แสงธรรมนำใจ > ดอกบัวโพธิสัตว์

ความยิ่งใหญ่ ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

<< < (2/2)

มดเอ๊กซ:
เมื่อตรัสรู้แล้วก็ประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ 7 สัปดาห์
ในระหว่างที่พระองค์เสวยวิมุติสุข คือความสุขอันเกิดจากการตรัสรู้ธรรมนั้น
พระองค์ทรงคำนึงถึงพระมโนปณิธานที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้น ในอันที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ให้แก่ชาวโลก
 
อยู่ตลอดเวลา จึงทรงพิจารณาแยกหมวดหมู่ธรรมะ แจกแจงรายละเอียดเตรียมไว้อย่างพร้อมมูล
เพื่อเตรียมพระองค์ทำหน้าที่เป็นยอดกัลยาณมิตรให้แก่ชาวโลก
 
ครั้นล่วงถึงเดือน 8
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้เสด็จไปยังป่าอิสิปปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี
เพื่อแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ คือนักบวช 5 รูป ซึ่งเคยติดตามอุปัฏฐากรับใช้พระองค์
ในขณะที่ทรงบำเพ็ญเพียรในระยะแรก แต่ได้ทอดทิ้งพระองค์ไป
เมื่อเห็นว่าทรงหันมาเสวยพระกระยาหารไม่ทรมานพระวรกาย
ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้น หลงเข้าใจผิดคิดว่าพระองค์ทรงคลายความเพียร
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงติดตามหาปัญจวัคคีย์จนพบ เมื่อวันเพ็ญกลางเดือน 8
ทรงทำให้ปัญจวัคคีย์เลื่อมใสในพระองค์แล้ว จึงแสดงปฐมเทศนาเรื่อง "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร"
ทันทีจบพระธรรมเทศนา
อัญญาโกณทัญญะ ผู้เป็นพี่ใหญ่ ก็บรรลุธรรมกายโสดา เป็นพระโสดาบัน
 
พระอัญญาโกณทัญญะทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระองค์จึงทรงประทานอุปสมบทให้โดยวิธี
"เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระอัญญาโกณทัญญะจึงเป็นพระอริยสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา
ณ บัดนั้นพระธรรม พระสงฆ์จึงได้เกิดขึ้นในโลก
ในวันเพ็ญกลางเดือน 8 ที่เรียกว่า "วันอาสาฬหบูชา"
 
นับได้ว่าเป็นวันที่พระรัตนตรัยครบองค์ 3 คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
 
หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรแล้ว
ก็ทรงประทานโอวาทแก่พระปัญจวัคคีย์ด้วยธรรมะอันละเอียด ลุ่มลึกยิ่งขึ้นตามลำดัย
จนกระทั่งบรรลุธรรมกายโสดา เป็นพระโสดาบันทุกรูป
 
ในที่สุดเมื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนา ในบทอนัตตลักขณสูตรเมื่อวันแรม 5 ค่ำ
พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 รูปก็บรรลุธรรมกายอรหัต สำเร็จพระอรหันต์ พร้อมกัน
 
ในเวลาต่อจากนั้นอีกไม่กี่วัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงพบกับยสกุมาร ชายหนุ่มลูกเศรษฐีผู้หนึ่ง
พระองค์ทรงเล็งเห็นจริต อัธยาศัยของเขา
จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่อง อนุปุพพิกถา
โปรดยสกุมาร จนได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระอรหันต์ในวันนั้นเอง
 
ต่อมาเพื่อนของยสกุมารอีก 54 คนซึ่งล้วนเป็นลูกเศรษฐีและเป็นคนหนุ่มที่มีการศึกษาดีแห่งยุคนั้น
ก็ได้ตามมาฟังเทศน์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในที่สุดก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกันทั้งหมด และได้บวชโดยเอหิภิกขุอุปสัมปทาเช่นกัน
 
ฉะนั้นในยุคแรกของพระศาสนา เพียงเวลาล่วงไปไม่ถึง 3 เดือนก็มีพระอรหันต์บังเกิดขึ้นในโลกขึ้นถึง 61 รูป
คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 รูป พระปัญจวัคคีย์ 5 รูป พระยสกุมารและเพื่อนอีก 55 รูป
 
ทรงเผยแผ่พระศาสนา
 
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่า มีพระอรหันต์จำนวนมากแล้ว จึงทรงเรียกประชุมและมอบหมาย
ให้พระอรหันต์ทั้ง 60 รูปแยกย้ายกันไปเผยแผ่พระศาสนา ไปเป็นกัลยาณมิตรให้แก่ชาวโลก ทรงมีรับสั่งว่า
 
พวกเธอทั้งหลายจงเที่ยวจารึกไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มหาชน
เพื่อความเอ็นดูแก่ชาวโลก
เพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พวกเธออย่าไปทางเดียวกันถึงสองรูปนะ
 
ในการเผยแผ่ธรรมะแก่ชาวโลกนั้น พระพุทธองค์ทรงวางแนวทางการสั่งสอนอย่างมีขั้นตอน
คือสอนตั้งแต่ง่ายไปหายาก เพราะพระองค์ปฏิบัติมาแล้ว
ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองว่าอะไรง่าย อะไรยาก ไม่ข้ามขั้นตอน ไม่รวบรัด สอน
อย่างพอเหมาะพอสมกับบุคคล
เพราะพระองค์หยั่งรู้สภาพจิตของมนุษย์ว่า กำลังคิดตรึก นึกตรองอย่างไร
 
ฉะนั้นเมื่อสอนธรรมะผู้ใด ก็จะสอนตรงประเด็นที่ผู้นั้นสงสัยคลางแคลง
เมื่อเทศน์จบจึงได้ผลสำเร็จอย่างสูงจนบรรลุธรรมทุกคน
จำได้ไหม
เมื่อพวกเราสวดมนต์ทำวัตรนั้น มีบทสรรเสริญพระพุทธคุณบทหนึ่งที่กล่าวว่า
 
อาทิกัลยานัง มัชเฌกัลยาณัง ปะริโยสาณกัลยานัง สาตถัง สะพยัญชะนัง
เกวะละปริปุณณัง ปะริสุทธังพรหมะจริยัง ปะกาเสสิ
 
ซึ่งมีความหมายโดยสรุปว่า
ธรรมะอันพระพุทธเจ้าตรัสดีแล้วนั้นงามในเบื้องต้น งามในเบื้องกลาง งามในเบื้องปลาย
งดงามลุ่มลึกไปตามลำดับ
สามารถอธิบายขยายความนำไปได้ทุกรูปแบบเป็นประโยชน์แก่ผู้นำไปปฏิบัติจริง
 
ไม่มีเลยในประวัติศาสตร์ที่ศาสดาองค์ใดในโลกจะกล้ากล่าวได้ดังนี้
มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่กล้าตรัสเช่นนี้
เพราะท่านศึกษาค้นคว้า ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง มิได้มีผู้ใดมาเนรมิตเสกสรรให้
 
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตั้งแต่ประกาศพระศาสนา
เมื่อพระชนมายุ 35 ปีจนกระทั่งเสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ 80 ปี เป็นเวลาทั้งหมด 45 ปีนั้น
รวมเรียกว่า พระไตรปิฎก แบ่งเป็นสาระสำคัญคือ
 
ส่วนที่ 1 พระวินัย หมายถึงกฎระเบียบของพระภิกษุ 21,000 ข้อ
 
ส่วนที่ 2 พระสูตร หรือพระสุตตันตปิฎก
กล่าวถึงเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาล รวมคำเทศน์คำสอนที่มีหลักธรรม 21,000 ข้อ
 
ส่วนที่ 3 พระอภิธรรม เป็นธรรมะเบื้องสูง กล่าวถึงพัฒนาการระดับจิตใจว่า
เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าดีขึ้นอย่างไร ใช้ตรวจสอบสภาวะจิต
และยังกล่าวไว้ด้วยว่าถ้าไม่ปฏิบัติจะเลวลงอย่างไร รวม 42,000 ข้อ
 
พระไตรปิฎกในภาษาบาลีมี 45 เล่ม แปลเป็นภาษาไทยก็มี 45 เล่ม
เท่าจำนวนพรรษาที่พระพุทธเจ้า ทรงเผยแผ่พระศาสนา
 
ในการประกาศศาสนา หรือการเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระองค์
ตั้งแต่ตรัสรู้แล้วนั้น ทรงอุทิศเวลาตลอดพระชนม์ชีพเพื่อปลดเปลื้องทุกข์ของสัตว์โลก
ด้วยพระกรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นแบบฉบับศาสดาที่วิเศษสุดในโลก
ทรงแบ่งงานของพระองค์เป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ไม่ให้น้อยหน้ากันคือ
 
ส่วนที่หนึ่ง เกี่ยวกับพระญาติ
 
ส่วนที่สอง เป็นของชาวพุทธทั้งหลาย
ซึ่งเริ่มจากบุคคลคนเดียวจนเพิ่มเป็นพุทธบริษัท 4 อันประกอบด้วย พระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
 
ส่วนที่สาม เป็นของชาวโลกทั่วไป ซึ่งบุญบารมียังไม่แก่กล้าพอที่จะติดตามพระองค์ไปได้
พระองค์ก็เพียงโปรดเพียงสอนไปตามกำลังที่เขาจะรับได้
 
ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์ชาติ
ยังไม่เคยมีศาสดาองค์ใดที่แบ่งงานได้สมบูรณ์แบบดังพระองค์ท่าน
 
จนได้รับฉายา อย่างที่เราสวดมนต์สรร เสริญพระพุทธคุณอยู่ทุกวันนี้ว่า
ปุริสธรรมสาระถิ คือเป็นสารถีนักฝึกคนที่เยี่ยมที่สุดในโลก
สัตถาเทวะมนุสสานัง คือเป็นครูสอนได้ทั้งเทวดาและมนุษย์ ยังไม่มีศาสดาองค์ใดทำได้
 
แต่พระองค์ท่านก็ทำได้
 

 
เสด็จดับขันธปรินิพพาน
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่
พระองค์ทรงเผยแผ่พระธรรมคำสอนขัดเกลากิเลสมนุษย์โลก
โดยไม่หยุดยั้งต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลายาวนานถึง 45 พรรษา
 
เมื่อถึงคราวจะเสด็จดับขันธปรินิพพานก็ยังเหนือกว่าศาสดาใด ๆ ในโลก
คือทรงรู้วาระที่จะดับขันธ์ล่วงหน้าถึง 3 เดือน ทรงประกาศล่วงหน้าเลยว่า
 
สาวกทั้งหลาย อีก 3 เดือนข้างหน้าจะถึงกำหนดที่เราต้องดับขันธแล้ว
ฉะนั้นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ผู้ใดมีอะไรสงสัยในธรรมะจงมาถามเราเถิด
 
สั่งอย่างนี้แล้วก็เสด็จออกประกาศพระศาสนาต่อไปไม่หยุดพัก เสด็จผ่านเมืองสำคัญ
แหล่งสำคัญที่มีประชาชนอยู่กันมาก ทรงเทศน์โปรดผู้ที่มีกำลังบุญพอที่จะตรัสรู้ธรรมได้
เพื่อให้เป็นกำลังสำคัญ ในการประกาศพระศาสนาแทนพระองค์
 
สำหรับพระอรหันต์รุ่นแรก ๆ พระองค์ก็สั่งว่า
เมื่อเราจากพวกเธอไปแล้วเธอจะต้องจัดหมวดหมู่ธรรมะที่เราสอนไว้ให้ดี
 
พูดง่าย ๆ ก็คือ สั่งให้ทำพระไตรปิฎก เราจึงได้พระไตรปิฎกไว้เป็นหลักฐานจนถึงทุกวันนี้
ที่เหนือกว่านั้นคือ
ก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้ทรงสรุปคำสอนไว้ให้อย่างยอดเยี่ยม
 
พวกเราเรียนตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม มีใครบ้างสามารถสรุปความรู้ที่เรียนมาได้ทั้งหมด
ร้อยทั้งร้อยสรุปไม่ลงหรอก เพราะรู้ไม่จริง
โดยทั่วไปความรู้ที่เกิดแก่ใครก็ตามมักพัฒนาเป็นขั้นตอนอยู่ 3 ระดับ
 
ระดับแรกเรียกว่า รู้จำ คือท่องมาบ้าง พ่อแม่บอกให้บ้าง
 
ระดับที่ 2 รู้จริง คือเมื่อเติบโตขึ้น ย่ำโลกมากเข้า มีประสพการณ์มากขึ้น
ความรู้ที่ได้มาจากระดับแรกก็เปลี่ยนจากรู้จำป็นรู้จริง
อธิบายถ่ายทอดให้คนอื่นรู้ตามได้บ้าง แต่ก็มีขอบเขตจำกัด เจอของแปลกใหม่ก็มืดตื้อเหมือนกัน
 
ระดับที่ 3 รู้แจ้ง คือรู้รอบไปทั้งหมดทั้งที่มาที่ไป
รู้วิธีนี้ต้องฝึกสมาธิจนใจสงบเกิดดวงปัญญาสว่างโพลง
สามารถอธิบายขยายข้อความรู้ที่ลึกล้ำได้ ค่อย ๆ นึกแล้วจะเห็นความสว่างปรากฎขึ้น
 
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านรู้จำ รู้จริง แล้วรู้แจ้ง
แต่พวกเรารู้งู ๆ ปลา ๆ ต้องฝึกสมาธิจึงจะสามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้เต็มขึ้น
 
สิ่งอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง ที่ใคร ๆ ก็ทำไม่ได้อย่างพระองค์ คือ
พระองค์ทรงทำงานจนวินาทีสุดท้าย
แม้พละกำลังจะหมดแล้ว ก็ยังอนุญาตให้สุภัททะปริพพาชกเข้าเฝ้าถามปัญหา
และเทศน์โปรดจนได้เป็นพระอรหันต์ในคืนวันที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานนั่นเอง
 
พระอรหันต์องค์สุดท้ายในยุคพุทธกาลที่พระบรมศาสดายังทรงพระชนม์ คือ พระสุภัททะ
 
ความอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งที่ศาสนาอื่น ๆ ไม่มี
ก็คือการแต่งตั้งศาสดาไว้ปกครองศิษย์ต่อไป
 
ไม่มีศาสดาองค์ใดที่ทำได้รัดกุมเท่าพระองค์
ได้มีผู้ทูลถามว่า เมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วจะตั้งใครเป็นศาสดาปกครองสงฆ์ต่อไป
พระองค์ทรงตอบชัดเจนดีมากว่า
ธรรมะและวินัยที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว จะเป็นศาสดาแทนพระองค์
 
พระองค์ไม่ตั้งบุคคล
เพราะพระธรรมคำสั่งสอนทั้ง 84,000 ข้อเป็นหลักที่ดีเยี่ยมแล้ว
ศาสนาอื่น ๆ เมื่อศาสดาตายก็แบ่งกันใหญ่เพื่อปกครองสาวกแทบจะฆ่ากันตาย
ในพุทธศาสนาไม่เป็นเช่นนั้น เพราะพระองค์ทรงเตรียมการไว้พร้อมแล้ว
 
ขอฝากผู้เฒ่าทั้งหลายหัดเตรียมตัวตายไว้บ้างนะ
คือเตรียมอย่างที่พระพุทธองค์เตรียม จัดมรดกให้เรียบร้อย ยุติธรรม
 
- ลูกคนไหนนิสัยดี ไม่ดีอย่างไร ก็ทำเป็นลายลักษณ์อักษรชี้แจง แนะนำตักเตือนให้ชัดเจน
- มรดกที่เป็นทรัพย์สินเขาอาจเอาไปขายกินหมด แต่มรดกคำสอนที่เป็นลายลักษณ์อักษร
แม้ตัวผู้รับตายแล้วก็ยังอยู่ตกทอดต่อไปไม่สูญหายไปเสีย
- รักลูกก็ต้องทำให้เรียบร้อยอย่างนี้
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำงานจนวินาทีสุดท้าย
 
นอกจากนั้นยังปรากฎความอัศจรรย์ในวาระสุดท้าย ให้คนรุ่นหลังได้เคารพบูชาอีก
คือวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน
ตรงกันหมดในวันเพ็ญกลางเดือน 6 ไม่มีศาสดาใดทำได้
เรามีศาสดาที่วิเศษสุดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอย่าดิ้นรนไปหาศาสดาที่ไหนอีกเลย
 
เท่านั้นยังไม่พอ เพื่อความเรียบร้อย พระองค์ยังได้สั่งถึงการถวายพระเพลิงพระสรีระของพระองค์ว่า
 
พระศพของพระองค์นั้นให้เอาผ้า เอาสำลีพัน แล้วใส่เครื่องหอมเป็นชั้น ๆ
แล้วไม่ต้องจุดไฟเพราะใครจะจุดไฟอย่างไรก็ไม่ติด
เนื่องจากพระองค์อธิษฐานไว้ว่า เมื่อถึงเวลาสมควรไฟจะเกิดสว่างพรึบขึ้นมาเอง
 
ยิ่งกว่านั้น เมื่อถวายพระเพลิงแล้วพระบรมสารีริกธาตุจะแตกออกเป็น 84,000 ชิ้น
เท่าจำนวนหัวข้อธรรมที่พระองค์
ได้ทรงสั่งสอนไว้ ให้แจกจ่ายกันให้ทั่วถึง

มดเอ๊กซ:
มรดกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
มรดกพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากมาย ทั้งที่เป็นคุณธรรมและวัตถุ
 
มรดกที่เป็นคุณธรรมได้แก่ธรรมะที่พระองค์ตรัสแสดงไว้ตลอด 45 พรรษา
เป็นหมวดหมู่ที่เราเรียกว่า พระไตรปิฎก
 
มรดกที่เป็นสถาบันผู้สืบต่อพระศาสนาได้แก่สถาบันสงฆ์
ซึ่งสืบทอดต่อเนื่องกันมานาถึง 2,500 ปีเศษแล้ว โดยไม่ขาดสาย
 
มรดกในรูปที่เป็นวัตถุคือวัดวาอาราม ซึ่งมีอยู่มากมาย คงเหลือปรากฎสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ให้เป็นศูนย์รวมของผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรม พระองค์ทรงมอบมรดกเหล่านี้ไว้ให้เรา
เราจึงได้อยู่กันร่มเย็นเป็นสุขจนถึงทุกวันนี้
 
เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า
ได้อาศัยพระพุทธศาสนา ได้อาศัยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้รู้จักทำความดีละเว้นความชั่ว
 
อยู่เป็นสุขมาจนถึงวันนี้ แล้วได้คิดได้เตรียมอะไรตอบแทนท่านบ้าง
 
เมื่อวันที่หลวงพ่อบวช หลวงพ่อคิดอย่างนี้
 
จะบวชจะอาศัยพระศาสนา เพื่อให้เป็นสุข เพื่อให้เป็นสุข
เมื่อได้พึ่งพระศาสนาแล้ว ก็จะพยายามให้พระศาสนาได้พึ่งเราบ้าง
ด้วยการก้มหน้าก้มตาศึกษาธรรมะ เอาไว้เทศน์สอนประชาชน
จะอุทิศชีวิต อุทิศกายใจสร้างวัดขึ้นมาเพื่อให้พระศาสนาได้อาศัย
 
ใครที่รอบวชตอนแก่ใกล้ตาย พอบวชไม่นาน ก็ใส่โลง
อย่างนี้เรียกว่าอาศัยพระศาสนา แต่พระศาสนาไม่ได้อาศัยเราเลยนะ
พวกเราทั้งหลายทั้งหญิงชาย แม้จะยังไม่ได้บวช
 
แต่เมื่อได้อาศัยพระศาสนาเป็นสุขตลอดมา
ก็ขอให้ช่วยกันคิดว่าจะตอบแทนอะไรแก่พระศาสนาบ้าง เช่น
เราจะปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ ให้เกิดความสุข
เมื่อมีความสุขแล้วมาช่วยกันประกาศศาสนา ชักชวนให้คนทำความดีกันต่อไป
อย่างนี้พระศาสนาได้อาศัยบ้าง
 
เรามาวัดมานั่งบนศาลา นั่งในเต้นท์ นั่งสมาธิฟังเทศน์สะดวกสบายอย่างนี้
เราอาศัยพระศาสนา ก่อนจะกลับเก็บกวาดเช็ดถูให้เรียบร้อย
อย่างนี้ถือว่ายอมให้ศาสนาได้อาศัยบ้าง ไม่ใช่พอฟังเทศน์จบ
 
หลวงพ่อปูเสื่อได้ ก็เก็บเองด้วยนะครับ สร้างศาลาไว้ก็ช่วยกวาดถูไว้ให้สะอาดด้วย
 
มองกว้าง ๆ เรา ฝึกใจให้ได้ว่า ได้อาศัยที่ไหน ก็ควรให้ที่นั้นได้อาศัยเรา ทั้งทางโลกและทางธรรม
คิดได้เช่นนี้แล้วชาตินี้อยู่เป็นสุขแน่นอน นึกถึงความดีของเราแล้วก็ชื่นใจ
 
ที่เราได้ให สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ได้พึ่งเรา
เราไม่ใช่คนรกโลก มีประโยชน์ต่อโลก นึกแล้วก็ชื่นใจ
ใจมันฟู ถึงคราวหลับตาลาโลกก็ลาอย่างมีสุข
 
พระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
เมื่อได้ศึกษาประวัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตลอดแล้ว จะเห็นว่า
ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ท่าน ทรงเป็นแบบฉบับของผู้เพียบพร้อมด้วยพระคุณอันยิ่งใหญ่ต่อชาวโลก คือ
 
พระบริสุทธิคุณอันยิ่งใหญ่ ด้วยการบำเพ็ญเพียรขัดเกลากิเลส สร้างความดีข้ามภพข้ามชาติอันยาวนาน
ด้วยบุญบารมี ด้วยความวิเศษบริสุทธิ์อย่างยิ่ง จึงทำให้พระองค์ท่านได้จุติลงมาเป็นพระพุทธเจ้า
 
พระปัญญาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ทำให้ทรงพิจารณาสภาวะโลก สภาวะธรรมอย่างเที่ยงแท้
อยู่เหนือความมัวเมาของชาวโลก ทรงเลือกสละความสุขทางโลก
เพื่อแสวงหาความสุขอันเป็นอมตะ ด้วยความพากเพียรวิริยะอุตสาหะอันแรงกล้า
จนตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญานด้วยพระองค์เอง
 
พระกรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ เมื่อตรัสรู้แล้ว แทนที่จะทรงเสวยวิมุติสุขเพียงลำพัง กลับเสียสละความสุขสงบส่วนพระองค์เผยแผ่ธรรมะแก่ชาวโลก เพื่อโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ ทรงเมตตาโปรดสั่งสอนเวไนยสัตว์
เป็นระยะเวลาติดต่อกันถึง 45 พรรษา ตราบจนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
 
พระเกียรติประวัติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฎอย่าง ชัดเจนว่า
พระพุทธองค์ทรงเป็นแบบฉบับของมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในการขัดเกลากิเลสในกมลสันดานของมนุษย์ชาติ
ทรงเป็นผู้จุดประทีปแสงสว่างให้ปรารกฎ ให้ปรากฎแก่ใจมนุษย์
ขับไล่ความไล่ความมืด ทำลายอวิชชาให้ดับสิ้นไป ส่องทางไปสู่พระนิพพาน อันเป็นอมตสุขชั่วนิรันดร์
 
ในโลกนี้จะมีศาสดาองค์ใดเล่าที่จะทรงพระคุณต่อมวลมนุษย์เทียบเท่าละอองธุลีของพระองค์ได้
ศึกษาเปรียบเทียบศาสนาด้วยเหตุผล
เมื่อได้ศึกษาประวัติศาสดาของศาสนาต่าง ๆ เปรียบเทียบกันแล้ว เราก็ย่อมจะเห็นภาพแจ่มชัดว่า
 
ศาสดาท่านใดที่เทียบพร้อมไปด้วยพระคุณอันยิ่งใหญ่เป็นเลิศกว่าศาสดา ทั้งปวง
ศาสดาท่านใดที่มีคุณความดีแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด
เมื่อเปรียบเทียบกัน ตั้งแต่ประวัติกำเนิด การค้นคว้าสัจจธรรม ตลอดจนการเผยแพร่พระศาสนา ทุกขั้นตอน
 
ประวัติกำเนิดศาสดา
 
ประวัติการบังเกิดขึ้นของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงให้เห็นว่า
พระองค์ท่านได้บำเพ็ญสร้างสมความดีขัดเกลากิเลสข้ามภพข้ามชาติอันยาวนาน
ทรงความบริสุทธิ์เหนือมวลมนุษย์ทั้งหลาย ถึงพร้อมด้วยบุญบารมีทั้งปวง
จึงทรงได้บังเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าในภพสุดท้ายนี้
 
มีศาสดาองค์ใดบ้าง ที่มีประวัติการบำเพ็ญเพียรสะสมความดี สร้างบุญบารมี เทียบเท่าพระองค์ท่าน
 
การศึกษาค้นคว้าธรรมะ
 
ในการศึกษาค้นคว้าสัจจธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติพระองค์ทุกรูปแบบ
ตามลำดับขั้นตอน
 
ด้วยพระปัญญาธิคุณ อันล้ำเลิศที่ทรงเห็นสภาวะที่แท้จริงของโลก
 
ด้วยพระวิริยะอุตส่าห์ ที่แลกด้วยชีวิต
 
ด้วยพระขันติ อดทนต่อความทุกข์ทรมานทั้งปวง
 
ด้วยพระปณิธาน อันแน่วแน่มั่นคง
 
พร้อมด้วยพระบารมีอันวิเศษสุด ที่สะสมมาถึงยี่สิบอสงไขยกับแสนกัป
จึงทรงบรรลุธรรมด้วยพระองค์เอง
 
มีศาสดาองค์ใดบ้างที่มีประวัติแสดงการศึกษาธรรมะเป็นขั้นตอน จนบรรลุธรรม ตรัสรู้แจ้งด้วยพระองค์เอง
ดังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
 
หลักธรรมคำสั่งสอนธรรมะ
 
ถ้าจะศึกษาหลักธรรมะของศาสดาแต่ละท่าน ลองพิจารณาว่าคำสั่งสอนในศาสนาต่าง ๆ นั้น
 
- พิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุด้วยผลหรือไม่
- คำสั่งสอนมีความเหมาะสมแก่บุคคลที่มีภูมิปัญญาต่าง ๆ อย่างไร
- การปฏิบัติตามคำสั่งสอนเหล่านั้น ได้ผลอย่างไรบ้าง
 
เราก็จะเห็นได้ว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น
- พิสูจน์ได้ทุกกาลเวลา
- พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง
- มีความลุ่มลึกเหมาะสมกับภูมิปัญญาของสัตว์โลกที่มีอัธยาศัยแตกต่างกัน
- พิสูจน์ได้ด้วยเหตุผล ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นความจริง ตลอดเวลา
- เมื่อปฏิบัติแล้วก็ได้ผลสำเร็จ ประสพความสุข ความเจริญ ตามขอบเขตความสามารถการปฏิบัติธรรม
เกิดประโยชน์ตั้งแต่ส่วนตน ครอบครัว และส่วนรวม
 
มีธรรมะ คำสั่งสอนในศาสดาใดบ้างที่เพียบพร้อมด้วยคุณความดีทั้งปวง เสมอด้วยศาสนาพุทธ
 
ประวัติการเผยแผ่ศาสนา
 
เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว แทนที่จะเสวยวิมุติสุขเฉพาะพระองค์
กลับมีน้ำพระทัยเมตตาที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ให้แก่ชาวโลก
เพื่อให้มนุษย์ชาติได้รับสันติสุขอันแท้จริง ดังเช่นพระองค์ท่าน
 
พระกรุณาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
ยิ่งใหญ่นักแผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกรูป ทุกนาม ทุกภพ ทุกจักรวาล
 
พระองค์ท่านจึงทรงบากปั่นเผยแผ่ธรรมะคำสั่งสอนต่าง ๆ ทุกขั้นตอน โดยไม่ปิดบังหวงแหน
เพื่อโปรดสัตว์ให้ได้รับความสุขอันเป็นอมตะ จนตลอดพระชนมชีพ
 
ด้วยเหตุนี้จึงปราฎ ประจักษ์พยานชัดเจนว่า
สาวกของพระองค์ท่าน สามารถศึกษาและปฏิบัติธรรม จนหมดกิเลสตามพระองค์ท่านมากมาย
จนมีพระอรหันต์หลายรูป เช่น
พระโมคคัลลา พระสารีบุตร พระอัญญาโกณฑัญญะ พระอัสสชิ พระอานนท์
พระอนุรุทธ พระปุณณมันตานี ไล่เรียงรายชื่อกันเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน
ยืนยันได้ว่าหมดกิเลสแล้ว เมื่อปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ท่าน
 
ส่วนผู้ที่ยังไม่หมดกิเลส ก็ได้รับความสุข ความสำเร็จตามลำดับขั้นการปฏิบัติธรรมะของตน
 
นี่คือความยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
ท่านทั้งหลายทราบไหมว่า ยังไม่มีศาสดาใด ๆ ในยุคปัจจุบันที่จะประกาศว่า
ลูกศิษย์ของฉันจำนวนมากมายเรียนรู้ได้สำเร็จความรู้อย่างฉันแล้ว
จึงเป็นหลักประกันได้ว่า ถ้าพวกเราทุกคนตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมอย่าง
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างที่พระอรหันต์ในอดีตได้ปฏิบัติมาแล้ว
ก็จะทำให้พวกเรา สามารถหมดกิเลสตามพระองค์ท่านได้
 
ภาวะความเป็นพระพุทธเจ้า เป็นสภาพประชาธิปไตย
ผู้ใดมีความเพียรพยายาม ขัดเกลากิเลสของตนสะสมบุญบารมีโดยไม่ย่อท้อ ถอยหลัง
ก็จะบรรลุธรรมสูงสุดได้ ตามที่พระองค์ท่านตรัสสอนไว้
 
การปฏิบัติธรรม ไม่ว่ายุคใด สมัยใด มีแต่ได้ประโยชน์ไม่สูญเปล่า พยานมีพร้อม
ตั้งแต่พุทธกาลสืบทอดมาถึงหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ไม่ขาดสาย
จนมาถึงพวกเราในยุคนี้ตามรอยบาทพระศาสดา

มดเอ๊กซ:
พวกเราจงภูมิใจเถิด
ที่ปู่ย่าตาทวดของเราได้เลือกนับถือศาสนาพุทธเป็นสิ่งยืนยันว่า
บรรพบุรุษของเรามีสติปัญญาไม่โง่เขลา ไม่ดื้อ ไม่โมเม
แต่เป็นผู้ที่ประกอบด้วยเหตุและผล จึงรักษาบ้าน รักษาเมือง รักษาชาติ ศาสนา
ให้เราได้อยู่สุขสบายจนถึงทุกวันนี้
 
ภูมิใจเถิดว่า บรรพบุรุษของเรามีปัญญา
สำคัญอยู่แต่ว่า เราจะสะสมปัญญาตามปู่ย่าตาทวดได้ไหม
 
สิ่งที่หลวงพ่อวิตก ก็คือพวกเราในยุคนี้ มักจะหลงตัวเองว่า
ฉันเก่งกว่าปู่ย่าตาทวด แล้วดูถูกบรรพบุรุษของเรา
 
เมื่อสมัยหลวงพ่อเป็นนิสิตนักศึกษา มองไม่เห็นความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า
ก็เลยเที่ยวแสวงหาว่า
ศาสนาไหนหนอที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สงสัยตามประสาเด็กๆ ว่า
ทำไมประเทศที่นับถือศาสนาอื่น ๆ เช่น ...
ก็มีหลายประเทศที่เป็นมหาอำนาจ
แต่ประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ ก็มีแต่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นที่เจริญรุ่งเรือง
 
ส่วนบางประเทศกลับเป็นเมืองขึ้นชาติอื่น เยอะแยะ
เมื่อได้มีโอกาสไปศึกษาต่างประเทศ ก็ได้รู้ว่า
ศาสนาอื่นไม่ได้ดีกว่าศาสนาพุทธ
 
การที่ชาวต่างประเทศที่นับถือพุทธศาสนายังไม่เจริญเท่าที่ควรนั้นก็คือ
 
1. ประกาศตนเป็นชาวพุทธ แต่ไม่รู้จักคำสอนของพุทธศาสนา เรียกว่า เป็นชาวพุทธโดยทะเบียน
 
2. ศึกษาธรรมะรู้แล้ว แต่ไม่ทำ เช่น
รู้จักศีลห้า ท่องก็ได้ อาราธนาศีลก็ได้ แต่ไม่รักษา
รู้ว่าคอรัปชั่นไม่ดี แต่ก็ทำ
รู้ว่ากินเหล้าไม่ดี แต่ก็กิน
รู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าดี แต่จะสวดมนต์ทบทวนคำสอนของท่านก็ขี้เกียจ
แล้วยังจะบ่นว่า เมืองไทยไม่เจริญ
 
ถามว่า ใครถ่วง
ก็คนที่ไม่รักษาศีลนั่นแหละ ถ่วงไว้
 
ถ้าใครเคยไปต่างประเทศ จะรู้ว่า เมืองไทยดีแล้ว สะดวก สบายที่สุด เรามีของดีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว
อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ บรรพบุรุษก็มีสติปัญญา เฉลียวฉลาด
 
จริงอยู่ ในยุคนี้ เราอาจจะเห็นว่า มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ดีกว่าสมัยก่อน
แต่ความจริง ความฉลาดในเรื่องชีวิต ในเรื่องธรรมะ
เรายังห่างบรรพบุรุษของเรามาก ยังตามท่านไม่ทัน
เพราะฉะนั้น อย่ามัวหลงทนงตัว ภูมิใจกับเทคโนโลยีอยู่เลย ลองศึกษาเรื่องคุณธรรม
ที่ปู่ย่าตายายเรา สะสม แสวงหาไว้ดีกว่า ไม่งั้นก็อยู่ไปวัน ๆ ไม่มีบุญติดตัว
 
ในเมื่อเรามีสติปัญญา เราก็ต้องรู้จักเลือกทำความดีให้มาก ๆ แล้วเราจะเลือกเกิดได้
เรามีสติปัญญา เราเลือกผู้นำได้ เราก็เลือกเดินตามพระพุทธเจ้า
ข้อสำคัญ เมื่อเลิกทางเดินที่ดีที่สุดแล้ว เลือกผู้นำที่ดีที่สุดแล้ว ระวังอย่าหลงหลุดไปข้างทางเสีย
 
ขอให้พวกเราทั้งหลาย พระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ต่างพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล ด้วยใจเป็นธรรมว่า
 
พวกเราควรจะเชื่อถืออะไร ไม่เชื่ออะไร พวกเราควรจะนับถืออะไร ไม่นับถืออะไร
เมื่อพิสูจน์ได้ว่า
ไม่มีศาสดาองค์ใดในโลก จะวิเศษสุดประเสริฐสุด เทียบเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราแล้ว
ก็ควรเคารพบูชาท่านอย่างสุดหัวใจ
 
ใครคิดอยากจะไปทัวร์ต่างประเทศ ไปกราบไหว้ผู้วิเศษก็ยกเลิกเสีย
เงินทองจะได้ไม่รั่วไหลออกนอกประเทศเสียเวลาเปล่า ๆ ด้วย
 
ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่าน ให้สมกับเป็นชาวพุทธ แล้วจะรู้เองว่า
พระธรรมคำสอนของท่าน มีคุณค่าล้ำค่าเพียงใด
สำหรับหลวงพ่อได้ติดตามรอยพระบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นขั้นตอนอย่างนี้แล้ว
 
ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนก็ตาม ก็จะตั้งใจปฏิบัติธรรมตามที่พระองค์ได้ตรัสสั่งสอนไว้ทุกประการ
จะขอติดตามพระองค์ไปเข้านิพพานให้ได้
 
ประวัติศาสตร์แสดงหลักฐานไว้แล้วว่า
ผู้ปฏิบัติตามรอยพระบาทพระองค์ท่านได้สำเร็จบรรลุธรรมมากมาย
ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ผู้ทรงศีล หลวงปู่ หลวงตาของเรา
ท่านก็ได้ถวายชีวิต
ศึกษาพระธรรมสืบทอดพระศาสนาจนมาถึงพวกเราทุกวันนี้แล้ว
 
ทำไมเราจะเจริญรอยตามท่านไม่ได้
 
เมื่อได้ศึกษาด้วยเหตุผล ด้วยประจักษ์พยานแน่ชัดแล้วว่า ไม่มีศาสดาใด ๆ ในโลก
ที่จะเพียบพร้อมไปด้วยพระคุณอันยิ่งใหญ่เทียบเท่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราแล้ว
ขอให้ภาคภูมิใจในพระบรมศาสดาของเรา
ขอให้เคารพบูชา
พระบรมศาสดาพวกเราอย่างหมดหัวใจ
ขอให้ตั้งใจทุ่มเททำความดี ตามที่พระองค์สั่งสอน โดยไม่ต้องลังเลสงสัยใด ๆทั้งสิ้น
 
เมื่อนั้น เราจะประจักษ์ใจด้วยตัวเอง ยิ่งขึ้นว่า
ไม่มีความยิ่งใหญ่ใด ๆ ในโลก จะเหนือกว่าความยิ่งใหญ่ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
 
ด้วยอำนาจบารมีธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย
จงประมวลเข้าด้วยกัน เป็นตบะ เป็นเดชะ เป็นพลวปัจจัย
ส่งเสริมดลบันดาล อภิบาลคุ้มครอง ปกป้องรักษา
ให้ทุกท่านในทีนี้ จงปราศจากเสียซึ่ง สรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัย
สรรพเคราะห์ เสนียดจัญไรใด ๆอย่าได้มาแผ้วพาน
ให้เป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงธรรมกาย บรรลุพระนิพพานได้โดยง่าย จงทุกท่านเทอญ
 
ป.ล. เนื่องจากเนื้อหาเดิมยาวมาก ผมได้นำมาส่วนใหญ่แต่ไม่ทั้งหมด
ดังนั้นหากมีเนื้อหาไม่ต่อเนื่อง หรือตกหล่นข้อความสำคัญไปบ้าง
ผมขออภัยทาน มาณ ที่นี้ ด้วยครับ



http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=16093

แก้วจ๋าหน้าร้อน:
อนุโมทนาครับพี่มด :13:

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version