แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น
คำสอนของท่านเว่ยหล่าง 2
ฐิตา:
ไม่ช้า-ไม่เร็ว
การหมุนเวียนเปลี่ยนระบบสุริยจักรวาลก่อให้เกิดการเวลา อิทธิพลนี้ได้กำเนิดกลางวัน กลางคืน วัน เดือน ปี ชั่วโมง นาที และวินาที เมื่อ "ธรรมญาณ" ลงมาสู่โลกนี้ย่อมตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกาลเวลาโดยที่ตัวเองหารู้ไม่ว่า แท้ที่จริงแล้ว "ธรรมญาณ" มิได้ขึ้นอยู่กับกาลเวลา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ กาลเวลาเปลี่ยนแปลง "ธรรมญาณ" มิได้ เพราะแต่เดิมมา "ธรรมญาณ" มีความสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งอะไรเลย "ธรรมญาณ" ทุกดวงในโลกนี้มีปัญญาเท่าเทียมกัน แต่ไฉนคนในโลกจึงมีโง่และฉลาด บางคน "ปัญญาทึบ" บางคนปราดเปรื่อง ปัญญานี้ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้ให้อรรถาธิบายว่า "ในพระพุทธศาสนาที่เป็นไปตามคัมภีร์ ความแตกต่างระหว่างนิกาย "ฉับพลัน" กับนิกาย "เชื่องช้า" มิได้มีอยู่อย่างชัดแจ้ง ความแตกต่างเท่าที่เห็นกันอยู่ก็มีแต่เพียงว่า ตามธรรมชาติที่เกิดมาคนบางพวกรู้อะไรได้เร็ว ในเมื่อคนอีกบางพวกทึบต่อการที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆ
พวกที่สว่างไสวก็สามารถเห็นแจ้งสัจธรรมได้ทันที ในเมื่อพวกที่อยู่ภายใต้อวิชชาจะต้องค่อยๆ ฝึกตัวเองต่อไป แต่ความแตกต่างเช่นกล่าวนี้จะไม่ปรากฏเลย ถ้าหากเรามารู้จักธรรมญาณของตัวเอง และรู้แจ้งต่อสภาพแท้ของตัวเราเอง เพราะฉะนั้นคำว่า "เชื่องช้า" กับคำว่า "ฉับพลัน" สองคำนี้จึงเป็นเพียงภาพเลือนๆ มากกว่าที่จะเป็นจริง"
วจนะของท่านฮุ่ยเหนิงจึงยืนยันได้ชัดเจนว่า ทุกคนในโลกนี้มีสภาวะแห่งธรรมญาณเท่าเทียมกัน แต่ที่เกิดอาการแตกต่างกันเพราะ "อวิชชา" คือความไม่รู้จัก "ธรรมญาณ" และสภาวะแห่งความเป็นจริงของ "ธรรมญาณ" แห่งตน ส่วนการรับรู้ที่ฉับพลันและเชื่องช้าเป็นเพราะอาการยึดมั่นถือมั่นแห่งจิตที่เวียนว่ายไปในสามภพสามภูมิ อารมณ์ดี-ชั่ว ได้นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานจนยากที่จะสลัดออกไปได้ ดังนั้นต่างจึงลืมเลือนสภาวะแห่ง "ธรรมญาณ" อันเป็นธรรมชาติดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ของตนเองเสียสิ้น ความแตกต่างของมนุษย์จึงปรากฏขึ้นในโลกนี้ บาป เวร กรรม ที่ก่อขึ้นมาตามอารมณ์ชาติแล้วชาติเล่าจึงเป็นอวิชชาบดบังปัญญาเสียสิ้น ความรู้แจ้งในสัจธรรมจึงปรากฏช้า
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงชี้หนทางแห่งการพ้นไปจากการติดยึดว่า
"ในการที่จะถือเอา ความไม่เป็นไปตามอำนาจของวิตก เป็นผลที่เราจำนงหวัง
ถือเอา ความไม่ตกอยู่ภายใต้วิสัยของอารมณ์ว่าเป็นมูลรากอันสำคัญ
และถือเอา ความไม่ขัดติด ว่าเป็นหลักหรือต้นตออันเป็นประธานสำคัญ"
ความไม่ตกอยู่ภายใต้วิสัยของอารมณ์นั้น
หมายถึงความไม่ถูกอารมณ์ดึงดูดเอาไว้ ในเมื่อได้สัมผัสกันเข้ากับอารมณ์
ความไม่เป็นไปตามอำนาจของวิตกนั้นหมายถึงความไม่ถูกลากเอาไป
โดยความคิดอันแตกแยกอย่างใดอย่างหนึ่ง ในขณะที่กำลังบำเพ็ญภาวนาทางจิต
ความไม่ข้องติด นั้นหมายถึงลักษณะเฉพาะแห่ง ธรรมญาณของเรานั่นเอง
ทุกสิ่งไม่ว่าดีหรือเลว สวยงามหรือน่าเกลียด
ควรจัดเป็น ของว่าง อย่างเดียวกัน และไม่มีการนึกถึงการแก้เผ็ด
ในการฝึกความนึกคิดของตนเอง จงปล่อยให้อดีตเป็นอดีตถ้าเราเผลอให้ความคิดของเรา
ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มาจับติดต่อกันเป็นห่วงโซ่แล้ว ก็หมายว่าเราจับตัวเองใส่กรงขัง
ในฝ่ายตรงกันข้าม ถ้าเราไม่ยอมให้ใจของเราข้องติดอยู่ในสิ่งใดๆ เราจะลุถึงความหลุดพ้น
เพื่อผลอันนี้เราจึงถือเอา "ความไม่ข้องติด" ว่าเป็นหลักหรือต้นตออันเป็นประธานสำคัญ"
พระวจนะของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงชี้ให้เห็นว่า การข้องติดนั้นเป็นเพราะการเปรียบเทียบ ดี-เลว สวยงาม-น่าเกลียด อาการข้องติดของจิตจึงเกิดขึ้น ถ้าปราศจากการเปรียบเทียบมองดูให้เห็นเป็นอย่างเดียวกัน อาการปล่อยวางจักปรากฏขึ้นภายในจิต
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า "การดำรงใจไว้ให้เป็นอิสระจากอำนาจของกิเลส
ในทุกๆ ลักษณะของสิ่งที่แวดล้อมรอบตัวเรานี้เรียกว่า "ความไม่เป็นไปตามอำนาจของวิตก"
ใจของเราลอยอยู่สูงเหนือสิ่งใดๆ และในทุกกรณีเราไม่ยอมให้สิ่งเหล่านั้นมามีอิทธิพลครอบงำ
ในการที่ใจของเราจะทำหน้าที่ของมัน แต่มันเป็นความผิดอย่างใหญ่หลวงในการบีบบังคับใจ
ไม่ให้คิดอะไรเสียหมด เพราะแม้เราจะทำได้สำเร็จในการบังคับเช่นนั้น และเราดับจิตลงไปขณะนั้น
เราก็ยังคงต้องเกิดใหม่ในภพ ใดภพหนึ่งอยู่ดี"
บรรดาท่านที่ชอบนั่งหลับตาทำสมาธิแบบฤาษีชีไพรทั้งปวงควรนำวจนะข้อนี้ไปพิจารณาให้ดี เพราะท่านฮุ่ยเหนิงกล่าวเอาไว้แจ่มชัดว่า "บรรดาท่านผู้เดินทางทั้งหลาย มันเป็นความชั่วอย่างพอตัวทีเดียวสำหรับคนที่ทำอย่างผิดพลาดเนื่องมาจากไม่เข้าใจความหมายของธรรรมบัญญัติข้อนั้น แล้วมันจะเป็นความชั่วมากขึ้นไปเพียงใดอีก ที่ไปเร้าใจให้ผู้อื่นพากันทำตามเป็นบริวารของตน
เมื่อหลงเสียแล้ว เขาก็มองไม่เห็นอะไรและยิ่งไปกว่านั้นเขายังแถมเป็นผู้กล่าวตู่พระพุทธวจนะอยู่ตลอดกาลเป็นนิจด้วย"
ฐิตา:
หนึ่งเป็นสองต้องมีทุกข์
พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาหกปีค้นจนพบหนทางแห่งการดับทุกข์คือ "สายกลาง" ซึ่งมีทางปฏิบัติอยู่แปดประการเรียกว่า "อริยะมรรค" ใครประคองจิตให้อยู่ในจิตให้อยู่ในหนทางนี้ได้จักพ้นทุกข์อย่างแท้จริงโดยเริ่มต้นดังนี้
1. ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสัจธรรม
2. ความคิดที่ต้องการพ้นไปจากโลกีย์กรรม
3. การสำรวมวาจา
4. การกระทำที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
5. มีอาชีพที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
6. มีความเพียรที่ถูกต้อง
7. มีสติถูกต้อง
8. มีสมาธิถูกต้อง
"ทางสายกลาง" สามารถปฏิบัติได้ในมนุษย์เพียงแต่รักษาสภาวะจิตของตนเองให้เป็น "หนึ่ง" ความทุกข์ย่อมไม่เกิด แต่ปุถุชนเกิดความทุกข์ เพราะชอบเปรียบเทียบ จาก "หนึ่ง" จึงไปเป็น "สอง" เพราะฉะนั้นจึงมี "ดี" หรือ "ชั่ว" และจึงเกิด "ชอบ" หรือ "ชัง" พ้นไปจากทางสายกลาง ความวิตกทุกข์ร้อนจึงเกิดขึ้นไม่ว่าอยู่ในภาวะ "ต้องการ" หรือ "ไม่ต้องการ"
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้อธิบายกรณีนี้ว่า "ทำไมเราจึงถือเอา "ความไม่เป็นไปตามอำนาจของวิตก" มาเป็นผลที่จำนงหวังของเรา เพราะเหตุที่มีคนเขลาบางประเภทได้โอ้อวดได้เห็นแจ้ง ธรรมญาณ แต่กำลังถูกอารมณ์ที่แวดล้อมลากเอาตัวไปวิตกต่างๆ เกิดขึ้นในใจของเรา ถูกแวดล้อมด้วยมิจฉาทิฏฐิอันเป็นกระแสแห่งความหลงและกิเลสทุกๆ ชนิด ทั้งนี้เพราะใน "ธรรมญาณ" นั้นไม่มีอะไรสำหรับให้ใครลุถึงเสียเลย ฉะนั้นการที่มาเอ่ยอ้างว่ามีการลุถึง และกล่าวพล่อยๆ ถึงความดีหรือความชั่วเหล่านั้นล้วนแต่เป็นมิจฉาทิฏฐิและกิเลส เพื่อผลอันนี้เอง เราจึงได้ถือเอา "ความไม่เป็นไปตามอำนาจของวิตก" ว่าเป็นผลที่จำนงหวังของเรา"
พระวจนะตอนนี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า "ธรรมญาณ" ซึ่งเป็นตัวสำแดงความว่างไม่มีอะไรให้บรรลุถึง เพราะฉะนั้นตราบใดที่ภายในจิตใจยังวิตกหรือยินดีต่ออารมณ์ทั้งฝ่ายดีหรือชั่ว ย่อมเป็นหนทางแห่งความหลงโดยแท้ เพราะสำคัญผิดคิดว่าตนเองสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เที่ยวคุยอวดหรือแสดงเป็นนัยให้คนอื่นรู้ว่าตนเองสำเร็จบรรลุธรรมแล้ว
ความรู้สึกที่ผุดขึ้นในจิตเพียงนิดเดียวก็พอที่จะฉุดให้คนหลงเหล่านั้นลืมตัว และพ้นไปจาก "ทางสายกลาง" ของจิต
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงชี้หนทางพ้นไปจากวิตกจริตทั้งปวงว่า "การที่จะพ้นอำนาจของวิตก อะไรเล่าเป็นสิ่งที่เราควรสลัดเสียให้สิ้นเชิง และอะไรเล่าที่เราควรปักใจของเราลงไป เราควรสลัด "ของที่เป็นคู่ๆ อย่างตรงกันข้าม" เสียให้สิ้นเชิงพร้อมทั้งอกุศลเจตสิกทุกๆ อย่าง"
ความหมายที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวคือ สิ่งที่เป็นคู่กัน เช่น ดี-ชั่ว สวรรค์-นรก สำเร็จ-ไม่สำเร็จ โง่-ฉลาด เพราะตราบใดที่ยังมีคู่ย่อมมีการเปรียบเทียบก่อให้เกิดอารมณ์จนบดบังธรรมญาณตราบนั้นย่อมพ้นไปจากความเป็น "หนึ่ง" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า "เราควรปักใจของเราลงไปที่ภาวะแท้จริงของ ตถตา เพราะเหตุว่า ตถตา นั่นแหละเป็นตัวการแท้ของวิตก และวิตกเป็นผลแห่งการไหวตัวของ ตถตา" "ตถตา" มีความหมายว่า มันคงมีสภาพเป็นอย่างนั้นเอง เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันจึงก่อเกิดสรรพสิ่งเพราะเป็นความว่างอันแท้จริง
ฐิตา:
ถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนเกียร์ของรถยนต์ การที่สามารถขับเคลื่อนไปได้ เพราะมีเกียร์ว่าง หากปราศจากเกียร์ว่างเสียแล้ว รถยนต์ย่อมใช้ประโยชน์มิได้เลย พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอธิบายว่า "ตัวแท้ของตถตา ซึ่งเบ่งบานขึ้นถึงระดับเด่นชัดนั้นต่างหากที่ทำให้วิตกนั้นเกิดขึ้น หาใช่อวัยวะรู้สึกอารมณ์นั้นๆ ไม่ ตถตา ย่อมทรงไว้ซึ่งคุณลักษณ์ของตัวมันเอง ฉะนั้นมันจึงสามารถให้กำเนิดแก่วิตก ปราศจากตถตา เสียแล้ว อวัยวะสำหรับรู้สึกอารมณ์และอารมณ์นั้นๆ ย่อมสลายลงทันที
เพราะเหตุที่คุณลักษณะของตถตาต่างหากที่ทำให้เกิดแก่วิตก ฉะนั้นอวัยวะสำหรับรู้สึกอารมณ์ต่างๆ ของเราไม่จำเป็นต้องด่างพร้อยหรือเศร้าหมองไปด้วยในทุกๆ เหตุการณ์ แม้มันจะเป็นหน้าที่ใน การดู การฟัง การสัมผัส การรู้ ก็ตาม และตัวภาวะแท้ของเราก็อาจยัง "แสดงตัวเองให้ปรากฏได้" ทุกเวลา" เมื่อ ตถตา ขยับตัวด้วยสื่อสัมผัสใดๆ มากระทบโดยอาศัยช่องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก่อให้เกิด รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ และ ธรรมารมณ์ ตัวการแท้จึงอยู่ที่ ตถตา มิได้อยู่ที่อวัยวะใดๆ
หากปราศจาก ตถตา ก็เสมือนหนึ่งเวลาเรานอนหลับสนิท ควรมีแสดงอาการอย่างไรก็ไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบ หรือคนจีนที่ไม่รู้จักภาษาไทยแต่กลับถูกด่าด้วยภาษาไทยย่อมฟังไม่รู้เรื่อง จึงไม่เกิดการโต้ตอบและมีอารมณ์โมโห ตัวอย่างเด็กทารกที่ยังไม่รู้ความ ใครจะด่าว่าอย่างไร อาการโต้ตอบก็ไม่ปรากฏ เพราะธรรมญาณ ยังมิได้เรียนรู้เป็นสัญญาขันธ์ว่า นั่นคือ คำหยาบคาย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอารมณ์โกรธ
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงสรุปเอาไว้โดยชี้ให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งว่า "พระสูตรจึงกล่าวว่า ผู้ที่คล่องแคล่วในการแยกแยะธรรมลักษณะนานาประการเพื่อความเข้าใจอันถูกต้องได้ จักเป็นผู้ที่ตั้งอยู่อย่างไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนใน ธรรมอันเอก"
เพราะฉะนั้นการรักษาความเป็นหนึ่งของสภาวะจิตย่อมไม่มีการเปรียบเทียบจึงไม่เกิดทุกข์ แต่เมื่อใดมีสอง เมื่อนั้นความทุกข์ย่อมเข้าครอบงำทันที
ที่มา : http://www.sanyasi.org/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=6&Category=sanyasiorg&No=288051
สุขใจดอทคอม
Pics by : Google
ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุค่ะ
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
:13: อนุโมทนาครับพี่แป๋ม ขอบคุณครับ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version