เมื่อปี พ.ศ. 2535 ผู้เขียนได้ไปพูดที่ธรรมศาสตร์ เรื่องอะไรจำไม่ได้และไม่มีความสำคัญกับบทความนี้ที่อาจเกี่ยวข้องกันกับความคิดของ ดร.สุวินัย ภรณวิไล ที่พูดในทำนองว่า มนุษยชาติกำลังเปลี่ยนแปลงที่ภายใน และการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้เราได้เผ่าพันธุ์ของมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่ ดร.สุวินัยเรียกว่าโฮโม ซาเปียนส์ เอ็กเซ็ลเลนส์ นั่นใกล้เคียงกับมนุษย์เผ่าพันธุ์ใหม่ ซึ่งใครต่อใครคิดว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการต่อไปในอนาคต เช่น ปีเตอร์ รัสเซลล์ ลูกศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของนักฟิสิกส์ใหญ่มากๆ ที่ชื่อสตีเฟนร์ ฮอว์กิง ผู้พิการ สมญาทายาทของไอน์สไตน์เรียกว่าโฮโม ซาเปียนส์ ซาเปียนส์ ซาเปียนส์ หรือมนุษย์ผู้ฉลาด ฉลาด และฉลาด อันเป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ที่จะวิวัฒนาการขึ้นมาในเร็วๆ นี้ นั่นคือ โฮโม ยูนิเวอซาลิสต์ ของบาบารา มาร์กซ์ ฮับบาร์ด ที่ได้ที่หนึ่งในการตั้งชื่อมนุษย์เผ่าพันธุ์ใหม่ และการเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นที่จิตวิญญาณ (spirituality) ซึ่งไม่ว่า ดร.สุวินัย ภรณวิไล จะได้อ่านการตั้งชื่อการเปลี่ยนแปลงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอนาคตหรือไม่? ก็ต้องถือว่า ดร.สุวินัยเป็นนักอนาคตศาสตร์ที่สนใจอย่างจริงจังต่อการวิวัฒนาการของมนุษย์ในอนาคตที่ใกล้ๆ ผู้หนึ่ง และการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการ (transformation) นี้จะต้องเป็นเรื่องทางจิตหรือจิตวิญญาณ จึงได้ตั้งชื่อมนุษย์เผ่าพันธุ์ใหม่ว่าโฮโม เอ็กเซ็ลเลนส์ หรือ “ผู้ประเสริฐ” ที่พิเศษที่สุด
เมื่อวันก่อนนี้ผู้เขียนได้พูดถึงว่าโลกต้องการคนที่มีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตสำนึกใหม่ - ที่สูงถึงระดับธรรมจิตหรือจิตวิญญาณ (spirituality) - วันนี้และเดี๋ยวนี้อย่างฉุกเฉินและด่วนจี๋เลย และที่คนไทยกลุ่มหนึ่งได้ก่อตั้งชมรมจิตวิวัฒน์ขึ้นมาเมื่อกว่า 7 ปีก่อนก็เพื่อการณ์นั้น ทั้งนี้ ก็เพราะว่าโลกเรากำลังเผชิญหน้ากับภัยธรรมชาติที่รุนแรง ไม่ว่าน้ำท่วม ดินถล่ม พายุร้าย ฯลฯ แต่สาธารณชนคนทั่วไปโดยเฉพาะคนไทย - และคนในประเทศกำลังพัฒนาหรือคนในประเทศเพิ่งพัฒนาใหม่ของเอเชีย - ไม่สนใจเท่าที่ควรหรือไม่รู้เสียด้วยซ้ำ รวมทั้งแม้แต่บางคนของสมาชิกของชมรมเองที่ทำให้สมาชิกบางคนต้องลาออกไป โดยระบุกับผู้เขียนว่าสมาชิกของชมรมบางคนยังไม่ค่อยเข้าใจวิวัฒนาการทางจิตและจิตสำนึกใหม่ที่นักจิตวิทยาทั่วไปยอมรับกันพอ
ก่อนที่เราจะพูดกันเรื่องวิวัฒนาการของชีวิตในอนาคต - ในที่นี้มนุษย์ - ในโลกและในจักรวาลที่มี 2 ด้าน คือวิวัฒนาการทางด้านรูปหรือกาย (ชีววิทยา) ที่ผู้เขียนคิดว่าจบแล้วหรือใกล้จบเต็มทีแล้ว กับทางด้านจิตหรือนามที่พุทธศาสนาบอกว่าเป็นสิ่งเดียวกัน และทั้งทางด้านรูปหรือกายกับจิตหรือนามจะวิวัฒนาการไปด้วยกันเป็นพลวัตที่ต่อเนื่อง (dynamicity of psycho-physical components) ผู้เขียนขอพูดถึงเรื่องส่วนตัวและวิวัฒนาการทางจิตตอนที่ยังเป็นเด็กที่อาจเกี่ยวข้องกันก็ได้ คือ เด็กในชนบทที่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ ในจังหวัดนราธิวาส ซึ่งอยู่ห่างไกลเมืองหลวงมากที่สุด คือไกลถึงกว่า 1,100 กิโลเมตร ซึ่งในกว่า 75 ปีก่อนนั้นมันห่างไกลจริงๆ ในเวลานั้นการเดินทางเสียเวลามากและแพงมาก และการเดินทางก็แทบว่ามีเส้นทางเดียวคือ ทางรถไฟ นั่นคือเส้นทางคมนาคมที่ติดต่อกันระหว่างกรุงเทพฯ กับนราธิวาสเป็นประจำ - อีกทางหนึ่งคือทางเรือกลไฟทางทะเล ซึ่งไม่แน่นอน ปกติใช้ขนสินค้าที่รอได้ อาจจะมีเดือนละครั้งขึ้นกับสินค้า ซึ่งมียางพารากับมะพร้าวเป็นสำคัญ - แต่รถไฟด่วน (กรุงเทพฯ-หาดใหญ่ และหาดใหญ่-กรุงเทพฯ) นั้นจะมีสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แถมต้องมาขึ้นรถด่วนที่หาดใหญ่ ซึ่งเดินทางโดยรถไฟเหมือนกันที่มีทุกๆ วัน แต่จอดทุกสถานี รถไฟขบวนนี้มาจากสุไหงโก-ลกผ่านมาที่สถานีรถไฟตันหยงมัส ผู้โดยสารจากนราธิวาสที่จะไปกรุงเทพต้องรอขึ้นรถไฟที่นี่ นั่นคือรถไฟด่วนสายใต้จะคอยอยู่ที่หาดใหญ่เพื่อรับผู้โดยสารที่ขึ้นมาจากสามจังหวัดใต้ที่สุดของประเทศสยามในตอนนั้นซึ่งจะมาถึงหาดใหญ่ ฉะนั้นผู้โดยสารจากนราธิวาสจะเสียเวลาเกือบทั้งวันอีกต่างหากเพื่อที่จะขึ้นรถด่วนเพื่อไปกรุงเทพฯ และจะไปถึงที่นั่นประมาณเช้าวันรุ่งขึ้น หรือถึงที่พักจริงๆ เกือบ 3 วันเต็มๆ ที่เขียนมายาว เพราะอยากบอกว่ามันไกลและเสียเวลาจริงๆ กว่าจะได้อ่านหนังพิมพ์สยามราษฎร์หรือศรีกรุงที - ที่บ้านรับทั้ง 2 ฉบับที่อ่านทุกตัวเลย ซึ่งหนังสือพิมพ์ก็จะมีแต่เรื่องพงศาวดารจีนเป็นหลัก - ก็ผ่านไป 3-4 วันแล้ว
ในตอนขึ้นชั้นมัธยม 2 ใหม่ๆ อายุยังไม่ทัน 8 ขวบดี ผู้เขียนรู้สึกว่ามีอะไรได้เปลี่ยนแปลงไปจากนิสัยเดิมๆ ของผู้เขียนเล็กน้อย - อาจจะเป็นเพราะเรียนเร็วสำหรับเด็กในชนบทที่ห่างไกลจริงๆ หรืออาจเพราะเข้าวัยครบอายุ 7 ขวบเต็มๆ อย่างที่ฌ็อง เปียเจต์ วิจัยไว้ก็ได้ (ซึ่งสอดคลองโดยหลักการทั้งของฟรอยด์และจุง) - ซึ่งเป็นเวลาที่เด็กจะเปลี่ยนจาก “วัตถุที่เกิดจากมายากล (magic) แยกกันไม่ได้” เป็น “วัตถุที่จิตตนสร้างขึ้น (mythic)” เป็น “วัตถุที่เป็นรูปกายจริงๆ” (จากดวงจันทร์มายากลแยกจากตัวเอง ไม่ได้เป็นดวงจันทร์ที่เดินตามที่จิตสั่งมา เป็นดวงจันทร์ที่เป็นรูปที่ทุกคนเห็นเหมือนๆ กัน รวมผู้เขียนกับผู้อ่าน) นั่นคือครั้งแรกที่เด็กเรียนรู้ความจริงของโลกตามที่ตาตนเองและคนอื่นเห็น จึงเข้าใจว่าสิ่งที่ตนเห็นที่คนอื่นย่อมเห็นเหมือนๆ กันนั้นเป็นความจริงที่แท้จริง การเปลี่ยนแปลงที่ว่ารวมทั้งการเห็นเด็กคนอื่นที่โตกว่าหรืออายุมากกว่าตัวเอง 3 หรือ 4 ปี ทำให้พฤติกรรมกับการมองโลกมองสังคมและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงแยกตัวเองออกไปจากเด็กที่มีอายุต่างกัน แต่อยู่ชั้นเดียวและห้องเดียวกับคนอื่นๆ ยังจำได้แม่นยำว่าในช่วงเวลานั้นผู้เขียนมักชอบปลีกตัวไปอยู่คนเดียว และเปิดนิทานอีสป ดูเฉพาะเรื่องเดียวอยู่นั่นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปภาพที่ประกอบเรื่องภายหลังที่ฝนตกพายุกระหน่ำอย่างรุนแรง ภาพขาว-ดำธรรมดาๆ ที่แสดงว่าพายุและฝนที่ตกมาก่อนหน้านั้นมีความรุนแรงเพียงใด ภาพได้แสดงอุทาหรณ์ว่าแม้แต่ต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรงโตใหญ่ก็ยังหักโค่นด้วยลมพายุอันรุนแรงล่องลอยอยู่ในบึงที่มีน้ำนิ่งใสแจ๋ว ในขณะที่ต้นหญ้าที่อ่อนแออยู่ชายบึงกลับไม่เป็นอะไรเลย ภาพประกอบนี้มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับเด็กวัย 7 ขวบ เพราะจำได้อย่างแม่นยำว่าผู้เขียนบ่อยครั้งที่ไม่ยอมกินมื้อกลางวัน เพราะมัวดูอยู่กับภาพในหนังสือนิทานอีสปภาพนั้น ซึ่งคงไม่ใช่เพราะต้นไม้ที่แข็งแรงใหญ่โตต้านแรงลมไม่ไหว เปรียบกับต้นหญ้าที่อ่อนแอที่ไหวตัวตามแรงลม แต่เป็นเพราะลึกๆ ที่จิตใต้สำนึกในตอนนั้นน่าจะเป็นเพราะรักสันติมากกว่า เนื่องจากเป็นเด็กที่ตัวเล็กและอ่อนแอเกือบที่สุดทั้งโรงเรียนเลย และจิตใต้สำนึกนั้นก็ได้ผลักดันให้ผู้เขียนรักความยุติธรรม แต่คนทั่วๆ ไปที่ไม่คิดจึงไม่รู้และเรียกว่าขี้ขลาด ผู้เขียนถึงได้เกลียดความรุนแรง รักสันติมาก และขี้ขลาดจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้
ผู้เขียนชอบพูดถึงสิ่งที่ใหญ่ที่สุด เช่น จักรวาล โดยเฉพาะจักรวาลที่มีโลกเรา มีสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ มีชีวิต มีมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา ที่พูดหรือเขียนเรื่องที่ใหญ่กับไกลตัวขนาดนั้นอาจจะเป็นเพราะจิตใต้สำนึกที่ต้องการความอยู่รอดปลอดภัยให้กับตัวเองในฐานที่แทบจะเป็นเด็กตัวเล็กที่สุดและอ่อนแอที่สุดในโรงเรียนหรือเป็นคนขี้ขลาดอย่างว่า เพราะว่าการพูดการเขียนเรื่องระดับโลกระดับจักรวาลปลอดภัยดี จึงไม่ชอบเขียนอะไรที่เกี่ยวกับคนไทยหรือประเทศไทย รวมทั้งสังคมไทยกับระบบทั้งหมดที่ใช้บังคับ ควบคุมลงโทษหรือให้รางวัลมนุษย์คนไทย - ไม่ว่าระบบสังคม กฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ ฯลฯ ที่ผิดธรรมชาติทั้งหมดเลยโดยไม่มีข้อยกเว้น (ผิดธรรมชาติคือผิดทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์ยังไม่ได้มีวิวัฒนาการทางจิตซึ่งช้ากว่าทางกาย แถมเรายังเป็นศัตรูกับธรรมชาติ รักแต่ตัวเองกับมนุษย์เท่านั้น) แต่ที่พูดนั้นมีข้อแม้ คือพูดเพราะยังเป็นคนไทย เกิด อยู่ มีครอบครัวในไทย คือมีกำพืดเหมือนกัน
วิวัฒนาการทางจิตจากโฮโม ซาเปียนส์ ไปสู่โฮโม สปิริจวลลิส หรือโฮโม เอ็กเซเลนส์ ของ ดร.สุวินัยนั้นจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ไม่ใช่เป็นธรรมชาติ หากเกิดจากเราเร่งให้เกิดขึ้นหลังจากความล่มสลายของระบบนิเวศที่จะต้องเกิดในยิ่งกว่าเร็วๆ นี้
จักรวาลนั้นมีหน้าที่กับความรับผิดชอบเพียงอย่างเดียว คือวิวัฒนาการของทุกๆ สิ่งที่อยู่ข้างในและมีลักษณะหรือคุณสมบัติอย่างเดียวเหมือนกัน คือ อนิจจตา วิวัฒนาการขั้นต่อไปของกายนั้นดังที่ได้พูดมาแล้วว่าจบสิ้นแล้วสำหรับผู้เขียน หรือใกล้จบแล้วสำหรับนักจิตวิทยาบางคนที่สมองจะต้องมีปรี-ฟรอนตัล (pre-frontal) ชัด และต้องมีวิวัฒนาการของสังคมดีกว่านี้ พูดง่ายๆ คือ มีจิตวิญญาณและมนุษยสัมพันธ์ระหว่างกัน ระหว่างเชื้อชาติ ภาษาและวัฒนธรรม โดยเฉพาะต่างศาสนา-อุดมการณ์
อนิจจตาหรือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนนั้น เป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กับจักรวาลนี้ (ที่นักจักรวาลวิทยาใหม่ และความจริงทางควอนตัมบอกว่าจักรวาลนั้นมีจำนวนที่ไม่มีที่สิ้นสุด) หรือเป็นจักรวาลขนานที่มีมิติมากกว่านี้ตราบเท่าไม่ใช่มิติที่ 10 (ที่นักจักรวาลวิทยาใหม่บางคนเชื่อว่าเป็นมิติของนิพพาน หรืออยู่ข้างนอกจักรวาล) ที่ทางลัทธิพระเวทกับพุทธศาสนาเรียกว่าสังสารวัฏ ผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่า หากเราไม่บ้าวัตถุกับเทคโนโลยีส่วนใหญ่มาก ไม่มีวิทยาศาสตร์กายภาพ ไม่มีระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีเอฟทีเอ เราอาจจะมีวิวัฒนาการทางจิตไปตามสเปคตรัมตามธรรมชาติได้ แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว สายเกินไปเสียแล้ว ประชากรโลกได้มากเกินไปเพียงในช่วง 50 ปี แค่ครึ่งชีวิตของผู้เขียนประชากรโลกก็เพิ่มมากขึ้นถึงประมาณ 4,000 ล้านคน ที่โลกเราจะรองรับได้คือเกินไปมากนัก กระทั่งโลกธรรมชาติติดลบไปเกือบ -30% ซึ่งโลกจึงต้องสูญเสียประชากรไปอีกมากนักภายในเวลาที่เร็ววันอย่างที่สุด ไม่มีทางอื่นจริงๆ
อย่าได้กลัวการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ไปจากโลกนี้เลย ซึ่งแม้แต่ในพันๆ ปีจากวันนี้ก็ไม่มี หนังสือที่ขายดิบขายดีของเซอร์มาร์ติน รีส ประธานราชสมาคมฟิสิกส์ดาราศาสตร์ของอังกฤษเมื่อ 3-4 ปีก่อน แม้จะทำนายไว้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่ามนุษย์จะสูญพันธุ์ไปจากโลกภายในศตวรรษนี้ แต่ไม่ได้พูดถึงหลักการทางควอนตัมที่สำหรับผู้เขียนเชื่ออย่างมั่นใจว่าแทบจะไม่มีทางผิดเลย แต่ผู้เขียนกลับไปเชื่อนักวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุด และมีชื่อเสียงในเครือจักรภพอังกฤษที่เล่าไปหลายหนแล้ว นักชีวเคมีที่ชื่อว่า เจมส์ ลัฟล็อก ที่แก่กว่าผู้เขียนอีก คือทำนายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่ามนุษยชาติทั้งเผ่าพันธุ์เลยจะตายไปมากๆ จนเหลือรอดตายเพียง 18% เท่านั้นภายในทศวรรษที่ 2020-2040 นี้ใกล้เคียงกับที่ผู้เขียนคาดการณ์ไว้ทางวิทยาศาสตร์เหมือนกันและใกล้เคียงกันที่องค์การนาซาคำนวณไว้ ผู้เขียนเชื่อค่อนข้างมากในทางจิตซึ่งใกล้เคียงกับทางศาสนาและศาสนาก็ใกล้เคียงกับควอนตัมฟิสิกส์อีกที่ส่วนหนึ่งละเอียดมาก และทำงานคล้ายๆ กับจิตที่ผู้เขียนเชื่อมากกว่าหยาบหรือแม็คโครของวิทยาศาสตร์กายภาพ ในทางจิตนั้นทางเผ่ามายาอินเดียนแดงส่วนใหญ่ พุทธศาสนา และศาสนาใหญ่ๆ ต่างบอกเหมือนๆ กันว่า ปี 2012 ปลายปีเป็นปีที่ต้องระวัง ลัทธิพระเวทบอกไว้ชัดว่า ยุคนี้คือกลียุคเป็นยุคที่ 4 ยุคสุดท้ายที่ตรงกับยุคที่ 4 สุดท้ายของอินเดียนแดง เช่น เผ่าโฮปี
เราต้องเรียนรู้ แม้ว่าวันนี้เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่สายเกิน เราต้องปฏิบัติจิตปฏิบัติ ธรรมปฏิบัติสมาธิกัน เดี๋ยวนี้เลย ถึงน้ำจะท่วมก็ปฏิบัติได้ ผู้ปฏิบัติศาสนาส่วนใหญ่จะรอดหรือเข้าใจ เราต้องรู้ว่าเรากำลังแผ้วทางเส้นทางธรรมชาติสู่โฮโม สปิริจวลลิสอยู่.
http://www.thaipost.net/sunday/311010/29417