แสงธรรมนำใจ > ดอกบัวโพธิสัตว์

พุทธวจนะในธรรมบท โดย เสฐียรพงษ์

<< < (3/7) > >>

ฐิตา:


๘. หมวดพัน
THE THOUSANDS

๑๐๐. สหสฺสํ อปิ เจ วาจา
อนตฺถปทสญฺหิตา
เอกํ อตฺถปทํ เสยฺโย
ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ ฯ ๑๐๐ ฯ

คำพูดที่เหลวไหลไร้ประโยชน์ตั้งพันคำ
ก็สู้คำพูดที่มีประโยชน์คำเดียวไม่ได้
เพราะฟังแล้วทำให้จิตใจสงบ

Better than a thounsand useless words
Is one beneficial single word,
Hearing which one is pacified.

๑๐๑. สหสฺสํ อปิ เจ คาถา
อนตฺถปทสญฺหิตา
เอกํ คาถาปทํ เสยฺโย
ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ ฯ ๑๐๑ ฯ

บทกวีตั้งพันโศลก
แต่ไร้ประโยชน์
ไม่เท่าบทกวีบรรทัดเดียว
ที่ทำให้ผู้ฟังได้รับความสงบ

Better than a thounsand verses,
Comprising useless words,
Is one beneficial single line,
Hearing which one is pacified.

๑๐๒. โย จ คาถาสตํ ภาเส
อนตฺถปทสญฺหิตา
เอกํ ธมฺมปทํ เสยฺโย
ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ ฯ ๑๐๒ ฯ

บทกวีบรรยายธรรมบทเดียว
ที่ทำให้ผู้ฟังได้รับความสงบ
ประเสริฐกว่าบทกวีที่ท่องจำได้ตั้งร้อยโศลก
แต่ไม่มีประโยชน์แม้แต่บทเดียว

Should one recite a hundred verses,
Comprising useless words,
Better is one single word of the Dhamma,
Hearing which one is pacified.

๑๐๓. โย สหสฺสํ สหสฺเสน
สงฺคาเม มานุเส ชิเน
เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ
ส เว สงฺคามชุตฺตโม ฯ ๑๐๓ ฯ

ถึงจะรบชนะข้าศึกเป็นพันๆ ราย
ก็ไม่นับเป็นยอดขุนพล
แต่ผู้ที่เอาชนะจิตใจตน
จึงเรียก "ยอดขุนพล" แท้จริง

Though one should conquer in battle
A thounsand times a thounsand men,
Yet should one conquer just oneself
One is indeed the greatest victor.

๑๐๔-๕. อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย
ยาจายํ อิตรา ปชา
อตฺตทนฺตสฺส โปสสฺส
นิจฺจํ สญฺญตจาริโน
เนว เทโว น คนฺธพฺโพ
น มาโร สห พฺรหฺมุนา
ชิตํ อปชิตํ กยิรา
ตถารูปสฺส ชนฺตุโน ฯ ๑๐๔-๕ * ฯ

เอาชนะตนได้นั้นแล ประเสริฐ
ผู้ที่ฝึกตนได้ ระวังระไวตลอดเวลา
ถึงเทวดา คนธรรพ์ และพระพรหม
ก็เอาชนะไม่ได้

Better indeed is it to conquer oneself,
Neither a god nor a Gandharva
Neither Mara nor Brahma
Could turn into defeat the victory of one
Who is self-madtered and self-controlled.

* โปสสฺส (โปส + สฉัฏฐีวิภัติ) ย่อมาจาก ปุริส ซึ่งยืมมาจากศัพท์
เฉพาะในอุปนิษัทอีกที (ปุรฺษ>ปุรุษ>ปุริส>โปสฺส>โปส) คำ
โปส นี้ มีใช้เฉพาะในภาษาร้อยกรอง ส่วนภาษาร้อยแก้วมักใช้
ปุริส มากกว่า

๑๐๖. มาเส มาเส สหสฺเสน
โย ยเชถ สตํ สมํ
เอกญฺจ ภาวิตตฺตานํ
มุหุตฺตมฺปิ ปูชเย
ยญฺเจว วสฺสตํ หุตํ ฯ ๑๐๖ * ฯ

การบูชาท่านผู้ฝึกตน แม้เพียงหนึ่งครั้ง
บังเกิดผลมหาศาล
ยิ่งกว่าสละทรัพย์บูชายัญเดือนละพัน
เป็นเวลาติดต่อกันถึงร้อยปี

Though, month after month with a thousand,
One should sacrifice for a hundred years,
Yet,if, only for a moment,
One should honour the self-restrained,
That honour, indeed, is better
Than a century of sacrifice.

* คำว่า ปูชนา ไม่นิยมใช้ในที่อื่นนอกจากภาษาร้อยกรอง
ที่ถูกควรมีรูปเป็น ปูชา

๑๐๗. โย จ วสฺสสตํ ชนฺตุ
อคฺคึ ปริจเร วเน
เอกญฺจ ภาวิตตฺตานํ
มุหุตฺจมฺปิ ปูชเย
สา เยว ปูชนา เสยฺโย
ยญฺเจ วสฺสสตํ หุตํ ฯ ๑๐๗ ฯ

การบูชาท่านผู้ฝึกตนแม้เพียงครู่เดียว
บังเกิดผลมหาศาล
ยิ่งกว่าการบูชาไฟในป่า
เป็นเวลาตั้งร้อยปี

Though one , for a century,
Should tend the fire in the forest,
Yet, if ,only for a moment,
He should honour the self-restrained,
Thai honour,indeed,is better
Than a century of sacrifice.

๑๐๘. ยงฺกิญฺจิ ยิฎฺฐํ ว หุตํ ว โลเก
สํวจฺฉรํ ยเชถ ปุญฺญเปกฺโข
สพฺพมฺปิ ตํ น จตุภาคเมติ
อภิวาทนา อุชุคเตสุ เสยฺโย ฯ ๑๐๘ ฯ

ไม่ว่ายัญชนิดไหน ที่ผู้ใคร่บุญพึงบูชาตลอดปี
การบูชายัญนั้นมีค่าไม่เท่าหนึ่งในส่ของการยกมือไหว้
ท่านผู้ปฏิบัติตรงตามอริยมาาคแม้เพียงครั้งเดียว
การไหว้บุคคลเช่นนั้นประเสริฐกว่าเป็นไหนๆ

Whatever oblationnns and sacrifices
One might offer for a year,
Seeking merit thereby,
All that is not worth a single quarter
Of homage towards the upright
Which is far more excellent.

๑๐๙. อภิวาทนสีลิสฺส
นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน
จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ
อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ ฯ ๑๐๙ * ฯ

ผู้กราบไหว้ อ่อนน้อมถ่อมตัว
ต่อผู้ใหญ่เป็นนิจศีล
ย่อมเจริญด้วยคุณธรรมสี่ประการคือ
อายุ ชื่อเสียง สุข และกำลัง

For one who is in the habit of
Ever honouring and respecting the elders,
Four qualities increase;
Loong life,Fame, happiness and strength.

* วณฺโณ ธรรมบทฉบับคันธารี จัดพิมพ์โดยศาสตราจารย์
จอห์น บราฟ เขียน กิตฺติ ซึ่งแปลว่าเกียรติ วณฺณ แปลได้หลาย
นัยคือ ผิวพรรณ, อักษร, เกียรติ ข้าพเจ้าเห็นว่าความหมาย
อย่างหลังนี้ เหมาะและมีเหตุผลดีกว่า จึงถือตามนี้ ซึ่งไม่ตรง
กับมติที่ยึดถือกันมานานในประเทศนี้ ขอฝากไว้พิจารณาด้วย

๑๑๐. โย จ วสฺสสตํ ชีเว
ทุสฺสีโล อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
สีลวนฺตสฺส ฌายิโน ฯ ๑๑๐ ฯ

ผู้มีศีล มีสมาธิ
ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี
ของคนทุศีล ไร้สมาธิ

Though one should live a hundred years,
Without conduct and concentration,
Yet,better is a single day's life
Of one who is moral and meditative.

๑๑๑. โย จ วสฺสสตํ ชีเว
ทุปฺปญฺโญ อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปญฺญวนฺตสฺส ฌายิโน ฯ ๑๑๑ ฯ

ผู้มีปัญญา มีสมาธิ
มีชีวิตอยู่วันเดียว
ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี
ของผู้ทรามปัญญา ไร้สมาธิ

Though one shold live an hundred years,
Without wisdom and concentration,
Yet, better is a single day's life
Of one who is wise and meditative.

๑๑๒. โย จ วสฺสสตํ ชีเว
กุสีโต หีนวีริโย
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
วีริยํ อารภโต ทฬฺหํ ฯ ๑๑๒ ฯ

ผู้มีความเพียรมั่นคง
มีชีวิตอยู่วันเดียว
ประเสิรฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี
ของผู้เกียจคร้าน ไร้ความเพียร

Though one should live a hundred years,
Sluggish and inactive
Yet,better is a single day's life
Of one who intensely exerts himself.

๑๑๓. โย วสฺสสตํ ชีเว
อปสฺสํ อุทยพฺพยํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปสฺสโต อุทยพฺพยํ ฯ ๑๑๓ ฯ

ผู้พิจารณาเห็นความเกิด-ดับแห่งสังขาร
มีชีวิตอยู่วันเดียว
ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี
ของผู้ไม่พิจารณาเห็น

Better is a single day;s life of one
Who discerns the rise and fall of things
Than a hundred years'life of one
Who is not comprehending.

๑๑๔. โย จ วสฺสสตํ ชีเว
อปสฺสํ อมตํ ปทํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปสฺสโต อมตํ ปทํ ฯ ๑๑๔ ฯ

ผู้พบทางอมตะ
มีชีวิตอยู่วันเดียว
ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี
ของผู้ไม่พบ

Better is a single day's life of one
Who sees the Deathless
Than a hundred years's life of one
Who sees not that state.

๑๑๕. โย จ วสฺสสตํ ชีเว
อปสฺสํ ธมฺมมุตฺตมํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปสฺสโต ธมฺมมุตฺตมํ ฯ ๑๑๕ ฯ

ผู้เห็นพระธรรมอันประเสริฐ
มีชีวิตอยู่วันเดียว
ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี
ของผู้ไม่เห็น

Better is a single day's life of one
Who understands the truth sublime
Than a hundred years's life of one
Who knows not that truth, so high.

ฐิตา:

๙. หมวดบาป
EVIL

๑๑๖. อภิตฺถเรถ กลฺยาเณ
ปาปา จิตฺตํ นิวารเย
ทนฺธํ หิ กรโต ปุญฺญํ
ปาปสฺมึ รมตี มโน ฯ ๑๑๖ ฯ

พึงรีบเร่งกระทำความดี
และป้องกันจิตจากความชั่ว
เพราะเมื่อกระทำความดีช้าไป
ใจจะกลับยินดีในความชั่ว

Make haste in doing gook,
And check your mind from evil,
Whoso is slow in making merit-
His mind delights in evil.

๑๑๗. ปาปญฺเจ ปุริโส กยิรา
น นํ กยิรา ปุนปฺปุนํ
น ตมฺหิ ฉนฺทํ กยิราถ
ทุกฺโข ปาปสฺส อุจฺจโย ฯ ๑๑๗ ฯ

ถ้าหากจำต้องทำชั่วไซร้
ก็ไม่ควรทำบ่อยนัก
และไม่ควรพอใจในการทำชั่วนั้น
เพราะการสะสมบาป นำทุกข์มาให้

Should a man commit evil,
Let him not do it again and again,
Nor turn his heart to delight therein;
Painful is the heaping-up of evil.

๑๑๘. ปุญฺญญฺเจ ปุริโส กยิรา
กยิราเถนํ ปุนปฺปุนํ
ตมฺหิ ฉนฺทํ กยิราถ
สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย ฯ ๑๑๘ ฯ

ถ้าหากจะทำความดี
ก็ควรทำดีบ่อยๆ
ควรพอใจในการทำความดีนั้น
เพราะการสะสมความดีนำสุขมาให้

Should a man perform merit,
Let him do it again and again,
And trun his mind to delight therein;
Blissful is the piling-up of merit.

๑๑๙. ปาโปปิ ปสฺสตี ภทฺรํ
ยาว ปาปํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ
อถ ปาโป ปาปานิ ปสฺสติ ฯ ๑๑๙ ฯ

เมื่อบาปยังไม่ส่งผล
คนชั่วก็เห็นว่าเป็นของดี
ต่อเมื่อมันเผล็ดผลเมื่อใด
เมื่อนั้นแหละเขาจึงรู้พิษสงของบาป

For the evil-doer all is well,
While the evil ripens not;
But when his evil yields its fruit,
He sees the evil results.

๑๒๐. ภทฺโรปิ ปสฺสตี ปาปํ
ยาว ภทฺรํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจตี ภทฺรํ
อถ ภทฺโร ภทฺรานิ ปสฺสติ ฯ ๑๒๐ * ฯ

เมื่อความดียังไม่ส่งผล
คนดีก็มองเห็นความดีเป็นความชั่ว
ต่อเมื่อใดความดีเผล็ดผล
เมื่อนั้นแหละเขาจึงจะเห็นผลของความดี

For the good man, perhaps, all is ill,
While as yet his good is not ripe;
But when it bears its fruit,
He sees the good results.

* ภทฺร เป็นคำสํสกฤต สะกดแบบบาลีเป็น ภทฺท คำอย่างนี้มีปะปน
ในภาษาบาลีเสมอ เช่น วิจิตฺต เขียน วิจิตฺร เป็นต้น

๑๒๑. มาวมญฺเญถ ปาปสฺส
น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
อุทพินฺทุนิปาเตน
อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
อาปูรติ พาโล ปาปสฺส
โถกํ โถกมฺปิ อาจินํ ฯ ๑๒๑ ฯ

อย่าดูถูกความชั่วเล็กน้อยว่าจักไม่สนองผล
น้ำตกจากเวหาทีละหยาดๆ ยังเต็มตุ่มได้
คนพาลทำความชั่วทีละเล็กละน้อย
ย่อมเต็มด้วยความชั่วได้เช่นกัน

Despise not evil,
Saying, 'It will not come to me';
Drop by drop is the waterpot filled,
Lidewise the fool, gathering little by little,
Fills himself with evil.

๑๒๒. มาวมญฺเญถ ปุญฺญสฺส
น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
อุทพินฺทุนิปาเตน
อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
อาปูรติ ธีโร ปุญฺญสฺส
โถกํ โถกมฺปิ อาจินํ ฯ ๑๒๒ ฯ

อย่าดูถูกบุญเล็กน้อยว่าจักไม่สนองผล
น้ำตกจากเวหาทีละหยาดๆ ยังเต็มตุ่มได้
นักปราชญ์สะสมบุญทีละเล็กละน้อย
ย่อมเต็มด้วยบุญได้เช่นกัน

Despise not merit,
Saying, 'It will not come to me';
Drop by drop is the waterpot filled,
Likewise the man, gathering little by little
Fills himself with merit.

๑๒๓. วาณิโชว ภยํ มคฺคํ
อปฺปสตฺโถ มหทฺธโน
วิสํ ชีวิตุกาโมว
ปาปานิ ปริวชฺชเย ฯ ๑๒๓ ฯ

พ่อค้ามีทรัพย์มาก มีพวกน้อย
ละเว้นทางที่มีภัย
คนรักชีวิตละเว้นยาพิษ ฉันใด
บุคคลพึงละบาป ฉันนั้น

As a rich merchant, with small escort,
Avoids a dangerous path,
As one who loves life avoids poison,
Even so should one shun evil.

๑๒๔. ปาณิมฺหิ เจ วโณ นาสฺส
หเรยฺย ปาณินา วิสํ
นาพฺพณํ วิสมเนฺวติ
นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต ฯ ๑๒๔ ฯ

เมื่อมือไม่มีแผล
บุคคลย่อมจับต้องยาพิษได้
ยาพิษนั้นไม่สามารถทำอันตรายได้
บาปก็ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาป

If no wound there be in the hand,
One may handle poison;
Poison does not affect one who has no wound;
There is no ill for him who does no wrong.

๑๒๕. โย อปฺปทุฏฺฐสฺส นรสฺส ทุสฺสติ
สุทฺธสฺส โปสสฺส อนงฺคณสฺส
ตเมว พาลํ ปจฺเจติ ปาปํ
สุขุโม รโช ปฏิวาตํว ขิตฺโต ฯ ๑๒๕ ฯ

บาปก็ย่อมตามสนองผู้โง่เขลา
ซึ่งทำร้ายบุคคลที่ไม่ทำร้ายตอบ
ผู้หมดจด ปราศจากกิเลส
ดุจธุลีที่ซัดทวนลม (วกกลับมาหาผู้ซัด)

Whosoever offends a harmless person,
One pure and guiltles,
Upon that very fool the evil recoils
Even as fine dust thrown against the wind.

๑๒๖. คพฺภเมเก อุปปชฺชนฺติ
นิรยํ ปาปกมฺมิโน
สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ
ปรินิพฺพนฺติ อนาสวา ฯ ๑๒๖ ฯ

สัตว์บางพวกกลับมาเกิดอีก
พวกที่ทำบาป ไปนรก
พวกที่ทำดี ไปสวรรค์
พวกที่หมดอาสวกิเลส ปรินิพพาน

Some are born in teh womb again;
The evil-doers are born in hell;
The good go to heaven;
The Undefiled Ones attain Nibbana.

๑๒๗. น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวิสฺส
น วิชฺชตี โส ชคติปฺปเทโส
ยตฺรฏฺฐิโต มุจฺเจยฺย ปาปกมฺมา ฯ ๑๒๗ ฯ

ไม่ว่าบนท้องฟ้า
ไม่ว่าท่ามกลางสมุทร
ไม่ว่าในหุบเขา
ไม่มีแม้แต่แห่งเดียว
ที่ผู้ทำกรรมชั่วอาศัยอยู่
จะหนีพ้นกรรมไปได้

Neither in the sky nor in mid-ocean,
Nor in the clefts of the rocks,
Nowhere in the world is a place to be found
Where abiding one may escape from
(the consequences of) an evil deed.

๑๒๘. น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชุเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวิสฺส
น วิชฺชตี โส ชคติปฺปเทโส
ยตุรฏฺฐิตํ นปฺปสเหยฺย มจฺจุ ฯ ๑๒๘ ฯ

ไม่ว่าบนท้องฟ้า
ไม่ว่าท่ามกลางสมุทร
ไม่ว่าในหุบเขา
ไม่มีแม้สักแห่งเดียว
ที่คนเราอาศัยอยู่แล้ว
จะหนีพ้นความตายได้

Neither in the sky no in mid-ocean,
Nor in the clefts of the rocks,
Nowhere in the world is found that place
Where abiding one will not be overcome by death.

ฐิตา:


๑๐. หมวดลงทัณฑ์
PUNISHMENT

๑๒๙. สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส
สพฺเพ ภายนฺติ มจฺจุโน
อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา
น หเนยฺย น ฆาตเย ฯ ๑๒๙ ฯ

สัตว์ทั้งหมดกลัวโทษทัณฑ์
สัตว์ทั้งหมดกลัวความตาย
เปรียบตนเองกับผู้อื่นอย่างนี้แล้ว
ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรสั่งให้คนอื่นฆ่า

All tremble at punishment;
All fear death;
Comparing others with oneself,
One should neither kill nor cause to kill.

๑๓๐. สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส
สพฺเพสํ ชีวิตํ ปิยํ
อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา
น หเนยฺย น ฆาตเย ฯ ๑๓๐ ฯ

สัตว์ทั้งหมดกลัวโทษทัณฑ์
สัตว์ทั้งหมดรักชีวิตของตน
เปรียบตนเองกับคนอื่นอย่างนี้แล้ว
ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรสั่งให้คนอื่นฆ่า

All tremble a punishment;
To all life is dear;
Comparing others with oneself,
One should neither kill nor cause to kill.

๑๓๑. สุขกามานิ ภูตานิ
โย ทณฺเฑน วิหึสติ
อตฺตโน สุขเมสาโน
เปจฺจ โส น ลภเต สุขํ ฯ ๑๓๑ ฯ

สัตว์ทั้งหลายล้วนต้องการความสุข
ผู้ที่ต้องการความสุขแก่ตน
แต่เบียดเบียนสัตว์อื่น
ตายไปแล้วย่อมไม่ได้รับความสุข

Whoso, himself seeking happiness,
Harms pleasure-loving beings-
He gets no happiness
In the world to come.

๑๓๒. สุขกามานิ ภูตานิ
โย ทณฺเฑน น หึสติ
อตฺตโน สุขเมสาโน
เปจฺจ โส ลภเต สุขํ ฯ ๑๓๒ ฯ

สัตว์ทั้งหลายล้วนต้องการความสุข
ผู้ที่ต้องความสุขแก่ตน
ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น
ตายไปแล้วย่อมได้รับความสุข

Whoso, himself seeking happiness,
Harms not pleasure-loving being-
He gets happiness
In the world to come.

๑๓๓. มาโวจ ผรุสํ กญฺจิ
วุตฺตา ปฏิวเทยฺยุ ตํ
ทุกฺขา หิ สารมฺภกถา
ปฏิทณฺฑา ผุเสยฺยุ ตํ ฯ ๑๓๓ ฯ

อย่ากล่าวคำหยาบแก่ใครๆ
เมื่อถูกท่านด่าว่า เขาจะโต้ตอบท่าน
การพูดจากร้าวร้าวกันเป็นเหตุก่อทุกข์
อาจลุกลามถึงขั้นลงมือประทุษร้ายกัน

Speak not harshly to anyone.
Those thus addressed will retort.
Painful, indeed, is vindictive speech.
Blows in exchange may bruise you.

๑๓๔. สเจ เนเรสิ อตฺตานํ
กํโส อุปหโต ยถา
เอส ปตฺโตสิ นิพฺพานํ
สารมฺโภ เต น วิชฺชติ ฯ ๑๓๔ ฯ

ถ้าเธอทำตนให้เงียบเสียงได้
เหมือนฆ้องแตก
ก็นับว่าเธอเข้าถึงนิพพานแล้ว
เธอก็จะไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกับใครอีก

If you silence yourself
As a broken gong,
You have already attained Nibbana.
No contention will be found in you.

๑๓๕. ยถา ทณฺเฑน โคปาโล
คาโว ปาเชติ โคจรํ
เอวํ ชรา จ มจฺจุ จ
อายุ ปาเชนฺติ ปาณินํ ฯ ๑๓๕ ฯ

ความแก่และความตาย
ไล่ต้อนอายุสัตว์ทั้งหลายไป
เหมือนเด็กเลี้ยงโค ถือท่อนไม้
คอยไล่ต้อนฝูงโคไปสู่ที่หากิน

As with a staff the cowherd drives
His cattle out to pasture-ground,
So do old age and death comple
The life of beings (all around).

๑๓๖. อถ ปาปานิ กมฺมานิ
กรํ พาโล น พุชฺฌติ
เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ
อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ ฯ ๑๓๖ ฯ

คนพาล เวลาทำชั่ว
หาสำนึกถึงผลของมันไม่
คนทรามปัญญามักเดือดร้อน
เพราะกรรมชั่วของตัว
เหมือนถูกไฟไหม้

When a fool does wicked deeds,
He does not know their future fruit.
The witless one is tormented by his own deeds
As if being burnt by fire.

๑๓๗. โย ทณฺเฑร อทณฺเฑสุ
อปฺปทุฎฺเฐสุ ทุสฺสติ
ทสนฺนมญฺญตรํ ฐานํ
ขิปฺปเมว นิคจฺฉติ ฯ ๑๓๗ ฯ

ผู้ทำร้ายลงทัณฑ์แก่บุคคล
ผู้ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายใคร
ย่อมได้รับผลสนองสิบอย่าง
อย่างใดอย่างหนึ่งทันตาเห็น

He who inflicts punishment on those
Who are harmless and who offend no one
Speedily comes to one of these ten states;

๑๓๘. เวทนํ ผรุสํ ชานึ
สรีรสฺส จ เภทนํ
ครุกํ วาปิ อาพาธํ
จิตฺตกฺเขปํว ปาปุเณ ฯ ๑๓๘ ฯ

(ความต่อจากคาถาที่แล้ว)
ได้รับเวทนาอย่างรุนแรง
ได้รับความเสท่อมเสีย
ถูกทำร้ายร่างกาย
เจ็บป่วยอย่างหนัก
กลายเป็นคนวิกลจริต

To grievous bodily pain,
To disaster,
To bodily injury,
To serious illness,
To loss of mind,
Will he come.

๑๓๙. ราชโต วา อุปสคฺคํ
อพฺภกฺขานํ ว ทารุณํ
ปริกฺขยํ ว ญาตีนํ
โภคานํ ว ปภงฺคุณํ ฯ ๑๓๙ ฯ

(ความต่อจากสองคาถาที่แล้ว)
ต้องราชภัย
ถูกกล่าวหาอย่างรุนแรง
ไร้ญาติพี่น้อง
ทรัพย์สมบัติก็พินาศฉิบหาย

To oppression by the king,
to grave accusation,
To loss of relatives,
To destruction of wealth,
(will he come).

๑๔๐. อถวาสฺส อคารานิ
อคฺคิ ฑหติ ปาวโก
กายสฺส เภทา ทุปฺปญฺโญ
นิรยํ โส อุปปชฺชติ ฯ ๑๔๐ ฯ

(ความต่อจากสามคาถาที่แล้ว)
หรือไม่บ้านเรือนของเขาย่อมถูกไฟไหม้
ตายไป เขาผู้ทรามก็ตกนรก

Or his house will be burnt up with fire,
And that unwise one will pass to hell
In the world to come.

๑๔๑. น นคฺคจริยา น ชฎา น ปงฺกา
นานาสกา ตณฺฑิลสายิกา วา
รโชชลฺลํ อุกฺกุฎิกปฺปธานํ
โสเธนฺติ มจฺจํ อวิติณฺณกงฺขํ ฯ ๑๔๑ ฯ

ไม่ใช่ประพฤติตนเป็นชีเปลือย ไม่ใช่มุ่นชฏา
ไม่ใช่เอาโคลนทาร่างกาย ไม่ใช่การอดอาหาร
ไม่ใช่นอนบนดิน ไม่ใช่คลุกฝุ่นธุลี ไม่ใช่นั่งกระโหย่ง
ที่ทำให้คนผู้ยังไม่ข้ามพ้นความสงสัย บริสุทธิ์

Not nakedness, nor matted hair,
Nor dirt,nor fasting,
Nor llying on the ground,
Nor besmearing oneself with ashes,
Nor squatting on the heels,
Can purity a mortal
Who has not overcome doubts.

๑๔๒. อลงฺกโต เจปิ สมํ จเรยฺย
สนฺโต ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจานี
สพฺเพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ
โส พฺรามหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกขุ ฯ ๑๔๒ ฯ

ถึงจะแต่งกายแบบใดๆ ก็ตาม
ถ้าใจสงบระงับ ควบคุมตัวได้
มั่นคง บริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียนคนอื่น
เรียกว่า พราหมณ์ สมณะ หรือ ภิกษุ

In whatever he be decked,
If yet he cultivates traquilty of mind,
Is calm, controlled, certain and chaste,
And has ceased to injure all other beings,
He is indeed, a brahmana, a samana, a bhikkhu.

๑๔๓. หิรีนิเสโธ ปุริโส
โกจิ โลกสฺมึ วิชฺชติ
โย นิทฺทํ อปโพเธติ
อสฺโส ภทฺโร กสามิว ฯ ๑๔๓ * ฯ

ผู้หักห้ามใจไม่ทำชั่วเพราะละอายบาป
หาได้น้อยนักในโลกนี้
คนเช่นนี้ย่อมปลุกตัวเองจากหลับอยู่เสมอ
เหมือนม้าดี ระวังตัวเองให้พ้นแส้

Rarely is found in this world anyone
Who is restrained by shame and wide-awake,
As a thoroughbred horse avoids the whip.

* กสามิว (กสามฺ + อิว) อิทธิพลภาษาสํสกฤต มีหลงเหลืออยู่ คือ
แทนที่จะเป็น กสํ แบบบาลีกลับเป็น กสามฺ แบบสํสกฤต คำ
ประเภทนี้ไม่ค่อยพบบ่อยนัก

๑๔๔. อสฺโส ยถา ภทฺโร กสานิวิฎฺโฐ
อาตาปิโน สํเวคิโน ภวาถ
สทฺธาย สีเลน จ วีริเยน จ
สมาธินา ธมฺมวินิจฺฉเยน จ
สมฺปนฺนวิชฺชาจรณา ปฎิสฺสตา
ปหิสฺสถ ทุกฺขมิทํ อนุป์ปกํ ฯ ๑๔๔ ฯ

ธรรมดาม้าดี เมื่อถูกลงแส้ครั้งหนึ่ง ย่อมสำนึก
(ความผิดครั้งแรก) และพยายาม (วิ่งให้เร็ว)
พวกเธอก็จงทำตนเช่นนั้น อาศัยศรัทธา, ศีล,
ความเพียรสมาธิ, การวินิจฉัยธรรม, ความสมบูรณ์ด้วย
ความรู้และความประพฤติ, และอาศัยสติ
พวกเธอจักละทุกข์ได้ไม่น้อยเลย

Even as a thoroughbred horse once touched by the whip
Becomes agitated and exerts himself greatly,
So be strenuous and filled with religious emotion,
By confidance, virtue, effort and concentration,
By the investigation of the Doctrine,
By being endowed with knowledge and conduct
And by keeping your mind alert,
Will you leave this great suffering behind.

๑๔๕. อุทกํ หิ นยนฺติ เนตฺติกา
อุสุการา นมยนฺติ เตชนํ
ทารุ นมยนฺติ ตจฺฉกา
อตฺตานํ ทมยนฺติ สุพฺพตา ฯ ๑๔๕ ฯ

ชาวนา ไขน้ำเข้านา
ช่างศร ดัดลูกศร
ช่างไม้ ถากไม้
คนดี ฝึกตนเอง

Irrigaors lead water;
Fletchers fashion shafts;
Carpenters bend wood;
The good tame themselves.

ฐิตา:


๑๑. หมวดชรา
OLD AGE

๑๔๖. โกนุ หาโส กิมานนฺโท
นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ
อนฺธกาเรน โอนทฺธา
ปทีปํ น คเวสถ ฯ ๑๔๖ ฯ

จะมัวร่าเริง สนุกสนานกันทำไม
ในเมื่อโลกกำลังลุกเป็นไฟอยู่เนืองนิตย์
พวกเธอถูกความมืดมิดปิดบังตา
ไยไม่แสวงหาแสงสว่างกันเล่า

What this laughter, what this joy
When the world is ever on fire?
Shrouded all about by darkness,
Will you not then look for light?

๑๔๗. ปสฺส จิตฺตกตํ พิมฺพํ
อรุกายํ สมุสฺสิตํ
อาตุรํ พหุสงฺกปฺปํ
ยสฺส นตฺถิ ธุวํ ฐิติ ฯ ๑๔๗ ฯ

จงดูร่างกายที่ว่าสวยงามนี้เถิด
เต็มไปด้วยแผล สร้างขึ้นด้วยกระดูก
มากด้วยโรค มากด้วยความครุ่นคิดปรารถนา
หาความยั่งยืนถาวรมิได้

Behold this beautiful body,
A mass of sores, a bone-gathering,
Diseased and full of hankerings,
With no lasting, no persisting.

๑๔๘. ปริชิณฺษมิทํ รูปํ
โรคนิฑฺฒํ ปภงฺคุณํ
ภิชฺชติ ปูติสนฺเทโห
มรณนฺตํ หิ ชีวิตํ ฯ ๑๔๘ ฯ

ร่างกายนี้แก่หง่อมแล้ว เป็นที่อาศัยของโรค
แตกทำลายง่าย ร่างกายอันเน่าเหม็นนี้
จักแตกสลายพังภินท์
เพราะขีวิตสิ้นสุดลงที่ความตาย

Thoroughly worn out is this body,
A net of diseases and very frail.
This heap of corruption breaks to pieces.
For life indeed ends in death.

๑๔๙. ยานีมานิ อปตฺถานิ
อลาพูเนว สารเท
กาโปตกานิ อฏฺฐีนิ
ตานิ ทิสฺวาน กา รติ ฯ ๑๔๙ ฯ

กระดูกเหล่านี้ มีสีขาวเหมือนสีนกพิราบ
ไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ
ดุจน้ำเต้าในฤดูสารท
ดูแล้วไม่น่าปรารถนายินดี

As gourds are cast away in autumn,
So are these dove-hued bones.
What pleasure is there found
For one who looks at them?

๑๕๐. อฏฺฐีนํ นครํ กตํ
มํสโลหิตเลปนํ
ยตฺถ ชรา จ มจฺจุ จ
มาโน มกฺโข จ โอหิโต ฯ ๑๕๐ ฯ

ร่างกายนี้เป็น "อัฐินคร" (เมืองกระดูก)
ฉาบด้วยเนื้อและโลหิต
เป็นที่สถิตแห่ง ชรา มรณะ
ความเย่อหยิ่ง และความดูถูกบุญคุณกัน

Of bones is this city made,
Plastered with flesh and blood.
Herein dwell decay and death,
Pride and detraction.

๑๕๑. ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา
อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อุเปติ
สตญฺจ ธมฺโม น ชรํ อุเปติ
สนฺโต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติ ฯ ๑๕๑ ฯ

ราชรถ อันวิจิตรงดงาม ยังเก่าได้
แม้ร่างกายของเรา ก็ไม่พ้นชราภาพ
แต่ธรรมของสัตบุรุษหาแก่ไม่
สัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมกล่าวสอนกันเช่นนี้แล

Splendid royal chariots wear away,
The body too comes to old age.
But the good's teaching knows not decay.
Indeed, the good tech the good in this way.

๑๕๒. อปฺปสฺสุตายํ ปุริโส
พลิวทฺโทว ชีรติ
มํสานิ ตสฺส วฑฺฒนฺติ
ปญฺญา ตสฺส น วฑฺฒติ ฯ ๑๕๒ ฯ

คนโง่แก่เปล่า
เหมือนโคถึก
มากแต่เนื้อหนังมังสา
แต่ปัญญาหาเพิ่มขึ้นไม่

Just as the ox grows old,
So ages he of little learning,
His flesh increases,
His wisdom is waning.

๑๕๓. อเนกชาติสํสารํ
สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ
คหการํ คเวสนฺโต
ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ ฯ ๑๕๓ ฯ

เมื่อไม่พบนายช่างผู้สร้างเรือน
เราได้เวียนว่ายตายเกิด
ในสงสารนับชาติไม่ถ้วน
การเกิดแล้วเกิดอีกเป็นทุกข์

Through many a birth
I wandered in Samsara,
Seeking but not finding the Housebuilder,
Painful is birth ever again and again.

๑๕๔. คหการก ทิฏฺโฐสิ
ปุน เคหํ น กาหสิ
สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา
คหกูฏํ วิสงฺขตํ
วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ
ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ฯ ๑๕๔ ฯ

นายช่างเอย บัดนี้เราพบท่านแล้ว
ท่านจะสร้างเรือนไม่ได้อีก
จันทัน อกไก่ เราทำลายหมดแล้ว
จิตของเราบรรลุนิพพาน
หมดความทะยานอยากแล้ว

O Housebuilder, you have been seen,
You shall not build the house again.
Your rafters have been broken,
Your ridge-pole demolished too.
My mind has now attained the Unconditioned,
And reached the end of all craving.

๑๕๕. อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ
อลทฺธา โยพฺพเน ธนํ
ชิณฺณโกญฺจาว ฌายนฺติ
ขีณมจฺเฉว ปลฺลเล ฯ ๑๕๕ ฯ

เมื่อยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว
ไม่ทำตัวให้ดีและไม่หาทรัพย์ไว้
พอถึงวัยแก่เฒ่า พวกเขาย่อมนั่งซบเซา
เหมือนนกกะเรียนแก่
จับเจ่าอยู่ริมสระที่ไร้ปลา

Having led neither a good life,
Nor acquired riches while young,
They pine away as aged herons
Around a fishless pond.

๑๕๖. อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ
อลทฺธา โยพฺพเน ธนํ
เสนฺติ จาปาติขีณาว
ปุราณานิ อนุตฺถุนํ ฯ ๑๕๖ ฯ

เมื่ออยู่ในวัยหนุ่มสาว
ไม่ทำตัวให้ดี และไม่หาทรัพย์ไว้
พอถึงวัยแก่เฒ่า พวกเขาย่อมนอนทุกข์
ทอดถอนใจรำพึงถึงความหลัง
เหมือนธนูหัก (ใช้ยิงอะไรก็ไม่ได้)

Having led neither a good life,
Nor acquired riches while young,
They lie about like broken bows,
Sighing about the past.

ฐิตา:


๑๒. หมวดตน
THE SELF

๑๕๗. อตฺตานญฺเจ ปิยํ ชญฺญา
รกฺเขยฺย นํ สุรกฺขิตํ
ติณฺณมญฺญตรํ ยามํ
ปฏิชคฺเคยฺย ปณฺฑิโต ฯ ๑๕๗ ฯ

ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก
พึงรักษาตนไว้ให้ดี
บัณฑิตควรประคับประคองตนไว้
ไม่ทั้งสามวัยใดวัยหนึ่ง

If one holds oneself dear,
One should protect oneself well.
During any of the three watches(of life)
The wise should keep vigil.

๑๕๘. อตฺตานเมว ปฐมํ
ปฏิรูเป นิเวสเย
อถญฺญมนุสาเสยฺย
น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต ฯ ๑๕๘ ฯ

ควรปฏิบัติตนให้ดีก่อน
แล้วค่อยสอนคนอื่น
บัณฑิตเมื่อทำได้อย่างนี้
จึงจะไม่สร้างมลทินแก่ตน

One should first establish oneself
In what is proper,
And then instruct others.
A wise man who acts in this way
Shall never get defiled.

๑๕๙. อตฺตานญฺเจ ตถา กยิรา
ยถญฺญมนุสาสติ
สุทนฺโต วต ทเมถ
อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ฯ ๑๕๙ ฯ

สอนคนอื่นอย่างใด
ควรทำตนอย่างนั้น
ฝึกตนเองแล้วค่อยฝึกคนอื่น
เพราะตัวเราเองฝึกยากยิ่งนัก

As he instructs others
He should himself act.
Himself fully controlled,
He should control others.
Difficult indeed is to control oneself.

๑๖๐. อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ ฯ ๑๖๐ ฯ

เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก

Oneself ideeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectedly trained,
One obtains a refuge hard to gain.

๑๖๑. อตฺตนาว กตํ ปาปํ
อตฺรชํ อตฺตสมฺภวํ
อภิมตฺถติ ทุมฺเมธํ
วชิรํวมฺหยํ มณึ ฯ ๑๖๑ ฯ

บาปที่ตนทำเอง เกิดในตนเอง
และตนเองเป็นผู้สร้างไว้
ย่อมทำลายคนโง่ให้ย่อยยับ
เหมือนเพชร ทำลายแก้วมณี

The evil, done by oneself,
Self-begotten and self-produced,
Crushes the witless one,
As the diamond grinds a hard gem.

๑๖๒. ยสฺส อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยํ
มาลุวา สาลมิโวตฺถตํ
กโรติ โส ตถตฺตานํ
ยถา นํ อิจฺฉตี ทิโส ฯ ๑๖๒ ฯ

คนทุศีล ก็เหมือนกับต้นไม้
ที่เถาวัลย์ขึ้นจนรก
เขาทำตัวให้วอดวายเอง
มิจำต้องรอให้ศัตรูมาคอยกระทำให้

An exceedingly corrupted man is like
A creeper strangling a tree.
Surely, he does unto himself
What his enemy would wish for him.

๑๖๓. สุกรานิ อสธูนิ
อตฺตโน อหิตานิ จ
ยํ เว หิตญฺจ สาธุญฺจ
ตํ เว ปรมทุกฺกรํ ฯ ๑๖๓ ฯ

กรรมไม่ดี ทั้งไม่มีประโยชน์แก่ตน ทำง่าย
แต่กรรมดีและมีประโยชน์ ทำได้ยากยิ่ง

Easy to do are those karmas
Which are bad and not benefitting oneself.
But those which are good and beneficial
Are dificult indeed to be performed.

๑๖๔. โย สาสนํ อรหตํ
อริยานํ ธมฺมชีวินํ
ปฏิกฺโกสติ ทุมฺเมโธ
ทิฏฺฐึ นิสฺสาย ปาปิกํ
ผลานิ กณฺฏกสฺเสว
อตฺตฆญฺญาย ผลฺลติ ฯ ๑๖๔ ฯ

คนทรามปัญญา มีความเห็นผิด ติเตียนคำสอน
ของเหล่าพระอริยะผู้อรหันต์ ผู้มีชีวิตอยู่โดยธรรม
เขาย่อมเกิดมาเพื่อฆ่าตัวเขาเอง
เหมือนชุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ฉะนั้น

Whoso on account of false views
Scorns the teaching of the Noble Ones,
The Worhty and Righteous Ones.
He, the foolish man, destroys himself
Like the bamboo, seeding, finds its end.

๑๖๕. อตฺตนาว กตํ ปาปํ
อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ
อตฺตนา อกตํ ปาปํ
อตฺตนาว วิสุชฺฌติ
สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ
นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย ฯ ๑๖๕ ฯ

ตนทำบาปเอง ตนก็เศร้าหมองเอง
ตนไม่ทำบาปตนก็บริสุทธิ์เอง
ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน
คนอื่นจะให้คนอื่นบริสุทธิ์แทนไม่ได้

By oneself is evil done,
By oneself does one get defiled.
By oneself is evil left undone,
By oneself is one purified.
Purity or impurity depends on oneself,
No one can purify anther.

๑๖๖. อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน
พหุนาปิ น หาปเย
อตฺตทตฺถมภิญฺญาย
สทตฺถปสุโต สิยา ฯ ๑๖๖ ฯ

ถึงจะทำประโยชน์แก่คนอื่นมากมาย
ก็ไม่ควรละทิ้งจุดหมายปลายทางของตน
เมื่อรู้ว่าอะไรคือจุดหมายปลายทางของตนแล้ว
ก็ควรใฝ่ใจขวนขวาย

Fall not away from one's own purpose
For the sake of another, however great,
When once one has seen one's own goal,
One should hold to it fast and firm.

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version