อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล
คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง (นิสัยเถื่อน)
lek:
ของเฉพาะตัว (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)
การปฏิบัตินั้นเป็นของเฉพาะตัวแต่ละคนเท่านั้นก็จริง
แต่ก็จำเป็นที่จะต้องบอกแนะแนวกันบ้างตามสมควร
เพื่อจะได้เกิดไหวพริบ หรือแยบคายอะไรขึ้นมา
ในการที่จะเข้าไปรู้อะไรข้างในตัว
เมื่อมีการปฏิบัติที่พิจารณาเฝ้ามองเข้าไปด้านในตัวเองแล้ว
ปัญญาภายในจะได้ทำลายความมืดมิดปิดบังที่มีอยู่
ให้เห็นข้อเท็จด้วยตัวสติปัญญาแท้ของตัว
การมองเห็นความจริง คือ เกิดดวงตาเห็นธรรม
เห็นความจริงชัดใจ อาจจะเกิดความสลดสังเวชขึ้นก็ได้
หรือบางที อาจเกิดปีติเลื่อมใสยิ่งขึ้นก็ได้ มีสองลักษณะ
ถ้าไม่หมั่นพิจารณาเข้าด้านในแล้ว
จิตก็จะแส่ส่ายไปตามอารมณ์เลื่อนลอย
การมองเข้าด้านในให้มากเป็นพิเศษ
ก็เพื่อให้รู้จริง รุ้แจ้ง ไม่มีการยึดถือตัวตนได้ยิ่งขึ้นเรื่อยไป
ตัวตนนั้นไม่ใช่มันจะหมดไปได้ง่ายๆ
มันอาจจะผอมลง แต่พิษสงมันก็ยังมีมากมายคล้ายงูพิษ
มันจะอยู่ในรู หรือ อยู่ในซุ้มผอมโซก็แล้วแต่
ถ้าเราไม่พบและไม่คุ้ยเขี่ยมัน มันก็ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา
ถ้าเราไปคุ้ยเขี่ย หรือว่าลองไปแหย่มันดู
ธรรมดางูพิษเมื่อถูกแหย่ ก็ต้องชูหัวออกมา
ถึงตอนนั้น เราก็จะรู้ถึงที่ซ่อนของมัน
เราต้องคอยจัดการกับมันให้ดี ด้วยความระมัดระวัง
ไม่ประมาท ไม่ต้องไปกลัวมัน เราก็จะจัดการกับมันได้
งูตัวนี้เราต้องคอยดักตีให้ตายด้วยตัวปัญญาของเราเอง
ขอบพระคุณ คุณนริศรา
lek:
ต้องตามเห็น (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)
เรื่องของกิเลสภายในจิตใจ มันมากมายก่ายกอง
ชนิดที่เราก็ไม่ค่อยจะรู้จักมัน
แล้วเราก็อยู่อย่างชนิดที่ไม่ค่อยจะมีการพินิจพิจารณามันให้รุ้
โดยแยบคาย ดังนั้นมันก็ยิ่งสางไม่ออก ปลงไม่ตก ปล่อยไม่ได้
ถึงจะปล่อยได้บ้าง ก็ปล่อยได้แต่ที่ไม่สลักสำคัญอะไร
ที่จะเข้าหาตัวการคือตัวกูนี่ เป็นของยาก
เพราะเราคอยแต่จะเลี่ยงมันไว้เสียเรื่อย
“มันหวงของมันนัก มันรักของมันอยู่” เพราะฉะนั้นการพิจารณาอะไร
ให้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของเบญจขันธ์
คือกายกับใจนี้ล้วนๆ จึงไม่ค่อยมีการแจ่มแจ้งอะไรขึ้นนัก
ต้องตามพิจารณา ความเป็นอนิจจัง
คือความไม่เที่ยงของตัวเราอยู่อย่างเดียว
เดี๋ยวเราก็มองทะลุตัวของเราได้ (ที่ว่า “เดี๋ยว”
นั้นจะช้าหรือเร็วอย่างไรขึ้นกับแต่ละคน) แล้วจากความไม่เที่ยงนั้น
ก็จะพิจารณาเห็นถึงความเป็นทุกข์ไปด้วยในตัว
และก็กลายเป็นเรื่องของความว่างจากตัวตนในเวลาเดียวกันด้วย
ให้พิจารณาอย่างนั้น ไม่ต้องดูอื่น มองให้เห็นความว่างจากตัวตน
ปรากฏอย่างแจ่มแจ้งอยู่ภายใน เท่านี้ก็พอ
ต่อไปถ้ามันจะปรุงอะไรขึ้นมาเป็นสัญญา ติดใจบ้าง
มันก็แต่เกิดดับๆ ไม่ก่อรูปก่อเรื่องปรุงจิตให้เร่าร้อน
ให้เศร้าหมองไปเหมือนเดิมที่เคยเป็น
หลักความรู้อย่างนี้ ต้องหมั่นพิจารณาอยู่เสมอ
ขอบพระคุณ คุณนริศรา
lek:
อยู่ในร่องรอย (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)
ถ้าไม่ได้อบรมปฏิบัติ ไม่ได้ควบคุมจิตใจของเราเองแล้ว
มิใยที่ใจของเราจะถูกกิเลสเผาเท่าไรก็ไม่รู้สึกตัว ไม่รุ้ร้อน
ไม่รู้ว่านรกอยู่ในตัว ขุ่นมัวไปด้วยอำนาจของ โลภ โกรธ หลงที่เป็นไปทั้งนั้น
ต้องสังวรระวัง ต้องคุ้มครอง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
ที่เป็นบ่อเกิดของอารมณ์ ไม่ปล่อยโล่งๆ มิฉะนั้นมันจะถูกฉุดไปรอบด้าน
มันจะเหนื่อยและร้อนเร่าเศร้าหมองไปตามผัสสะตามสัมผัสที่มากระทบ
บางคนชอบพูดตลอดคะนองเป็นนิสัย เห็นว่าใครๆ หัวเราะชอบใจ
ก็นึกว่าตัวดี ที่แท้ตัวทำทุศีลไปไม่รู้สึก ไม่สมควรกล่าวก็ต้องเงียบ
เรื่องที่จะพูดคำที่มีประโยชน์ ก็ต้องพูดเท่าที่สมควรเห็นทุกข์
เห็นโทษของการแสดงออกทางกาย ทางวาจา
อะไรที่ไม่งดงาม หรือผิดพลาด พลั้งเผลอ รู้ตัวแล้ว
ก็ต้องระมัดระวังต่อไป ไม่ใช่ทำผิดแล้วๆ กัน ศีลนั้นบริสุทธิ์ได้
ด้วยความละอายและความกลัวบาป
ถ้าคนไหนมีความรู้สึกตัวได้ นั่นแหละจึงจะเป็นการเหยียบย่าง
ตามอยู่ในร่องรอยของพระอริยเจ้าได้
ขอบพระคุณ คุณนริศรา
lek:
ตรวจย้อน (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)
ขอให้ผู้ปฏิบัติมีการพิจารณา ตรวจย้อนกลับ
จับความเป็นมายาในตัว ของตัว ถ้าไม่มีการรู้แยบคาย
ในเรื่องความรุ้ของตัวที่มีอยู่ การปฏิบัติจะกลายเป็นการคลำ
เหมือนหาอะไรอยู่ในความมืด แล้วก็ยึดอะไรต่ออะไรหลอกๆไปทั้งนั้น
ไม่ว่าจะยึดดีชั่วตัวตนอะไร ก็กำลังถูกหลอกอยุ่ตลอดเวลาไป
แล้วก็ซ้ำซากอยู่อย่างนี้ ต้องกลับเข้าไปดูมันให้รู้เรื่องความรู้ผิดเห็นผิด
มันปิดบังซ่อนหมกหลบอยู่ในตัวของตัวเอง
พยายามใหม่ เบิกลูกตามองเข้าไปข้างในใหม่
เป็นการอ่านตัวเอง ว่ามันโง่ดักดานมาเท่าไรแล้ว ลืมตาดูเสียทีเถอะ
จะได้เห็นอะไรต่ออะไรที่เป็นความจริงเสียก่อนตาย
เพราะว่าชีวิตไม่แน่นอน จะหมดลมหายใจเมื่อไรก็ได้
แต่ว่าต้องลืมตาดูให้ทั่วก่อน ก่อนจะทิ้งจากกันไปหมด
ไม่ใช่มาเอาดีเอาเด่น เอาผิดเอาถูก อวดเก่งอะไรกัน
มันเน่าหมดไม่เหลือ
ขอให้ผู้ปฏิบัติย้อนกลับมาจับดูต้นขั้วตัวตน
ต้นเหตุของความปรุงคิด เพ่งตรงไปที่จิต
ให้ได้ความรู้แยบคายให้ได้ทุกๆ ขณะเถิด
ขอบพระคุณ คุณนริศรา
lek:
ทำไปแล้วดีเอง (คำสอนของท่านก.เขาสวนหลวง)
การพิจารณาตัวเองอยู่เป็นประจำ
จะเห็นความไม่เที่ยงความเสื่อมสิ้นไปของกาย
กายประกอบไปด้วยสิ่งปฏิกูล เน่าอยู่ข้างในทั้งนั้น
มันเกรอะกรังออกมาเป็นขี้หู ขี้ตา และขี้ต่างๆ ต้องล้างต้องเช็ดกันอยู่
เมื่อพิจารณาแล้ว จะเห็นความเป็นธาตุ
ความเป็นปฏิกูลนี้ และความเป็นศีลก็บริสุทธิ์ก็ผุดอยุ่ตรงนั้น
ถ้าหมั่นพิจารณากันอยู่ มันทำให้ดับทุกข์โทษอะไรได้หลายๆ อย่าง
ทำให้รู้สึกว่า การที่ยึดมั่นถือมั่นอะไรขึ้นมา มันเป็นทุกข์ทั้งนั้น
ถ้าเรารู้จักพิจารณาแล้ว วันเวลาของชีวิต
ทุกเวลานาทีจะมีแต่ความรู้จริงเห็นแจ้ง ในความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ ความว่างจากตัวตน อยุ่เป็นประจำ
แล้วมันจะเป็นการโค่นทำลายตัวตน
ตัวเราของเราที่มันก่อเรื่องวุ่นๆ วายๆ อยู่เป็นประจำวัน
เมื่อเราพยายามทำให้เต็มที่อยุ่ก็ดีแล้ว
ไม่ต้องไปหมายผลอะไรขึ้นมาหรอก ตั้งหน้าทำไปก็แล้วกัน
เพียรเผากิเลสดับทุกข์เป็นประจำวันเรื่อยๆ
แล้วทุกเวลานาทีของชีวิตก็ย่อมเกิดเป็นผลดีไปเอง
ขอบพระคุณ คุณนริศรา
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version