แสงธรรมนำใจ > วัชรยาน
สุบินโยคะ : Tibetan Yoga of Dream ( มิเลม หนึ่งในหกวิชาแห่งนาโรปะ )
มดเอ๊กซ:
มายาการกับความฝัน
.....
คนโบราณมักใช้การอุปมาอุปมัย ในการสอนเรื่องนามธรรม (การศึกษาทางเลือกหลายสำนักก็กลับมาให้ความสนใจเรื่องอุปมาอุปมัย โดยจัดอยู่เข้าหมวดญาณทัศน์ด้วย)
วันนี้แปลบท "มายาการกับความฝัน" มาให้อ่านค่ะ
.............
"เงาสะท้อน" ภาพราชสีห์คำรามเกรี้ยวกราดใส่เงาสะท้อนของตัวเองในสระน้ำ เพราะเข้าใจว่าภาพที่เห็นในน้ำนั้นเป็นราชสีห์อีกตัวหนึ่ง ซึ่งกำลังคำรามใส่ตนเช่นกัน
ความฝันเป็นภาพสะท้อนของดวงจิต การปล่อยให้อารมณ์ไหลเลื่อนไปตามแรงกระตุ้นแห่งเหตุปัจจัย จึงอุปมาดังว่าเรากำลังคำรามใส่เงาสะท้อนของดวงจิตตัวเอง
ความฝันไม่ใช่สิ่งแปลกแยกจากดวงจิตของเรา เช่นที่รังสีของดวงอาทิตย์ไม่ได้แปลกแยกออกไปจากแสงแดด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเงาสะท้อนของกันและกัน ท้องฟ้าก็คือจิตของเรา ภูเขาก็เป็นดวงจิตของเรา ดอกไม้ อาหาร ตลอดจนผู้คนที่เราพบเห็น ทั้งหมดล้วนคือดวงจิตของเรา ซึ่งสะท้อนเงากลับมาสู่เราผ่านการฝันนั่นเอง
"แสงฟ้าแลบ" ในค่ำคืนที่มืดสนิท เรามองไม่เห็นสิ่งรอบตัว แต่เมื่อพลันปรากฏแสงฟ้าแลบสว่างขึ้น ทันใดนั้นภาพทิวเขาตั้งตระหง่านตัดกับฉากหลังของท้องฟ้าสีดำก็ปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง ขุนเขาไม่ได้เพิ่งจะปรากฏเมื่อเกิดแสงฟ้าแลบ แต่ขุนเขาดำรงอยู่อย่างนั้นก่อนแล้ว แม้ไม่มีสายฟ้าสว่างวาบขึ้นมา ขุนเขาก็ยังคงตระหง่านอยู่ตรงนั้น
..แสงฟ้าแลบที่สว่างวาบขึ้นมาอย่างฉับพลัน อุปมาเหมือนแสงสว่างในดวงจิตของเรา เมื่อสว่างวาบขึ้นคราใด เราก็สามารถเห็นภาพที่ต่างไป แสงฟ้าแลบในดวงจิตของเรา คือแสงแห่งวิชชา และวิชชาเองก็สถิตย์อยู่แล้วในดวงจิตของเราเหมือนภูเขาที่ตั้งตระหง่านเงียบในความมืด
"สายรุ้ง" ความฝันเปรียบเหมือนสายรุ้ง ทั้งสวยงามและเต็มไปด้วยเสน่ห์จูงใจ แต่ไม่มีตัวตน ไม่สามารถจับต้องได้ สายรุ้งเป็นเพียงภาพฉายของแสงซึ่งมารวมกันในองศาที่เหมาะเจาะ ดังนั้นการพยายามติดตามเพื่อเอื้อมคว้าสายรุ้งมายึดครอง จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะ ณ ตำแหน่งที่เราเห็นรุ้งกินน้ำปรากฏขึ้น แท้จริงไม่ได้มีอะไรดำรงอยู่ตรงนั้นเลย สายรุ้งจึงเป็นเพียงการมาประชุมกันของเหตุปัจจัยอันเอื้อให้เกิดภาพลวงตาขึ้นเท่านั้น
"ดวงจันทรา"ความฝันอุปมาได้กับดวงจันทร์ ซึ่งสะท้อนเงาให้เห็นในแหล่งน้ำที่หลากหลาย ในสระบัว ในบ่อบึง ในลำธาร หรือในทะเลกว้าง ทั้งก็ยังส่องสะท้อนอยู่บนหน้าต่างกระจกนับล้านบานในเมืองใหญ่อีกด้วย ทั้งที่ดวงจันทร์มีเพียงหนึ่งเดียว หาได้มีจำนวนมากมายมหาศาลเท่าจำนวนเงาสะท้อนไม่
..อุปมาได้กับเรื่องราวมากมายมหาศาลที่ปรากฏภาพแล้วภาพเล่าในความฝัน แท้จริงทั้งหมดของความมหาศาลนั้นมีแหล่งกำเนิดเพียงหนึ่งเดียวในดวงจิตของเรา
"มายากล" นักมายากลสามารถเสกก้อนหินก้อนหนึ่งให้กลายเป็นช้าง กลายเป็นงู แล้วกลายไปเป็นเสือได้ในบัดดล กลเม็ดความชำนาญของนักมายากล และความน่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้ผู้ชมคล้อยตามได้ไม่ยาก
..ในความฝัน ตัวเราเปรียบเหมือนผู้ชมมายากล ภาพความฝันที่เราตื่นตาตื่นใจและคล้อยตาม เปรียบก็เหมือนช้าง งู และเสือของนักมายากล ซึ่งล้วนเป็นฉากลวงตาที่ถูกสร้างโดยกลเม็ดมายาของดวงจิตเรานั่นเอง
"เงาลวง" ในดินแดนอันร้อนระอุกลางทะเลทราย เมื่อองศาของเหตุปัจจัยพอเหมาะ นักเดินทางจะเห็นภาพบ้านเมืองระยิบระยับอยู่เบื้องหน้า หรืออาจเห็นแหล่งน้ำโอเอซิสเขียวชอุ่มอยู่แค่เอื้อม ภาพที่เห็นทำให้นักเดินทางอาจเดินหลงทิศ หรือทุรนทุรายไขว่คว้าไปจนสิ้นแรง
..ความฝันก็ไม่ต่างกัน ภาพที่เราเห็นในความฝันอุปมาได้กับเงาลวงตากลางทะเลทราย เมื่อใดที่เราเข้าใจว่าภาพที่เห็นเป็นความจริง และทุรนทุรายไปกับสิ่งนั้น เราก็อาจจะเดินหลงทิศและวนเวียนอยู่ในทะเลทรายจนหมดแรง โดยหารู้ไม่ว่าเงาลวงตานั้น แท้จริงเป็นเพียงการเล่นของแสงอันว่างเปล่า
"เสียงก้องสะท้อน" เมื่อยืนอยู่กลางหุบเขา เสียงตระโกนหนึ่งเสียง จะย้อนกลับมาเป็นเสียงก้องอีกหลายเสียง ถ้าตระโกนดังเสียงก้องสะท้อนก็ดังตาม ตระโกนเบา ๆ เสียงก้องสะท้อนก็เบา หรือถ้าเปล่งเสียงกระซิกร่ำไห้ เสียงก้องที่สะท้อนกลับมาก็คือเสียงกระซิกร่ำไห้อย่างนั้น
..เสียงก้องทุกเสียงที่สะท้อนไปสะท้อนมากลางหุบเขา ประหนึ่งว่ามีผู้คนเปล่งเสียงไม่ขาดสายนั้น ที่จริงมีจุดกำเนิดเสียงเพียงจุดเดียว เสียงที่ก้องสะท้อนรอบที่ตามมาอีกหลายรอบจึงเป็นมายา เสียงในความฝันก็เช่นเดียวกัน ทุกสรรพสำเนียงและเรื่องราวในความฝัน อุปมาเหมือนกับเสียงก้องกลางหุบเขาที่สะท้อนไปมาหลายตลบ ความฝันจึงคือเสียงก้องสะท้อนที่เปล่งออกไปจากจิตหนึ่งเดียวของเรานั่นเอง
.....
ตัวอย่างเหล่านี้ ย้ำให้เราตระหนักถึงธรรมชาติดั้งเดิมว่าไม่มีอะไรดำรงอยู่จริง พระสูตรในวัชรยานเรียกภาวะนี้ว่า "ความว่าง" ทางตันตระเรียกว่า "มายาการ" ส่วนคำสอนซอกเช็น เรียกภาวะนี้ว่า "เอกมณฑล"
สุบินโยคะ ไม่เน้นเรื่องการตีความสัญลักษณ์ในฝัน หรือหากจะตีความ ก็สอนให้หาความหมายที่ช่วยให้ก้าวหน้าในทางจิตวิญญาณ ให้ไปเหนือการแปลฝันหรือยึดติดกับความฝันใด ๆ
ซึ่งจุดนี้เป็นจุดต่างกับสำนักฝันอื่น ๆ ซึ่งส่วนมากเน้นที่การแปลความฝัน หรือตีความสัญลักษณ์ในความฝัน ซึ่งส่วนมากอยู่ในบริบทของชีวิตทั่วไป เช่น ความสัมพันธ์ ความรวย สุขภาพ เป็นต้น แต่สุบินโยคะของทิเบต มองว่าสัญลักษณ์ต่าง ๆ นั้นเป็นมายาการ มีความว่างเป็นปฐม
.....
๒๗ มีนาคม ๒๕๔๗
ครูส้ม : สมพร อมรรัตนเสรีกุล ย่อยแปล
http://kroosom-dream.blogspot.com/
มดเอ๊กซ:
ดึก ๆ สอง สามทุ่ม มาลงต่อ ถ้ารีบร้อน ไป อ่านตามลิ้งได้
วิชา 6 แห่งนาโรปะ
สุบินโยคะ กับ แสงกระจ่าง สาย กุมารี นุคุมา คู่ธรรมนาโรปะจะเน้น
ส่วนสายนาโรปะ กายมายา กับ มันดาร่า จะเน้น
มดเอ๊กซ:
ทางเดินของปราณ
.........
วันนี้มาต่อเรื่อง "ช่องทางเดินของปราณ"
คำว่า ปราณ อาจจะได้ยินกันในหลาย ๆ ชื่อ เช่น พลังชีวิต ลมแห่งชีวิต ชี่หรือขี่(จีน) , กิ(ญี่ปุ่น) , ปราณ(อินเดีย)
ช่องทางหรือช่องผ่านของปราณ ภาษาสันสกฤตเรียกว่า "นาทิ" (Nadi) แปลว่า ช่องทางการเลื่อนไหล ในภาษาไทยตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต เรียกว่า "นาฬี หรือ นาลี" แปลว่า ท่อหรือช่องนาฬีคือช่องทางเดินของปราณ
ในร่างกายคนเรามีนาฬีมากมาย ตำราโบราณของจีนและอินเดียบอกว่ามีมากกว่าเจ็ดหมื่นเส้น เรารู้จักนาฬีชนิดหยาบผ่านความรู้ทางการแพทย์และวิชากายวิภาค จากการศึกษาเรื่องระบบของเส้นเลือด ระบบการไหลเวียนของโลหิต ระบบน้ำเหลือง ระบบเส้นประสาท รวมทั้งเส้นและจุดในวิชาการฝังเข็มด้วย
ช่องทางเดินของปราณที่กล่าวมาเบื้องต้น เป็นนาฬีของกายหยาบ แต่ในสุบินโยคะ จะพิจารณาไปถึงนาฬีของกายละเอียด กายละเอียดนี้เป็นมูลฐานของทั้งปัญญาญาณและอารมณ์ความรู้สึกทั้งปวง นาฬีละเอียดไม่สามารถบ่งชี้ตำแหน่งที่แน่ชัดว่าอยู่ตรงไหนในร่างกาย แต่เราสามารถตระหนักรู้และสัมผัสได้เมื่อได้รับการฝึก
นาฬีละเอียดมีท่อทางเดินที่เป็นนาฬีหลักอยู่ ๓ เส้นเรียงกัน โดยมีจักร ๖ จักรวางอยู่ในตำแหน่งที่เรียงลำดับกันทางตั้ง ๖ จุด และจากจักรทั้ง ๖ มีนาฬีเส้นสายย่อย ๆ อีก ๓๖๐ เส้นแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย (ตำราทิเบตเล่มนี้จะพูดถึงจักรเพียง ๖ จักร แต่ในตำราโยคะสายอื่น ๆ จะพูดถึงจักร ๗ จักร ๙ และจักรย่อยอีกมากมายไว้ด้วย)
เส้นนาฬีหลักทั้ง ๓ ของหญิง เส้นทางขวามีสีแดง เส้นทางซ้ายมีสีขาว และเส้นตรงกลางมีสีน้ำเงิน
ส่วนนาฬีของผู้ชาย เส้นทางขวาสีขาว เส้นทางซ้ายสีแดง และเส้นตรงกลางมีน้ำเงินเช่นกัน
จุดบรรจบของเส้นนาฬีหลักทั้ง ๓ เริ่มต้นจากตำแหน่งที่ต่ำลงไปใต้สะดือประมาณ ๔ นิ้ว เส้นนาฬีซ้ายและขวามีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดด้ามดินสอ ตั้งคู่ขนานและขนาบอยู่ด้านหน้าของแนวกระดูกสันหลังขึ้นไปจนถึงสมอง วนกลับภายในกระโหลก ณ จุดกลางกระหม่อม แล้วย้อนลงมาเชื่อมกับโพรงจมูก
รูจมูกทั้ง ๒ ข้างจึงเป็นประตูเปิดของนาฬีหลักเส้นซ้ายและขวาส่วนนาฬีหลักเส้นตรงกลาง อยู่ด้านหน้ากระดูกสันหลัง ตั้งตรงขึ้นตามแนวกระดูกสันหลังเริ่มจากจุดใต้สะดือลงไป ๔ นิ้วเช่นกัน มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดประมาณลำอ้อย เส้นผ่าศูนย์กลางนี้จะขยายกว้างขึ้นเล็กน้อยจากบริเวณหัวใจไปถึงจุดบรรจบที่กลางกระหม่อมบนศรีษะ
เส้นนาฬีสีขาว (ด้านขวาของชาย ด้านซ้ายของหญิง) เป็นช่องทางการเคลื่อนไหวของปราณหรือพลังงานด้านลบ และความคิดติดกรอบ
ส่วนเส้นนาฬีสีแดง (ด้านซ้ายของชาย และด้านขวาของหญิง) เป็นช่องทางเดินของพลังงานด้านบวกและปัญญา
ดังนั้น ในการฝึกฝันแบบสุบินโยคะ ผู้ชายจะนอนตะแคงตัวขวา ส่วนผู้หญิงนอนตะแคงซ้าย เพื่อผลในการกดทับและปิดเส้นนาฬีสีขาว และเปิดเส้นนาฬีสีแดงซึ่งเป็นช่องทางของปัญญาและอารมณ์ทางบวก ท่านอนนี้จะช่วยให้ประสบการณ์ในความฝันเป็นไปทางบวกและกระจ่างชัด(การฝันแบบฝันกระจ่าง หมายถึงคุณภาพของฝันที่เรารู้ตัวในฝันว่าเรากำลังฝันอยู่ ภาพและเสียงตลอดจนประสาทรับรู้จะแจ่มชัด เมื่อตื่นแล้วก็ยังจดจำความฝันนั้นได้ เรียกว่า ฝันกระจ่าง หรือ Lucid Dreaming)
ส่วนเส้นนาฬีสีน้ำเงินที่อยู่ตรงกลาง เป็นนาฬีที่อยู่เหนืออารมณ์ด้านบวกและอารมณ์ด้านลบ เป็นทางเดินของพลังแห่งความตระหนักรู้แจ้ง
จุดมุ่งหมายสูงสุดของการฝึกสุบินโยคะ คือการชักนำจิตสำนึกและปราณมาประสานรวมกันภายในนาฬีสีน้ำเงินเส้นตรงกลางนี้ ณ ที่ซึ่งไปพ้นทั้งความรู้สึกทางบวกและความรู้สึกทางลบ ไปพ้นเวทนาทั้งปวงเมื่อภาวะนี้เกิดขึ้น ผู้ฝึกจะตระหนักรู้ผ่านประสบการณ์ภายในว่าอารมณ์ความรู้สึกเชิงทวิภาวะทั้งหลาย ได้หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว เกิดเป็นความว่าง และความกระจ่างสว่างรู้
.....
มดเอ๊กซ:
ปราณ
......
ตอน "ปราณ"
ความฝันเป็นกระบวนการที่เคลื่อนไหวต่อเนื่อง ภาพในความฝันจะเลื่อนไหลไปเรื่อย ๆ มีความสั่นสะเทือนของคลื่นเสียง มีคำพูด มีบทสนทนา และมีการเคลื่อนไหวโต้ตอบทางอารมณ์ความรู้สึก เนื้อหาเรื่องราวในความฝันก่อร่างขึ้นจากอารมณ์จิตใจ แต่รากฐานที่ก่อให้เกิดความฝันนั้นมาจาก “ปราณ”
คำว่า “ปราณ” (Prana) ในภาษาทิเบตคือ Lung แปลตามตัวอักษรในความหมายทั่วไป หมายถึง “ลม” แต่ความหมายในเชิงลึก หมายถึง “ลมแห่งชีวิต” ปราณเป็นรากฐานของพลังชีวิต การฝึกโยคะอาสนะ และฝึกหายใจแบบโยคี (ปราณยาม) เป็นการเพิ่มกำลังและฟอกชำระลมแห่งชีวิต เพื่อจุดมุ่งหมายในการสร้างดุลยภาพให้กับร่างกายและจิตใจ
คติทางทิเบตได้ขยายความเกี่ยวกับลมแห่งชีวิต หรือ “ปราณ” ว่ามีคุณสมบัติอยู่ ๒ ประเภท คือ
กรรมปราณ และ ปัญญาปราณ
.......
มดเอ๊กซ:
รอยอกุศลกรรม
....
เมื่อใดก็ตามที่เราใช้อารมณ์ด้านลบโต้ตอบกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต เมื่อนั้น “รอยอกุศลกรรม” ได้ถูกประทับไว้แล้วทันทีในจิตของเรา และรอยอกุศลกรรมนี้ เป็นพลังที่มีอิทธิพล ทำให้ชีวิตของเราต้องเผชิญกับสถานการณ์ด้านลบอีกต่อ ๆ ไปอย่างไม่รู้จบ
ดังตัวอย่างเช่น เมื่อมีใครสักคนแสดงโทสะใส่เรา และเราโต้ตอบกลับด้วยโทสะเช่นเดียวกัน นั่นเท่ากับเราได้ทิ้งรอยกรรมแห่งโทสะจริตไว้ ซึ่งจะทำให้เรากลายเป็นคนโกรธง่ายขึ้นเรื่อย ๆ โกรธบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ จนดูเหมือนว่าสถานการณ์ที่เป็นปัจจัยยั่วโทสะรอบตัวเรานั้นช่างมีมากมายเหลือเกิน และนับวันก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในทำนองกลับกัน ถ้าเราไม่โต้ตอบสถานการณ์ด้วยความโกรธ ก็จะไม่มีการประทับรอยโทสะไว้ในรอยกรรมของเรา ในสถานการณ์เดียวกันเช้นนี้ บุคคลที่ถูกประทับรอยกรรมด้วยอารมณ์โกรธ กับอีกคนที่ไม่ คนทั้ง ๒ ย่อมได้รับผลแห่งกรรมไม่เหมือนกัน ทั้งผลภายนอก (หน้าที่การงาน ชีวิตทางสังคม) และผลภายใน (ความสงบสุขทางจิตใจ สุขภาพทางร่างกาย ตลอดจนความคิดและสติปัญญา)
ความกลัว ความวิตก ก็เป็นอีกตัวอย่างของอารมณ์ที่ทิ้งรอยกรรมด้านลบไว้ ความกลัวความวิตกกังวลทำให้คนตกอยู่ในภาวะเครียด ความเครียดเป็นพลังงานที่แผ่ซ่านออกไปรอบทิศทางชีวิตของบุคคลนั้น เราคงจะเห็นบ่อย ๆ ว่า คนที่โกรธง่าย วิตกกังวลง่าย และมีความกลัวอยู่ในใจ จะดึงดูดเอาผลแห่งรอยกรรมด้านลบหรือด้านร้ายเข้าสู่ชีวิตของเขาเอง จนดูประหนึ่งว่าชีวิตเขาจะพบแต่โชคร้ายอยู่เนือง ๆ
แต่แม้ว่าเราจะกดอารมณ์โกรธ กดความวิตกและความกลัวนั้นไว้ในใจเงียบ ๆ ไม่แสดงการโต้ตอบออกไป รอยกรรมแห่งอกุศลจิตก็ยังไม่ได้หายไปไหน เพราะการเก็บกดไว้เป็นการสำแดงความไม่พึงพอใจแบบย้อนกลับ แม้ไม่แสดงออกมา แต่ก็ไม่ได้หมดไป ยังคงซ่อนอยู่หลังประตูที่เราคล้องกุญแจไว้ มันซ่อนอยู่ในความมืดอย่างรอคอย เหมือนศัตรูร้ายที่ซุ่มเงียบ รอให้ได้ที หรือได้ฤกษ์เมื่อไร ก็พร้อมที่จะสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาต่าง ๆ นานา
ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเก็บกดความโกรธ หรืออิจฉาริษยาใครก็ตามไว้ในใจ เราจะรู้สึกได้ถึงความเดือดพล่านในอารมณ์ของเราเป็นระยะ แม้ว่าเราจะเก็บความริษยานั้นไว้เป็นความลับสุดยอด แต่ก็ไม่วายที่เราอาจจะเผลอนินทาว่าร้ายบุคคลนั้นไปอย่างไม่รู้ตัว หรือแม้ว่าเราจะปฏิเสธกับตัวเองว่าเราไม่ได้โกรธหรือริษยาใคร แต่เราก็หลอกจิตใจตัวเองไม่ได้ ตราบใดที่จิตของเรายังจับความรู้สึกโกรธ เกลียด กลัว อิจฉา หรืออาฆาตมาดร้ายที่เก็บกดไว้หลังประตูใจของเราได้ ตราบนั้นเมล็ดพันธุ์แห่งอกุศลกรรมได้ถูกหว่านไปในพื้นดินอันอุดมด้วยกิเลสเรียบร้อยแล้ว
......ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า ร่องรอยแห่งอกุศลกรรมนั้นจะถูกประทับทันที ไม่ว่าเราจะสร้างอกุศลทางใดก็ตาม ทั้งทางการกระทำ ทางวาจา ทางความคิด และทางความรู้สึก
ดังนั้น แทนที่เราจะปล่อยให้อุปนิสัยหรือจริตของเราขับเคลื่อนไปตามยถากรรม หรือเก็บกดความรู้สึกทางอกุศลไว้ในใจ เราสามารถเปลี่ยนรอยอกุศลกรรมได้ ด้วยการสื่อสารกับจิตวิญญาณภายในของเราให้ลดทอนอารมณ์ด้านลบต่าง ๆ การสื่อสารกับตัวเองเป็นการช่วยให้เราเชื่อมั่นว่าเราสามารถเปลี่ยนรอยอุกศลกรรม ให้เป็น กุศลกรรมได้
เมื่อใครสักคนทำให้เราโกรธ จริตเดิมเราอาจจะเริ่มปรากฏโทสะขึ้น แต่ด้วยการสื่อสารและเชื่อมั่นในกุศลกรรม จะช่วยให้เราค่อย ๆ เปลี่ยนความโกรธนั้นเป็นความเมตตา ขณะเริ่มฝึกใหม่ ๆ เราอาจรู้สึกว่าการปรับเปลี่ยนนี้ช่างฝืนใจและเสแสร้งเสียเหลือเกิน มันช่างไม่เป็นธรรมชาติที่แท้จริงของเราเลย
แต่ลองคิดใคร่ครวญดูดี ๆ ซิว่า บุคคลที่โกรธเกลียดเราคนนั้น เขาจะต้องถูกผลักให้เข้าไปวนเวียนอยู่ในวังวนของความโกรธอันไม่มีที่สิ้นสุด เนื่องด้วยกรรมของเขาเอง จิตใจของเขาจะต้องทนทุกข์กับหลุมพรางที่ตัวเองเป็นคนขุด ต้องติดอยู่ในกับดักที่ตัวเองเป็นคนสร้าง ว่ายเวียนอยู่ในรอยอกุศลกรรมที่ตัวเองเป็นผู้ก่อ เมื่อเราพิจารณาอย่างเข้าใจได้เช่นนี้ ความรู้สึกเมตตาก็จะผุดขึ้นในใจเรา เราจะเริ่มมีสติที่จะไม่กระทำการตอบโต้ด้วยจริตเดิม เพราะเราไม่อยากเข้าไปว่ายวนในทะเลทุกข์เหมือนเขา นั่นเท่ากับเราได้เริ่มลงมือเปลี่ยนแปลงรอยกรรมใหม่ในอนาคตของเราแล้ว ด้วยการกระทำในวันนี้ของเราเอง ซึ่งเรามีสิทธิ์เลือกได้
ผลแห่งกรรมในทางกุศลนี้ ต้องเป็นไปตามความปรารถนาที่จะพัฒนาจิตวิญญาณของเราให้เติบโตอย่างอบอวลไปด้วยความสงบสันติ ความปรารถนานี้ทำให้เราศรัทธาเชื่อมั่น เป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเมตตาลงไปในใจอย่างไม่รู้ตัว
คราวต่อ ๆ ไป เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เคยสร้างความโกรธเคืองให้เราอีก เมล็ดพันธุ์แห่งเมตตาธรรม จะแตกหน่อออกผลอย่างเป็นธรรมชาติในใจเรา เราจะเกิดความเมตตาขึ้นอย่างไม่ต้องฝืน อย่างเป็นธรรมดา อย่างสบาย ๆ จิตไร้สำนึกของเราไม่จำเป็นต้องสร้างกลไกการปกป้องตัวเองด้วยการโต้ตอบด้วยวิธีรุนแรงอีกต่อไป
กุศลกรรมเป็นกรรมที่สะสมทับทวีคูณ เมื่อเริ่มต้นฝึกปรับเปลี่ยนรอยกรรมใหม่ ๆ เราจะรู้สึกว่าต้องอดทน อดกลั้น ต้องฝืนใจอย่างมาก แต่เมื่อรอยกรรมที่เป็นกุศลเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ผลแห่งกรรมนั้นเองที่ช่วยให้ความโกรธของเราลดลงไปทีละนิด ๆ อย่างไม่ต้องฝืน ไม่ต้องพยายาม ทั้งทางกาย ทางใจ และทางปัญญา
อาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม เราสามารถพัฒนาจิตวิญญาณของเราด้วยการฝึกใส่ใจทุก ๆ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งในยามตื่น ในระหว่างภาวนา และในความฝัน
............
(แปลจากบางตอนของหนังสือ The Tibetan Yogas of Dream and Sleep
เขียนโดย เท็นซิน วังจัล รินโปเช)
ครูส้ม : สมพร อมรรัตนเสรีกุล แปล
รูปประกอบวาดเมื่อ มีนาคม ๔๖
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version