แสงธรรมนำใจ > ดอกบัวโพธิสัตว์
มิลินทปัญหา
ฐิตา:
ผู้ที่เคารพผู้อื่นไม่ได้ ๑๒ จำพวก
" ขอถวายพระพร ผู้ที่เคารพผู้อื่นไม่ได้มีอยู่ ๑๒ จำพวกคือ
๑. ผู้กำหนัดยินดี
๒. ผู้โกรธ
๓. ผู้หลง
๔. ผู้กำเริบ
๕. ผู้เนรคุณ
๖. ผู้มีใจกระด้างเกินไป
๗. ผู้ชั่วช้า
๘. ผู้จักลงโทษ
๙. ผู้ไม่สละ
๑๐. ผู้กำลังทุกข์
๑๑. ผู้โลภครอบงำ
๑๒. ผู้วุ่นอยู่กับการงาน
มหาราชะ ถ้าสะเก็ดศิลานั้น ไม่แตกไปจากก้อนศิลา ก้อนศิลาใหญ่ทั้งสองที่ผุดขึ้นรับนั้น ก็จะได้รับสะเก็ดศิลานั้นไว้ได้ สะเก็ดศิลานั้น ได้ตั้งอยู่ที่อากาศ ได้แตกกระเด็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีทิศที่หมาย ตกไปตามแต่จะได้ จึงไปตกถูกพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า
อีกอย่างหนึ่ง ใบไม้แห้งที่ถูกลมหัวด้วนพัดขึ้นไป ก็ไม่มีทิศที่หมาย ย่อมตกไปตามแต่จะได้ฉันใด สะเก็ดนั้นก็ไม่มีทิศที่หมายตกไปตามแต่จะได้ฉันนั้น
อนึ่ง สะเก็ดศิลานั้น ได้ตกไปถูกพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะให้พระเทวทัตผู้อกตัญญู ผู้กระด้าง ได้เสวยทุกข์ในนรก ขอถวายพระพร "
" ดีแล้วพระนาคเสน โยมรับว่าถูกต้อง "
ฐิตา:
ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องการถวายโภชนาหาร
" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า " โภชนะอันได้ด้วยการกล่าวคาถา ไม่สมควรที่เราจะบริโภค ดูก่อนพราหมณ์ ข้อนี้เป็นธรรมดาของผู้รู้แจ้งเห็นจริงทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมกำจัดเสียซึ่งการกล่าวคาถา ดูก่อนพราหมณ์ ความประพฤติข้อนี้อยู่ในธรรม" ดังนี้
แต่ต่อมา เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาจะทรงแสดงธรรม ก็ทรงแสดงไปตามลำดับคือทรงแสดง ทานกถา ก่อนแล้วจึงทรงแสดง สีลกถา ในภายหลัง เทพยดามนุษย์ทั้งหลายได้ฟังถ้อยคำของพระพุทธเจ้าผู้เป็นใหญ่ในโลกจึงได้ชวนกันถวายทาน พระสาวกทั้งหลายก็ได้บริโภคทานอันนั้น
ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงกำจัดการกล่าวคาถา จริงแล้ว ข้อที่ว่า ทรงแสดงทานกถาก่อนก็ผิดไป
ถ้าข้อว่า ทรงแสดงทานกถาก่อนนั้นถูก ข้อที่ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมกำจัดการกล่าวคาถานั้นก็ผิด
ข้อนั้นเพราะเหตุไร....เพราะเหตุว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ควรแก่การถวายทานนั้น ได้ทรงแสดงผลแห่งการถวายบิณฑบาตให้คฤหัสถ์ทั้งหลายฟัง คฤหัสถ์ทั้งหลายฟังแล้วมีใจเลื่อมใสได้ถวายทานเรื่อย ๆ ไป พวกที่ได้บริโภคทานนั้นก็ชื่อว่า บริโภคสิ่งที่ได้ด้วยการกล่าวคาถา
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแก้ไขให้สิ้นสงสัยด้วยเถิด "
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า โภชนะอันได้ด้วยการกล่าวคาถา ไม่สมควรที่เราจะฉัน แล้วทรงแสดงทานกถาก่อน อันกิริยานั้น เป็นกิริยาของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย
คือพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงทำให้สาธุชนยินดียิ่งด้วยทานกถาก่อน แล้วจึงทรงชักนำในเรื่องศีล ต่อภายหลัง เปรียบเหมือนคนทั้งหลายที่ให้ของเล่นแก่เด็ก ๆ ซึ่งกำลังเล่นฝุ่นเล่นทราย มีไถและค้อนเล็ก ๆ หม้อข้าวเล็ก ๆ ตุ๊กตาเล็ก ๆ ภาชนะเล็ก ๆ รถเล็ก ๆ ธนูเล็ก ๆ เสียก่อน จึงแนะนำให้เรื่องการงานต่อภายหลังฉะนั้น
อีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับแพทย์ที่ให้คนไข้หนักดื่มน้ำมันสัก ๔ วัน หรือ ๕ วันก่อน พอมีกำลังดี จึงให้กินยาถ่ายภายหลังฉะนั้น
กล่าวคือ เมื่อจิตของผู้ถวายทานทั้งหลายอ่อนแล้ว ก็เป็นสะพานเป็นเรือช่วยให้ข้ามฝั่งสาคร คือสงสารได้ เพราะฉะนั้น สมเด็จพระทรงธรรม์ จึงทรงสอนตามสมควรแก่ภูมิเสียก่อน คำสอนของพระองค์นั้น ไม่แสดงการขอด้วยกาย หรือแสดงการขอด้วยวาจา"
ฐิตา:
การขอ
" ข้าแต่พระนาคเสน คำว่า การขอ นั้นมีอยู่เท่าใด? "
" ขอถวายพระพร มีอยู่ ๒ ประการ คือ การขอทางกาย ๑ การขอทางวาจา ๑
การขอทั้งสองนี้ แยกออกไปอย่างละ ๒ คือ มีโทษ ๑ ไม่มีโทษ ๑
การขอทางกายที่มีโทษ นั้นได้แก่สิ่งใด....
ได้แก่การที่ภิกษุบางรูปเข้าไปถึงตระกูลแล้วยืนอยู่ในที่ไม่สมควร ไม่ละที่นั้นไป พระอริยะทั้งหลายย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยการขอทางกายนั้น ส่วนบุคคลนั้น เป็นผู้ที่พระอริยเจ้าดูหมิ่นติเตียน ครอบงำ ไม่ยำเกรง ดูแคลน นินทา ถึงซึ่งอันนับว่าเป็นผู้เสียอาชีพ
ยังมีอีกข้อหนึ่งมหาบพิตร ภิกษุบางรูปเข้าไปถึงตระกูล แล้วยืนอยู่ในที่ไม่สมควร ยื่นคอเล็งดูประหนึ่งว่านกยูง ด้วยเข้าใจว่าคนจักไม่เห็นเรา แล้วคนก็เห็นภิกษุนั้น อันนี้ก็เป็นการขอทางกายที่มีโทษ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่เลี้ยงชีพด้วยการขอทางกายนี้ ภิกษุนั้นย่อมเป็นที่ดูหมิ่นติเตียนของพระอริยะทั้งหลาย ย่อมถึงซึ่งความนับว่า เลี้ยงชีพในทางที่ไม่สมควร
การขอทางกายที่ไม่มีโทษ นั้นได้แก่สิ่งใด...
ได้แก่การที่ภิกษุบางรูปเข้าไปถึงตระกูลมีสติสัมปชัญญะ ไปยืนอยู่ในที่สมควร ด้วยคิดว่า ผู้ประสงค์จะให้ก็ต้องมา ผู้ไม่ประสงค์จะให้ก็ต้องหลีกไป พระอริยะเจ้าทั้งหลายเลี้ยงชีพด้วยการขออย่างนี้ ภิกษุนั้นย่อมเป็นที่สรรเสริญเชยชมของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมถึงซึ่งความนับว่ามีความประพฤติขัดเกลากิเลส มีอาชีพบริสุทธิ์
ข้อนี้ สมกับที่สมเด็จพระบรมสุคต ผู้เป็นวิสุทธิเทพยิ่งกว่าเทพยดาตรัสไว้ว่า
" ผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมไม่ขอ ผู้มีความคิดดีทั้งหลายย่อมติเตียนการขอ พระอริยะทั้งหลายได้แต่ยืนเฉพาะ การยืนเฉพาะเป็นการขอของพระอริยะทั้งหลาย" ดังนี้ การขอด้วยกายอย่างนี้ เป็นของไม่มีโทษ
ฐิตา:
การขอทางวาจาที่มีโทษ นั้นคืออย่างไร
คือภิกษุบางรูปย่อมขอสิ่งต่างๆ ด้วยวาจา คือขอจีวร บิณฑบาต ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ที่เก็บเภสัช พระอริยะทั้งหลายย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยการขออย่างนี้ ภิกษุนั้นย่อมเป็นที่ดูแคลน เป็นที่ติเตียนในธรรมเนียมของพระอริยะทั้งหลาย ย่อมถึงซึ่งอันนับว่าผู้เสียอาชีพ
ยังอีกข้อหนึ่งมหาบพิตร คือภิกษุบางรูปเมื่อจะให้ผู้อื่นได้ยินเสียง ก็กล่าวว่า เราต้องการของสิ่งนี้ เมื่อคนเหล่านั้นถูกขอด้วยวาจาอย่างนั้น เขาก็ต้องให้ การพูดขออย่างนี้ก็เป็นของมีโทษ
ยังอีกข้อหนึ่ง คือภิกษุบางรูปย่อมเปล่งวาจาให้คนอื่นได้ยินว่า ควรถวายแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ ๆ พวกที่ได้ยินก็จักถวาย อันนี้ก็เป็นวจีที่มีโทษ ขอถวายพระพร
พระสารีบุตรเถระ เป็นไข้ในเวลากลางคืน เมื่อพระมหาโมคคัลลาน์ถามถึงยา ก็ได้เปล่งวาจาออกมาแล้วก็ได้ยา ครั้งนั้น พระสารีบุตรเถระก็ได้ทิ้งยานั้นเสีย ไม่ฉันยานั้น ด้วยกลัวเสียอาชีพว่า ยานี้ได้เกิดแก่เราเพราะการเปล่งวาจา อย่าให้อาชีพของเราเสียไปเลย
พระอริยะทั้งหลายย่อมไม่ฉันของที่ขอด้วยวาจาอย่างนั้น
ฐิตา:
การขอทางวาจาที่ไม่มีโทษ นั้นคืออะไร
คือเมื่อความจำเป็นมีขึ้น ภิกษุก็ขอยาต่อพวกญาติหรือผู้ที่ปวารณาไว้ การขออย่างนั้นเป็นของไม่มีโทษ ผู้นั้นก็เป็นที่สรรเสริญของพระอริยะทั้งหลายนับว่าเป็นผู้มีอาชีพบริสุทธิ์ "
" ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อพระตถาคตเจ้าจะเสวย เทวดาทั้งหลายได้โปรยทิพยโอชาลงไปทุกคราวหรือ...หรือเฉพาะในบิณฑบาตทั้งสองคราวนั้น คือ เนื้อสุกรอ่อนของนายจุนท์ กับข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาเท่านั้น? "
" ขอถวายพระพร ทุกคราวที่สมเด็จพระชินวรเจ้าเสวย เหมือนกับเมื่อพระราชากำลังเสวย พวกพนักงานเครื่องเสวยก็ได้หยิบเอากับข้าวใส่ลงไปในคำข้าวฉะนั้น
ครั้งหนึ่ง เมื่อพระตถาคตเจ้าเสวยข้าวสำหรับเลี้ยงม้า ที่พวกพ่อค้านำไปถวาย เทวดาทั้งหลายก็ทำให้ข้าวนั้นอ่อนด้วยผงทิพย์แล้วน้อมเข้าไปถวาย ทำให้เกิดความสบายพระกายแก่พระตถาคตเจ้า "
" ข้าแต่พระนาคเสน เป็นลาภอันดีของพวกเทวดา ที่คอยปฏิบัติพระพุทธเจ้าอยู่เสมอไป เป็นอันว่า ปัญหาข้อนี้พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขถูกต้องดีแล้ว"
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version