อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล
คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง (นิสัยเถื่อน)
lek:
ท่านพุทธทาสกล่าวถึง ก. เขาสวนหลวง
ท่านพุทธทาสได้กล่าวถึงท่าน ก. เขาสวนหลวง
ในการสัมภาษณ์ลงหนังสือ “เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา”
ในฐานะสหายธรรมทาน ว่า
“สำหรับทางฝ่ายราชบุรีนั้น คุณกี นานายน
ได้ร่วมมือในการเผยแผ่อย่างเต็มกำลังสติปัญญาของตน
เป็นผู้มีความประสงค์เพื่อความรู้เรื่องธรรมะโดยแท้
ตลอดเวลาที่ติดต่อกันมาเพื่อธรรมะทั้งนั้น
เมื่อค้าขายรวบรวมเงินทองได้ทุนสำรองไว้เป็นหลักแล้ว
ก็ออกไปตั้งสำนักเองที่สวนหลวง ตอนจะออกไปก็ได้มาคุย
มาบอก มาปรึกษา แกเป็นคนกล้าหาญ ไม่กลัวตาย
มีลักษณะเป็นผู้นำ คิดจะเปิดสำนักสำหรับผู้หญิงขึ้นปกครองดูแลกันเอง
ก็ทำได้อย่างที่แกคิด แกอ่านหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา
ศึกษามาอย่างดีแล้วค่อยมาพบ ผมก็ให้พักที่บ้านโยม
กลางวันก็มาคุยกันใต้ถุนกุฎิ ตรงริมสระเล็ก (สวนโมกข์เก่า)
เรื่องที่คุยกันก็เป็นเรื่องปรมัตถธรรม ที่แกได้ศึกษามาแล้ว
มาซักถามเพื่อความเข้าใจ ก็ต้องนับว่าเป็นผู้หญิงพิเศษ
ไม่แต่งงาน น้องสาวก็ไม่แต่งงาน และรับงานทางสำนัก
ต่อมาเมื่อคุณกีตายแล้ว ตอนมาหาผม ไม่มีแววว่ามีความทุกข์อะไรมา
มาแบบนักศึกษาธรรมะ แกอยากแต่งกลอน แต่แต่งไม่เป็น
ผมเลยสอนให้ทางไปรษณีย์
ยังได้เอามาลงหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาอยู่หลายชิ้นในสมัยนั้น”
ขอบพระคุณที่มาhttp://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1922
lek:
แนวทางปฏิบัติธรรม
โดย ท่าน ก.เขาสวนหลวง
ผู้ปฏิบัติควรจะศึกษาให้เข้าใจเป็นลำดับไปดังนี้
การศึกษาที่เรียนรู้ได้ง่าย ทำได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกกาละ ทุกขณะ
ได้ผลทันที ไม่ต้องรอรับผลข้างหน้า ก็คือ ศึกษาในโรงเรียน
กล่าวคือ ในร่างกายยาววาหนาคืบมีสัญญาใจครอง
ในร่างกายนี้มีสิ่งที่น่าเรียนรู้ ตั้งแต่ขั้นหยาบจนถึงขั้นละเอียด
ขั้นของการศึกษา
ก. เบื้องต้น ให้รู้ว่ากายนี้ประกอบขึ้นด้วยธาตุต่างๆ
ส่วนใหญ่ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
ส่วนย่อยได้แก่ ส่วนที่จับติดอยู่กับส่วนใหญ่
เป็นต้นว่า สี กลิ่น ลักษณะ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้มีลักษณะไม่คงทน (ไม่เที่ยง) เป็นทุกข์
เต็มไปด้วยของปฏิกูล พิจารณาให้ลึก
ก็จะเห็นไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร มีแต่สภาพธรรมล้วนๆ
ไม่มีสภาวะที่ควรเรียกว่า “ตัวเราของของเรา”
เมื่อตามเห็นกายอยู่อย่างนี้ชัดเจน
ก็จะคลายความกอดรัดยึดถือในกายว่าเป็นตัวตน
เป็นเรา เป็นเขา เป็นนั่นเป็นนี่เสียได้
ข. ขั้นที่สอง ในส่วนนามธรรม (คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
กำหนดให้รู้ตามความเป็นจริง ล้วนเป็นเองในลักษณะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
คือเกิดๆ ดับๆ เป็นธรรมดา พิจารณาเห็นจริง
แล้วจะคลายความยึดถือในนามธรรมว่า เป็นตัวตน
เป็นเรา เป็นเขา เป็นนั่น เป็นนี่ เสียได้
ค. การศึกษาขั้นปฏิบัติ มิได้หมายเพียงการเรียน การฟังการอ่านเท่านั้น
ต้องมีการปฏิบัติให้เห็นประจักษ์แจ้งด้วยจิตใจตนเอง ด้วยการ
(๑) ปัดเรื่องภายนอกทั้งหมดทิ้งเสียก่อน มองย้อนเข้าดูจิตใจตนเอง
(จนรู้ว่ามีความแจ่มใส หรือมัวหมองวุ่นวายอย่างไร)
ด้วยการมีสติสัมปชัญญะกำกับ รู้กายรู้จิตใจอบรมจนจิตทรงตัวเป็นปกติ
(๒) เมื่อจิตทรงตัวเป็นปกติได้ จะเห็นสังขารหรืออารมณ์ทั้งหลาย
เกิดดับเป็นธรรมดา จิตจะว่างวางเฉย ไม่ยินดียินร้าย
และเห็นรูปนามเกิดดับเองตามธรรมชาติ
(๓) ความรู้ว่าไม่มีตัวตน แจ่มชัดเมื่อใด จึงจะพบเข้ากับสิ่งที่มีอยู่ภายใน
เป็นสิ่งที่พ้นทุกข์ ไม่มีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง เป็นอมตะ
ไม่มีความเกิด ความตาย สิ่งที่มีความเกิดย่อมมีความแก่
ความเจ็บ ความตาย เป็นธรรมดา
(๔) เมื่อเห็นความจริงชัดใจแล้ว จิตจะว่าง ไม่เกี่ยวเกาะอะไร
แม้ตัวจิตเองก็ไม่สำคัญว่าเป็นจิต หรือเป็นอะไร
คือ ไม่ยึดถือตัวเองว่าเป็นอะไรทั้งหมด จึงมีแต่สภาพธรรมล้วนๆ เท่านั้น
(๕) เมื่อบุคคลมองเห็นสภาพธรรมล้วนๆ อย่างแจ่มแจ้ง ย่อมเบื่อหน่าย
ในการทนทุกข์ซ้ำๆ ซากๆ เมื่อรู้ความจริงฝ่ายโลกและฝ่ายธรรมตลอด
แล้วจะเห็นผลประจักษ์เฉพาะหน้าว่า สิ่งที่หลุดพ้นจากทุกข์นั้น
มีอยู่อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องเชื่อตามใคร ไม่ต้องถามใครอีก
เพราะพระธรรมเป็นปัจจัตตังคือรู้เฉพาะตนจริงๆ
ผู้ที่มองเห็นความจริงด้านในแล้ว จะยืนยันความจริงอันนี้ได้เสมอ
ก. เขาสวนหลวง
.................................................
หมายเหตุ
สรุปแนวการปฏิบัติธรรมนี้ ท่าน ก. เขาสวนหลวงได้เรียบเรียงเขียนขึ้นด้วยตนเอง
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2497 เพื่อพิมพ์ในหนังสือ “อ่านใจตนเอง”
ท่าน ก. ได้สังเกตพิจารณาศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ตามแนวนี้มาด้วยตนเอง และเป็นแนวทาง
ที่ท่านได้ย้ำอธิบายแก่ผู้ปฏิบัติธรรม ณ เขาสวนหลวง เสมอมา
.................................................
คัดลอกมาจาก :: ผู้จัดการออนไลน์
_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
ขอบพระคุณท่านสายลม
ขอบพระคุณที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1902
lek:
หัดกลัวไว้บ้าง (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)
การไถ่ถอนอุปาทาน ทียึดมั่นถือมั่น มีตัวเรา ตัวเขา
ของเรา ของเขา ต้องทำกันด้วยการใช้สติปัญญาจริงๆ
มิฉะนั้นมันจะคุ้นเคยอยู่อย่างเดิม ไม่เปลี่ยนนิสัยเดิมออกไปได้
การปฏิบัติก็ยังป้วยเปี้ยน วนเวียนอยู่ในกองทุกข์กองไฟนั่นเอง
ไม่ค่อยจะกลัวกันเลย กลับกล้าไปเสียด้วยซ้ำ
ต้องสังวรระวังจิตใจด้วยการใช้สติปัญญา
พอมันคุ้นเคยมาทางนี้ได้ มันก็ค่อยเห็นโทษ
แม้พอจะผิดพลาดไปมันก็เห็นโทษได้เร็ว
เช่นเคย สังวรวาจา เป็นคนพูดน้อย มัธยัสถ์คำพูด
ถ้าไปเผลอไผลพูดมากเข้า ก็จะรุ้สึกตัวว่า
“เราพูดไม่เป็นการเหมาะสม ไม่เป็นการสมควรเลย”
ต้องคอยพิจารณาตัวเองอยู่ ทำตัวเองให้มีธุระน้อยที่สุด
ศีลจึงจะค่อยบริสุทธิ์ ผุดผ่องขึ้นมาได้ พร้อมทั้งกายวาจาใจ
สติปัญญาจะได้มีโอกาสพิจารณาตัวเอง
อะไรมันก็สกปรกไปหมดตั้งแต่ต้นแล้ว
เมื่อเป็นอย่างนี้ จะให้ใครจะมาชำระสะสางให้ ฟอกให้
ตัวเองต้องใช้สติปัญญา ต้องใช้ธรรมะเป็นเครื่องซักฟอกตัวเอง
การเจริญวิปัสสนา ถ้าไม่ได้ทำไปเพื่อให้รู้เรื่องทุกข์โทษของกิเลส
เพื่อทำลายกิเลส จะมุ่งทำให้ไปรู้ไปเห็นอะไรกัน
จะทำให้เป็นคนวิเศษประเภทไหน
ขอให้ผุ้ปฏิบัติพิจารณาดูเอาเอง และมีการสนใจในเรื่องทุกข์นี้
ให้มากเป็นพิเศษ อยู่ในทุกๆ ขณะจิตเถิด
ขอบพระคุณ คุณนริศรา
lek:
ความรู้ที่เต็มปรี่ (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)
ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ความเกิดดับอย่างนี้เหมือนกันหมด
ถ้าไปยึดถือเข้าก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่ยึดถือก็ว่างๆ เปล่าๆ อยู่อย่างนั้น
จะเพ่งไปดูในอะไรๆ ก็เห็นอยู่ในลักษณะอย่างนี้
อย่าเที่ยวไปอยากดู อยากรู้อย่างอื่นเลย
มันไม่มีอะไรจริงจังทั้งนั้น ดูเลวของตัว ดูชั่วของใจ
กวาดทุกข์ให้เกลี้ยง เรียงทุกข์ดูให้เข้าใจ ถ้าดูอย่างนี้แล้ว
มันหมดเรื่องหมดราวไปสิ้น
ถ้ารู้จักทุกข์ รุ้จักอนัตตา ได้ถูกต้องชัดประจักษ์ใจ
แม้จะไม่พูดอะไรสักคำเดียว นั่นก็เป็นความรู้ที่เต็มปรี่อยุ่ภายในแล้ว
ศึกษาจากตำรับตำรามามาก อ่านกันเท่าไรๆ
ก็เหมือนหนอนแทะหนังสือ ไม่เกิดความรู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตัวเองเลย
ปล่อยวางอะไรก็ไม่ได้ ยังยึดถืออยู่อย่างนั้น เป็นการอ่านแล้วจำได้
ถ้าไม่มีการฝึกหัดปฏิบัติแล้ว มันก็รู้เหมือนไม่รู้อะไรไปตามเดิม
ทำความเพียรให้รู้แจ้งถึงความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของรูปธาตุ
นามธาตุ ที่ไม่มีอะไรเป็นตัวตนเลย จะเป็นการรู้อะไรจริงๆ ขึ้นมาด้วยสติปัญญา
ในการศึกษาจากปัจจุบันธรรมที่มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เป็นปรกติอยู่อย่างนี้ จะเป็นหนทางเพื่อความสิ้นอาสวะนี้
เป็นแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเปิดเผยไว้นานแล้ว
ขอบพระคุณ คุณนริศรา
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
:13: อนุโมทนาครับพี่เล็ก ขอบคุณครับ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version