ได้เพราะน้ำฝน แต่ว่าน้ำฝนไม่ได้ถือว่าเป็นของเราฉันใด

สมเด็จพระพุทธองค์ก็ทรงทำให้เกิดกุศลธรรมแก่สัตว์ทั้งปวง ทรงรักสัตว์ทั้งปวงไว้ด้วยศีล สัตว์ทั้งปวงที่ไว้ด้วยศีล สัตว์ทั้งปวงที่เลื่อมใสก็ได้อาศัยพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงห่วงใยว่า "เป็นของเรา" ฉันนั้น

ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร...เป็นเพราะเหตุว่า สมเด็จพระบรมศาสดาทรงละอัตตานุทิฏฐิคือ ความเห็นว่าเป็นตัวตนอย่างเด็ดขาดเสียแล้วขอถวายพระพร"

"ปัญหาข้อนี้ พระผู้เป็นเจ้าได้แก้ไขชัดแล้ว "

จบวรรคที่ ๒

ฐิตา:

เมณฑกปัญหา วรรคที่ ๓

ปัญหาที่ ๑ ถามเรื่องทรงแสดงของลับ

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระพิชิตมารได้ตรัสประทานไว้ว่า

" ความสำรวมทางกาย วาจา ใจ เป็นของดี ความสำรวมในที่ทั้งปวงเป็นของดี" ดังนี้ แต่มีกล่าวไว้ว่า พระตถาคตเจ้าประทับนั่งในท่ามกลางบริษัท ๔ ได้ทรงแสดงวัตถุคุยหะ ( ของลับ ) อันอยู่ในฝักแก่ เสลพราหมณ์ ต่อหน้าเทพยดามนุษย์ทั้งหลาย ทั้งทรงแลบพระชิวหาออกแยงช่องพระโสตทั้งสอง และทรงแลบพระชิวหาออกปิดพระนลาต คือหน้าผาก ไม่สำรวมสิ่งที่ควรปกปิด

ถ้าได้ตรัสไว้ว่า " การสำรวมเป็นการดีจริงแล้ว " คำที่ว่า " ทรงแสดงวัตถุคุยหะแก่เสลพราหมณ์นั้น " ก็ผิด

ถ้าคำว่า " ทรงแสดงวัตถุคุยหะแก่เสลพราหมณ์ " นั้นถูก คำว่า " การสำรวมเป็นความดีนั้น " ก็ผิด

ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแก้ให้สิ้นสงสัยด้วยเถิด"

พระนาคเสนเฉลยปัญหานี้ว่า

" ขอถวายพระพร คำทั้งสองข้อนั้นถูกทั้งนั้น แต่ว่าผู้ใดมีความสงสัยในพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ก็ทรงแสดงเงาแห่งพระกายคล้ายกับสิ่งนั้นด้วยฤทธิ์ เพื่อให้ผู้นั้นสิ้นสงสัยผู้นั้นก็ได้เห็นปาฏิหาริย์นั้น"

" ข้าแต่พระนาคเสน ข้อนั้นใครจักเชื่อถือ คือผู้อยู่ในที่ประชุมนั้น ได้เห็นวัตถุคุยหะนั้นแต่ผู้เดียว นอกนั้นไม่มีใครเห็น ขอพระผู้เป็นเจ้าจงชี้แจงให้โยมเข้าใจอีก "

" ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยเห็นบุรุษผู้เจ็บไข้ เกลื่อนกล่นด้วยญาติมิตรหรือไม่? "

" อ๋อ...เคยเห็นซิ พระผู้เป็นเจ้า "

"ขอถวายพระพร ญาติมิตรที่อยู่ในที่ประชุมนั้น ได้เห็นทุกขเวทนาของบุรุษนั้นหรือไม่ ? "

" ไม่ได้เห็น พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้อุปมาฉันใด ผู้ที่ยังสงสัยอยู่ ผู้นั้นก็ได้เห็นเพียงแต่เงาแห่งวัตถุคุยหะ ที่อยู่ในภายในผ้าสบงของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงบันดาลให้เห็นฉันนั้น อีกอย่างหนึ่ง เวลาภูตผีปีศาจเข้าสิงบุรุษ มีผู้เห็นหรือไม่ ? "

" ไม่เห็น พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ใดสงสัยในเรื่องวัตถุคุยหะของพระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงแสดงให้เห็นแต่ผู้นั้นเท่านั้น "

" ข้าแต่พระนาคเสน เป็นอันว่า สิ่งที่ไม่น่าจะเห็นได้แต่ผู้เดียว พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงให้เห็นได้แต่ผู้เดียว เป็นการกระทำได้ยาก"

" ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรเจ้าไม่ได้ทรงแสดงพระคุยหะด้วยกิริยาปกติธรรมดา ได้ทรงบันดาลให้เห็นเพียงเงาเท่านั้น แต่เมื่อเสลพราหมณ์ได้เห็นแล้วก็สิ้นสงสัยถึงสิ่งที่กระทำได้แสนยาก สมเด็จพระผู้มีพระภาคก็ทรงกระทำ เพื่อให้ผู้ที่ควรรู้ธรรมได้รู้ธรรม"

ถ้าพระตถาคตเจ้าไม่ทรงทำอย่างนั้น ผู้ที่ควรรู้ธรรมก็จะไม่รู้ธรรม พระตถาคตเจ้าชื่อว่าเป็นพระสัพพัญญูไม่ใช่หรือ เพราะเหตุที่พระองค์เป็นพระสัพพัญญู ผู้ที่ควรรู้ธรรมด้วยการประกอบอย่างใด ๆ พระตถาคตเจ้าก็ทรงให้รู้ธรรมด้วยการประกอบอย่างนั้นๆ

เหมือนกับนายแพทย์ผู้ฉลาด รู้ว่าโรคจะหายไปด้วยยาชนิดใด จะเป็นยาถ่าย หรือยาทา หรือผ่าตัด อบ รม อย่างใด ก็ทำอย่างนั้น

อีกประการหนึ่ง หญิงที่มีครรภ์แก่ถ้วนแล้ว ย่อมแสดงกระทั่งของลับ ซึ่งไม่ควรแสดงแก่หมอฉันใด สมเด็จพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงพระคุยหะอันไม่ควรทรงแสดงแก่เวไนย เพื่อให้รู้ธรรมด้วยฤทธิ์ฉันนั้น

โอกาสอันชื่อว่าไม่ควรแสดงด้วยการกำหนดบุคคลย่อมไม่มี ถ้ามีใครได้เห็นพระหฤทัยของพระพุทธเจ้า จึงจะรู้ธรรมได้ พระองค์ก็ต้องทรงแสดงพระหฤทัยให้ผู้นั้น

สมเด็จพระภควันต์เป็นโยคัญญูคือทรงรู้จักวิธีประกอบ เป็นเทสนากุสโล คือทรงฉลาดในทางทรงแสดง พระตถาคตเจ้าทรงทราบอธิมุตติ คือนิสัยของ พระนันทะ ได้ดี จึงทรงนำพระนันทะขึ้นไปสู่สวรรค์ ให้เห็นพวกเทพกัญญา ด้วยทรงดำริว่า กุลบุตรผู้นี้จักรู้ธรรมได้ด้วยอุบายอันนี้ แล้วกุลบุตรนี้ก็ได้รู้ธรรมด้วยอุบายนั้น

เป็นอันว่า สมเด็จพระบรมศาสดาทรงติเตียน เกลียดชัง ศุภนิมิต คือสิ่งที่เห็นว่าสวยงามไว้เป็นอันมาก แต่ได้ทรงแสดงนางอัปสรผู้ประดับด้วยเครื่องแก้วเครื่องทอง มีสีเท้าแดงดังสีเท้านกพิราบแก่พระนันทะ เพื่อจะให้พระนันทะรู้ธรรม พระนันทะก็ได้รู้ธรรมด้วยอุบายอันนั้น พระตถาคตเจ้าเป็นโยคัญญู เป็นเทสนากุสโลอย่างนี้

ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง มหาบพิตร คือสมเด็จพระพิชิตมารถูกพราหมณ์ โมฆราช ทูลถามปัญหาถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่ทรงแก้ ด้วยทรงเห็นว่ามานะของกุลบุตรนี้ จักหายไปด้วยอาการอย่างนี้ เมื่อมานะหายไปธรรมวิเศษก็จักมี ดังนี้ ด้วยอาการที่ทรงกระทำอย่างนั้น มานะของกุลบุตรนั้นก็สงบไป มานะสงบไปแล้ว ก็ได้สำเร็จอภิญญา ๖ แม้ด้วยอาการอย่างนี้ สมเด็จพระชินสีห์ก็ชื่อว่าเป็นโยคัญญู คือผู้รู้จักวิธีประกอบ หรือวิธีการชื่อว่าเทสนากุสโส ผู้ฉลาดในเทศนาขอถวายพระพร "

" ดีแล้ว พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้แก้ปัญหานี้ออกให้แจ่มแจ้ง ด้วยอ้างเหตุการณ์หลายอย่างแล้ว ได้ทำลายป่ารกแล้ว ทำมืดให้สว่างแล้ว ทำลายข้อยุ่งยากเสียแล้ว หักล้างถ้อยคำของผู้อื่นเสียหมดแล้ว ทำให้เกิดจักษุคือปัญญา แก่ศากยบุตรพุทธชิโนรสได้แล้ว"

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version